แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ วิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท 2544 แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ วิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท 2544 แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

วิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท 2544

 วิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท 2544


ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ  นักธรรมชั้นโท

สอบในสนามหลวง

วันจันทร์ ที่  ๕  พฤศจิกายน  พ.ศ. ๒๕๔๔

๑.

๑.๑

พระวินัย  แบ่งออกเป็นกี่อย่าง ?  อะไรบ้าง ?


๑.๒

จะปฏิบัติพระวินัยอย่างไร  จึงจะเรียกได้ว่า  พอดีพองาม ?

๑.

๑.๑

แบ่งออกเป็น  ๒  อย่างคือ 

           อาทิพรหมจริยกาสิกขาบท ๑   อภิสมาจาร ๑


๑.๒

ต้องปฏิบัติพระวินัยโดยสายกลาง คือไม่ถือเคร่งครัดอย่างงมงาย

จนเป็นเหตุต้องทำตนให้เป็นคนลำบาก  เพราะเหตุธรรมเนียมเล็ก ๆ น้อย ๆ อันขัดต่อกาลเทศะ และไม่สะเพร่ามักง่าย ละเลยต่อ

ธรรมเนียมของภิกษุ จนถึงทำตนให้เป็นคนเลวทราม จึงจะเรียกได้ว่า  พอดีพองาม

๒.

๒.๑

ภิกษุผู้ไม่เอื้อเฟื้อในอภิสมาจารมีโทษอย่างไรบ้าง ?


๒.๒

ภิกษุเปลือยกายด้วยอาการอย่างไรบ้าง ที่เป็นเหตุให้ต้องอาบัติและ

ไม่ต้องอาบัติ ?

๒.

๒.๑

มีโทษปรับอาบัติถุลลัจจัยเป็นอย่างสูง  แต่มีน้อย  ส่วนมากปรับอาบัติทุกกฏเป็นพื้น


๒.๒

ถ้าเปลือยกายเป็นวัตรอย่างเดียรถีย์  ต้องอาบัติถุลลัจจัย 

ถ้าเปลือยกายทำกิจแก่กัน คือไหว้ รับไหว้ ทำบริกรรม ให้ของ รับของ 

เปลือยกายในเวลาฉันและดื่ม  ต้องอาบัติทุกกฏ 

แต่ในเรือนไฟและในน้ำ  ไม่ต้องอาบัติ

๓.

๓.๑

พระพุทธองค์ทรงอนุญาตผ้าสำหรับทำจีวรไว้กี่ชนิด ?  อะไรบ้าง ?


๓.๒

วัสสิกสาฎกได้แก่ผ้าเช่นไร ?  มีจำกัดประมาณ กว้าง ยาว ไว้อย่างไร ?

๓.

๓.๑

ทรงอนุญาตไว้  ๖  ชนิดคือ

           ๑) โขมะ  ผ้าทำด้วยเปลือกไม้

           ๒) กัปปาสิกะ  ผ้าทำด้วยฝ้าย

           ๓) โกเสยยะ  ผ้าทำด้วยไหม

           ๔) กัมพละ  ผ้าทำด้วยขนสัตว์

           ๕) สาณะ  ผ้าทำด้วยเปลือกป่าน

           ๖) ภังคะ  ผ้าทำด้วยของ ๕ อย่างนั้น แต่อย่างใดอย่างหนึ่งปนกัน


๓.๒

ได้แก่ผ้าอาบน้ำฝน มีจำกัดประมาณยาว ๖ คืบ  กว้าง ๒ คืบครึ่ง  แห่งคืบพระสุคต

๔.

๔.๑

อาจารย์ทางพระวินัยตามนัยอรรถกถามีเท่าไร ?  อะไรบ้าง ?


๔.๒

อาจารย์เหล่านั้นทำหน้าที่ต่างกันอย่างไร ?

๔.

๔.๑

มี  ๔  คือ 

           ปัพพชาจารย์ ๑  

           อุปสัมปทาจารย์ ๑  

           นิสสยาจารย์ ๑  

           อุทเทสาจารย์ ๑


๔.๒

ทำหน้าที่ต่างกัน  คือ

           ปัพพชาจารย์  ทำหน้าที่ให้สรณคมน์เมื่อบรรพชา

           อุปสัมปทาจารย์  ทำหน้าที่สวดกรรมวาจาเมื่ออุปสมบท

           นิสสยาจารย์  ทำหน้าที่ให้นิสัย

           อุทเทสาจารย์  ทำหน้าที่สอนธรรม


๕.

๕.๑

คำว่า  ถือนิสัย  หมายความว่าอะไร ?


๕.๒

จงเขียนคำขอนิสัยอาจารย์พร้อมทั้งคำแปล

๕.

๕.๑

หมายความว่า ยอมตนอยู่ในความปกครองของพระเถระผู้มีคุณสมบัติควรปกครองตนได้ ยอมตนให้ท่านปกครองพึ่งพิงพำนักอาศัยท่าน


๕.๒

คำขอนิสัยอาจารย์ว่าดังนี้  " อาจริโย  เม  ภนฺเต  โหหิ ,  อายสฺมโต  นิสฺสาย วจฺฉามิ " ซึ่งแปลว่า " ขอท่านจงเป็นอาจารย์ของข้าพเจ้า    ข้าพเจ้าจักอยู่อาศัยท่าน "

๖.

๖.๑

ภิกษุเช่นไร  ชื่อว่า  นวกะ  มัชฌิมะ  เถระ ?


๖.๒

วัตรอันภิกษุควรประพฤติในคำว่า  วตฺตสมฺปนฺโน  นั้นคืออะไรบ้าง ?

๖.

๖.๑

ภิกษุมีพรรษาไม่ถึง  ๕  เรียกว่า  นวกะ

ภิกษุมีพรรษาตั้งแต่  ๕  ขึ้นไป  แต่ยังไม่ถึง  ๑๐  เรียกว่า  มัชฌิมะ

ภิกษุมีพรรษาตั้งแต่  ๑๐  ขึ้นไป  เรียกว่า  เถระ


๖.๒

คือ        ๑) กิจวัตร  ว่าด้วยกิจอันควรทำ

           ๒) จริยาวัตร  ว่าด้วยมารยาทอันควรประพฤติ

           ๓) วิธิวัตร  ว่าด้วยแบบอย่าง

๗.

๗.๑

ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาไม่ขาดย่อมได้อานิสงส์เท่าไร ?  อะไรบ้าง ?


๗.๒

ภิกษุพึงประชุมกันสวดพระปาฏิโมกข์ในวันเช่นไรบ้าง ?

๗.

๗.๑

ได้อานิสงส์  ๕  คือ

           ๑) เที่ยวไปโดยไม่ต้องบอกลาตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรค

           ๒) เที่ยวจาริกไปไม่ต้องนำไตรจีวรไปครบสำรับ

           ๓) ฉันคณโภชน์  และปรัมปรโภชน์ได้

           ๔) เก็บอติเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา

           ๕) จีวรที่เกิดขึ้นในที่นั้น  จักเป็นของได้แก่พวกเธอ


๗.๒

ในวันพระจันทร์เพ็ญ (ดิถีขึ้น ๑๕ ค่ำ) วันพระจันทร์ดับ (ดิถีแรม ๑๕ ค่ำ หรือ ๑๔  ค่ำ)  และวันสามัคคี

๘.

๘.๑

ภิกษุจำพรรษา ๑ รูป ๒, ๓, ๔, ๕ รูป เมื่อถึงวันปวารณาพึงปฏิบัติอย่างไร ?


๘.๒

เหตุที่ทำให้เลื่อนปวารณาได้มีกี่อย่าง ?  อะไรบ้าง ?

๘.

๘.๑

พึงปฏิบัติอย่างนี้  ภิกษุ  ๑  รูป  พึงอธิษฐานเป็นการบุคคล, ภิกษุ ๒, ๓, ๔ รูป พึงทำคณะปวารณา, ภิกษุ ๕ รูปขึ้นไปพึงทำสังฆปวารณา


๘.๒

มี  ๒  อย่างคือ

           ๑) ภิกษุจะเข้ามาสมทบปวารณาด้วย ด้วยหมายจะคัดค้าน

                ผู้นั้นผู้นี้  ทำให้เกิดอธิกรณ์ขึ้น

           ๒) อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก  ปวารณาแล้วต่างจะจากกันจาริกไปเสีย

๙.

๙.๑

การทำนอกรีตนอกรอยของสมณะ เรียกว่าอะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?


๙.๒

จงบอกความหมายของแต่ละอย่างด้วย

๙.

๙.๑

เรียกว่า  อุปปถกิริยา,  มี  ๓  อย่างคือ 

           อนาจาร ๑  ปาปสมาจาร ๑   อเนสนา ๑


๙.๒

ความประพฤติไม่ดีไม่งาม และเล่นมีประการต่าง ๆ จัดเข้าในอนาจาร                       

ความประพฤติเลวทราม  จัดเข้าในปาปสมาจาร

ความเลี้ยงชีพไม่สมควร  จัดเข้าในอเนสนา

๑๐.

๑๐.๑

ลหุภัณฑ์ และครุภัณฑ์ที่เป็นของสงฆ์ คือของเช่นไร ? อย่างไหนแจกกันได้  และไม่ได้ ?


๑๐.๒

วินัยกรรม  กับสังฆกรรม  ต่างกันอย่างไร ?

๑๐.

๑๐.๑

ลหุภัณฑ์ คือของเบา มีบิณฑบาต เภสัช กับบริขารที่จะใช้สำหรับตัว  คือบาตร จีวร ประคดเอว  เข็ม  มีดพับ มีดโกน เป็นของที่แจกกันได้

ครุภัณฑ์ คือของหนัก ไม่ใช่ของสำหรับใช้สิ้นไป เป็นของควรรักษาไว้ได้นาน เป็นเครื่องใช้ในเสนาสนะ หรือเป็นตัวเสนาสนะเอง ตลอดถึงกุฎีและที่ดิน เป็นของที่แจกกันไม่ได้


๑๐.๒

ต่างกันอย่างนี้ กรรมที่ภิกษุแต่ละรูปหรือหลายรูปจะพึงกระทำตามพระวินัย เช่น การแสดงอาบัติ อธิษฐาน วิกัป เป็นต้น เรียกว่าวินัยกรรม

กรรมที่ภิกษุครบองค์สงฆ์จตุวรรคเป็นต้น พึงทำเป็นการสงฆ์ เช่น 

อปโลกนกรรม  ญัตติกรรม เป็นต้น  เรียกว่าสังฆกรรม