วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

วิชาธรรม นักธรรมชั้นเอก 2548

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม  นักธรรมชั้นเอก

สอบในสนามหลวง

วันเสาร์ ที่  ๑๙  พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘


   ๑.  การสำรวมจิตให้พ้นจากบ่วงแห่งมาร ในธรรมวิจารณ์ท่านแนะนำวิธีปฏิบัติไว้

        อย่างไร ?  และถ้าจะจัดเข้าในไตรสิกขา จัดได้อย่างไร ?

   ๑.  แนะนำวิธีปฏิบัติไว้ ๓ ประการ คือ

             ๑. สำรวมอินทรีย์มิให้ความยินดีครอบงำ ในเมื่อเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น

                 ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา

             ๒. มนสิการกัมมัฏฐานอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกามฉันทะ คือ อสุภะและกายคตาสติ

                 หรืออันยังจิตให้สลด คือมรณัสสติ

             ๓. เจริญวิปัสสนา คือ พิจารณาสังขารแยกออกเป็นขันธ์ สันนิษฐานเห็น

                 เป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯ

        จัดเข้าในไตรสิกขาได้ดังนี้ 

             ประการที่ ๑ จัดเข้าในสีลสิกขา  

             ประการที่ ๒ จัดเข้าในจิตตสิกขา  

             ประการที่ ๓ จัดเข้าในปัญญาสิกขา ฯ

   ๒.  อนิจจตาแห่งสังขารทั้งหลาย  จะกำหนดรู้ได้ด้วยวิธีใดบ้าง ?

   ๒.        ๑.   กำหนดรู้ในทางง่าย ด้วยความเกิดขึ้นในเบื้องต้น และความสิ้นในเบื้องปลาย                                        ได้ในบาลีว่า

                         อนิจฺจา วต สงฺขารา        อุปฺปาทวยธมฺมิโน

                         อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ

                         สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีความเกิดขึ้นและความเสื่อมสิ้น

                         เป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วย่อมดับ

              ๒. กำหนดรู้ในทางละเอียดกว่านั้นด้วยความแปรในระหว่างเกิดและดับ

                 ได้ในบาลีว่า

                         อจฺเจนฺติ กาลา ตรยนฺติ รตฺติโย

                         วโยคุณา อนุปุพฺพํ ชหนฺติ

                         กาลย่อมล่วงไป ราตรีย่อมผ่านไป ชั้นแห่งวัยย่อมละลำดับไป

              ๓. กำหนดรู้ในทางสุขุม ด้วยความแปรแห่งสังขารในชั่วขณะหนึ่ง ๆ คือ ไม่คงที่

                 อยู่นานเพียงระยะกาลนิดเดียวก็แปรแล้ว ได้ในคาถาวิสุทธิมรรค ว่า

                         ชีวิตํ อตฺตภาโว จ           สุขทุกฺขา จ เกวลา

                         เอกจิตฺตสมา ยุตฺตา        ลหุโส วตฺตเต ขโณ

                         ชีวิต อัตภาพ และสุขทุกข์ ทั้งมวล ประกอบกัน เป็นธรรมเสมอ

                         ด้วยจิตดวงเดียว ขณะย่อมเป็นไปพลัน ฯ

   ๓.  สภาวทุกข์และปกิณณกทุกข์ คือทุกข์เช่นไร ?

   ๓.  สภาวทุกข์ คือทุกข์ประจำสังขาร ได้แก่ ชาติ ชรา มรณะ ฯ 

        ปกิณณกทุกข์ คือ ทุกข์จรได้แก่ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ฯ

   ๔.  พระพุทธพจน์ว่า  “นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ”  สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี จะไม่เป็น

        การปฏิเสธสุขอย่างอื่นไปทั้งหมดหรือ ?  จงอธิบาย

   ๔.  ไม่เป็นการปฏิเสธเสียทีเดียว เช่นทรงแสดงถึงสุขของคฤหัสถ์ ๔ อย่างไว้เป็นต้น 

        แต่สุขอย่างอื่นนั้นยังเจือไปด้วยทุกข์อยู่  ยังไม่ใช่สุข ไม่อาจจะนับว่าเป็นสุข

        ที่แท้จริงได้ มีแต่ความสงบเท่านั้นที่เป็นสุขอย่างแท้จริง เพราะไม่เจือไปด้วย

        ความทุกข์ ฉะนั้นสุขที่ยิ่งกว่าความสงบจึงไม่มี ฯ

   ๕.  สัตว์โลกตายแล้วมีคติเป็นอย่างไร ?  ปัจจุบันภพนั้น เกี่ยวเนื่องกับสัมปรายภพ

        อย่างไร ?

   ๕.  สัตว์โลกตายแล้วมีคติเป็น ๒ คือ ถ้าทำดี คือ ประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา ใจ

        ก็ไปสู่สุคติ ถ้าทำไม่ดี คือประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ก็ไปสู่ทุคติ ฯ  จิตดีชั่ว

        ในปัจจุบัน ย่อมเป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิในสัมปรายภพ ภูมิและภพในภายภาคหน้า

        ขึ้นอยู่กับภูมิและภพชั้นของจิตในปัจจุบันนี้แหละ ดังมีหลักธรรมในอุเทศบาลี

        แสดงว่า เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันต้องหวัง และว่าเมื่อจิตไม่เศร้าหมอง

        แล้ว สุคติเป็นอันหวังได้ ฯ

   ๖.  บุคคลผู้ถูกนิวรณ์ ๕ ครอบงำ พึงแก้ด้วยกัมมัฏฐานอะไรบ้าง ?

   ๖.  ถูกกามฉันทะครอบงำ พึงแก้ด้วยอสุภกัมมัฏฐานหรือกายคตาสติ

        ถูกพยาบาทครอบงำ พึงแก้ด้วยเมตตาพรหมวิหาร

        ถูกถีนมิทธะครอบงำ พึงแก้ด้วยอนุสสติกัมมัฏฐาน

        ถูกอุทธัจจกุกกุจจะครอบงำ พึงแก้ด้วยกสิณหรือมรณัสสติ

        ถูกวิจิกิจฉาครอบงำ พึงแก้ด้วยธาตุกัมมัฏฐานหรือวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ

   ๗.  ผู้เจริญเมตตาพรหมวิหาร ท่านสอนให้แผ่ไปในตนก่อนนั้น มีความมุ่งหมายอย่างไร ?

   ๗.  มีความมุ่งหมายอย่างนี้ ให้ทำตนเป็นพยานว่า ตนนี้อยากได้แต่ความสุข เกลียดชัง

        ทุกข์และภัยต่าง ๆ ฉันใด  แม้สัตว์ทั้งหลาย ก็อยากได้สุข เกลียดชังทุกข์และภัย

        ต่าง ๆ ฉันนั้น เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว จิตก็ปรารถนาจะให้สัตว์ทั้งสิ้น มีความสุข

        ความเจริญ ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงให้แผ่เมตตาจิตไปในตนก่อน ฯ

   ๘.  พระพุทธคุณบทว่า  “สตฺถา เทวมนุสฺสานํ”  เมื่อกล่าวถึงพุทธจรรยาในส่วน

        ที่ทรงสั่งสอนมหาชน ประมวลลงเป็นข้อได้อย่างไรบ้าง ?

   ๘.  ประมวลลงได้อย่างนี้

              ๑. ทรงพระกรุณาหวังจะให้ผู้ที่ทรงสั่งสอน ได้ความรู้อันจะให้สำเร็จประโยชน์

              ๒. ทรงมุ่งความจริงกับประโยชน์เป็นที่ตั้ง

              ๓. ทรงทำกับตรัสเป็นอย่างเดียวกัน

              ๔. ทรงฉลาดในวิธีสั่งสอน ฯ

   ๙.  ในธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน พระพุทธองค์ทรงแสดงวิธีพิจารณาสติสัมโพชฌงค์ไว้

        ด้วยอาการอย่างไร ?

   ๙.  ด้วยอาการอย่างนี้ คือ เมื่อสติสัมโพชฌงค์  มีอยู่ ณ ภายในจิต ก็รู้ชัดว่ามีอยู่

        ณ ภายในจิตของเรา  เมื่อไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต ก็รู้ชัดว่าไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต

        ของเรา เมื่อยังไม่เกิด แต่จะเกิดขึ้นด้วยประการใด ก็รู้ชัดด้วยประการนั้น 

        เมื่อเกิดขึ้นแล้วเจริญบริบูรณ์ขึ้นด้วยประการใด ก็รู้ชัดด้วยประการนั้น ฯ

๑๐.  ข้อว่า อนัตตสัญญา ในคิริมานนทสูตร ทรงให้ยกธรรมอะไรขึ้นพิจารณาว่าเป็น

        อนัตตา ?

๑๐.  ทรงให้ยกอายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และอายตนะภายนอก

        คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ขึ้นพิจารณาว่าเป็นอนัตตา ฯ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น