มุสาวาทวรรคที่ ๑ มี ๑๐ สิกขาบท
๑.พูดปด
ต้องปาจิตตีย์.
๒.ด่าภิกษุ
ต้องปาจิตตีย์.
๓.ส่อเสียดภิกษุ
ต้องปาจิตตีย์.
๔.ภิกษุสอนธรรมแก่อนุปสัมบัน
ถ้าว่าพร้อมกัน ต้องปาจิตตีย์.
๕.ภิกษุนอนในที่มุงที่บังอันเดียวกันกับอนุปสัมบัน
เกิน ๓ คืน ขึ้นไป ต้องปาจิตตีย์.
๖.ภิกษุนอนในที่มุงที่บังอันเดียวกับผู้หญิง
แม้ในคืนแรก ต้องปาจิตตีย์.
๗.ภิกษุแสดงธรรมแก่ผู้หญิง
เกินกว่า ๖ คำขึ้นไป ต้องปาจิตตีย์. [๑]
๘.ภิกษุบอกอุตตริมนุสสธรรมที่มีจริง
แก่อนุปสัมบัน ต้องปาจิตตีย์.
๙.ภิกษุบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่นแก่อนุปสัมบัน
ต้องปาจิตตีย์. [๒]
๑๐.ภิกษุขุดเองก็ดี
ใช้ให้ผู้อื่นขุดก็ดี ซึ่งแผ่นดิน ต้องปาจิตตีย์
*****๑.
เว้นไว้แต่มีบุรุษผู้รู้เดียงสาอยู่ด้วย ๒.เว้นไว้แต่ได้สมมติ
ภูตคามวรรคที่ ๒ มี ๑๐ สิกขาบท
๑.ภิกษุพรากของเขียวเกิดอยู่กับที่
ให้หลุดจากที่ ต้องปาจิตตีย์.
๒.ภิกษุประพฤติอนาจาร
สงฆ์เรียกตัวมาถาม แกล้งพูดกลบเกลื่อนก็ดี นิ่งเสียไม่พูดก็ดี
ถ้าสงฆ์สวดประกาศข้อความนั้นจบ ต้องปาจิตตีย์.
๓.ภิกษุติเตียนภิกษุอื่นที่สงฆ์สมมติให้เป็นผู้ทำการสงฆ์
ถ้าเธอทำโดยชอบ ติเตียนเปล่า ๆ ต้องปาจิตตีย์.
๔.ภิกษุเอาเตียง
ตั่ง ฟูก เก้าอี้ ของสงฆ์ไปตั้งในที่แจ้งแล้ว เมื่อหลีกไปจากที่นั้น
ไม่เก็บเองก็ดี ไม่ใช่ให้ผู้อื่นเก็บก็ดี ไม่มอบหมายแก่ผู้อื่นก็ดี ต้องปาจิตตีย์.
๕.ภิกษุเอาที่นอนของสงฆ์ปูนอนกุฎีสงฆ์แล้ว
เมื่อหลีกไปจากที่นั้น ไม่เก็บเองก็ดี ไม่ใช่ให้ผู้อื่นเก็บก็ดี
ไม่มอบหมายแก่ผู้อื่นก็ดี ต้องปาจิตตีย์.
๖.ภิกษุรู้อยู่ว่า
กุฎีนี้มีผู้อยู่ก่อน แกล้งไปนอนเบียด ด้วยหวังจะให้ผู้อยู่ก่อนคบแคบใจเข้าก็จะหลีกไปเอง
ต้องปาจิตตีย์.
๗.ภิกษุโกรธเคืองภิกษุอื่น
ฉุดคร่าไล่ออกจากกุฎีสงฆ์ ต้องปาจิตตีย์.
๘.ภิกษุนั่งทับก็ดี
นอนทับก็ดี บนเตียงก็ดี บนตั่งก็ดี อันมีเท้าไม่ได้ตรึงให้แน่น
ซึ่งเขาวางไว้บนร่างร้านที่เขาเก็บของในกุฎี ต้องปาจิตตีย์.
๙.ภิกษุจะเอาดินหรือปูนโบกหลังคากุฎี
พึงโบกได้แต่เพียง ๓ ชั้น ถ้าโบกเกินกว่านั้น ต้องปาจิตตีย์.
๑๐.ภิกษุรู้อยู่ว่า
น้ำมีตัวสัตว์ เอารดหญ้าหรือดิน ต้องปาจิตตีย์
โอวาทวรรคที่ ๓ มี ๑๐ สิกขาบท
๑.ภิกษุที่สงฆ์ไม่ได้สมมติ
สั่งสอนนางภิกษุณี ต้องปาจิตตีย์.
๒.แม้ภิกษุที่สงฆ์สมมติแล้ว
ตั้งแต่อาทิตย์ตกแล้วไป สอนนางภิกษุณี ต้องปาจิตตีย์.
๓.ภิกษุข้าไปสอนนางภิกษุณีถึงในที่อยู่
ต้องปาจิตตีย์. เว้นไว้แต่นางภิกษุณีเจ็บ.
๔.ภิกษุติเตียนภิกษุอื่นว่า
สอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแก่ลาภ ต้องปาจิตตีย์.
๕.ภิกษุให้จีวรแก่นางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติ
ต้องปาจิตตีย์. เว้นไว้แต่แลกเปลี่ยนกัน.
๖.ภิกษุเย็บจีวรของนางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติก็ดี
ใช้ให้ผู้อื่นเย็บก็ดี ต้องปาจิตตีย์.
๗.ภิกษุชวนนางภิกษุณีเดินทางด้วยกัน
แม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง ต้องปาจิตตีย์. เว้นไว้แต่ทางเปลี่ยว.
๘.ภิกษุชวนนางภิกษุณีลงเรือลำเดียวกัน
ขึ้นน้ำก็ดี ล่องน้ำก็ดี ต้องปาจิตตีย์. เว้นไว้แต่ข้ามฟาก.
๙.ภิกษุรู้อยู่ฉันของเคี้ยวของฉัน
ที่นางภิกษุณีบังคับให้คฤหัสถ์เขาถวาย ต้องปาจิตตีย์.
เว้นไว้แต่คฤหัสถ์เขาเริ่มไว้ก่อน.
๑๐.ภิกษุนั่งก็ดี
นอนก็ดี ในที่ลับสองต่อสอง กับนางภิกษุณี ต้องปาจิตตีย์
โภชนวรรคที่ ๔ มี ๑๐ สิกขาบท
๑.อาหารในโรงทานที่ทั่วไปไม่นิยมบุคคล
ภิกษุไม่เจ็บไข้ ฉันได้แต่เฉเพาะวันเดียวแล้ว ต้องหยุดเสียในระหว่าง
ต่อไปจึงฉันได้อีก ถ้าฉันติด ๆ กันตั้งแต่สองวันขึ้นไป ต้องปาจิตตีย์.
๒.ถ้าทายกเขามานิมนต์
ออกชื่อโภชนะทั้ง ๕ อย่าง คือ ข้าวสุก ขนมสด ขนมแห้ง ปลา เนื้อ อย่างใดอย่างหนึ่ง
ถ้าไปรับของนั้นมาหรือฉันของนั้นพร้อมกันตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ต้องปาจิตตีย์
เว้นไว้แต่สมัย คือ เป็นไข้อย่าง ๑ หน้าจีวรกาลอย่าง ๑ เวลาทำจีวรอย่าง ๑
เดินทางไกลอย่าง ๑ ไปทางเรืออย่าง ๑ อยู่มากด้วยกันบิณฑบาตไม่พอฉันอย่าง ๑
โภชนะเป็นของสมณะอย่าง ๑.
๓.ภิกษุรับนิมนต์แห่งหนึ่ง
ด้วยโภชนะทั้ง ๕ อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ไม่ไปฉันในที่นิมนต์นั้น ไปฉันเสียที่อื่น
ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่ยกส่วนที่รับนิมนต์ไว้ก่อนนั้นให้แก่ภิกษุอื่นเสีย
หรือหน้าจีวรกาลและเวลาทำจีวร.
๕.ภิกษุฉันค้างอยู่
มีผู้เอาโภชนะทั้ง ๕ อย่างใดอย่างหนึ่งเข้า มาประเคน ห้ามเสียแล้ว
ลุกจากที่นั่งนั้นแล้ว ฉันของเคี้ยวของฉันซึ่งไม่เป็นเดนภิกษุไข้
หรือไม่ได้ทำวินัยกรรม ต้องปาจิตตีย์.
๖.ภิกษุรู้อยู่ว่า
ภิกษุอื่นห้ามข้าวแล้ว [ตามสิกขาบทหลัง] คิดจะยกโทษเธอ
แกล้งเอาของเคี้ยวของฉันที่ไม่เป็นเดนภิกษุไข้ ไปล่อให้เธอฉัน ถ้าเธอฉันแล้ว
ต้องปาจิตตีย์.
๗.ภิกษุฉันของเคี้ยวของฉันที่เป็นอาหารในเวลาวิกาล
คือตั้งแต่เที่ยงแล้วไปจนถึงวันใหม่ ต้องปาจิตตีย์.
๘.ภิกษุฉันของเคี้ยวของฉันที่เป็นอาหารซึ่งรับประเคนไว้ค้างคืน
ต้องปาจิตตีย์.
๙.ภิกษุขอโภชนะอันประณีต
คือ ข้าวสุก ระคนด้วยเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ปลา เนื้อ นมสด นมส้ม
ต่อคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ปวารณา เอามาฉัน ต้องปาจิตตีย์.
๑๐.ภิกษุกลืนกินอาหารที่ไม่มีผู้ให้
คือยังไม่ได้รับประเคน ให้ล่วงทวารปากเข้าไป ต้องปาจิตตีย์.
เว้นไว้แต่น้ำและไม้สีฟัน.
อเจลกวรรคที่ ๕ มี ๑๐ สิกขาบท
๑.ภิกษุให้ของเคี้ยวของฉัน
แก่นักบวชนอกศาสนา ด้วยมือตน ต้องปาจิตตีย์.
๒.ภิกษุชวนภิกษุอื่นไปเที่ยวบิณฑบาตด้วยกัน
หวังจะประพฤติอนาจาร ไล่เธอกลับมาเสีย ต้องปาจิตตีย์.
๓.ภิกษุสำเร็จการนั่งแทรกแซง
ในสกุลที่กำลังบริโภคอาหารอยู่ ต้องปาจิตตีย์.
๔.ภิกษุนั่งอยู่ในห้องกับผู้หญิง
ไม่มีผู้ชายอยู่เป็นเพื่อน ต้องปาจิตตีย์.
๕.ภิกษุนั่งในที่แจ้งกับผู้หญิงสองต่อสอง
ต้องปาจิตตีย์.
๖.ภิกษุรับนิมนต์ด้วยโภชนะทั้ง
๕ แล้ว จะไปในที่อื่นจากที่นิมนต์นั้น ในเวลาก่อนฉันก็ดี ฉันกลับมาแล้วก็ดี
ต้องลาภิกษุที่มีอยู่ในวัดก่อนฉันก็ดี ถ้าไม่ลาก่อนเที่ยวไป ต้องปาจิตตีย์
เว้นไว้แต่สมัย คือจีวรกาล และเวลาทำจีวร
๗.ถ้าเขาปวารณาด้วยปัจจัยสี่เพียง
๔ เดือน พึงขอเขาได้เพียงกำหนดนั้นเท่านั้น ถ้าของให้เกินกว่ากำหนดนั้นไป
ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่เขาปวารณาอีก หรือปวารณาเป็นนิตย์.
๘.ภิกษุไปดูกระบวนทัพที่เขายกไปเพื่อจะรบกัน
ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่มีเหตุ.
๙.ถ้าเหตุที่ต้องไปมีอยู่
พึงไปอยู่ได้ในกองทัพเพียง ๓ วัน ถ้าอยู่ให้เกินกว่ากำหนดนั้น ต้องปาจิตตีย์
๑๐.ในเวลาที่อยู่ในกองทัพตามกำหนดนั้น
ถ้าไปดูเขารบกันก็ดีหรือดูเขาตรวจพลก็ดี ดูเขาจัดกระบวนทัพก็ดี ดูหมู่เสนาที่จัดเป็นกระบวนแล้วก็ดี
ต้องปาจิตตีย์.
สุราปานวรรคที่ ๖ มี ๑๐ สิกขาบท
๑.ภิกษุดื่มน้ำเมา
ต้องปาจิตตีย์.
๒.ภิกษุจี้ภิกษุ
ต้องปาจิตตีย์.
๓.ภิกษุว่ายน้ำเล่น
ต้องปาจิตตีย์.
๕.ภิกษุหลอนภิกษุให้กลัวผี
ต้องปาจิตตีย์.
๖.ภิกษุไม่เป็นไข้
ติดไฟให้เป็นเปลวเองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นติดก็ดีเพื่อจะผิง ต้องปาจิตตีย์.
ติดเพื่อเหตุอื่น ไม่เป็นอาบัติ.
๗.ภิกษุอยู่ในมัชฌิมประเทศ
คือ จังหวัดกลางแห่งประเทศอินเดีย ๑๕ วัน จึงอาบน้ำได้หนหนึ่ง ถ้ายังไม่ถึง ๑๕
วันอาบน้ำ ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่มีเหตุจำเป็น. ในปัจจันตประเทศ เช่นประเทศเราอาบน้ำได้เป็นนิตย์
ไม่เป็นอาบัติ.
๘.ภิกษุได้จีวรใหม่มา
ต้องพินทุด้วยสี ๓ อย่าง คือ เขียวคราม โคลน ดำคล้ำ อย่างใดอย่างหนึ่งก่อน
จึงนุ่งห่มได้ ถ้าไม่ทำพินทุก่อนแล้วนุ่งห่ม ต้องปาจิตตีย์.
๙.ภิกษุวิกัปจีวรแก่ภิกษุหรือสามเณรแล้ว
ผู้รับยังไม่ได้ถอนนุ่งห่มจีวรนั้น ต้องปาจิตตีย์.
๑๐.ภิกษุซ่อนบริขาร
คือ บาตร จีวร ผ้าปูนั่ง กล่องเข็ม ประคดเอว สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ของภิกษุอื่น
ด้วยคิดว่าจะล้อเล่น ต้องปาจิตตีย์.
สัปปาณวรรคที่ ๗ มี ๑๐ สิกขาบท
๑.ภิกษุแกล้งฆ่าสัตว์ดิรัจฉาน
ต้องปาจิตตีย์.
๒.ภิกษุรู้อยู่ว่า
น้ำมีตัวสัตว์ บริโภคน้ำนั้น ต้องปาจิตตีย์.
๓.ภิกษุรู้อยู่ว่า
อธิกรณ์นี้สงฆ์ทำแล้วโดยชอบ เลิกถอนเสียกลับทำใหม่ ต้องปาจิตตีย์.
๔.ภิกษุรู้อยู่
แกล้งปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น ต้องปาจิตตีย์.
๕.ภิกษุรู้อยู่
เป็นอุปัชฌายะอุปสมบทกุลบุตรผู้มีอายุหย่อนกว่า ๒๐ ปี ต้องปาจิตตีย์.
๖.ภิกษุรู้อยู่
ชวนพ่อค้าผู้ซ่อนภาษีเดินทางด้วยกัน แม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง ต้องปาจิตตีย์.
๗.ภิกษุชวนผู้หญิงเดินทางด้วยกัน
แม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง ต้องปาจิตตีย์.
๘.ภิกษุกล่าวคัดค้านธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า
ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดประกาศข้อความนั้นจบ ต้องปาจิตตีย์
๙.ภิกษุคบภิกษุเช่นนั้น
คือ ร่วมกินก็ดี ร่วมอุโบสถสังฆกรรมก็ดี ร่วมนอนก็ดี ต้องปาจิตตีย์.
๑๐.ภิกษุเกลี้ยกล่อมสามเณรที่ภิกษุอื่นให้ฉิบหายแล้ว
เพราะโทษที่กล่าวคัดค้านธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า ให้เป็นอุปัฏฐากก็ดี ร่วมกินก็ดี
ร่วมนอนก็ดี ต้องปาจิตตีย์
สหธรรมิกวรรคที่ ๘ มี ๑๒ สิกขาบท
๑.ภิกษุประพฤติอนาจาร
ภิกษุอื่นตักเตือน พูดผัดเพี้ยนว่า ยังไม่ได้ถามท่านผู้รู้ก่อน
ข้าพเจ้าจักไม่ศึกษาในสิกขาบทนี้ ต้องปาจิตตีย์.ธรรมดาภิกษุผู้ศึกษา
ยังไม่รู้สิ่งใด ควรจะรู้สิ่งนั้น ควรไต่ถามไล่เลียงท่านผู้รู้.
๒.ภิกษุอื่นท่องปาติโมกข์อยู่
ภิกษุแกล้งพูดให้เธอคลายอุตสาหะ ต้องปาจิตตีย์.
๓.ภิกษุต้องอาบัติแล้วแกล้งพูดว่า
ข้าพเจ้าพึ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าข้อนี้มาในพระปาติโมกข์ ถ้าภิกษุอื่นรู้อยู่ว่า
เธอเคยรู้มาก่อนแล้วแต่แกล้งพูดกันเขาว่า พึงสวดประกาศความข้อนั้น
เมื่อสงฆ์สวดประกาศแล้ว แกล้งทำไม่รู้อีก ต้องปาจิตตีย์.
๔.ภิกษุโกรธ
ให้ประหารแก่ภิกษุอื่น ต้องปาจิตตีย์.
๕.ภิกษุโกรธ
เงื้อมือดุจให้ประหารแก่ภิกษุอื่น ต้องปาจิตตีย์.
๖.ภิกษุโจทก์ฟ้องภิกษุอื่น
ด้วยอาบัติสังฆาทิเสสไม่มีมูล ต้องปาจิตตีย์.
๗.ภิกษุแกล้งก่อความรำคาญให้เกิดแก่ภิกษุอื่น
ต้องปาจิตตีย์.
๘.เมื่อภิกษุวิวาทกันอยู่
ภิกษุไปแอบฟังความ เพื่อจะได้รู้ว่าเขาว่าอะไรตนหรือพวกของตน ต้องปาจิตตีย์.
๙.ภิกษุให้ฉันทะ
คือความยอมให้ทำสังฆกรรมที่เป็นธรรมแล้ว ภายหลังกลับติเตียนสงฆ์ผู้ทำกรรมนั้น
ต้องปาจิตตีย์.
๑๐.เมื่อสงฆ์กำลังประชุมกันตัดสินข้อความข้อหนึ่ง
ภิกษุรูปใดอยู่ในที่ประชุมนั้น จะหลีกไปในขณะที่ตัดสินข้อนั้นยังไม่เสร็จ
ไม่ให้ฉันทะก่อนลุกไปเสีย ต้องปาจิตตีย์.
๑๑.ภิกษุพร้อมกับสงฆ์ให้จีวรเป็นบำเหน็จ
แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งแล้ว ภายหลังกลับติเตียนภิกษุอื่นว่า ให้เพราะเห็นแก่หน้ากัน
ต้องปาจิตตีย์.
๑๒.ภิกษุรู้อยู่
น้อมลาภที่ทายกเขาตั้งใจจะถวายสงฆ์มาเพื่อบุคคล ต้องปาจิตตีย์.
รัตนวรรคที่ ๙ มี ๑๐ สิกขาบท
๑.ภิกษุไม่ได้รับอนุญาตก่อน
เข้าไปในห้องที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จอยู่กับพระมเหสี ต้องปาจิตตีย์.
๒.ภิกษุเห็นเครื่องบริโภคของคฤหัสถ์ตกอยู่
ถือเอาเป็นของเก็บได้เองก็ดี ให้ผู้อื่นถือเอาก็ดี ต้องปาจิตตีย์.
เว้นไว้แต่ของนั้นตกอยู่ในวัด หรือในที่อาศัย ต้องเก็บไว้ให้แก่เจ้าของ ถ้าไม่เก็บ
ต้องทุกกฎ.
๓.ภิกษุไม่บอกลาภิกษุอื่นที่มีอยู่ในวัดก่อน
เข้าไปบ้านในเวลาวิกาล ต้องปาจิตตีย์. เว้นไว้แต่การด่วน.
๔.ภิกษุทำกล่องเข็ม
ด้วยกระดูกก็ดี ด้วยงาก็ดี ด้วยเขาก็ดี ต้องปาจิตตีย์. ต้องต่อยกล่องนั้นเสียก่อน
จึงแสดงอาบัติตก.
๕.ภิกษุทำเตียงหรือตั่ง
พึงทำให้มีเท้าเพียง ๘ นิ้วพระสุคต เว้นไว้แต่แม่แคร่ ถ้าทำให้เกินกำหนดนี้
ต้องปาจิตตีย์. ต้องตัดให้ได้ประมาณเสียก่อน จึงแสดงอาบัติตก.
๖.ภิกษุทำเตียงหรือตั่งหุ้มนุ่น
ต้องปาจิตตีย์. ต้องรื้อเสียก่อน จึงแสดงอาบัติตก.
๗.ภิกษุทำผ้าปูนั่ง
พึงทำให้ได้ประมาณ ประมาณนั้นยาว ๒ คืบ พระสุคต กว้างคืบครึ่ง ชายคืบหนึ่ง
ถ้าทำให้เกินกำหนดนี้ ต้องปาจิตตีย์. ต้องตัดให้ได้ประมาณเสียก่อน
จึงแสดงอาบัติตก.
๘.ภิกษุทำผ้าปิดแผล
พึงทำให้ได้ประมาณ ประมาณนั้น ยาว ๔ คืบพระสุคต กว้าง ๒ คืบ ถ้าทำให้เกินกำหนดนี้
ต้องปาจิตตีย์. ต้องตัดให้ได้ประมาณเสียก่อน จึงแสดงอาบัติตก.
๙.ภิกษุทำผ้าอาบน้ำฝน
พึงทำให้ได้ประมาณ ประมาณนั้นยาว ๖ คืบพระสุคต กว้าง ๒ คืบครึ่ง
ถ้าทำให้เกินกำหนดนี้ ต้องปาจิตตีย์. ต้องตัดให้ได้ประมาณเสียก่อน
จึงแสดงอาบัติตก.
๑๐.ภิกษุทำจีวรให้เท่าจีวรพระสุคตก็ดี
เกินกว่านั้นก็ดี ต้องปาจิตตีย์. ประมาณจีวรพระสุคตนั้น ยาว ๙ คืบพระสุคต กว้าง ๖
คืบ ต้องตัดให้ได้ประมาณเสียก่อน จึงแสดงอาบัติตก