วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

วิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก 2545

ปัญหาและเฉลยวิชาพุทธานุพุทธประวัติ  นักธรรมชั้นเอก

สอบในสนามหลวง

วันเสาร์ ที่  ๒๓  พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕

 ๑.    ๑.๑ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงประกอบด้วยสัมปทาคุณกี่ประการ ?  อะไรบ้าง ?

        ๑.๒ ในวันที่พระมหาบุรุษประสูตินั้น สหชาติที่เกิดพร้อมร่วมวันกับพระองค์

             มีอะไรบ้าง ?

 ๑.    ๑.๑ ๓ ประการ คือเหตุสัมปทา ผลสัมปทา สัตตูปการสัมปทา ฯ

        ๑.๒ มีพระนางพิมพา พระอานนท์ กาฬุทายีอมาตย์ ฉันนะอมาตย์ ม้ากัณฐกะ

             ต้นมหาโพธิ์ และขุมทองทั้ง ๔ ฯ

 ๒.    ๒.๑ ที่สุดทั้ง ๒ อย่างอันบรรพชิตไม่ควรเสพ มีโทษอย่างไรบ้าง ?

        ๒.๒ มัชฌิมาปฏิปทา มีคุณอย่างไรบ้าง ?

 ๒.    ๒.๑ มีโทษดังนี้  คือ

             กามสุขัลลิกานุโยค เป็นธรรมอันเลว เป็นเหตุตั้งบ้านเรือน เป็นของคนมีกิเลส

             หนา ไม่ใช่ของคนอริยะคือผู้บริสุทธิ์ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์   

             อัตตกิลมถานุโยค ให้เกิดทุกข์แก่ผู้ประกอบ ไม่ทำผู้ประกอบให้เป็นอริยะ

             ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ฯ

        ๒.๒ มีคุณดังนี้ คือทำดวงตาคือทำญาณเครื่องรอบรู้ เป็นไปเพื่อความเข้าไปสงบ

             ระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง  เพื่อความรู้ดี เพื่อความไม่มีกิเลสเครื่องร้อยรัด ฯ

 ๓.    ๓.๑ บุคคลที่ท่านเปรียบด้วยดอกบัว  ๔  เหล่า  ได้แก่จำพวกไหนบ้าง ?

        ๓.๒ พระพุทธองค์ทรงแสดงอนุปุพพีกถาก่อนที่จะแสดงอริยสัจ ๔ เพื่อประโยชน์

             อะไร ?


 ๓.    ๓.๑ ได้แก่

                   ๑) อุคฆฏิตัญญู คือ ผู้มีอุปนิสัยสามารถจะตรัสรู้ธรรมวิเศษโดยพลัน

                                      พร้อมกันกับเวลาที่ท่านผู้ศาสดาแสดงธรรมสั่งสอน 

                                      เปรียบด้วยดอกบัวพ้นน้ำ

                   ๒) วิปจิตัญญู    คือ  ผู้ที่ท่านอธิบายขยายความแห่งคำที่ย่อให้พิสดาร

                                      ออกไป จึงจะตรัสรู้ธรรมวิเศษได้  เปรียบด้วยดอกบัว

                                      เสมอน้ำ

                   ๓) เนยยะ        คือ ผู้ที่พอจะแนะนำได้  คือพอที่จะฝึกอบรมสั่งสอน

                                      ให้รู้และเข้าใจได้อยู่  เปรียบด้วยดอกบัวที่ยังอยู่ในน้ำ

                   ๔) ปทปรมะ     คือ ผู้แม้จะฟังและกล่าวและทรงไว้และบอกแก่ผู้อื่นซึ่ง

                                      ธรรมเป็นอันมาก ก็ไม่สามารถจะตรัสรู้ธรรมวิเศษใน

                                      อัตภาพชาตินั้นได้ เปรียบด้วยดอกบัวที่เป็นภักษาแห่ง

                                      เต่าและปลา ฯ

        ๓.๒ เพื่อฟอกจิตสาวกหรือผู้ฟัง ให้ห่างไกลจากความยินดีในกาม ควรรับพระธรรม

             เทศนาให้เกิดดวงตาเห็นธรรม เหมือนผ้าที่ปราศจากมลทินควรรับน้ำย้อมได้ ฉะนั้น ฯ

 ๔.    จงแสดงใจความย่อของพระสูตรเหล่านี้

        ๔.๑ อนัตตลักขณสูตร

        ๔.๒ อาทิตตปริยายสูตร

 ๔.    ๔.๑ พระสูตรที่ว่าด้วยลักษณะแห่งอนัตตา โดยใจความย่อว่า รูป เวทนา สัญญา

             สังขาร วิญญาณ ซึ่งรวมเรียกว่าขันธ์ ๕ นี้ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตน ฯ

        ๔.๒ พระสูตรที่ว่าด้วยสิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน โดยใจความย่อว่า อายตนะภายใน

             อายตนะภายนอก วิญญาณ สัมผัส และเวทนาที่เกิดแต่สัมผัส เป็นของร้อน

             ร้อนเพราะไฟคือความกำหนัด ความโกรธ ความหลง และร้อนเพราะความ

             เกิด ความแก่ ความตาย ความโศกร่ำไรรำพัน เจ็บกาย เสียใจ คับใจ ฯ

 ๕.    ๕.๑ พระพุทธดำรัสว่า "ดูก่อนอานนท์ กำมืออาจารย์ในธรรมทั้งหลายไม่มีแก่พระ

             ตถาคตเจ้า” หมายความว่าอย่างไร ?

        ๕.๒ พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญญาตัตถจริยา ด้วยมีพระประสงค์อย่างไร ?

 ๕.    ๕.๑  หมายความว่า พระตถาคตเจ้าไม่ทรงมีข้อลี้ลับในธรรมทั้งหลายที่จะต้องปกปิด

              ซ่อนบังไว้  แสดงได้แก่สาวกบางเหล่า  มิได้ทั่วไปเป็นสรรพสาธารณ์ หรือจะ

             พึงแสดงให้สาวกทราบต่ออวสานกาลที่สุด ฯ

        ๕.๒  ด้วยพระประสงค์จะให้พระญาติบริบูรณ์ด้วยสุข ๓ ประการ คือมนุษยสุข ๑ ทิพยสุข

             ๑ นิพพานสุข ๑ ทั้งที่ครองฆราวาส ทั้งที่ออกบรรพชาในพระพุทธศาสนา ฯ

 ๖.    ๖.๑ พุทธเจดีย์ มีกี่ประเภท ?  อะไรบ้าง ?

        ๖.๒ อุทยมาณพทูลถามว่า "โลกมีอะไรผูกพันไว้ อะไรเป็นเครื่องสัญจรของโลก

             นั้น ท่านกล่าวกันว่า นิพพานๆ ดังนี้ เพราะละอะไรได้" พระศาสดาทรง

             พยากรณ์ว่าอย่างไร ?

 ๖.    ๖.๑ มี ๔ ประเภท  คือธาตุเจดีย์ บริโภคเจดีย์ ธรรมเจดีย์ และอุทเทสิกเจดีย์ ฯ

        ๖.๒ ทรงพยากรณ์ว่า โลกมีความเพลิดเพลินผูกพันไว้ ความตรึกเป็นเครื่องสัญจร

             ของโลกนั้น  ท่านกล่าวกันว่า นิพพานๆ  ดังนี้  เพราะละตัณหาเสียได้ ฯ

 ๗.    ๗.๑ พระภัททิยเถระ มักเปล่งอุทานเนืองๆ ว่า สุขหนอๆ ดังนี้  เพราะเหตุไร ?

        ๗.๒ พระเจ้าโกรัพยะทรงปรารภกับพระรัฐบาลถึงเหตุให้บุคคลออกบวชว่าอย่างไร ?

 ๗.    ๗.๑  เพราะเมื่อก่อนท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ต้องจัดการรักษาป้องกันทั้งในวังนอกวัง

             ทั้งในเมือง นอกเมือง จนตลอดทั่วอาณาเขต แม้มีคนคอยรักษาอย่างนี้แล้ว ยังต้อง

             หวาดระแวง สะดุ้งกลัวอยู่เป็นนิตย์ ครั้นทรงออกบวชได้บรรลุอรหัตผลแล้ว แม้อยู่

             ในที่ไหนๆ ก็ไม่หวาดระแวง ไม่สะดุ้งกลัว ไม่ต้องขวนขวายมีใจปลอดโปร่งเป็นดุจ

             มฤคอยู่ จึงเปล่งอุทานเช่นนั้น ฯ

        ๗.๒ ทรงปรารภเหตุวิบัติ ๔ ประการ  คือ

                   ๑) ความแก่ 

                   ๒) ความเจ็บป่วย 

                   ๓) ความเสื่อมจากโภคทรัพย์ 

                   ๔) ความเสื่อมญาติ ฯ

 ๘.    ๘.๑  พระอานนท์พุทธอุปัฏฐากได้ทูลขอพร ๘ ประการ ข้อสุดท้าย ความว่าอย่างไร ?

        ๘.๒ ท่านได้รับการยกย่องจากพระศาสดาอย่างไรบ้าง ?

 ๘.    ๘.๑ ความว่า ถ้าพระองค์เสด็จไปเทศนาเรื่องใดที่ไหน ซึ่งข้าพระองค์ไม่ได้ฟัง ขอ

             พระองค์ตรัสบอกเทศนาเรื่องนั้นแก่ข้าพระองค์ ฯ

        ๘.๒ ได้รับการยกย่องว่า เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายด้วยคุณสมบัติ ๕ สถาน คือ

                   ๑) เป็นพหูสูต  

                   ๒) มีสติ  

                   ๓) มีคติ  

                   ๔) มีธิติ  

                   ๕) เป็นพุทธอุปัฏฐาก ฯ

 ๙.    ๙.๑  พระพุทธองค์ทรงแนะนำพระเถระองค์ใดให้ปรารภความเพียรแต่พอประมาณ ?

        ๙.๒ เพราะเหตุใดจึงทรงแนะนำเช่นนั้น ?

 ๙.    ๙.๑ พระโสณโกฬิวิสะ ฯ

        ๙.๒ เพราะพระโสณโกฬิวิสะ ทำความเพียรเดินจงกรมจนเท้าแตก ก็ไม่อาจให้

             บรรลุมรรคผลได้ สมัยเมื่อท่านเป็นคฤหัสถ์ เป็นผู้ฉลาดเข้าใจในเสียงแห่งสายพิณ

             พระผู้มีพระภาคจึงทรงแนะนำว่า ในการดีดพิณนั้นจะต้องขึงสายพิณแต่พอดี

             เสียงพิณจึงจะไพเราะ หย่อนเกินไปหรือตึงเกินไปก็ไม่น่าฟัง ความเพียร

             ก็เหมือนกัน ถ้าย่อหย่อนนัก ก็เป็นไปเพื่อเกียจคร้าน ถ้าเกินไปนักก็เป็นไป

             เพื่อฟุ้งซ่าน จึงควรทำความเพียรแต่พอดี ฯ

๑๐. ๑๐.๑ อปาณกฌาน ได้แก่อะไร ?

      ๑๐.๒ พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญฌานนี้ในคราวใด ? และได้รับผลที่มุ่งหวังหรือไม่

             อย่างไร ?

๑๐. ๑๐.๑ ได้แก่ ความเพ่งไม่มีลมปราณ  คือไม่มีลมอัสสาสะปัสสาสะ  โดยเนื้อความ

             ก็คือกลั้นลมหายใจไม่ให้ดำเนินทางจมูกและปาก ซึ่งเป็นทางเดินโดยปกติ ฯ

      ๑๐.๒ ในคราวทรงทำทุกกรกิริยาฯ ไม่ได้รับผลที่มุ่งหวัง แต่เป็นการทรมานร่างกาย

             ให้ลำบากเปล่า ฯ


วิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก 2546

ปัญหาและเฉลยวิชาพุทธานุพุทธประวัติ  นักธรรมชั้นเอก

สอบในสนามหลวง

พ.ศ. ๒๕๔๖

๑.

๑.๑

ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น สำเร็จด้วยญาณอะไร ?  เพราะเหตุไร ?


๑.๒

พระพุทธองค์ ครั้นตรัสรู้แล้ว ทรงเปล่งพระอุทานในยามสุดท้าย มีความว่าอย่างไร ?

๑.

๑.๑

ด้วยอาสวักขยญาณ ฯ  เพราะอาสวักขยญาณ คือความรู้เป็นเหตุสิ้นอาสวะ คือ เครื่องเศร้าหมองอันหมักหมมในจิตสันดาน ฯ


๑.๒

มีความว่า “ เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏชัดแก่พราหมณ์ผู้มีเพียรเพ่งอยู่  พราหมณ์นั้นย่อมกำจัดเสนามาร คือชรา พยาธิ มรณะ เสียได้ ดุจ

พระอาทิตย์อุทัย กำจัดมืดทำอากาศให้สว่างขึ้นฉะนั้น” ฯ

๒.

๒.๑

พระพุทธองค์ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาที่ไหนเป็นแห่งแรก ? 

ทรงเห็นประโยชน์อะไรจึงทรงประดิษฐาน ณ ที่นั้น ?


๒.๒

การที่พระพุทธองค์ทรงสามารถประดิษฐานพระพุทธศาสนาได้มั่นคง  เพราะทรงสั่งสอนโดยอาการอย่างไรบ้าง ?

๒.

๒.๑

ที่ กรุงราชคฤห์ ฯ  เพราะทรงเห็นว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่บริบูรณ์มั่งคั่ง และ

มีศาสดาเจ้าลัทธิมาก ถ้าได้โปรดคนเหล่านี้ให้เกิดความเลื่อมใสได้แล้ว  การเผยแผ่พระพุทธศาสนาก็สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะศาสดา

เจ้าลัทธิต่างๆ นั้น ล้วนมีศิษยานุศิษย์มาก ผู้คนนับถือมาก ด้วยเหตุนี้

จึงทรงเลือกเมืองนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนาเป็นแห่งแรก ฯ


๒.๒

โดยอาการ ๓ อย่าง คือ

      ๑) ทรงสั่งสอนให้ผู้ฟังรู้ยิ่ง เห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น

      ๒) ทรงสั่งสอนมีเหตุมีผลที่ผู้ฟังอาจตรองตามให้เห็นจริงได้

      ๓) ทรงสั่งสอนเป็นอัศจรรย์ที่ผู้ปฏิบัติตาม ย่อมได้รับผลโดยสมควร

          แก่การปฏิบัติ ฯ

๓.

๓.๑

ความปรารถนาของพระเจ้าพิมพิสารข้อที่ ๕ ความว่าอย่างไร ?


๓.๒

ความปรารถนานั้นสำเร็จแก่พระองค์เมื่อไร ?  ที่ไหน ?

๓.

๓.๑

ความว่า “ขอให้ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึงธรรมของพระอรหันต์” ฯ


๓.๒

สำเร็จบริบูรณ์ในวันที่ได้ฟังอนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔ ที่พระพุทธองค์

ทรงแสดงโปรด  จนได้ดวงตาเห็นธรรม ฯ  ที่สวนตาลหนุ่ม ฯ

๔.

๔.๑

พระวาจาที่พระมหาบุรุษทรงเปล่งในวันประสูตินั้น เรียกว่าอะไร ? ใจความโดยย่ออย่างไร ?


๔.๒

พระพุทธกิจ ๕ อย่าง มีอะไรบ้าง ?  ข้อไหนที่ทรงบำเพ็ญเป็นนิจตราบเท่าปรินิพพาน ?

๔.

๔.๑

เรียกว่า อาสภิวาจา ฯ  ใจความย่อว่า  “ เราเป็นผู้เลิศเป็นยอดแห่งโลก  เราเป็นผู้เจริญผู้ใหญ่แห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐแห่งโลก  ความบังเกิดชาตินี้มี ณ ที่สุด บัดนี้ ความบังเกิดอีกมิได้มี ”  ฯ


๔.๒

มี ๕ อย่าง ฯ คือ

      ๑) เวลาเช้า เสด็จออกบิณฑบาต

      ๒) เวลาเย็น ทรงแสดงธรรม

      ๓) เวลาย่ำค่ำ ทรงโอวาทภิกษุ

      ๔) เวลาเที่ยงคืน ทรงตอบปัญหาเทวดา

      ๕) เวลาย่ำรุ่ง ทรงตรวจดูเวไนยสัตว์ ฯ

          ยกเว้นข้อเสด็จออกบิณฑบาต นอกนั้นทรงบำเพ็ญเป็นนิจ

          ตราบเท่าปรินิพพาน ฯ

๕.

๕.๑

โอวาทปาฏิโมกข์ทรงแสดงที่ไหน ?  เมื่อไร ?


๕.๒

ข้อที่ทรงยกขันติขึ้นตรัสในโอวาทปาฏิโมกข์นั้น  หมายความว่าอย่างไร ?

๕.

๕.๑

ที่เวฬุวนาราม กรุงราชคฤห์ ฯ  เมื่อวันเพ็ญเดือน ๓ ฯ


๕.๒

หมายความว่า ศาสนธรรมคำสอนของพระองค์เป็นไปเพื่อให้อดทนต่อเย็น ร้อน หิวระหาย ถ้อยคำให้ร้าย ใส่ความ ด่าว่า และทุกขเวทนาอันแรงกล้าเกิดแต่อาพาธ ฯ

๖.

๖.๑

อุปติสสปริพาชก เมื่อได้ฟังธรรมโดยย่อจากพระอัสสชิเถระแล้ว  มีความเข้าใจในเนื้อความแห่งธรรมนั้นว่าอย่างไร ?


๖.๒

ครั้งพุทธกาล กุลบุตรผู้มีศรัทธาเลื่อมใสในพระศาสนาขออนุญาตบวช

จากมารดาบิดา  เมื่อไม่ได้รับอนุญาตก็เสียใจ จึงทำการประท้วง กุลบุตร

ผู้นั้นคือใคร ?  ประท้วงด้วยวิธีใด ?

๖.

๖.๑

ว่าอย่างนี้คือ  “ ธรรมทั้งปวงเกิดแต่เหตุ และจะสงบระงับไป เพราะเหตุ

ดับก่อน  พระศาสดา ทรงสั่งสอนให้ปฏิบัติ  เพื่อสงบระงับเหตุแห่งธรรมเป็นเครื่องก่อให้เกิดทุกข์” ฯ


๖.๒

กุลบุตรผู้นั้น คือพระรัฐบาล ฯ ประท้วงด้วยวิธีนอนไม่ลุกขึ้น และอดอาหาร ฯ

๗.

๗.๑

อนาถบิณฑิกเศรษฐี มีนามเดิมว่าอะไร ?


๗.๒

ท่านได้บรรลุคุณวิเศษอะไรในพระพุทธศาสนา ?

๗.

๗.๑

สุทัตตะ ฯ


๗.๒

โสดาปัตติผล ฯ

๘.

๘.๑

ผู้ได้นามว่า  “ ภัทเทกรัตตะ ”  ผู้มีราตรีเดียวเจริญ  เพราะประพฤติเช่นไร ?


๘.๒

พระเถระรูปใดได้รับยกย่องว่าเป็นผู้เข้าใจอธิบายเรื่อง “ ผู้มีราตรีเดียวเจริญ ”  นี้ให้พิสดาร ?


๘.

๘.๑

เพราะเป็นผู้มีความเพียร ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันกลางคืน อยู่ด้วยความไม่ประมาท ฯ


๘.๒

พระมหากัจจายนเถระ ฯ

๙.

๙.๑

ปัญหาว่า  “ หมู่มนุษย์ในโลกนี้ คือ ฤษี กษัตริย์ พราหมณ์ เป็นอันมาก อาศัยอะไร จึงบูชายัญบวงสรวงเทวดา ”  ใครเป็นผู้ถาม ?


๙.๒

พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่าอย่างไร ?

๙.

๙.๑

ปุณณกมาณพ ฯ


๙.๒

ทรงพยากรณ์ว่า  “ หมู่มนุษย์เหล่านั้นอยากได้ของที่ตนปรารถนา  อาศัยของที่มีชราทรุดโทรม  จึงบูชายัญบวงสรวงเทวดา ”  ฯ

๑๐.

๑๐.๑

พระพุทธดำรัสว่า  “ ดูก่อนสุภัททะ  ถ้าภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ จะพึงอยู่ดีอยู่ชอบแล้วไซร้  โลกก็จกไม่พึงว่างเปล่าจากพระอรหันต์ทั้งหลาย ”  ดังนี้ 

คำว่า  “ พระอรหันต์ ”   ในที่นี้ หมายถึงใคร ?


๑๐.๒

โทณพราหมณ์ ได้กล่าวสุนทรพจน์ในวันแจกพระบรมสารีริกธาตุ มีใจความย่ออย่างไร ?

๑๐.

๑๐.๑

หมายถึง  พระขีณาสวอรหันต์ ฯ   


๑๐.๒

มีใจความย่อดังนี้

    ๑) พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญขันติธรรมและตำหนิในการที่จะทำ

        สงครามกัน

    ๒) ชวนให้สามัคคีร่วมใจกัน โดยแบ่งส่วนพระบรมสารีริกธาตุเท่า ๆ กัน ฯ


วิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก 2547

ปัญหาและเฉลยวิชาพุทธานุพุทธประวัติ  นักธรรมชั้นเอก

สอบในสนามหลวง

พ.ศ. ๒๕๔๗

   ๑.  ปัญจมหาวิโลกนะ คืออะไร ?  มีความเป็นมาอย่างไร ?

   ๑.  คือ การพิจารณาถึงความเหมาะสมใหญ่ ๕ ประการ ฯ

        มีความเป็นมาอย่างนี้ คือเมื่อพระมหาสัตว์เป็นสันตุสิตเทวราชอยู่ในดุสิตเทวโลก หมู่

        เทวดามาทูลอาราธนาให้จุติลงไปบังเกิดในครรภ์พระมารดา ในลำดับนั้น พระมหาสัตว์

        ยังมิได้ทรงให้ปฏิญญาแก่หมู่เทวดาผู้มาทูลอาราธนา ต่อเมื่อทรงพิจารณาปัญจมหา-

        วิโลกนะแลัว จึงทรงให้ปฏิญญา ฯ

   ๒.  พระอรหันตสาวกรุ่นแรกที่พระศาสดาทรงส่งไปประกาศพระศาสนา มีจำนวนเท่าไร ? 

        พระองค์ทรงประทานโอวาทแก่ท่านเหล่านั้นโดยย่อว่าอย่างไร ?

   ๒.  มีจำนวนทั้งสิ้น ๖๐ รูป ฯ

        ทรงประทานโอวาทว่า ท่านทั้งหลายจงเที่ยวจาริกไปในชนบท เพื่อประโยชน์และ

        ความสุขแก่ชนเป็นอันมาก แต่อย่าไปทางเดียวกัน ๒ รูป  จงแสดงธรรมมีคุณ

        ในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง

        พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะ ฯ

   ๓.  พระกาฬุทายี และ กาฬเทวิลดาบส เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าอย่างไร ?

   ๓.  พระกาฬุทายี เป็นสหชาติของพระพุทธเจ้า  ก่อนบวชท่านเป็นอำมาตย์อยู่ในกรุง

        กบิลพัสดุ์ พระเจ้าสุทโธทนะทรงส่งไปทูลนิมนต์พระพุทธเจ้าให้เสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์ 

        เมื่อได้อุปสมบทแล้วจึงทูลนิมนต์พระพุทธเจ้าให้เสด็จกลับได้สำเร็จตามพระราชประสงค์ ฯ

        กาฬเทวิลดาบสคืออสิตดาบสนั่นเอง  เมื่อพระมหาบุรุษประสูติใหม่ๆ  ท่านทราบข่าว

        จึงเข้าไปเยี่ยม ได้เห็นลักษณะของพระราชโอรสต้องด้วยตำรับมหาบุรุษลักษณะ

        มีความเคารพในพระโอรสอย่างมาก จึงลุกขึ้นกราบลงที่พระบาททั้งสองด้วยศีรษะ

        ของตนแล้วกล่าวทำนายพระลักษณะตามมหาบุรุษลักษณะพยากรณศาสตร์ ฯ

   ๔.  พระอานนท์ได้ดวงตาเห็นธรรมเพราะฟังโอวาทจากใคร ? ท่านผู้ให้โอวาทนั้นเลิศทางไหน ?

   ๔.  เพราะฟังโอวาทจากพระปุณณมันตานีบุตรเถระ ฯ

        เลิศในทางเป็นพระธรรมกถึก ฯ

   ๕.  ข้อความว่า “ เราจักไม่พูดคำซึ่งเป็นเหตุเถียงกัน ถือผิดต่อกัน ”  พระศาสดาทรง

        แนะนำใคร ?  เพราะทรงเห็นโทษอย่างไร ?

   ๕.  ทรงแนะนำพระมหาโมคคัลลานะ ฯ

        เพราะว่า เมื่อคำซึ่งเป็นเหตุเถียงกันถือผิดต่อกันมีขึ้น ก็จำต้องหวังความพูดมาก 

        เมื่อความพูดมากมีขึ้นก็จะเกิดความคิดฟุ้งซ่าน  ครั้นคิดฟุ้งซ่านแล้วก็จะเกิดความ

        ไม่สำรวม  ครั้นไม่สำรวมแล้วจิตก็จะห่างจากสมาธิ ฯ

   ๖.  พระพุทธพจน์ว่า “ ทักษิณาอันบริจาคในสงฆ์ย่อมสำเร็จแก่ผู้ตายโดยฐานะ ” นั้น ท่าน

        อธิบายไว้อย่างไร ? การที่ทักษิณาจะสำเร็จประโยชน์แก่ผู้ตายโดยฐานะนั้น ต้องพร้อม

        ด้วยสมบัติ อะไรบ้าง ?

   ๖.  ท่านอธิบายไว้ว่า เปตชนผู้ไปเกิดในกำเนิดอื่น ทั้งที่เป็นทุคติ ทั้งที่เป็นสุคติ ย่อม

        เป็นอยู่ด้วยอาหารในคติที่เขาเกิด หาได้รับผลแห่งทานที่ทายกอุทิศถึงไม่  ต่อไปเกิด

        ในปิตติวิสัย จึงได้รับผลแห่งทานที่อุทิศถึงนั้น ฯ

        ต้องพร้อมด้วยสมบัติ ๓ ประการคือ การบริจาคไทยธรรมแล้วอุทิศถึงของทายก ๑

        ปฏิคาหกผู้รับไทยธรรมนั้นเป็นทักขิเณยยะ คือผู้ควรรับทักษิณา ๑ เปตชนนั้น

        ได้อนุโมทนา ๑ ฯ

   ๗.  อจลเจดีย์คืออะไร ?  ตั้งอยู่ที่เมืองอะไร ?  เกิดขึ้นเมื่อใด ?

   ๗.  คือสถานที่เป็นที่ประดิษฐานแห่งบันไดแก้ว บันไดทอง บันไดเงิน ซึ่งทอดลงมา

        จากดาวดึงสเทวโลก ฯ

        ตั้งอยู่ที่เมืองสังกัสสนคร ฯ

        เกิดขึ้นในวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงสู่มนุษยโลกหลังจากเสด็จประทับจำพรรษาใน

        ดาวดึงสเทวโลกแล้ว ฯ

   ๘.  พระพุทธองค์ทรงรับสั่งกะพระอานนท์ถึงประโยชน์ของการสร้างสถูปแล้วอัญเชิญ

        พระอัฐิธาตุ บรรจุไว้ ณ ท่ามกลางหนทาง ๔ แพร่งแห่งถนนใหญ่ไว้อย่างไร ?

   ๘.  ทรงรับสั่งไว้อย่างนี้คือ เพื่อเป็นปูชนียสถานให้มนุษย์ผู้สัญจรไปมา เกิดความเลื่อมใส

        ศรัทธา ได้สักการะบูชาด้วยระเบียบดอกไม้ของหอม อภิวาทกราบไหว้ทำจิตให้

        เลื่อมใสในพระพุทธคุณ อันจักเป็นเหตุให้เกิดประโยชน์และความสุขตลอดกาลนาน ฯ

   ๙.  พระเจ้าสุทโธทนะทรงบรรลุพระโสดาปัตติผลด้วยพระธรรมเทศนามีใจความว่าอย่างไร ? 

        ทรงบรรลุอริยผลสูงสุดชั้นไหน ?

   ๙.  มีใจความว่า ไม่พึงประมาทในบิณฑบาต พึงประพฤติธรรมให้เป็นสุจริต ผู้ประพฤติ

        ธรรมย่อมอยู่เป็นสุขทั้งในโลกนี้ทั้งในโลกอื่น ฯ

        ชั้นพระอรหัตผล ฯ

๑๐.  พระบารมี ๑๐ ย่อมอบรมพระอัธยาศัยทำพระหฤทัยให้หนักแน่นจนสามารถพิชิตมารได้ 

        พระบารมี ๑๐ นั้น มีอะไรบ้าง ?

๑๐.  มี  ๑. ทาน  ๒. ศีล  ๓. เนกขัมมะ  ๔. ปัญญา  ๕. วิริยะ  ๖. ขันติ  ๗. สัจจะ 

        ๘. อธิษฐาน  ๙. เมตตา  ๑๐. อุเบกขา ฯ