วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

วิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก 2562

 






ปัญหาและเฉลยวิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก สอบในสนามหลวง


วันศุกร์ ที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๒

    

๑.                 พระพุทธองค์ทรงยืนยันพระองค์เองว่า เป็นสัมมาสัมพุทธะ เพราะทรงอาศัยหตุอะไร?


ตอบ     เพราะทรงอาศัยเหตุที่ตรัสรู้อริยสัจ ๔ อันมีรอบมีอาการ๓ ๑๒อย่าง แจ่มแจ้งครบถ้วนทุกประการ จึงทรงปฏิญาณพระองค์ว่า เป็นสัมมาสัมพุทธะ ฯ


๒.                ข้ออุปมาว่า “ไม้แห้งที่วางไว้บนบก ไกลน้ำ สามารถสีให้เกิ

เกิดขึ้นแก่ใคร?โดยนำไปเปรียบกับอะไร?


ตอบ     แก่พระมหาบุรุษ คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฯ โดยทรงนำไปเปรียบกับสมณพราหมณ์ทั้งหลายว่า สมณพราหมณ์ บางพวกมีกายหลีกออกจากกาม ใจก็ละความรักใคร่ในกาม สงบดีแล้ว หากพากเพียรพยายามอย่างถูกต้องย่อมสามารถ ตรัสรู้ธรรมได้ ฯ

๓.                พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานจาตุรงคมหาปธานมีใจความว่า อย่างไร? และได้รับผลอย่างไร?

ตอบ     มีใจความว่า หากยังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้วจักไม่

แม้เนื้อและเลือดจะแห้งเหือดไป เหลือแต่หนัง เอ็น และกร

ก็ตามที ฯ

ได้รับผลคือ บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณสมดังพระหฤทัย ฯ


๔.                อนัตตลักขณสูตร และ อาทิตตปริยายสูตรวามโดยย่อมีใจค ว่าอย่างไร?


ตอบ     อนัตตลักขณสูตรมีใจความโดยย่อว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณซึ่งรวมเรียกว่าขันธ์ ๕ นี้ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตน อาทิตตปริยายสูตรมีใจความโดยย่อว่า อายตนะภายในายตนะ ภายนอก วิญญาณ สัมผัส และเวทนาที่เกิดแต่สัมผัส ของร้อน ร้อนเพราะไฟคือ ราคะ โทสะ โมหะ และร้อนเพราะ ความเกิด ความแก่ ความตาย ความโศกร่ำไรรำพันเจ็บกาย เสียใจ คับใจ ฯ


๕.                พระพุทธองค์ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาที่ไหนเป็นแห่งแร?

ทรงเห็นประโยชน์อะไรจึงทรงประดิษฐานณที่นั้น?

ตอบ     ที่กรุงราชคฤห์ ฯ


เพราะทรงเห็นว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่บริบูรณ์มั่งคั่ง แ เจ้าลัทธิมากถ้าได้โปรดคนเหล่านี้ให้เกิดความเลื่อมใสได้ล้ว การเผยแผ่พระพุทธศาสนาก็สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะศาสดา เจ้าลัทธิต่าง ๆ นั้นคนนับถือมากล้วนมีด้วยเหตุนี้จึงทรงเลือกเมือง เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนาเป็นแห่งแรก ฯ


๖.                 พระมหากัสสปเถระประพฤติธุดงควัตรเพราะเห็นอำนาจประโยชน์ อย่างไร?


ตอบ        เพราะเห็นอำนาจประโยชน์ ๒ อย่างคือ ๑. การอยู่เป็นสุขในบัดนี้ของตน


๒.  เพื่ออนุเคราะห์ประชุมชนในภายหลัง เป็นแบบจะได้ถือย่าง แห่งการปฏิบัติตามปฏิปทาของท่าน ฯ


๗.               พระพุทธพจน์ว่า “ภทฺเทกรตฺโต”ผู้มีราตรีเดียวอันเจริญ หมายถ การปฏิบัติย่างไร?พะสาวกรูปใดสามารถอธิบายพระพุทธพจน์นี้ ถูกต้องตามพุทธประสงค์?

ตอบ     หมายถึง เป็นผู้มีความเพียร ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคื

อยู่ด้วยความไม่ประมาท ฯ

พระมหากัจจายนะ ฯ


๘.                “ท่านประพฤติพรหมจรรย์เพื่ออะไร”ใครเป็นผู้ถาม ใครเป็นผู้ตอบ? และตอบว่าอย่างไร?


ตอบ     พระสารีบุตรเป็นผู้ถาม พระปุณณมันตานีบุตรเป็นผู้ตอบ ฯ ตอบว่า เราประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความดับไม่มีเชื้อ ฯ


๙.                พระสาวกสาวิกาต่อไปนี้ ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในทางใด?

๑.   พระมหาโมคคัลลานะ ๒. พระมหากัสสปะ



๓. พระอุบาลี ๔. พระนางมหาปชาบดีโคตมี ๕. พระนางเขมา


ตอบ         ๑. พระมหาโมคคัลลานะ เป็นผู้เลิศในทางมีฤทธิ์


๒.  พระมหากัสสปะ เป็นผู้เลิศในทางถือธุดงค์ ๓. พระอุบาลี เป็นผู้เลิศในทางทรงพระวินัย


๔. พระนางมหาปชาบดีโคตมี เป็นผู้เลิศในทางผู้รัตตัญญู ๕. พระนางเขมา เป็นผู้เลิศในทางปัญญา ฯ


๑๐.      ถูปารหบุคคล ได้แก่บุคคลเช่นไร?มีใครบ้าง?


ตอบ     ได้แก่ บุคคลผู้ควรแก่การบรรจฐิธาตุไว้ในสถูปเพื่อสักการบูชาอั ฯ มี ๑. พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า


๒.  พระปัจเจกพุทธเจ้า ๓. พระอรหันตสาวก ๔. พระเจ้าจักรพรรดิราช ฯ


ให้เวลา ๓ ชั่วโมง



วิชาพุทธานุพุทธประวัติ นธ.เอก

→ ปี 2564
→ ปี 2563

→ ปี 2562
→ ปี 2561
→ ปี 2560
→ ปี 2559
→ ปี 2558
→ ปี 2557
→ ปี 2556
→ ปี 2555
→ ปี 2554
→ ปี 2553
→ ปี 2552
→ ปี 2551
→ ปี 2550
→ ปี 2549
→ ปี 2548
→ ปี 2547
→ ปี 2546
→ ปี 2545
→ ปี 2544
→ ปี 2543

วิชาธรรม นักธรรมชั้นเอก 2543



ปัญหาและเฉลยธรรม  นักธรรมชั้นเอก

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓

วันพฤหัสบดี ที่  ๑๖  พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓

------------------------------

๑.

๑.๑

คำว่าโลก ในพระบาลีว่า “เอถ ปสฺสถิมํ โลกํ ฯปฯ”   หมายถึงอะไร ?


๑.๒

พระบรมศาสดาทรงชักชวนให้มาดูโลกนี้โดยมีพระประสงค์อย่างไร ?

๑.

๑.๑

คำว่า โลก โดยตรงหมายถึงแผ่นดินซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย  โดยอ้อมหมายถึง      หมู่สัตว์ผู้อยู่อาศัย


๑.๒

ทรงมีพระประสงค์ให้พิจารณาดูให้รู้จักของจริง เพราะในโลกที่กล่าวนี้ย่อมมีพร้อมมูลบริบูรณ์ด้วยสิ่งที่มีคุณและโทษ พระบรมศาสดาทรง    ชักชวนให้มาดูโลก เพื่อให้รู้จักสิ่งที่เป็นจริง จักได้ละสิ่งที่เป็นโทษไม่ข้องติดอยู่ในสิ่งที่เป็นคุณ

๒.

๒.๑

บุคคลเช่นไรชื่อว่าหมกอยู่ในโลก ?


๒.๒

ผู้หมกอยู่ในโลกได้รับผลอย่างไร ?

๒.

๒.๑

บุคคลผู้ไร้พิจารณา ไม่หยั่งเห็นโดยถ่องแท้ ย่อมเพลิดเพลินในสิ่งอัน    ให้โทษ  ย่อมระเริงจนเกินพอดีในสิ่งอันอาจให้โทษ ย่อมติดในสิ่งอันเป็นอุปการะ  ชื่อว่าหมกอยู่ในโลก


๒.๒

ย่อมได้เสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้าง อันสิ่งนั้น ๆ พึงอำนวย แม้สุขก็เป็นเพียง     สามิส คือ มีเหยื่อเจือด้วยของล่อใจ เป็นเหตุแห่งความติด ดุจเหยื่อคือมังสะอันเบ็ดเกี่ยวไว้

๓.

๓.๑

นิพพิทาคืออะไร ?


๓.๒

ปฏิปทาเครื่องดำเนินให้ถึงนิพพิทานั้นอย่างไร ?

๓.

๓.๑

นิพพิทา คือความหน่ายในทุกข์


๓.๒

อย่างนี้คือ พิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง     เป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ย่อมเกิดนิพพิทา เบื่อหน่ายใน ทุกขขันธ์ ไม่เพลิดเพลินยึดมั่นหมกมุ่นอยู่ในสังขารอันยั่วยวนเสน่หา

๔.

๔.๑

สังขาร ในอธิบายแห่งปฏิปทาของนิพพิทานั้น ได้แก่อะไร ?


๔.๒

จะพึงกำหนดรู้สังขารนั้นโดยความเป็นอนัตตาด้วยอาการอย่างไร ?


๔.

๔.๑

ได้แก่ สภาพอันธรรมดาแต่งขึ้น โดยตรงได้แก่เบญจขันธ์ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันธรรมดาคุมกันเข้าเป็นกายกับใจ


๔.๒

ด้วยอาการอย่างนี้ คือ

     ๑) ด้วยไม่อยู่ในอำนาจ หรือด้วยฝืนความปรารถนา

     ๒) ด้วยแย้งต่ออัตตา

     ๓) ด้วยความเป็นสภาพหาเจ้าของมิได้

     ๔) ด้วยความเป็นสภาพสูญ คือว่าง หรือหายไป

     ๕) ด้วยความเป็นสภาวธรรมเป็นไปตามเหตุปัจจัย

๕.

๕.๑

วิปากทุกข์ได้แก่ทุกข์อย่างไร ?


๕.๒

อิฏฐารมณ์ จัดเป็นทุกข์ด้วยหรือไม่ ?  ถ้าจัดได้ จัดเข้าในทุกข์หมวดไหน ?

๕.

๕.๑

ได้แก่ วิปฏิสารคือความร้อนใจ การเสวยกรรมกรณ์คือถูกลงอาชญา

ความฉิบหาย ความตกยาก และความตกอบาย


๕.๒

อิฏฐารมณ์ จัดเป็นทุกข์ด้วยเหมือนกัน จัดเข้าในหมวดสหคตทุกข์ ทุกข์ไปด้วยกัน

๖.

๖.๑

สมถภาวนา เป็นอุบายสงบระงับจิตอย่างไร ?


๖.๒

คนที่มีจิตมักลืมหลง สติไม่มั่นคง ควรเจริญกัมมัฏฐานบทใด ?

๖.

๖.๑

สมถภาวนา เป็นอุบายเครื่องสำรวมปิดกั้นนีวรณูปกิเลส มิให้เกิด    ครอบงำ  จิตสันดานได้ ดังบุคคลปิดทำนบกั้นน้ำไว้มิให้ไหลไปได้ฉะนั้น และเป็นอุบายข่มขี่สะกดจิตไว้มิให้ดิ้นรนฟุ้งซ่านได้ ดังนายสารถีฝึกม้าให้เรียบร้อย ควรเป็นราชพาหนะได้ฉะนั้น


๖.๒

ควรเจริญอานาปานัสสติ  เพราะอานาปานัสสติกัมมัฏฐานนี้เป็นที่สบายของคนที่เป็นโมหจริต

๗.

๗.๑

สันติแปลว่าอะไร ?  มีปฏิปทาที่จะดำเนินอย่างไร ?


๗.๒

สันติเป็นโลกิยะ หรือโลกุตตระ ?

๗.

๗.๑

สันติ แปลว่า ความสงบ มีปฏิปทาที่จะดำเนินคือ ปฏิบัติสงบกาย    วาจา ใจ จากโทษเวรภัย ละโลกามิส คือเบญจพิธกามคุณ ๕ มีสันติเป็นวิหารธรรม


๗.๒

สันติเป็นได้ทั้งโลกิยะ และโลกุตตระ

๘.

๘.๑

ผู้จะเจริญกายคตาสติกัมมัฏฐานพึงกำหนดอะไร ?


๘.๒

เพราะเหตุใด ตจปัญจกกัมมัฏฐาน ท่านจึงเรียกว่า มูลกัมมัฏฐาน ?

๘.

๘.๑

พึงกำหนดพิจารณากายเป็นที่ประชุมแห่งส่วนน่าเกลียดข้างบนตั้งแต่พื้นเท้าขึ้นมา ข้างล่างตั้งแต่ปลายผมลงไป มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ ให้เห็นว่าเต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่าง ๆ


๘.๒

ที่เรียกว่ามูลกัมมัฏฐานนั้น เพราะเป็นกัมมัฏฐานเดิมที่กุลบุตรผู้มาบรรพชา ย่อมได้รับสอนกัมมัฏฐานนี้ไว้ก่อนจากพระอุปัชฌาย์ เหมือนดังได้รับมอบศัสตราวุธไว้สำหรับต่อสู้กับข้าศึก คือกามฉันท์ อันจะทำอันตรายแก่พรหมจรรย์

๙.

๙.๑

เจริญมรณัสสติอย่างไรจึงจะแยบคาย ?


๙.๒

อะไรเป็นลักษณะของวิปัสสนาภาวนา ?

๙.

๙.๑

เจริญพร้อมด้วยองค์ ๓ คือ สติ ระลึกถึงความตาย ๑  ญาณ รู้ว่าความตายจักมีแก่ตน ๑  เกิดสังเวชสลดใจ ๑  เจริญอย่างนี้ จึงจะแยบคาย


๙.๒

ความกำหนดรู้ว่า สังขารเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา เป็นลักษณะของวิปัสสนาภาวนา

๑๐.

๑๐.๑

สมถะ กับ วิปัสสนา ให้ผลต่างกันอย่างไร ?


๑๐.๒

เมื่อจะเจริญกัมมัฏฐานพึงปฏิบัติอย่างไร ?

๑๐.

๑๐.๑

ให้ผลต่างกันดังนี้

สมถะ ให้ผลอย่างต่ำ ทำให้ระงับนิวรณ์บางอย่างได้ อย่างสูง ทำให้    เข้าถึงฌานต่าง ๆ ได้  ส่วนวิปัสสนา ให้ผลอย่างต่ำ ทำให้ได้ปัญญาเห็นสัจจธรรม อย่างสูงทำให้ได้บรรลุอริยผล พ้นจากสังสารทุกข์


๑๐.๒

พึงปฏิบัติอย่างนี้ ในชั้นต้นพึงศึกษาให้รู้ว่า กัมมัฏฐานชนิดไหนชั้นใด    ในกัมมัฏฐานนั้น ๆ มีความมุ่งหมายเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร ในที่นี้ควรศึกษาให้รู้กัมมัฏฐาน ๒ อย่างคือ

      ๑) สมถกัมมัฏฐาน             

      ๒) วิปัสสนากัมมัฏฐาน