หนังสือนักธรรมชั้นตรี,นักธรรมตรีpdf,นักธรรมตรี,สรุปนักธรรมตรี,ข้อสอบนักธรรมตรี,เก็งข้อสอบนักธรรมตรี
- หน้าแรก
- พุทธประวัติ
- ธรรมวิภาค
- เบญจศีล-เบญจธรรม
- แบบกระทู้ธรรมชั้นตรี
- แบบกระทู้ธรรมชั้นโท
- แบบกระทู้ธรรมชั้นเอก
- หมวด พุทธศาสนสุภาษิต
- อนุพุทธประวัติชั้นโท
- ดาวโหลดหนังสือธรรมศึกษาชั้นตรี โท เอก
- Download ข้อสอบนักธรรมและธรรมศึกษา ปี 2559-2563
- ประวัตินักธรรม-ธรรมศึกษา โดยสังเขป
- ขอบข่ายการเรียนการสอนธรรมศึกษา 2561
- ขอบข่ายธรรมศึกษา ระดับอุดมศึกษาและประชาชนทั่วไป
- ข้อสอบนักธรรมตรี-โท-เอก[ย้อนหลัง]
วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2564
พุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก 2543
ปัญหาและเฉลยพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓
วันศุกร์ ที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓
------------------------------
๑.
๑.๑
ลักษณะทั้ง ๒ ที่พระพุทธองค์ทรงเห็นในมัชฌิมยามแห่งราตรีตรัสรู้คือ อะไรบ้าง ?
๑.๒
พระอุทานที่พระพุทธองค์ทรงเปล่งในปัจฉิมยามมีความว่าอย่างไร ?
๑.
๑.๑
คือ
๑) ปัจจัตตลักษณะ ได้แก่การกำหนดโดยความเป็นกอง
๒) สามัญลักษณะ ได้แก่การกำหนดโดยความเป็นสภาพเสมอกัน
คือ ความเป็นของไม่เที่ยง
๑.๒
มีความว่า เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏชัดแก่พราหมณ์ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ พราหมณ์นั้นย่อมกำจัดเสนามาร คือ ชรา พยาธิ มรณะเสียได้ ดุจพระอาทิตย์อุทัยขึ้นกำจัดมืด ทำอากาศให้สว่างฉะนั้น
๒.
๒.๑
ที่สุดโต่งอันบรรพชิตไม่ควรเสพนั้นคืออะไรบ้าง ?
๒.๒
ที่สุดโต่งนั้นมีโทษอย่างไร ?
๒.
๒.๑
คือ
๑) กามสุขัลลิกานุโยค
๒) อัตตกิลมถานุโยค
๒.๒
มีโทษดังนี้
กามสุขัลลิกานุโยค คือการประกอบตนให้พัวพันด้วยสุขในกาม เป็นธรรมอันเลว เป็นเหตุตั้งบ้านเรือน เป็นของคนมีกิเลสหนา ไม่ใช่ของคนอริยะคือ ผู้บริสุทธิ์ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
อัตตกิลมถานุโยค คือการประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตนเปล่า ให้เกิดทุกข์แก่ผู้ประกอบ ไม่ทำผู้ประกอบให้เป็นอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
๓.
๓.๑
พระอัครสาวก ๒ รูปมีชื่อเรียกอะไรบ้าง ? เหตุไรจึงเรียกอย่างนั้น ?
๓.๒
พระอัสสชิแสดงธรรมแก่อุปติสสปริพาชกมีความว่าอย่างไร ? และมีผล อย่างไร?
๓.
๓.๑
มีชื่อเรียก อุปติสสะ หรือสารีบุตร ๑ เรียก โกลิตะ หรือ โมคคัลลานะ ๑ ที่เรียกว่า อุปติสสะ เพราะเรียกตามโคตร ที่เรียกว่า สารีบุตร เพราะเป็นบุตรของ นางสารีพราหมณี ส่วนที่เรียกว่า โกลิตะ เพราะเรียกตามโคตร ที่เรียกว่า โมคคัลลานะ เพราะเป็นบุตรของนางโมคคัลลานีพราหมณี
๓.๒
มีความว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุของธรรมนั้นและความดับแห่งธรรมนั้น พระศาสดาทรงสอนอย่างนี้ มีผล คือ อุปติสสปริพาชกได้ดวงตาเห็นธรรมว่า สิ่งใด สิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา
๔.
๔.๑
พระมหากัสสปเถระประพฤติธุดงควัตรเพราะเห็นอำนาจประโยชน์ อย่างไร ?
๔.๒
เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ท่านเป็นกำลังสำคัญแก่พระพุทธศาสนา อย่างไร ?
๔.
๔.๑
เพราะเห็นอำนาจประโยชน์ ๒ อย่างคือ
๑) การอยู่เป็นสุขในบัดนี้ของตน
๒) เพื่ออนุเคราะห์ประชุมชนในภายหลัง จะได้เป็นทิฏฐานุคติแห่ง
คนผู้มาเกิดในภายหลัง เมื่อทราบว่า สาวกของพระพุทธเจ้าได้
ประพฤติอย่างนี้ เขาจะได้ประพฤติตาม ซึ่งเป็นทางอำนวยสุขแก่
เขาเอง
๔.๒
ท่านได้เป็นประธานทำสังคายนาเป็นครั้งแรก
๕.
๕.๑
คำว่า “ภทฺเทกรตฺโต” ผู้มีราตรีเดียวอันเจริญ คือการปฏิบัติอย่างไร ?
๕.๒
พระสาวกรูปใดได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ฉลาดอธิบายความย่อให้พิสดาร ?
๕.
๕.๑
คือการปฏิบัติอย่างนี้ คือ เป็นผู้มีความเพียร ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน อยู่ด้วยความไม่ประมาท
๕.๒
พระมหากัจจายนะ
๖.
๖.๑
ปัญหาว่า “พระขีณาสพตายแล้วเป็นอะไร” ใครถามใคร ? มีคำตอบอย่างไร ?
๖.๒
พระศาสดาทรงพยากรณ์ปัญหาจบลงแล้ว มีผลอะไรเกิดแก่มาณพ
๑๖ คน ?
๖.
๖.๑
พระสารีบุตรถามพระยมกะ มีคำตอบว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่ไม่เที่ยง ดับไปแล้ว
๖.๒
มีผลคือ มาณพ ๑๕ คน เว้นปิงคิยมาณพ ส่งใจไปตามธรรมเทศนา มีจิตพ้นจากอาสวะไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน ส่วนปิงคิยมาณพเป็นแต่ได้ญาณเห็นในธรรม
๗.
๗.๑
พระปุณณมันตานีบุตรเป็นชาวเมืองไหน ? ตั้งอยู่ในคุณธรรมอะไรบ้าง ?
๗.๒
ใครถามว่า “ท่านประพฤติพรหมจรรย์เพื่ออะไร” ? ใครตอบ ? ตอบว่า อย่างไร ?
๗.
๗.๑
เป็นชาวเมืองกบิลพัสดุ์ ตั้งอยู่ในคุณธรรม ๑๐ ประการ คือ มักน้อย สันโดษ ชอบสงัด ไม่ชอบเกี่ยวข้องด้วยหมู่ ปรารภความเพียร บริบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ ความรู้เห็นในวิมุตติ
๗.๒
พระสารีบุตรเป็นผู้ถาม พระปุณณมันตานีบุตรเป็นผู้ตอบ และตอบว่า เราประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความดับไม่มีเชื้อ
๘.
๘.๑
เพราะเห็นอานิสงส์อะไร พระอานนท์จึงทูลขอพรข้อที่ ๘ ?
๘.๒
พระอุบาลีออกบวชพร้อมใครบ้าง ? ที่ไหน ? ท่านได้รับเอตทัคคะ
ทางไหน ?
๘.
๘.๑
เพราะเห็นอานิสงส์ว่าหากมีผู้มาถามว่า ธรรมนี้พระพุทธองค์ทรงแสดงในที่ใด ? ถ้าท่านตอบไม่ได้ เขาจะพูดได้ว่า ท่านตามเสด็จพระศาสดาตลอดกาลนาน ไม่รู้แม้แต่เรื่องเท่านี้
๘.๒
พระอุบาลีออกบวชพร้อมกับ พระภัททิยะ พระอนุรุทธะ พระอานันทะ พระภัคคุ พระกิมพิละ พระเทวทัต ที่อนุปิยนิคม ได้รับเอตทัคคะทางเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้ทรงวินัย
๙.
จงอธิบายข้อความต่อไปนี้
๙.๑
ทรงทำอายุสังขาราธิฏฐาน ๙.๒ ทรงปลงอายุสังขาร
๙.
๙.๑
ทรงทำอายุสังขาราธิฏฐาน หมายถึง ทรงตั้งพระหฤทัยจักอยู่แสดงธรรม สั่งสอนแก่มหาชน และตั้งพุทธปณิธานใคร่จะดำรงพระชนม์อยู่ จนกว่า พุทธบริษัทจะตั้งมั่นและได้ประกาศพระศาสนาให้แพร่หลาย ประดิษฐานให้มั่นคงถาวรสำเร็จประโยชน์แก่นิกรทุกหมู่เหล่า
๙.๒
ทรงปลงอายุสังขาร หมายถึง ทรงกำหนดวันปรินิพพานนับแต่วันเพ็ญเดือน ๓ ไปอีก ๓ เดือน คือปลงพระทัยว่าจะบำเพ็ญพุทธกิจต่อไปอีกไม่ได้แล้ว
๑๐.
๑๐.๑
เมื่อรวมเจดีย์ซึ่งแสดงไว้ในบาลี อรรถกถา และฎีกา มีเท่าไร ? อะไรบ้าง ?
๑๐.๒
อันตรธาน ๕ อย่าง อย่างไหนสำคัญกว่า ? เพราะเหตุไร
๑๐.
๑๐.๑
มี ๔ คือ ธาตุเจดีย์ ๑ บริโภคเจดีย์ ๑ ธรรมเจดีย์ ๑ อุทเทสิกเจดีย์ ๑
๑๐.๒
ปริยัติอันตรธานสำคัญกว่า เพราะปริยัติเสื่อมลงในกาลใด พระศาสนาย่อมเสื่อมถอยในกาลนั้น เมื่อปริยัติยังดำรงอยู่ตราบใด พระศาสนาก็ยังดำรงอยู่ตราบนั้น เพราะว่าปริยัติเป็นรากแก้วของพระศาสนา ปฏิบัติเป็นแก่น ปฏิเวธ เป็นผล เมื่อรากแก้วขาดแล้ว แก่นและผลก็พลอยหมดไปตามกัน
วิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก 2544
ปัญหาและเฉลยวิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก
สอบในสนามหลวง
วันอาทิตย์ ที่ ๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๔
๑.
๑.๑
อาสภิวาจาคือวาจาเช่นไร ? มีใจความว่าอย่างไร ?
๑.๒
พระพุทธองค์ทรงยืนยันพระองค์เองว่า เป็นสัมมาสัมพุทธะ เพราะทรงอาศัยเหตุอะไร ?
๑.
๑.๑
คือวาจาที่เปล่งอย่างองอาจ เป็นภาษิตของบุรุษพิเศษอาชาไนย
มีใจความว่า เราเป็นผู้เลิศ เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้ประเสริฐแห่งโลก
๑.๒
เพราะทรงอาศัยเหตุที่ตรัสรู้อริยสัจ ๔ อย่างแจ่มแจ้งครบถ้วนทุกประการ อันมีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ จึงทรงปฏิญาณพระองค์ว่า เป็นสัมมาสัมพุทธะ
๒.
๒.๑
พระปัญจวัคคีย์ ได้ออกบวชตามพระมหาบุรุษเพราะมีความเชื่ออย่างไร ?
๒.๒
การได้บรรลุอริยผลของพระปัญจวัคคีย์ วันเดียวกันหรือต่างวันกัน ?
๒.
๒.๑
มีความเชื่อว่า พระมหาบุรุษจะได้ตรัสรู้อย่างแน่นอน จึงพร้อมใจกันออกบวชติดตามเฝ้าอย่างใกล้ชิด ด้วยหวังว่า พระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว
จักได้เทศนาโปรดตน
๒.๒
การบรรลุอริยผลชั้นต้นต่างวันกัน ส่วนการบรรลุอริยผลชั้นสูงสุด
วันเดียวกัน
๓.
๓.๑
บุคคลผู้ได้ชื่อว่า อัปปรชักขชาติ มีลักษณะอย่างไร ?
๓.๒
พระโกณฑัญญะ ได้นามเพิ่มข้างหน้าว่า พระอัญญาโกณฑัญญะ
เพราะเหตุใด ?
๓.
๓.๑
มีกิเลสธุลีในปัญญาจักษุน้อยเป็นปกติ สามารถจะรู้ทั่วถึงธรรมได้โดยพลัน
๓.๒
เพราะพระพุทธองค์ทรงทราบว่า ดวงตาเห็นธรรมได้เกิดขึ้นแล้วแก่ท่าน
จึงทรงเปล่งอุทานว่า อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ อญฺญาสิ วต โภ
โกณฺฑญฺโญ โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ๆ อาศัยคำอุทานว่า อญฺญาสิ อญฺญาสิ ท่านจึงได้นามเพิ่มข้างหน้าว่า อัญญาโกณฑัญญะ
๔.
๔.๑
พระศาสดาทรงแสดงอนุปุพพีกถา และอริยสัจ ๔ ตามลำดับ แก่บุคคลผู้มีคุณสมบัติเช่นไร ?
๔.๒
พระศาสดาประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาแก่พระยสกุลบุตรว่าอย่างไร ?
๔.
๔.๑
แก่ผู้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้คือ
๑) เป็นมนุษย์
๒) เป็นคฤหัสถ์
๓) มีอุปนิสัยแก่กล้า ควรบรรลุโลกุตรคุณ
๔.๒
ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด
๕.
๕.๑
คำว่า " บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม้ให้ขุ่น " เปรียบด้วยปฏิปทาจริยาวัตร
ข้อใดของพระโมคคัลลานะ ?
๕.๒
เจ้าศากยะได้ทูลขอพระศาสดาให้บวชอุบาลีภูษามาลาก่อน เพราะเห็นประโยชน์อันใด ?
๕.
๕.๑
ข้อที่ท่านเป็นผู้ฉลาดในการแนะนำตระกูลที่ยังไม่เลื่อมใสให้เลื่อมใส ไม่ทำศรัทธาและโภคทรัพย์ของเขาให้เสีย เปรียบเหมือนแมลงผึ้งบินเที่ยวไปในสวนดอกไม้ ไม่ทำสีและกลิ่นของดอกไม้ให้ช้ำ ถือเอาแต่รสบินไปฉะนั้น
๕.๒
เพราะเห็นประโยชน์ว่า จักได้ทำการกราบไหว้ ลุกรับ ประณมมือ และทำกิจที่สมควรอื่น ๆ แก่พระอุบาลีซึ่งเดิมเป็นคนรับใช้ เมื่อเป็นเช่นนี้จักละมานะความถือตัวได้
๖.
๖.๑
ข้อความว่า " ขออย่าให้พระภิกษุทั้งหลายบวชบุตรที่บิดามารดายังไม่อนุญาตต่อไป " เป็นคำพูดของใคร ? มีความเป็นมาอย่างไร ?
๖.๒
พระราหุลได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เพราะได้สดับธรรมอะไร ?
๖.
๖.๑
เป็นพระดำรัสของพระเจ้าสุทโธทนะ, มีความเป็นมาอย่างนี้ คือเมื่อ
พระนันทะพระโอรสทรงผนวช พระเจ้าสุทโธทนะทรงโทมนัสเป็น
อันมาก ครั้นราหุลกุมารบวชแล้ว สิ้นผู้ที่จะสืบพระวงศ์ ยิ่งทรงโทมนัสมากขึ้น ทรงปรารภถึงทุกข์อันนี้ที่จะพึงมีแก่มารดาบิดาในตระกูลอื่นในเวลาเมื่อบุตรออกบวช จึงทูลขอพรนี้
๖.๒
เพราะได้สดับพระโอวาทซึ่งสั่งสอนในทางวิปัสสนาคล้ายกับโอวาทที่
ตรัสสอนพระปัญจวัคคีย์ต่างกันแต่ทรงยกอายตนะภายในภายนอก
เป็นต้นขึ้นแสดงแทนขันธ์ ๕ เท่านั้น
๗.
๗.๑
พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนคฤหัสถ์ด้วยวิธี ๔ สถานนั้น ได้แก่อะไรบ้าง ?
๗.๒
ในการสอนธรรมของพระพุทธองค์นั้น ทรงมีจุดมุ่งหมายอย่างไรบ้าง ?
๗.
๗.๑
ได้แก่ ๑) สันทัสสนา ชี้ให้ชัด ให้เห็นแจ่มแจ้งในสัมมาปฏิบัติ
๒) สมาทปนา ชวนให้ปฏิบัติ แสดงเหตุผลให้เห็นสมจริง
๓) สมุตเตชนา ให้อาจหาญ มีกำลังใจในสัมมาปฏิบัติ
๔) สัมปหังสนา ให้ร่าเริง แช่มชื่น ในการปฏิบัติตามธรรม
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
๗.๒
อย่างนี้คือ ๑) เพื่อให้ผู้ฟังได้รู้เห็นในสิ่งที่ควรรู้ควรเห็น
๒) เพื่อให้ผู้ฟังใช้เหตุผลตรองตามจนเห็นจริง
๓) เพื่อให้ผู้ฟังนำไปปฏิบัติและได้รับผลของการปฏิบัติ
ตามสมควรแก่การปฏิบัติของตน ๆ
๘.
๘.๑
จงแสดงใจความแห่งพระพุทธพจน์ที่ชี้ให้เห็นว่า พระอรหันต์ยังมีได้ตลอดเวลาที่บุคคลยังปฏิบัติชอบอยู่ ?
๘.๒
ในสมัยพุทธกาล พระสาวกองค์ใดได้รับการอุปสมบทด้วยญัตติจตุตถ-กรรมวาจาเป็นองค์แรก และองค์ใดเป็นองค์สุดท้าย ?
๘.
๘.๑
ใจความแห่งพระพุทธพจน์ที่ตรัสก่อนปรินิพพานกับสุภัททปริพาชกว่า " ดูก่อนสุภัททะ ถ้าภิกษุทั้งหลาย ยังเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ โลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ "
๘.๒
พระราธะเป็นองค์แรก พระสุภัททะเป็นองค์สุดท้าย
๙.
๙.๑
ภิกษุณีผู้มีชื่อต่อไปนี้ได้รับเอตทัคคะในทางไหน ?
ก. พระนางมหาปชาบดีโคตมี
ข. นางเขมาเถรี
ค. นางอุบลวัณณาเถรี
ง. นางปฏาจาราเถรี
จ. นางธัมมทินนาเถรี
๙.๒
พระสงฆ์เถรวาทในเมืองไทยไม่สามารถบวชภิกษุณีได้เพราะเหตุไร ?
๙.
๙.๑
ก. ได้รับเอตทัคคะในทางรัตตัญญู
ข. ได้รับเอตทัคคะในทางมีปัญญา
ค. ได้รับเอตทัคคะในทางมีฤทธิ์
ง. ได้รับเอตทัคคะในทางทรงวินัย
จ. ได้รับเอตทัคคะในทางธรรมกถึก
๙.๒
เพราะมีพระพุทธานุญาตว่า " ภิกษุณีต้องบวชจากภิกษุณีสงฆ์ก่อน แล้วจึงบวชจากภิกษุสงฆ์อีกครั้งหนึ่ง " เวลานี้ภิกษุณีสงฆ์ไม่มีแล้ว การที่จะบวชภิกษุณีจึงไม่สามารถทำได้
๑๐.
๑๐.๑
พระยาวัสวดีมาร ได้ทูลขอพระพุทธเจ้าให้เสด็จปรินิพพานกี่ครั้ง ?
ที่ไหนบ้าง ?
๑๐.๒
เมื่อคราวที่มารทูลขอให้ปรินิพพานครั้งแรก พระองค์ทรงตอบมารว่าอย่างไร ?
๑๐.
๑๐.๑
ได้ทูลขอพระพุทธเจ้าให้เสด็จปรินิพพาน ๒ ครั้งคือ
ครั้งแรกที่ใต้ต้นอชปาลนิโครธ
ครั้งที่สองที่ปาวาลเจดีย์
๑๐.๒
ทรงตอบมารว่า " ดูก่อนมารผู้ใจบาป เมื่อใดพุทธบริษัท ๔ เป็นผู้ฉลาด เป็นพหูสูตร สามารถดำรงพระธรรมวินัยสืบต่อศาสนาได้ สามารถแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์ ให้สำเร็จมรรค ผล นิพพาน และเผยแผ่ศาสนาไปได้อย่างกว้างขวางมั่นคง เมื่อนั้น ตถาคต
จึงจะปรินิพพาน "