วินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท 2543
ปัญหาและเฉลยวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓
วันเสาร์ ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓
------------------------------
๑.
๑.๑
สิกขาบทนอกพระปาฏิโมกข์เรียกว่าอะไร ? ทรงบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ?
๑.๒
กายบริหาร ข้อที่ ๓ และข้อที่ ๗ มีความว่าอย่างไร ?
๑.
๑.๑
เรียกว่า อภิสมาจาร ทรงบัญญัติไว้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของภิกษุ และเพื่อความงามของพระศาสนา เช่นเดียวกับตระกูลใหญ่ จำต้องมีขนบธรรมเนียมและระเบียบไว้รักษาเกียรติและความเป็นผู้ดีของตระกูล
๑.๒
มีความว่าดังนี้
ข้อที่ ๓ อย่าพึงไว้เล็บยาว การขัดมลทินหรือแคะมูลเล็บเป็นกิจควรทำ
ข้อที่ ๗ อย่าพึงแต่งเครื่องประดับต่างๆ เช่น ตุ้มหู สายสร้อยและแหวน เป็นต้น
๒.
๒.๑
บาตรที่ทรงอนุญาตมีกี่ชนิด ? อะไรบ้าง ? บาตรแสตนเลสจัดเข้าในชนิดไหน ?
๒.๒
บาตรที่ทรงห้ามมีกี่ชนิด ? อะไรบ้าง ?
๒.
๒.๑
มี ๒ ชนิด คือ ๑ บาตรดินเผา ๒ บาตรเหล็ก บาตรแสตนเลสจัดเข้าในบาตรเหล็ก
๒.๒
มี ๑๑ ชนิด คือ ๑ บาตรทอง ๒ บาตรเงิน ๓ บาตรแก้วมณี ๔ บาตรแก้วไพฑูรย์ ๕ บาตรแก้วผลึก ๖ บาตรแก้วหุง ๗ บาตรทองแดง ๘ บาตรทองเหลือง ๙ บาตรดีบุก ๑๐ บาตรสังกะสี ๑๑ บาตรไม้
๓.
๓.๑
นิสัยคืออะไร ? เหตุให้นิสัยระงับมีเท่าไร ? อะไรบ้าง ?
๓.๒
ภิกษุเช่นไรควรได้นิสัยมุตตกะ ?
๓.
๓.๑
นิสัย คือ กิริยาที่พึ่งพิงของสัทธิวิหาริกและอันเตวาสิก ต่อพระอุปัชฌาย์และพระอาจารย์
เหตุให้นิสัยระงับจากพระอุปัชฌาย์ มี ๕ คือ ๑ หลีกไปเสีย ๒ สึกเสีย ๓ ตายเสีย ๔ ไปเข้ารีตเดียรถีย์ ๕ สั่งบังคับ
ส่วนเหตุให้นิสัยระงับจากพระอาจารย์ เพิ่มอีก ๑ ข้อ คือ อันเตวาสิกรวมเข้ากับพระอุปัชฌาย์ของเธอ
๓.๒
ภิกษุผู้ควรได้นิสัยมุตตกะ คือ
๑) เป็นผู้มีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ สติ
๒) เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล อาจาระ ความเห็นชอบ เคยได้ยินได้ฟัง
มามาก มีปัญญา
๓) รู้จักอาบัติ มิใช่อาบัติ อาบัติเบา อาบัติหนัก จำพระปาฏิโมกข์ได้
แม่นยำ ทั้งมีพรรษาพ้น ๕
๔.
๔.๑
วัตรคืออะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?
๔.๒
วัตถุอนามาสคืออะไร ? มีอะไรบ้าง ?
๔.
๔.๑
วัตรคือแบบอย่างอันภิกษุควรประพฤติในกาลนั้น ๆ ในที่นั้น ๆ ในกิจนั้น ๆ แก่บุคคลนั้น ๆ มี ๓ อย่าง คือ ๑ กิจวัตร ๒ จริยาวัตร ๓ วิธิวัตร
๔.๒
วัตถุอนามาส คือวัตถุไม่ควรจับต้อง มีดังนี้
๑) ผู้หญิง รวมทั้งเครื่องแต่งกาย ทั้งรูปที่ทำมีสัณฐานเช่นนั้น และ
ดิรัจฉานตัวเมีย
๒) ทอง เงิน และรัตนะ
๓) ศัสตราวุธ
๔) เครื่องดักสัตว์
๕) เครื่องประโคมทุกอย่าง
๖) ข้าวเปลือก และผลไม้อันเกิดอยู่ในที่
๕.
๕.๑
กิจอันสงฆ์จะพึงทำก่อนสวดปาฏิโมกข์มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?
๕.๒
สงฆ์สวดปาฏิโมกข์อยู่ ภิกษุอื่นมาถึง หรือมาถึงเมื่อสวดจบแล้ว พึงปฏิบัติ
อย่างไร ?
๕.
๕.๑
มี ๙ อย่างคือ ๑ กวาดโรงอุโบสถ ๒ ตามประทีป ๓ ปูอาสนะ
๔ ตั้งน้ำฉันน้ำใช้ ๕ นำปาริสุทธิของภิกษุผู้เจ็บไข้มา ๖ นำฉันทะ
ของเธอมาด้วย ๗ บอกฤดู ๘ นับภิกษุ ๙ สั่งสอนนางภิกษุณี
๕.๒
พึงปฏิบัติอย่างนี้ คือ ถ้าภิกษุมาใหม่มากกว่าภิกษุที่ประชุมกันอยู่ ต้องสวดตั้งต้นใหม่ ถ้าเท่ากันหรือน้อยกว่า ส่วนที่สวดไปแล้วก็แล้วกันไป ให้ภิกษุที่มาใหม่ฟังส่วนที่ยังเหลืออยู่ต่อไป ถ้ามาเมื่อสวดจบแล้ว แม้มากกว่า ก็ไม่ต้องสวดซ้ำอีก ให้ภิกษุที่มาใหม่บอกปาริสุทธิในสำนักภิกษุ ผู้สวดผู้ฟังปาฏิโมกข์แล้ว
๖.
๖.๑
ความรู้อะไรบ้างที่จัดเป็นดิรัจฉานวิชา ?
๖.๒
ภิกษุประพฤติเช่นไรเรียกว่าทำศรัทธาไทยให้ตกไป ?
๖.
๖.๑
ความรู้ที่จัดเป็นดิรัจฉานวิชา คือ
๑) ความรู้ในทางทำเสน่ห์
๒) ความรู้ในทางทำให้ผู้นั้นผู้นี้ถึงความวิบัติ
๓) ความรู้ในทางใช้ภูตผีอวดฤทธิ์เดชต่าง ๆ
๔) ความรู้ในทางทำนายทายทัก
๕) ความรู้อันทำให้หลงงมงาย เช่น หุงปรอท
๖.๒
ภิกษุรับของที่เขาถวาย เพื่อเกื้อกูลแก่พระศาสนาแล้ว ไม่บริโภค แต่ กลับนำไปให้แก่คฤหัสถ์เสีย ทำให้ผู้บริจาคเสื่อมศรัทธา เช่นนี้เรียกว่า ทำศรัทธาไทยให้ตกไป (ยกเว้น อนามัฏฐบิณฑบาต ทรงอนุญาตพิเศษ ให้แก่มารดาบิดาได้)
๗.
๗.๑
อเนสนาได้แก่อะไร ? มีอะไรบ้าง ?
๗.๒
การทำวิญญัติคือการทำอย่างไร ? จัดเข้าในอุปปถกิริยาประเภทไหน ?
๗.
๗.๑
อเนสนาได้แก่ กิริยาแสวงหาเลี้ยงชีพในทางไม่สมควร แสดงโดยเค้ามี ๒ อย่างคือ
๑) การแสวงหาเป็นโลกวัชชะ มีโทษทางโลก
๒) การแสวงหาเป็นปัณณัตติวัชชะ มีโทษทางพระบัญญัติ
๗.๒
การทำวิญญัติ คือ การออกปากขอของต่อบุคคลที่ไม่ควรขอ หรือในเวลาที่ไม่ควรขอ เช่น ขอต่อคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณา ขอในยามปกติที่มิได้ทรงอนุญาต เป็นต้น จัดเข้าในอุปปถกิริยาประเภทอเนสนา
๘.
๘.๑
จงให้ความหมายของคำว่า กาลิก ยาวกาลิก ยามกาลิก สัตตาหกาลิก ยาวชีวิก
๘.๒
น้ำอ้อยเป็นกาลิกอะไร ?
๘.
๘.๑
กาลิก คือของที่จะพึงกลืนให้ล่วงลำคอลงไป
ยาวกาลิก คือของที่ให้บริโภคได้ชั่วคราว ตั้งแต่เช้าชั่วเที่ยงวัน
ยามกาลิก คือของที่ให้บริโภคได้ชั่วคราว คือ ๑ วัน กับ ๑ คืน
สัตตาหกาลิก คือของที่ให้บริโภคได้ชั่วคราว ๗ วัน
ยาวชีวิก คือของที่ให้บริโภคได้เสมอ ไม่จำกัดกาล
๘.๒
ถ้าเป็นน้ำอ้อยสด จัดเป็นยามกาลิก
ถ้าเป็นน้ำอ้อยเคี่ยวจนแข้นแข็ง จัดเป็นสัตตาหกาลิก
๙.
๙.๑
อุกเขปนียกรรม สงฆ์ควรทำแก่ภิกษุผู้ประพฤติเช่นไร ?
๙.๒
อธิษฐาน (บริขาร) มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?
๙.
๙.๑
ควรทำแก่ภิกษุผู้ต้องอาบัติแล้วไม่ยอมรับว่าเป็นอาบัติ ที่เรียกว่า ไม่เห็นอาบัติ หรือยอมรับว่าเป็นอาบัติแต่ไม่แสดง ที่เรียกว่า ไม่ทำคืนอาบัติ
๙.๒
มี ๒ อย่างคือ
๑) อธิษฐานด้วยกาย คือเอามือลูบบริขารที่จะอธิษฐานนั้นเข้า
ทำความผูกใจตามคำอธิษฐาน
๒) อธิษฐานด้วยวาจา คือลั่นคำอธิษฐานนั้น ไม่ถูกของด้วยกายก็ได้
๑๐.
๑๐.๑
สมบัติของภิกษุในทางพระวินัยมีเท่าไร ? อะไรบ้าง ?
๑๐.๒
ภิกษุประพฤติเช่นไร ได้ชื่อว่า โคจรวิบัติ ?
๑๐.
๑๐.๑
มี ๔ คือ
๑) สีลสมบัติ
๒) อาจารสมบัติ
๓) ทิฏฐิสมบัติ
๔) อาชีวสมบัติ
๑๐.๒
ภิกษุไปสู่บุคคลก็ดี สถานที่ก็ดี อันภิกษุไม่ควรไป คือ หญิงแพศยา ๑ หญิงหม้าย ๑ สาวเทื้อ ๑ ภิกษุณี ๑ บัณเฑาะก์ ๑ ร้านสุรา ๑ ได้ชื่อว่า โคจรวิบัติ