วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

วิชาธรรม นักธรรมชั้นเอก 2547

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม  นักธรรมชั้นเอก

สอบในสนามหลวง

พ.ศ. ๒๕๔๗


   ๑.  กิเลสกามและวัตถุกาม ได้แก่อะไร ?  อย่างไหนจัดเป็นมารและเป็นบ่วงแห่งมาร ? 

        เพราะเหตุไร ?

   ๑.  กิเลสกาม ได้แก่ เจตสิกอันเศร้าหมอง ชักให้ใคร่ ให้รัก ให้อยากได้  กล่าวคือตัณหา

        ความทะยานอยาก  ราคะ ความกำหนัด  อรติ ความขึ้งเคียด เป็นต้น  จัดเป็นมาร

        เพราะเป็นโทษล้างผลาญคุณความดีและทำให้เสียคน ฯ

        วัตถุกาม ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเป็นของน่าชอบใจ จัดเป็นบ่วงแห่ง

        มาร เพราะเป็นอารมณ์ผูกใจให้ติดแห่งมาร ฯ

   ๒.  พระบรมศาสดาทรงแสดงอานิสงส์แห่งวิปัสสนาไว้ในอนัตตลักขณสูตรอย่างไร ?

   ๒.  ทรงแสดงไว้ว่า เอวํ ปสฺสํ ภิกฺขเว สุตวา อริยสาวโก เป็นต้น  ความว่า ดูก่อนภิกษุ

        ทั้งหลาย  อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว  เมื่อเห็นอย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่าย ย่อมฟอกจิต

        ให้หมดจด  เพราะการฟอกจิตให้หมดจดได้ จิตนั้นก็พ้นจากอาสวะทั้งปวง  เมื่อจิต

        พ้นพิเศษแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่า พ้นแล้ว และเธอรู้ประจักษ์ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว

        พรหมจรรย์คือกิจพระศาสนาได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเช่นนี้ไม่มีอีก ฯ

   ๓.  ไตรลักษณ์ ที่ว่าเห็นได้ยากนั้น เพราะอะไรปิดบังไว้ ?  ผู้พิจารณาเห็นอนิจจตา

        ความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมได้รับอานิสงส์อย่างไร ?

   ๓.  อนิจจตา มีสันตติ ความสืบต่อแห่งนามรูป ปิดบังไว้ ทุกขตา มีอิริยาบถ ความผลัด

        เปลี่ยนอิริยาบถ ปิดบังไว้ อนัตตตา มีฆนสัญญา ความสำคัญเห็นเป็นก้อน ปิดบังไว้ ฯ

        ย่อมได้รับอานิสงส์ คือเพิกถอนสันตติได้ ทำให้เห็นความเกิดขึ้นและความดับไป

        ความไม่เที่ยงแห่งสังขารทั้งหลายด้วยปัญญาอันชอบ ย่อมเบื่อหน่ายในสังขารอันเป็น

        ทุกข์ ดำเนินไปในหนทางแห่งความบริสุทธิ์ ฯ

   ๔.  ความเกิด ความแก่ และความตาย จัดเข้าในทุกข์หมวดไหน ?  โดยรวบยอด ทุกข์ที่

        แสดงในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ได้แก่ทุกข์เช่นไร ?

   ๔.  จัดเข้าในสภาวทุกข์ คือ ทุกข์ประจำสังขาร ฯ

        ได้แก่ อุปาทานขันธ์ ๕ ฯ

   ๕.  จริตของคนในโลกนี้มีกี่ประเภท ?  อะไรบ้าง ?  คนสูงอายุมีความกังวลนอนไม่หลับ

        เพราะคิดห่วงลูกหลานเป็นต้น จัดเป็นคนมีจริตอะไร ? กัมมัฏฐานข้อใดเป็นที่สบาย

        แก่คนจริตนั้น ?

   ๕.  มี ๖ ประเภท ฯ  คือ  ราคะจริต ๑  โทสะจริต ๑  โมหะจริต ๑  วิตกจริต ๑  

        สัทธาจริต ๑  พุทธิจริต ๑ ฯ  มีวิตกจริต ฯ  ข้ออานาปานสติ หรือ กสิณ ฯ

   ๖.  ในอนุสสติ ๑๐  ข้อว่า มรณัสสติ ไม่ใช้ว่า มรณานุสสติ เพราะเหตุไร ?

   ๖.  ที่ไม่ใช้อย่างนั้น ก็เพราะท่านสอนให้ผู้พิจารณาเห็นปรากฏชัดเป็นปัจจุบันธรรม จะได้

        เกิดความไม่ประมาท เป็นผู้แกล้วกล้าไม่ย่อท้อต่อความตาย หากจะไปเหนี่ยวรั้งเอา

        ความตายที่ล่วงมาแล้วยกขึ้นพิจารณา ในบางขณะอาจเกิดความกลัวตายขึ้นก็ได้ ฯ

   ๗.  พระพุทธคุณบทว่า สุคโต นั้น เป็นพระคุณส่วนอัตตสมบัติ และส่วนปรหิตปฏิบัติ

        อย่างไร ?  จงอธิบาย

   ๗.  พระคุณส่วนอัตตสมบัติ คือ เสด็จออกผนวชไม่ย่อท้อ เสด็จดำเนินไปตาม

        อัฏฐังคิกมรรคเป็นมัชฌิมาปฏิปทา  มิได้ทรงกลับคืนมาสู่อำนาจกิเลสที่พระองค์

        ทรงละได้แล้ว  จนบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ  เสด็จไปในที่ใด ก็ทรงไม่มี

        อันตรายใดจักเกิดแก่พระองค์ได้ เสด็จไปกลับได้โดยสวัสดี ฯ

        พระคุณส่วนปรหิตปฏิบัติ คือ เสด็จจาริกไปในสถานที่ต่างๆ เทศนาโปรดมหาชน

        ให้ได้ดวงตาเห็นธรรม ให้ได้รับประโยชน์ทั้งปัจจุบัน อนาคต และประโยชน์อย่างยิ่ง

        คือพระนิพพาน  อนึ่ง ทรงมีพระวาจาดี  คือทรงกล่าวแต่คำที่จริงที่แท้ ประกอบด้วย

        ประโยชน์แก่บุคคลที่ควรกล่าว เสด็จไประงับอันตรายด้วยความอนุเคราะห์เกื้อกูล

        แก่ปวงชน แม้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ทรงฝากรอยจารึก คือพระคุณความดี

        ในโลก ดุจฝนตกลงยังพืชให้เผล็ดผล เป็นประโยชน์แก่คนและสัตว์ผู้พึ่งแผ่นดิน ฯ

   ๘.  กิจ เหตุ และผลของวิปัสสนา ได้แก่อะไร ?

   ๘.  กิจ ได้แก่ การกำจัดความมืดคือโมหะ อันปิดบังปัญญาไว้ ไม่ให้เห็นตามความเป็นจริง

        เหตุ ได้แก่ การที่จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ไม่ฟุ้งซ่าน

        ผล ได้แก่ การเห็นสังขารตามความเป็นจริง ฯ

   ๙.  วิปัลลาสข้อว่า  “ วิปัลลาสในของที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ”  จะถอนได้ด้วยสัญญาอะไร

        ในสัญญา ๑๐ ?  ใจความว่าอย่างไร ?

   ๙.  จะถอนได้ด้วยอาทีนวสัญญา ฯ

        ใจความว่า ภิกษุย่อมพิจารณาอย่างนี้ว่า กายอันนี้แล มีทุกข์มาก มีโทษมาก

        เหล่าอาพาธต่างๆ ย่อมเกิดขึ้นในกายนี้ ฯ

๑๐.  ในมหาสติปัฏฐานสูตร  สติปัฏฐาน ๔ มีชื่อเรียกอีกอย่างว่ากระไร ?  สติปัฏฐาน ๔ นั้น

        มีอานิสงส์อย่างไรบ้าง ?

๑๐.  เอกายนมรรค ฯ

        มีอานิสงส์ ๕ ประการ คือ

               ๑. เพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย

               ๒. เพื่อความข้ามพ้นโสกะและปริเทวะ

               ๓. เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส

               ๔. เพื่อบรรลุธรรมที่ควรรู้

               ๕. เพื่อการทำให้แจ้งพระนิพพาน ฯ

วิชาธรรม นักธรรมชั้นเอก 2548

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม  นักธรรมชั้นเอก

สอบในสนามหลวง

วันเสาร์ ที่  ๑๙  พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘


   ๑.  การสำรวมจิตให้พ้นจากบ่วงแห่งมาร ในธรรมวิจารณ์ท่านแนะนำวิธีปฏิบัติไว้

        อย่างไร ?  และถ้าจะจัดเข้าในไตรสิกขา จัดได้อย่างไร ?

   ๑.  แนะนำวิธีปฏิบัติไว้ ๓ ประการ คือ

             ๑. สำรวมอินทรีย์มิให้ความยินดีครอบงำ ในเมื่อเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น

                 ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา

             ๒. มนสิการกัมมัฏฐานอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกามฉันทะ คือ อสุภะและกายคตาสติ

                 หรืออันยังจิตให้สลด คือมรณัสสติ

             ๓. เจริญวิปัสสนา คือ พิจารณาสังขารแยกออกเป็นขันธ์ สันนิษฐานเห็น

                 เป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯ

        จัดเข้าในไตรสิกขาได้ดังนี้ 

             ประการที่ ๑ จัดเข้าในสีลสิกขา  

             ประการที่ ๒ จัดเข้าในจิตตสิกขา  

             ประการที่ ๓ จัดเข้าในปัญญาสิกขา ฯ

   ๒.  อนิจจตาแห่งสังขารทั้งหลาย  จะกำหนดรู้ได้ด้วยวิธีใดบ้าง ?

   ๒.        ๑.   กำหนดรู้ในทางง่าย ด้วยความเกิดขึ้นในเบื้องต้น และความสิ้นในเบื้องปลาย                                        ได้ในบาลีว่า

                         อนิจฺจา วต สงฺขารา        อุปฺปาทวยธมฺมิโน

                         อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ

                         สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีความเกิดขึ้นและความเสื่อมสิ้น

                         เป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วย่อมดับ

              ๒. กำหนดรู้ในทางละเอียดกว่านั้นด้วยความแปรในระหว่างเกิดและดับ

                 ได้ในบาลีว่า

                         อจฺเจนฺติ กาลา ตรยนฺติ รตฺติโย

                         วโยคุณา อนุปุพฺพํ ชหนฺติ

                         กาลย่อมล่วงไป ราตรีย่อมผ่านไป ชั้นแห่งวัยย่อมละลำดับไป

              ๓. กำหนดรู้ในทางสุขุม ด้วยความแปรแห่งสังขารในชั่วขณะหนึ่ง ๆ คือ ไม่คงที่

                 อยู่นานเพียงระยะกาลนิดเดียวก็แปรแล้ว ได้ในคาถาวิสุทธิมรรค ว่า

                         ชีวิตํ อตฺตภาโว จ           สุขทุกฺขา จ เกวลา

                         เอกจิตฺตสมา ยุตฺตา        ลหุโส วตฺตเต ขโณ

                         ชีวิต อัตภาพ และสุขทุกข์ ทั้งมวล ประกอบกัน เป็นธรรมเสมอ

                         ด้วยจิตดวงเดียว ขณะย่อมเป็นไปพลัน ฯ

   ๓.  สภาวทุกข์และปกิณณกทุกข์ คือทุกข์เช่นไร ?

   ๓.  สภาวทุกข์ คือทุกข์ประจำสังขาร ได้แก่ ชาติ ชรา มรณะ ฯ 

        ปกิณณกทุกข์ คือ ทุกข์จรได้แก่ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ฯ

   ๔.  พระพุทธพจน์ว่า  “นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ”  สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี จะไม่เป็น

        การปฏิเสธสุขอย่างอื่นไปทั้งหมดหรือ ?  จงอธิบาย

   ๔.  ไม่เป็นการปฏิเสธเสียทีเดียว เช่นทรงแสดงถึงสุขของคฤหัสถ์ ๔ อย่างไว้เป็นต้น 

        แต่สุขอย่างอื่นนั้นยังเจือไปด้วยทุกข์อยู่  ยังไม่ใช่สุข ไม่อาจจะนับว่าเป็นสุข

        ที่แท้จริงได้ มีแต่ความสงบเท่านั้นที่เป็นสุขอย่างแท้จริง เพราะไม่เจือไปด้วย

        ความทุกข์ ฉะนั้นสุขที่ยิ่งกว่าความสงบจึงไม่มี ฯ

   ๕.  สัตว์โลกตายแล้วมีคติเป็นอย่างไร ?  ปัจจุบันภพนั้น เกี่ยวเนื่องกับสัมปรายภพ

        อย่างไร ?

   ๕.  สัตว์โลกตายแล้วมีคติเป็น ๒ คือ ถ้าทำดี คือ ประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา ใจ

        ก็ไปสู่สุคติ ถ้าทำไม่ดี คือประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ก็ไปสู่ทุคติ ฯ  จิตดีชั่ว

        ในปัจจุบัน ย่อมเป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิในสัมปรายภพ ภูมิและภพในภายภาคหน้า

        ขึ้นอยู่กับภูมิและภพชั้นของจิตในปัจจุบันนี้แหละ ดังมีหลักธรรมในอุเทศบาลี

        แสดงว่า เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันต้องหวัง และว่าเมื่อจิตไม่เศร้าหมอง

        แล้ว สุคติเป็นอันหวังได้ ฯ

   ๖.  บุคคลผู้ถูกนิวรณ์ ๕ ครอบงำ พึงแก้ด้วยกัมมัฏฐานอะไรบ้าง ?

   ๖.  ถูกกามฉันทะครอบงำ พึงแก้ด้วยอสุภกัมมัฏฐานหรือกายคตาสติ

        ถูกพยาบาทครอบงำ พึงแก้ด้วยเมตตาพรหมวิหาร

        ถูกถีนมิทธะครอบงำ พึงแก้ด้วยอนุสสติกัมมัฏฐาน

        ถูกอุทธัจจกุกกุจจะครอบงำ พึงแก้ด้วยกสิณหรือมรณัสสติ

        ถูกวิจิกิจฉาครอบงำ พึงแก้ด้วยธาตุกัมมัฏฐานหรือวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ

   ๗.  ผู้เจริญเมตตาพรหมวิหาร ท่านสอนให้แผ่ไปในตนก่อนนั้น มีความมุ่งหมายอย่างไร ?

   ๗.  มีความมุ่งหมายอย่างนี้ ให้ทำตนเป็นพยานว่า ตนนี้อยากได้แต่ความสุข เกลียดชัง

        ทุกข์และภัยต่าง ๆ ฉันใด  แม้สัตว์ทั้งหลาย ก็อยากได้สุข เกลียดชังทุกข์และภัย

        ต่าง ๆ ฉันนั้น เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว จิตก็ปรารถนาจะให้สัตว์ทั้งสิ้น มีความสุข

        ความเจริญ ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงให้แผ่เมตตาจิตไปในตนก่อน ฯ

   ๘.  พระพุทธคุณบทว่า  “สตฺถา เทวมนุสฺสานํ”  เมื่อกล่าวถึงพุทธจรรยาในส่วน

        ที่ทรงสั่งสอนมหาชน ประมวลลงเป็นข้อได้อย่างไรบ้าง ?

   ๘.  ประมวลลงได้อย่างนี้

              ๑. ทรงพระกรุณาหวังจะให้ผู้ที่ทรงสั่งสอน ได้ความรู้อันจะให้สำเร็จประโยชน์

              ๒. ทรงมุ่งความจริงกับประโยชน์เป็นที่ตั้ง

              ๓. ทรงทำกับตรัสเป็นอย่างเดียวกัน

              ๔. ทรงฉลาดในวิธีสั่งสอน ฯ

   ๙.  ในธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน พระพุทธองค์ทรงแสดงวิธีพิจารณาสติสัมโพชฌงค์ไว้

        ด้วยอาการอย่างไร ?

   ๙.  ด้วยอาการอย่างนี้ คือ เมื่อสติสัมโพชฌงค์  มีอยู่ ณ ภายในจิต ก็รู้ชัดว่ามีอยู่

        ณ ภายในจิตของเรา  เมื่อไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต ก็รู้ชัดว่าไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต

        ของเรา เมื่อยังไม่เกิด แต่จะเกิดขึ้นด้วยประการใด ก็รู้ชัดด้วยประการนั้น 

        เมื่อเกิดขึ้นแล้วเจริญบริบูรณ์ขึ้นด้วยประการใด ก็รู้ชัดด้วยประการนั้น ฯ

๑๐.  ข้อว่า อนัตตสัญญา ในคิริมานนทสูตร ทรงให้ยกธรรมอะไรขึ้นพิจารณาว่าเป็น

        อนัตตา ?

๑๐.  ทรงให้ยกอายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และอายตนะภายนอก

        คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ขึ้นพิจารณาว่าเป็นอนัตตา ฯ

วิชาธรรม นักธรรมชั้นเอก 2549

 วิชาธรรม นักธรรมชั้นเอก 2549


ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม  นักธรรมชั้นเอก

สอบในสนามหลวง

วันศุกร์ ที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙

   ๑.  อุทเทสแห่งนิพพิทา ดังต่อไปนี้ มีความหมายว่าอย่างไร ?

               ก. คนเขลา       

               ข. ผู้รู้     

               ค. หมกอยู่        

               ง. หาข้องอยู่ไม่

               จ. โลกนี้

   ๑.          ก. คนผู้ไร้วิจารณญาณ

               ข. ผู้รู้โลกตามความเป็นจริง

               ค. เพลิดเพลินหลงติดอยู่ในสิ่งอันมีโทษ

               ง. ไม่พัวพันในสิ่งล่อใจ

               จ. โดยตรง ได้แก่แผ่นดินเป็นที่อยู่อาศัย โดยอ้อม ได้แก่หมู่สัตว์

                   ผู้อาศัย ฯ

  ๒.  อุทเทสว่า  “เย  จิตฺตํ  สญฺเมสฺสนฺติ   โมกฺขนฺติ  มารพนฺธนา”  นั้น 

       การสำรวมจิตทำอย่างไร ?

  ๒.  การสำรวมจิตมี ๓ วิธี คือ

               ๑.   สำรวมอินทรีย์มิให้ความยินดีครอบงำ ในเมื่อเห็นรูป ฟังเสียง

                     ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา

                ๒.  มนสิการกัมมัฏฐานอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกามฉันท์ คือ อสุภะ

                     กายคตาสติ และมรณสติ

                ๓.  เจริญวิปัสสนา พิจารณาสังขารให้เห็นเป็น อนิจจัง ทุกขัง

                     อนัตตา ฯ

  ๓.  สังขารในไตรลักษณ์กับในขันธ์ ๕  ต่างกันอย่างไร ?

  ๓.  สังขารในไตรลักษณ์ หมายเอารูปธรรมและนามธรรมทั้งหมดที่ปัจจัย

        ปรุงแต่งขึ้น ส่วนสังขารในขันธ์ ๕ หมายเอาเจตสิกธรรมที่ปรุงแต่งจิต

        ให้มีอาการต่างๆ เว้นเวทนาและสัญญา ฯ

   ๔.  ปกิณกทุกข์ คืออะไร ?  จะบรรเทาได้ด้วยวิธีอย่างไร ?

   ๔.  คือ ทุกข์จร เช่น ความเศร้าโศกเสียใจ ความร่ำไรบ่นเพ้อรำพัน ความ

        ไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ความประสบสิ่งที่

        ไม่พึง      ปรารถนา     ความพลัดพรากจากของรัก ความผิดหวังเป็นต้น ฯ

        จะบรรเทาได้ด้วยการมีสติ ใช้ปัญญาพิจารณา รู้จักปลงรู้จักปล่อยวาง

        ไม่ยึดมั่นถือมั่น ฯ

   ๕.  อาหารปริเยฏฐิทุกข์ คืออะไร ?  จะบรรเทาได้ด้วยวิธีอย่างไร ?

   ๕. คือ ทุกข์ในการหาเลี้ยงชีพ เช่น ต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน เมื่อผลประโยชน์

        ขัดกัน ก็ทะเลาะกัน และเมื่อยิ่งแสวงหามากก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์มาก ฯ

        จะบรรเทาได้ด้วยการขยันประหยัดอดทนและ อดออม เป็นอยู่ด้วยปัจจัย

        เครื่องเลี้ยงชีพเท่าที่จำเป็น ตัดสิ่งฟุ้งเฟ้อที่ไม่จำเป็นออกไป ยินดีเท่าที่ตน

        มีอยู่โดยยึดทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักในการดำรงชีวิต ฯ

   ๖.  พระบาลีว่า “ภิกษุ  เธอจงวิดเรือนี้  เรือที่เธอวิดแล้ว  จักพลันถึง”

        จงให้ความหมายคำต่อไปนี้  ให้ถูกต้องตามพระบาลีนั้น ?

               ก. เรือนี้               

               ข. จงวิด (วิดอะไร)             

               ค. เรือที่วิดแล้ว

               ง.  จักพลันถึง (ถึงอะไร)          

               จ. เรือจักไม่จมใน........

๖.            ก. อัตภาพร่างกาย

               ข. วิดน้ำ คือมิจฉาวิตก

               ค. อัตภาพที่บรรเทากิเลสให้เบาบางลง   

               ง.  ถึงท่า คือพระนิพพาน  

               จ. ในสังสารวัฏ ฯ

  ๗.  คนสัทธาจริตและคนวิตกจริต มีลักษณะอย่างไร ?  ควรเจริญกัมมัฏฐาน

        อะไร ?

  ๗.  คนสัทธาจริต มีลักษณะเชื่อง่ายขาดเหตุผล คนวิตกจริต มีลักษณะ

        คิดมาก ฟุ้งซ่าน ฯ

        คนสัทธาจริตควรเจริญอนุสสติ ๖ ข้างต้น คนวิตกจริตควรเจริญอานาปานสติ ฯ

  ๘. กายคตาสติกัมมัฏฐานกับอสุภกัมมัฏฐาน ต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร ?

        จงอธิบาย

  ๘.  ต่างกันที่อารมณ์ คือ กายคตาสติ พิจารณาอาการภายในของตนเป็น

        อารมณ์อสุภ พิจารณาซากศพเป็นอารมณ์ ฯ

        เหมือนกันตรงที่พิจารณาให้เห็นเป็นปฏิกูล ไม่งามเหมือนกันและเป็น

        ปฏิปักษ์ต่อกามฉันทะ อีกทั้งเป็นเครื่องกำจัดวิปลาส ข้อที่เห็นว่า

        สวยงามในสิ่งที่ไม่สวยงามได้เหมือนกัน ฯ

  ๙.  จงแสดงวิธีเจริญมุทิตา พร้อมทั้งอานิสงส์แห่งการเจริญ พอเป็นตัวอย่าง ?

 ๙.  วิธีเจริญมุทิตานั้นดังนี้ เมื่อได้เห็นหรือได้ยินมนุษย์หรือสัตว์ เป็นอยู่

        สุขสบาย เจริญรุ่งเรืองด้วยสุขสมบัติ พึงทำจิตใจให้ชื่นชมยินดี แล้ว

        แผ่มุทิตาจิตไปว่า สัตว์ผู้นี้หนอบริบูรณ์ยิ่งนัก มีสุขสมบัติมาก จงเจริญ

        ยั่งยืนด้วยสุขสมบัติยิ่งๆ เถิด เมื่อเจริญอยู่เนืองๆ ย่อมได้รับอานิสงส์

        คือ จะละความริษยาในสมบัติของผู้อื่นได้ ฯ

๑๐.  การทำวัตรสวดมนต์ เป็นกิจวัตรของพระภิกษุสามเณรและเป็นภาวนากุศล

        จงแสดงวิธีเจริญสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน ในบททำวัตรเช้า

        มาดูพอเป็นตัวอย่าง ?

๑๐.  การสวดนมัสการพระรัตนตรัยก็ดี สวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยก็ดี

        เป็นการน้อมจิตระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ชื่อว่า

        เจริญพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ จัดเป็นสมถกัมมัฏฐาน ฯ

        สวดสังเวคปริกิตตนปาฐะว่า ชาติปิ ทุกฺขา ชราปิ ทุกฺขา มรณมฺปิ

        ทุกฺขํ... รูปํ อนิจฺจํ เวทนา อนิจฺจา... รูปํ อนตฺตา เวทนา อนตฺตา...

        เป็นอาทิ ตั้งสติมีความเพียร ใช้ปัญญาพิจารณาเบญจขันธ์ ยกขึ้นสู่

        สามัญลักษณะ จัดเป็นวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ