วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

วิชาวินัยมุขและพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ นธ.เอก

→ ปี 2564
→ ปี 2563

→ ปี 2562
→ ปี 2561
→ ปี 2560
→ ปี 2559
→ ปี 2558
→ ปี 2557
→ ปี 2556
→ ปี 2555
→ ปี 2554
→ ปี 2553
→ ปี 2552
→ ปี 2551
→ ปี 2550
→ ปี 2549
→ ปี 2548
→ ปี 2547
→ ปี 2546
→ ปี 2545
→ ปี 2544
→ ปี 2543

พุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก 2543

ปัญหาและเฉลยพุทธานุพุทธประวัติ  นักธรรมชั้นเอก

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓

วันศุกร์ ที่  ๑๗  พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓

------------------------------

๑.

๑.๑

ลักษณะทั้ง ๒ ที่พระพุทธองค์ทรงเห็นในมัชฌิมยามแห่งราตรีตรัสรู้คือ    อะไรบ้าง ?


๑.๒

พระอุทานที่พระพุทธองค์ทรงเปล่งในปัจฉิมยามมีความว่าอย่างไร ?

๑.

๑.๑

คือ

     ๑) ปัจจัตตลักษณะ ได้แก่การกำหนดโดยความเป็นกอง

     ๒) สามัญลักษณะ ได้แก่การกำหนดโดยความเป็นสภาพเสมอกัน  

         คือ ความเป็นของไม่เที่ยง


๑.๒

มีความว่า เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏชัดแก่พราหมณ์ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ พราหมณ์นั้นย่อมกำจัดเสนามาร คือ ชรา พยาธิ มรณะเสียได้ ดุจพระอาทิตย์อุทัยขึ้นกำจัดมืด ทำอากาศให้สว่างฉะนั้น

๒.

๒.๑

ที่สุดโต่งอันบรรพชิตไม่ควรเสพนั้นคืออะไรบ้าง ?


๒.๒

ที่สุดโต่งนั้นมีโทษอย่างไร ?

๒.

๒.๑

คือ

     ๑) กามสุขัลลิกานุโยค

     ๒) อัตตกิลมถานุโยค


๒.๒

มีโทษดังนี้



     กามสุขัลลิกานุโยค คือการประกอบตนให้พัวพันด้วยสุขในกาม เป็นธรรมอันเลว  เป็นเหตุตั้งบ้านเรือน เป็นของคนมีกิเลสหนา ไม่ใช่ของคนอริยะคือ   ผู้บริสุทธิ์ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์



     อัตตกิลมถานุโยค คือการประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตนเปล่า ให้เกิดทุกข์แก่ผู้ประกอบ ไม่ทำผู้ประกอบให้เป็นอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์

๓.

๓.๑

พระอัครสาวก ๒ รูปมีชื่อเรียกอะไรบ้าง ?  เหตุไรจึงเรียกอย่างนั้น ?


๓.๒

พระอัสสชิแสดงธรรมแก่อุปติสสปริพาชกมีความว่าอย่างไร ?  และมีผล   อย่างไร?


๓.

๓.๑

มีชื่อเรียก อุปติสสะ หรือสารีบุตร ๑ เรียก โกลิตะ หรือ  โมคคัลลานะ ๑  ที่เรียกว่า อุปติสสะ เพราะเรียกตามโคตร ที่เรียกว่า สารีบุตร เพราะเป็นบุตรของ นางสารีพราหมณี  ส่วนที่เรียกว่า โกลิตะ เพราะเรียกตามโคตร ที่เรียกว่า    โมคคัลลานะ เพราะเป็นบุตรของนางโมคคัลลานีพราหมณี


๓.๒

มีความว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุของธรรมนั้นและความดับแห่งธรรมนั้น พระศาสดาทรงสอนอย่างนี้ มีผล คือ อุปติสสปริพาชกได้ดวงตาเห็นธรรมว่า สิ่งใด  สิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา

๔.

๔.๑

พระมหากัสสปเถระประพฤติธุดงควัตรเพราะเห็นอำนาจประโยชน์   อย่างไร ?


๔.๒

เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ท่านเป็นกำลังสำคัญแก่พระพุทธศาสนา  อย่างไร ?

๔.

๔.๑

เพราะเห็นอำนาจประโยชน์ ๒ อย่างคือ

     ๑) การอยู่เป็นสุขในบัดนี้ของตน

     ๒) เพื่ออนุเคราะห์ประชุมชนในภายหลัง จะได้เป็นทิฏฐานุคติแห่ง

          คนผู้มาเกิดในภายหลัง เมื่อทราบว่า สาวกของพระพุทธเจ้าได้

               ประพฤติอย่างนี้ เขาจะได้ประพฤติตาม ซึ่งเป็นทางอำนวยสุขแก่

          เขาเอง


๔.๒

ท่านได้เป็นประธานทำสังคายนาเป็นครั้งแรก

๕.

๕.๑

คำว่า “ภทฺเทกรตฺโต”  ผู้มีราตรีเดียวอันเจริญ คือการปฏิบัติอย่างไร ?


๕.๒

พระสาวกรูปใดได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ฉลาดอธิบายความย่อให้พิสดาร ?

๕.

๕.๑

คือการปฏิบัติอย่างนี้ คือ เป็นผู้มีความเพียร ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน อยู่ด้วยความไม่ประมาท


๕.๒

พระมหากัจจายนะ

๖.

๖.๑

ปัญหาว่า    “พระขีณาสพตายแล้วเป็นอะไร”   ใครถามใคร  ?                                      มีคำตอบอย่างไร ?


๖.๒

พระศาสดาทรงพยากรณ์ปัญหาจบลงแล้ว มีผลอะไรเกิดแก่มาณพ

๑๖ คน ?


๖.

๖.๑

พระสารีบุตรถามพระยมกะ มีคำตอบว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่ไม่เที่ยง ดับไปแล้ว


๖.๒

มีผลคือ มาณพ ๑๕ คน เว้นปิงคิยมาณพ ส่งใจไปตามธรรมเทศนา มีจิตพ้นจากอาสวะไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน ส่วนปิงคิยมาณพเป็นแต่ได้ญาณเห็นในธรรม

๗.

๗.๑

พระปุณณมันตานีบุตรเป็นชาวเมืองไหน ?  ตั้งอยู่ในคุณธรรมอะไรบ้าง ?


๗.๒

ใครถามว่า “ท่านประพฤติพรหมจรรย์เพื่ออะไร” ? ใครตอบ ? ตอบว่า อย่างไร  ?

๗.

๗.๑

เป็นชาวเมืองกบิลพัสดุ์ ตั้งอยู่ในคุณธรรม ๑๐ ประการ คือ มักน้อย สันโดษ ชอบสงัด ไม่ชอบเกี่ยวข้องด้วยหมู่ ปรารภความเพียร บริบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ ความรู้เห็นในวิมุตติ


๗.๒

พระสารีบุตรเป็นผู้ถาม พระปุณณมันตานีบุตรเป็นผู้ตอบ และตอบว่า         เราประพฤติพรหมจรรย์  เพื่อความดับไม่มีเชื้อ

๘.

๘.๑

เพราะเห็นอานิสงส์อะไร พระอานนท์จึงทูลขอพรข้อที่ ๘ ?


๘.๒

พระอุบาลีออกบวชพร้อมใครบ้าง ?  ที่ไหน ?  ท่านได้รับเอตทัคคะ

ทางไหน ?

๘.

๘.๑

เพราะเห็นอานิสงส์ว่าหากมีผู้มาถามว่า ธรรมนี้พระพุทธองค์ทรงแสดงในที่ใด ?  ถ้าท่านตอบไม่ได้ เขาจะพูดได้ว่า ท่านตามเสด็จพระศาสดาตลอดกาลนาน  ไม่รู้แม้แต่เรื่องเท่านี้


๘.๒

พระอุบาลีออกบวชพร้อมกับ พระภัททิยะ พระอนุรุทธะ พระอานันทะ พระภัคคุ  พระกิมพิละ พระเทวทัต ที่อนุปิยนิคม ได้รับเอตทัคคะทางเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้ทรงวินัย

๙.

  จงอธิบายข้อความต่อไปนี้



๙.๑

ทรงทำอายุสังขาราธิฏฐาน           ๙.๒  ทรงปลงอายุสังขาร

๙.

๙.๑

ทรงทำอายุสังขาราธิฏฐาน หมายถึง ทรงตั้งพระหฤทัยจักอยู่แสดงธรรม     สั่งสอนแก่มหาชน และตั้งพุทธปณิธานใคร่จะดำรงพระชนม์อยู่ จนกว่า   พุทธบริษัทจะตั้งมั่นและได้ประกาศพระศาสนาให้แพร่หลาย ประดิษฐานให้มั่นคงถาวรสำเร็จประโยชน์แก่นิกรทุกหมู่เหล่า




๙.๒

ทรงปลงอายุสังขาร หมายถึง ทรงกำหนดวันปรินิพพานนับแต่วันเพ็ญเดือน ๓ ไปอีก ๓ เดือน คือปลงพระทัยว่าจะบำเพ็ญพุทธกิจต่อไปอีกไม่ได้แล้ว

๑๐.

๑๐.๑

เมื่อรวมเจดีย์ซึ่งแสดงไว้ในบาลี อรรถกถา และฎีกา มีเท่าไร ?           อะไรบ้าง ?


๑๐.๒

อันตรธาน ๕ อย่าง อย่างไหนสำคัญกว่า ?  เพราะเหตุไร

๑๐.

๑๐.๑

มี ๔ คือ ธาตุเจดีย์ ๑ บริโภคเจดีย์ ๑  ธรรมเจดีย์ ๑  อุทเทสิกเจดีย์ ๑


๑๐.๒

ปริยัติอันตรธานสำคัญกว่า เพราะปริยัติเสื่อมลงในกาลใด พระศาสนาย่อมเสื่อมถอยในกาลนั้น เมื่อปริยัติยังดำรงอยู่ตราบใด พระศาสนาก็ยังดำรงอยู่ตราบนั้น เพราะว่าปริยัติเป็นรากแก้วของพระศาสนา ปฏิบัติเป็นแก่น ปฏิเวธ เป็นผล เมื่อรากแก้วขาดแล้ว แก่นและผลก็พลอยหมดไปตามกัน


วิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก 2544

 ปัญหาและเฉลยวิชาพุทธานุพุทธประวัติ  นักธรรมชั้นเอก

สอบในสนามหลวง

วันอาทิตย์ ที่  ๔  พฤศจิกายน  พ.ศ. ๒๕๔๔

๑.

๑.๑

อาสภิวาจาคือวาจาเช่นไร ?  มีใจความว่าอย่างไร ?


๑.๒

พระพุทธองค์ทรงยืนยันพระองค์เองว่า เป็นสัมมาสัมพุทธะ เพราะทรงอาศัยเหตุอะไร ?

๑.

๑.๑

 คือวาจาที่เปล่งอย่างองอาจ เป็นภาษิตของบุรุษพิเศษอาชาไนย

มีใจความว่า  เราเป็นผู้เลิศ  เป็นผู้ใหญ่  เป็นผู้ประเสริฐแห่งโลก


๑.๒

เพราะทรงอาศัยเหตุที่ตรัสรู้อริยสัจ ๔  อย่างแจ่มแจ้งครบถ้วนทุกประการ อันมีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ จึงทรงปฏิญาณพระองค์ว่า เป็นสัมมาสัมพุทธะ

๒.

๒.๑

พระปัญจวัคคีย์ ได้ออกบวชตามพระมหาบุรุษเพราะมีความเชื่ออย่างไร ?


๒.๒

การได้บรรลุอริยผลของพระปัญจวัคคีย์  วันเดียวกันหรือต่างวันกัน ?

๒.

๒.๑

มีความเชื่อว่า พระมหาบุรุษจะได้ตรัสรู้อย่างแน่นอน จึงพร้อมใจกันออกบวชติดตามเฝ้าอย่างใกล้ชิด ด้วยหวังว่า พระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว

จักได้เทศนาโปรดตน


๒.๒

การบรรลุอริยผลชั้นต้นต่างวันกัน ส่วนการบรรลุอริยผลชั้นสูงสุด

วันเดียวกัน

๓.

๓.๑

บุคคลผู้ได้ชื่อว่า  อัปปรชักขชาติ  มีลักษณะอย่างไร ?


๓.๒

พระโกณฑัญญะ ได้นามเพิ่มข้างหน้าว่า พระอัญญาโกณฑัญญะ 

เพราะเหตุใด ?

๓.

๓.๑

มีกิเลสธุลีในปัญญาจักษุน้อยเป็นปกติ สามารถจะรู้ทั่วถึงธรรมได้โดยพลัน


๓.๒

เพราะพระพุทธองค์ทรงทราบว่า ดวงตาเห็นธรรมได้เกิดขึ้นแล้วแก่ท่าน

จึงทรงเปล่งอุทานว่า อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ อญฺญาสิ วต โภ 

โกณฺฑญฺโญ  โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ๆ อาศัยคำอุทานว่า อญฺญาสิ  อญฺญาสิ  ท่านจึงได้นามเพิ่มข้างหน้าว่า  อัญญาโกณฑัญญะ

๔.

๔.๑

พระศาสดาทรงแสดงอนุปุพพีกถา และอริยสัจ ๔ ตามลำดับ แก่บุคคลผู้มีคุณสมบัติเช่นไร ?


๔.๒

พระศาสดาประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาแก่พระยสกุลบุตรว่าอย่างไร ?

๔.

๔.๑

แก่ผู้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้คือ

           ๑) เป็นมนุษย์

           ๒) เป็นคฤหัสถ์

           ๓) มีอุปนิสัยแก่กล้า  ควรบรรลุโลกุตรคุณ


๔.๒

ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด

๕.

๕.๑

คำว่า  " บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม้ให้ขุ่น "   เปรียบด้วยปฏิปทาจริยาวัตร

ข้อใดของพระโมคคัลลานะ ?


๕.๒

เจ้าศากยะได้ทูลขอพระศาสดาให้บวชอุบาลีภูษามาลาก่อน เพราะเห็นประโยชน์อันใด ?

๕.

๕.๑

ข้อที่ท่านเป็นผู้ฉลาดในการแนะนำตระกูลที่ยังไม่เลื่อมใสให้เลื่อมใส  ไม่ทำศรัทธาและโภคทรัพย์ของเขาให้เสีย เปรียบเหมือนแมลงผึ้งบินเที่ยวไปในสวนดอกไม้ ไม่ทำสีและกลิ่นของดอกไม้ให้ช้ำ ถือเอาแต่รสบินไปฉะนั้น


๕.๒

เพราะเห็นประโยชน์ว่า จักได้ทำการกราบไหว้ ลุกรับ ประณมมือ  และทำกิจที่สมควรอื่น ๆ แก่พระอุบาลีซึ่งเดิมเป็นคนรับใช้ เมื่อเป็นเช่นนี้จักละมานะความถือตัวได้

๖.

๖.๑

ข้อความว่า " ขออย่าให้พระภิกษุทั้งหลายบวชบุตรที่บิดามารดายังไม่อนุญาตต่อไป " เป็นคำพูดของใคร ?  มีความเป็นมาอย่างไร ?


๖.๒

พระราหุลได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์  เพราะได้สดับธรรมอะไร ?

๖.

๖.๑

เป็นพระดำรัสของพระเจ้าสุทโธทนะ, มีความเป็นมาอย่างนี้ คือเมื่อ

พระนันทะพระโอรสทรงผนวช พระเจ้าสุทโธทนะทรงโทมนัสเป็น

อันมาก ครั้นราหุลกุมารบวชแล้ว สิ้นผู้ที่จะสืบพระวงศ์ ยิ่งทรงโทมนัสมากขึ้น ทรงปรารภถึงทุกข์อันนี้ที่จะพึงมีแก่มารดาบิดาในตระกูลอื่นในเวลาเมื่อบุตรออกบวช  จึงทูลขอพรนี้                          


๖.๒

เพราะได้สดับพระโอวาทซึ่งสั่งสอนในทางวิปัสสนาคล้ายกับโอวาทที่

ตรัสสอนพระปัญจวัคคีย์ต่างกันแต่ทรงยกอายตนะภายในภายนอก

เป็นต้นขึ้นแสดงแทนขันธ์  ๕  เท่านั้น

๗.

๗.๑

พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนคฤหัสถ์ด้วยวิธี ๔ สถานนั้น ได้แก่อะไรบ้าง ?


๗.๒

ในการสอนธรรมของพระพุทธองค์นั้น ทรงมีจุดมุ่งหมายอย่างไรบ้าง ?

๗.

๗.๑

ได้แก่      ๑) สันทัสสนา  ชี้ให้ชัด  ให้เห็นแจ่มแจ้งในสัมมาปฏิบัติ

           ๒) สมาทปนา  ชวนให้ปฏิบัติ  แสดงเหตุผลให้เห็นสมจริง

           ๓) สมุตเตชนา  ให้อาจหาญ  มีกำลังใจในสัมมาปฏิบัติ

           ๔) สัมปหังสนา  ให้ร่าเริง  แช่มชื่น  ในการปฏิบัติตามธรรม

               ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


๗.๒

อย่างนี้คือ ๑) เพื่อให้ผู้ฟังได้รู้เห็นในสิ่งที่ควรรู้ควรเห็น

            ๒) เพื่อให้ผู้ฟังใช้เหตุผลตรองตามจนเห็นจริง

            ๓) เพื่อให้ผู้ฟังนำไปปฏิบัติและได้รับผลของการปฏิบัติ

                ตามสมควรแก่การปฏิบัติของตน ๆ

๘.

๘.๑

จงแสดงใจความแห่งพระพุทธพจน์ที่ชี้ให้เห็นว่า พระอรหันต์ยังมีได้ตลอดเวลาที่บุคคลยังปฏิบัติชอบอยู่ ?


๘.๒

ในสมัยพุทธกาล พระสาวกองค์ใดได้รับการอุปสมบทด้วยญัตติจตุตถ-กรรมวาจาเป็นองค์แรก  และองค์ใดเป็นองค์สุดท้าย ?

๘.

๘.๑

ใจความแห่งพระพุทธพจน์ที่ตรัสก่อนปรินิพพานกับสุภัททปริพาชกว่า  " ดูก่อนสุภัททะ  ถ้าภิกษุทั้งหลาย  ยังเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ โลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ "


๘.๒

พระราธะเป็นองค์แรก  พระสุภัททะเป็นองค์สุดท้าย

๙.

๙.๑

ภิกษุณีผู้มีชื่อต่อไปนี้ได้รับเอตทัคคะในทางไหน ?

           ก. พระนางมหาปชาบดีโคตมี         

           ข. นางเขมาเถรี              

           ค. นางอุบลวัณณาเถรี          

           ง. นางปฏาจาราเถรี                   

           จ. นางธัมมทินนาเถรี


๙.๒

พระสงฆ์เถรวาทในเมืองไทยไม่สามารถบวชภิกษุณีได้เพราะเหตุไร ?

๙.

๙.๑

           ก. ได้รับเอตทัคคะในทางรัตตัญญู   

           ข. ได้รับเอตทัคคะในทางมีปัญญา

           ค. ได้รับเอตทัคคะในทางมีฤทธิ์                

           ง. ได้รับเอตทัคคะในทางทรงวินัย

           จ. ได้รับเอตทัคคะในทางธรรมกถึก


๙.๒

เพราะมีพระพุทธานุญาตว่า " ภิกษุณีต้องบวชจากภิกษุณีสงฆ์ก่อน  แล้วจึงบวชจากภิกษุสงฆ์อีกครั้งหนึ่ง " เวลานี้ภิกษุณีสงฆ์ไม่มีแล้ว  การที่จะบวชภิกษุณีจึงไม่สามารถทำได้

๑๐.

๑๐.๑

พระยาวัสวดีมาร ได้ทูลขอพระพุทธเจ้าให้เสด็จปรินิพพานกี่ครั้ง ?

ที่ไหนบ้าง ?


๑๐.๒

เมื่อคราวที่มารทูลขอให้ปรินิพพานครั้งแรก พระองค์ทรงตอบมารว่าอย่างไร ?

๑๐.

๑๐.๑

ได้ทูลขอพระพุทธเจ้าให้เสด็จปรินิพพาน ๒ ครั้งคือ

           ครั้งแรกที่ใต้ต้นอชปาลนิโครธ

           ครั้งที่สองที่ปาวาลเจดีย์


๑๐.๒

ทรงตอบมารว่า " ดูก่อนมารผู้ใจบาป เมื่อใดพุทธบริษัท ๔ เป็นผู้ฉลาด เป็นพหูสูตร สามารถดำรงพระธรรมวินัยสืบต่อศาสนาได้ สามารถแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์ ให้สำเร็จมรรค ผล นิพพาน และเผยแผ่ศาสนาไปได้อย่างกว้างขวางมั่นคง เมื่อนั้น ตถาคต

จึงจะปรินิพพาน "