วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

สรุปนักธรรมชั้นตรี หน้าที่ 3/12

 



หมวด

Ø  วุฑฒิ ธรรมเป็นเครื่องเจรญ


อย่าง


. สัปปุริสสังเสวะ คบสัตบุรุษ                         .  โยนิโสมนสิการ  ตรตรองให้รู้จักสิ่งที่ดีหรือชั่วโดยอุบายที่ชอบ

. สัทธัมมัสสวนะ ฟังคําสั่งสอนของท่านโดยเคารพ             . ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรมซึ่งได้ตรองเห็นแล้ว

(ปี 45) บุคคลผู้หวังความเจริญ ควรตั้งอยู่ในธรรมอะไร? มีอะไรบ้าง?

ตอบ ควรตั้งอยู่ในวุฑฒิธรรม มี . คบสัตบุรุษ      . ฟังคําสั่งสอนของท่านโดยเคารพ     . ตริตรองให้รู้จักสิ่งที่ดีหรือชั่วโดยอุบายที่ชอบ

. ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรมซึ่งได้ตรองเห็นแล้ว

 

Ø  จักร    ธรรมเป็นดุจล้อรถนําไปสความเจริญ.

. ปฏิรูปเทสวาสะ อยู่ในประเทศอันสมควร                 . อัตตสัมมาปณิธิ ตั้งตนไว้ชอบ

. สัปปุริสูปัสสยะ คบสัตบุรุษ                         . ปุพเพกตปุญญตา ความเป็นผไู้ ด้ทําความดีไว้ในปางก่อน

(ปี 58, 46) ธรรมดุจล้อรถนําไปสู่ความเจริญ เรยกว่าอะไร ? จงบอกมาสัก ข้อ

ตอบ เรียกว่า จักร ได้แก่ (เลือกตอบเพียง ข้อ)

. ปฏิรูปเทสวาสะ อยู่ในประเทศอันสมควร        . สัปปุริสูปัสสยะ คบสัตบุรุษ

. อัตตสัมมาปณิธิ ตั้งตนไว้ชอบ                   . ปุพเพกตปุญญตา ความเป็นผู้ได้ทําความดีไว้ในปางก่อน

(ปี 55, 46) ปุพเพกตปุญญตา หมายความว่าอย่างไร? ตอบ ปุพเพกตปุญญตา หมายถึง ความเป็นผไู้ ด้ทําความดีไว้ในปางก่อน

(ปี 48) ธรรม อย่าง ดุจล้อรถนําไปสู่ความเจริญ ข้อว่า คบสัตบุรุษ คือคนดี นั้น จะนําไปสู่ความเจรญได้อย่างไร?

ตอบ เมื่อคบสัตบุรุษแล้วย่อมเป็นเหตุให้คิดดีพูดดีทําดี อันก่อให้เกิดความสุขความเจริญ ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น พ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อน ทั้งยังให้ถึงความเจริญอย่างที่สุดคือพระนิพพานได้

(ปี 43) หลักธรรมดุจล้อรถนําไปสความเจริญ มีกี่อย่าง? อะไรบ้าง?

ตอบ มี อย่างคือ . ปฏิรูปเทสวาสะ อยู่ในประเทศอันสมควร        . สัปปุริสูปัสสยะ คบสัตบุรุษ

. อัตตสมมาปณิธิ ตั้งตนไว้ชอบ                   . ปุพเพกตปุญญตา ความเป็นผู้ได้ทําความดีไว้ในปางก่อน

 

 

Ø  อคติ ความประพฤติที่ผิดด้วยความลําเอียง ด้วยความไม่เที่ยงธรรม

. ฉันทาคติ ลําเอียงเพราะรักใคร่กัน           . โมหาคติ ลําเอียงเพราะโง่เขลา

. โทสาคติ ลําเอียงเพราะไม่ชอบกัน            . ภยาคติ ลําเอียงเพราะกลัว

(ปี 58) บุคคลผู้รักษาความยุติธรรมไว้ได้ ควรเว้นจากธรรมอะไร? ธรรมนั้นมีอะไรบ้าง?

ตอบ ควรเว้นจากอคติ มี . ความลําเอียงเพราะรักใคร่กัน เรียกว่า ฉันทาคติ            . ความลําเอียงเพราะไม่ชอบกัน เรียกว่า โทสาคติ

. ความลําเอียงเพราะเขลา เรียกว่า โมหาคติ                   . ความลําเอียงเพราะกลัว เรียกว่า ภยาคติ

 

(ปี 55) ผู้จะดํารงความยุติธรรมไว้ได้ ต้องประพฤติอย่างไรบ้าง?

ตอบ ต้องประพฤติดังนี้

. ไม่ลําเอียงเพราะรักใคร่กัน อันเรียกว่า ฉันทาคติ

. ไม่ลําเอียงเพราะไม่ชอบกัน อันเรียกว่า โทสาคติ

 

.ไม่ลําเอียงเพราะเขลา อันเรียกว่า โมหาคติ

.ไม่ลําเอียงเพราะกลัว อันเรยกว่า ภยาคติ

(ปี 51) ธรรมหมวดหนึ่ง เป็นเหตุให้ผู้ประพฤติขาดความเที่ยงธรรมชื่อว่าอะไร? มีอะไรบ้าง?

ตอบ ชื่อว่า อคติ ความลําเอียง มี

. ฉันทาคติ ลําเอียงเพราะรักใคร่กัน

. โทสาคติ ลําเอียงเพราะไม่ชอบกัน

 

. โมหาคติ ลาเอียงเพราะเขลา

. ภยาคติ ลําเอียงเพราะกลัว


Ø  อันตรายของภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่ อย่าง

. อดทนต่อคําสั่งสอนไม่ได้ คือเบื่อต่อคําสั่งสอนขี้เกียจทําตาม.                . เพลดเพลินในกามคุณ ทะยานอยากไดส

. เป็นคนเห็นแก่ปากแก่ท้อง ทนความอดอยากไม่ได้.                      . รักผหญิง.

(ปี 59) ภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่ควรเว้นอันตราย อย่าง คืออะไรบ้าง ?

ตอบ ควรเว้นอันตราย อย่าง คือ . อดทนต่อคําสอนไม่ได้ คือเบื่อหน่ายต่อคําสั่งสอน ขี้เกียจทําตาม


ุขยิ่ง ขึ้นไป.


. เป็นคนเห็นแก่ปากแก่ท้อง ทนต่อความอยากไม่ได้            . เพลิดเพลินในกามคุณ ทะยานอยากได้สขยิ่งๆ ขึ้นไป           . รักผู้หญิง

(ปี 43) อันตรายของภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่ ข้อไหนเป็นอันตรายที่สุด? เพราะเหตุไร?

ตอบ ข้อ คือ เพลิดเพลินในกามคุณ ทะยานอยากได้สุขยิ่ง ขึ้นไป เป็นอันตรายที่สุด เพราะอันตรายข้ออื่น ย่อมรวมลงในกามคุณทั้งสิ้น

 

Ø  ปธาน คือความเพียร อย่าง หรอเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สัมมัปปธาน

. สังวรปธาน เพียรระวังมิให้ปาปเกิดขึ้นในสันดาน.             . ภาวนาปธาน เพียรให้กุศลเกิดขึ้นในสันดาน.

. ปหานปธาน เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว.          . อนุรักขนาปธาน เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วไม่ให้เสื่อม. ความเพียร อย่างนี้ เป็นความเพียรชอบ ควรประกอบให้มีในตน.

(ปี 49) ปธานคือความเพียร มีอะไรบ้าง? งดเหล้าเข้าพรรษาอนุโลมเข้าในปธานข้อไหน?

ตอบ มี .สังวรปธาน เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้นในสันดาน           .ปหานปธาน เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว

.ภาวนาปธาน เพียรให้กุศลเกิดขึ้นในสันดาน         .อนุรักขนาปธาน เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วมิให้เสื่อม งดเหล้าเข้าพรรษาอนุโลมเข้าในปหานปธาน

(ปี 46) เพียรระวังตนให้ห่างไกลจากสิ่งเสพติด จัดเข้าในปธานข้อไหน? ตอบ จัดเข้าในสังวรปธาน

(ปี 44) คนเสพยาเสพย์ติด เพียรพยายามจะเลิกให้ได้ ชื่อว่าตั้งอยู่ในปธานข้อไหน? ตอบ ตั้งอยู่ในปหานปธาน

 

Ø  อธิษฐานธรรม คือ ธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ อย่าง

(ปี 43) อธิษฐานธรรมคือธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ มีกี่อย่าง? อะไรบ้าง?

ตอบ   . ปัญญา รอบรู้สิ่งที่ควรรู้.                             . จาคะ สละสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่ความจริงใจ.

. สัจจะ ความจริงใจ คือประพฤติสิ่งใดก็ให้ได้จริง.               . อุปสมะ สงบใจจากสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่ความสงบ.

 

Ø  อิทธิบาท คุณธรรมเครื่องให้สําเร็จความประสงค์

. ฉันทะ พอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น           . จิตตะ เอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้น ไม่วางธุระ

. วิริยะ เพียรประกอบสิ่งนั้น            . วิมังสา หมั่นตริตรองพิจารณาเหตุผลในสิ่งนั้น

(ปี  62,  60,  43)  ผู้ที่ทํางานไม่สําเร็จผลตามที่มุ่งหมายเพราะขาดคุณธรรมอะไรบ้าง?

ตอบ เพราะขาดอิทธิบาท คือ คุณเครื่องให้สําเร็จความประสงค์ อย่าง คือ             . ฉันทะ พอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น


. วิริยะ เพียรประกอบสิ่งนั้น . จิตตะ เอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้นไมวางธุระ . วิมังสา หมั่นตรตรองพิจารณาเหตผ

(ปี 57) คุณธรรมเครื่องให้สําเร็จความประสงค์ คืออะไร? มีอะไรบ้าง?


ลในสิ่งนั้น


ตอบ คืออิทธิบาท มี . ฉันทะ พอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น          . วิริยะ เพียรประกอบสิ่งนั้น . จิตตะ เอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้นไม่วางธุระ

. วิมังสา หมั่นตรตรองพิจารณาเหตุผลในสิ่งนั้น

(ปี 53) นักเรียนผู้ต้องการจะเรียนหนังสือให้ได้ผลดี จะนําอิทธิบาทมาใช้อย่างไร?


ตอบ ในเบื้องต้น ต้องสร้างฉันทะคือความพอใจในการศึกษาเลาเรยนก่อน เมื่อมีความพอใจ จะเป็นเหตุให้ขยันศึกษาหาความรู้ที่เรียกว่าวิริยะ และ

เกิดความใฝ่ใจใครรสิ่งต่างๆ  มากขึ้น  ที่เรียกว่าจิตตะ  เมื่อเรียนรู้แล้วก็ต้องนําความรู้นั้นมาใคร่ครวญพิจารณาให้เข้าใจเหตุและผลอย่างถูกต้องที่

เรียกว่าวิมังสา ดังนี้ก็จะประสบผลสําเรจในการศึกษาเล่าเรียนได้

(ปี 45) ผู้ประกอบกิจการงานสําเร็จตามความประสงค์เพราะประพฤติธรรมอะไร? มีอะไรบ้าง?

ตอบ เพราะประพฤติอิทธิบาท มี     . ฉันทะ พอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น                 . วิริยะ เพียรประกอบสิ่งนั้น

. จิตตะ เอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้น ไม่วางธุระ             . วิมังสา หมั่นตริตรองพิจารณาเหตุผลในสิ่งนั้น

 

Ø  ปาริสุทธิศีล ข้อปฏิบัติที่ทําให้ศีลบริสุทธิ์

.  ปาติโมกขสังวร สํารวมในพระปาติโมกข์ เว้นข้อที่พระพุทธเจ้าห้าม ทําตามข้อที่พระองค์ทรงอนุญาต.

.  อินทรียสังวร สํารวมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้ยินดียินร้าย ในเวลาเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส กายสัมผัส รู้ธรรมารมณ์.

.  อาชีวปาริสุทธิ เลี้ยงชีวิตโดยทางที่ชอบ ไม่หลอกลวงเขาเลี้ยงชีวิต.


.  ปัจจยปัจจเวกขณะ พิจารณาเสียก่อนจึงบริโภคปัจจัย คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัช ไมบริโภคด้วยตณ

(ปี 56) จงให้ความหมายของคําว่า อินทรียสังวร ตอบ หมายถึง ความสํารวมอินทรีย์

(ปี 55) การสํารวมอินทรีย์ ได้แก่การกระทําอย่างไร? เมื่อกระทําเช่นนั้นแล้วจะได้รับประโยชน์อะไร?


หา.


ตอบ การสํารวมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้ยินดี ยินร้าย เมื่อเห็นรูป ได้ยินเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส กายสัมผัส รู้ธรรมารมณ์ ฯ ได้ประโยชน์ คือ ไมเกิดความยินดี ไม่เกิดความยินร้าย ในเวลาเห็นรูป ได้ยินเสียง เป็นต้น

(ปี 51) อินทรียสังวร คือสํารวมอินทรีย์ อินทรีย์ได้แก่อะไรบ้าง ? ตอบ อินทรีย์ ได้แก่ ตา หู จมูก ลน กาย ใจ

(ปี 50) ภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่จะต้องมีอินทรียสังวร คือสํารวมอินทรีย์ สํารวมอินทรีย์นั้น คืออย่างไร ?

ตอบ สํารวมอินทรีย์ คือระวังตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้ความยินดียินร้ายครอบงําได้ ในเวลาเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ รู้ธรรมารมณ์ ฯ

(ปี 48) ปัจจยปัจจเวกขณะ หมายความว่าอย่างไร?


ตอบ หมายความว่า พิจารณา(ถึงคุณและโทษของปัจจัย๔)ก่อน จึงบริโภคปัจจัย๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัช ไม่บริโภคด้วยตณ

(ปี 46) จงอธิบายความหมายของคําต่อไปนี้ ?         . ปัจจยปัจจเวกขณะ              . อภิณหปัจจเวกขณะ

ตอบ . ปัจจยปัจจเวกขณะคือพิจารณาเสยก่อนจึงบริโภคปัจจัย คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัช ไม่บริโภคด้วยตัณหา


หา


. อภิณหปัจจเวกขณะคือพิจารณาทุก วันว่า เรามความแก่ มีความเจ็บมีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ เจ็บ ตายไปได้ เราต้อง พลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น เรามีกรรมเป็นของ ตน เราทําดี จักได้ดี ทําชั่ว จักได้ชั่ว

 

Ø  พรหมวิหาร ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของท่านผู้ใหญ่

. เมตตา ความรักใคร่ ปรารถนาจะให้เป็นสุข.                 . มุทิตา ความพลอยยินดี เมื่อผอื่นได้ดี.

. กรุณา ความสงสาร คิดจะช่วยให้พ้นทุกข์.        . อุเบกขา ความวางเฉย ไมดีใจ ไม่เสียใจ เมื่อผู้อื่นถึงความวิบัติ. (ปี 64, 57) เมื่อเพื่อนร่วมงานได้เลื่อนตําแหน่ง ไม่คิดริษยา พลอยยินดีกับเขาด้วย ชื่อว่าปฏิบัติตามพรหมวิหารธรรมข้อใด? ตอบ มุทิตา (ปี 53) พรหมวิหาร มีอะไรบ้าง? ตอบ มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

 

Ø  ธาตุกัมมัฏฐาน การกําหนดพิจารณาร่างกายที่ประกอบด้วยธาตุ คือ

. ปฐวีธาตุ ธาตุดิน             . อาโปธาตุ ธาตุนํ้า         . เตโชธาตุ ธาตุไฟ          . วาโยธาตุ ธาตุลม


(ปี 63) ธาตุ คืออะไรบ้าง ? ฟันจัดเป็นธาตุอะไร ? ตอบ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุไฟ ธาตุลมฯ              เป็นธาตุดินฯ

(ปี 51) ธาตุ มีธาตุอะไรบ้าง? ธาตุมีลักษณะแข้นแข็ง คือธาตุอะไร?

ตอบ ธาตุ คือ ธาตุดิน ธาตุนํ้า ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุมีลักษณะแข้นแข็ง คือ ธาตุดิน (ปี 46) ธาตุกัมมัฏฐาน มีอะไรบ้าง? กําหนดพิจารณาอย่างไร เรียกว่า ธาตุกัมมัฏฐาน? ตอบ มี คือ ธาตุดิน ธาตุนํ้า ธาตุไฟ ธาตุลม

กําหนดพิจารณากายนี้ ให้เห็นว่าเป็นแต่เพียงธาตุ คือ ดิน นํ้า ไฟ ลม ประชุมกันอยู่ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เรียกว่า ธาตุกัมมัฏฐาน

 

Ø  อริยสัจ ความจริงอันประเสริฐ

. ทุกข์ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ                        . นิโรธ ความดับทุกข์

. สมุทัย เหตุให้ทุกข์เกิด คือ ตัณหา (ความทะยานอยาก) . มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ คือ มรรคมีองค์

·       ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ได้ชอว่าทุกข์ เพราะเป็นของทนได้ยาก.

·       ตัณหา คือความทะยานอยาก ได้ชื่อว่าสมุทัย เพราะเป็นเหตุให้ทุกข์เกิด.

·       ตัณหานั้น มี ประเภท คือ     ความอยากในอารมณ์ที่น่ารักใคร่ เรียกว่า กามตัณหา

ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ เรยกว่า ภวตัณหา

ความอยากไม่เป็นโน่นเป็นนี่ เรียกว่า วิภวตัณหา

·       ความดับตัณหาได้สิ้นเชิง ทุกข์ดับไปหมด ได้ชื่อว่านิโรธ เพราะเป็นความดับทุกข์.

·       ปัญญาอันเห็นชอบว่า สิ่งนี้ทุกข์ สงิ่ นี้เหตุให้ทุกข์เกิด สิ่งนี้ความดับทุกข์ สิ่งนี้ทางให้ถึงความดับทุกข์ ได้ชื่อว่า มรรค เพราะเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์.

·       มรรคนั้นมีองค์ ประการ คือ ปัญญาอันเห็นชอบ ดําริชอบ เจรจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีวิตชอบ เพียรชอบ ตั้งสติชอบ ๑ ตั้งใจชอบ ๑. [หมายเหตุ ปัญญาอันเ👉็นชอบ เรานิยมพูดสั้นๆ ว่า ความเ👉็นชอบ”]

(ปี 64,61) อริยสัจ มีอะไรบ้าง ? ความไม่สบายกายไม่สบายใจ จัดเป็นอริยสัจ ข้อไหน ?

ตอบ มี . ทุกข์ . สมุทัย คือเหตุให้เกิดทุกข์ . นิโรธ คือความดับทุกข์ . มรรค คือข้อปฏิบัตให้ถึงความดับทุกข์ จัดเป็นทุกข์

(ปี 57, 56) เหตุให้เกิดทุกข์ในอริยสัจ คืออะไร? ตอบ คือตัณหา ความทะยานอยาก

(ปี 54, 45) ทุกข์ในอริยสัจ คืออะไร? เหตุให้เกิดทุกข์คืออะไร?

ตอบ ทุกข์ คือ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ เหตุให้เกิดทุกข์คือ ตัณหา (ความทะยานอยาก)

(ปี 52) ปัญญาอันเห็นชอบอย่างไร จึงชื่อว่ามรรคในอริยสัจ ? เพราะเหตุไร?

ตอบ   ปัญญาอันเห็นชอบว่าสิ่งนี้ทุกข์ สิ่งนี้เหตุให้ทุกข์เกิด สิ่งนี้ความดับทุกข์ สิ่งนี้ทางให้ถึงความดับทุกข์ ได้ชื่อว่ามรรค เพราะเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

(ปี 44) อริยสจ มีอะไรบ้าง? ปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สมหวัง จัดเป็นอริยสัจข้อไหน ?

ตอบ มี . ทุกข์    . สมุทัย คือ เหตุให้ทุกข์เกิด . นิโรธ คือ ความดับทุกข์ . มรรค คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์           จัดเป็นทุกข์






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น