วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

๑๖. บัณฑิตสามเณร

๑๖. บัณฑิตสามเณร
ในอดีตกาล บัณฑิตสามเณร เกิดเป็นชายเข็ญใจ ชื่อมหาทุคคตะ ด้วยอานิสงส์
แห่งทาน มีการถวายภัตตาหารประกอบด้วยรสปลาตะเพียนเป็นต้นแด่พระกัสสปพุทธเจ้า
พระเจ้าแผ่นดินได้พระราชทานทรัพย์สมบัติมากมาย และสถาปนาเขาไว้ในตาแหน่งเศรษฐี
อย่างเป็นทางการ แม้เบื้องหน้าแต่นั้น เขาดารงอยู่ บาเพ็ญบุญจนตลอดอายุ ในที่สุดอายุได้
บังเกิดในเทวโลกเสวยทิพยสมบัติสิ้นพุทธันดรหนึ่ง ในพุทธุปบาทกาลนี้ จุติจากนั้นแล้วถือ
ปฏิสนธิในท้องธิดาคนโตในตระกูลอุปัฏฐากของพระสารีบุตรเถระ ในกรุงสาวัตถี
ครั้งนั้น มารดาบิดาของนางรู้ว่านางตั้งครรภ์ จึงได้ให้เครื่องบริหารครรภ์ โดยสมัยอื่น
นางเกิดแพ้ท้องเห็นปานนี้ว่า โอ้ เราพึงถวายทานแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป ตั้งต้นแต่พระธรรม
เสนาบดี ด้วยรสปลาตะเพียนแล้วนุ่งผ้าย้อมน้าฝาดนั่งในที่สุดอาสนะ บริโภคภัตที่เป็นเดน
ของภิกษุเหล่านั้น
นางบอกแก่มารดาบิดาแล้วก็ได้กระทาตามประสงค์ ความแพ้ท้องระงับไปแล้ว
ต่อมา ในงานมงคล ๗ ครั้งแม้อื่นจากนี้ มารดาบิดาของนางเลี้ยงภิกษุ ๕๐๐ รูป
มีพระธรรมเสนาบดีเถระเป็นประมุข ด้วยรสปลาตะเพียนเหมือนกัน
ก็ในวันตั้งชื่อ เมื่อมารดาของเด็กนั้นกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงให้สิกขาบท
ทั้งหลายแก่ทาสของท่านเถิด
พระเถระถามว่า เด็กนี้ชื่ออะไร
มารดาของเด็กตอบว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ คนเงอะงะในเรือนนี้ แม้พวกพูดไม่ได้เรื่อง
ก็กลับเป็นผู้ฉลาดตั้งแต่กาลที่เด็กนี้ถือปฏิสนธิในท้อง เพราะฉะนั้น บุตรของดิฉันควรมีชื่อว่า
หนูบัณฑิต เถิด
พระเถระได้ให้สิกขาบททั้งหลายแล้ว ก็ตั้งแต่วันที่หนูบัณฑิตเกิดมา ความคิดเกิดขึ้น
แก่มารดาของเขาว่า เราจะไม่ทาลายอัธยาศัยของบุตรเรา ในเวลาที่เขามีอายุได้ ๗ ขวบ
เขากล่าวกับมารดาว่า ผมขอบวชในสานักพระเถระ นางกล่าวว่า ได้ พ่อคุณ แม่ได้นึกไว้เสมอ
อย่างนี้ว่า จะไม่ทาลายอัธยาศัยของเจ้า ดังนี้แล้วจึงนิมนต์พระเถระให้ฉันแล้วกล่าวว่า ข้าแต่
ท่านผู้เจริญ ทาสของท่านอยากจะบวช ดิฉันจะนาเด็กนี้ไปวิหารในเวลาเย็น ส่งพระเถระไป
แล้ว ให้หมู่ญาติประชุมกัน กล่าวว่า พวกข้าพเจ้าจะทาสักการะที่ควรทาแก่บุตรของข้าพเจ้า
ในเวลาเป็นคฤหัสถ์ ในวันนี้ทีเดียว ดังนี้แล้ว ก็ให้ทาสักการะมากมาย พาหนูบัณฑิตนั้นไปสู่
วิหาร ได้มอบถวายแก่พระเถระว่า ขอท่านจงให้เด็กนี้บวชเถิด เจ้าข้าพระเถระบอกความที่การบวชเป็นกิจทาได้ยากแล้ว เมื่อเด็กรับรองว่า ผมจะทาตาม
โอวาทของท่านขอรับ จึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น จงมาเถิด ชุบผมให้เปียกแล้วบอกตจปัญจก-
กัมมัฏฐานให้บวชแล้ว
แม้มารดาบิดาของบัณฑิตสามเณรนั้นอยู่ในวิหารสิ้น ๗ วัน ถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์
มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยรสปลาตะเพียนอย่างเดียว ในวันที่ ๗ เวลาเย็นจึงได้ไปเรือน
ในวันที่ ๘ พระเถระเมื่อจะไปภายในบ้าน พาสามเณรนั้นไป ไม่ได้ไปกับหมู่ภิกษุ
เพราะเหตุไร
เพราะว่า การห่มจีวรและถือบาตรหรืออิริยาบถของเธอยังไม่น่าเลื่อมใสก่อน
อีกอย่างหนึ่ง วัตรที่พึงทาในวิหารของพระเถระยังมีอยู่
อนึ่ง พระเถระ เมื่อภิกษุสงฆ์เข้าไปภายในบ้านแล้ว เที่ยวไปทั่ววิหาร กวาดสถานที่
ที่ยังไม่ได้กวาด ตั้งน้าฉันน้าใช้ไว้ภายในภาชนะที่ว่างเปล่า เก็บเตียงตั่งเป็นต้นที่ยังเก็บไว้
ไม่เรียบร้อยแล้ว จึงเข้าไปบ้านภายหลัง อีกอย่างหนึ่ง ท่านคิดว่า พวกเดียรถีย์เข้าไปยังวิหาร
ว่างแล้ว อย่าได้พูดว่า ดูเถิด ที่นั่งของพวกสาวกพระสมณโคดม ดังนี้แล้ว จึงได้จัดแจงวิหาร
ทั้งสิ้น เข้าไปบ้านภายหลัง เพราะฉะนั้น แม้ในวันนั้น พระเถระให้สามเณรถือบาตรและจีวร
เข้าไปบ้านสายหน่อย
บัณฑิตสามเณรได้ไปบิณฑบาตกับพระสารีบุตรเถระ ระหว่างทางเห็นคนชักน้า
จากเหมือง เกิดสงสัยจึงถามว่า น้ามีจิตใจหรือไม่ พระเถระตอบว่า น้าไม่มีจิตใจ สามเณร
จึงคิดว่า เมื่อคนสามารถชักน้าซึ่งไม่มีจิตใจไปสู่ที่ที่ตนเองต้องการได้ แต่เหตุใดจึงไม่สามารถ
บังคับจิตให้อยู่ในอานาจได้
เดินต่อไป ได้เห็นคนกาลังถากไม้ทาเกวียนอยู่ ถึงถามว่า ไม้นั้นมีจิตใจหรือไม่
เมื่อพระเถระตอบว่า ไม้ไม่มีจิตใจ สามเณรจึงคิดว่า คนสามารถนาท่อนไม้ที่ไม่มีจิตใจมาทา
เป็นล้อได้ แต่ทาไมไม่สามารถบังคับจิตใจได้
เดินต่อไป ได้เห็นคนกาลังใช้ไฟลนลูกศรเพื่อจะดัดให้ตรงจึงถามว่า ลูกศรนั้นมีจิตใจ
หรือไม่ เมื่อพระเถระตอบว่า ลูกศรไม่มีจิตใจ สามเณรจึงคิดว่า คนสามารถดัดลูกศรให้ตรงได้
แต่ทาไมไม่สามารถบังคับจิตให้อยู่ในอานาจได้
ทันใดนั้น สามเณรได้เกิดความคิดที่จะปฏิบัติธรรมขึ้น จึงได้ขอพระเถระนาอาหาร
มาฝากตนด้วย พระเถระได้รับปากและมอบลูกดาล (กุญแจ) ให้พร้อมกับสั่งให้ไปปฏิบัติธรรม
ในห้องของท่าน สามเณรได้ทาตามทุกอย่างและก็เริ่มบาเพ็ญสมณธรรมครั้งนั้น ที่ประทับนั่งของท้าวสักกะ แสดงอาการร้อนด้วยเดชแห่งคุณของสามเณร
ท้าวเธอใคร่ครวญว่า มีเหตุอะไรกันหนอ ทรงดาริได้ว่า บัณฑิตสามเณรถวายบาตรและจีวร
แก่พระอุปัชฌาย์แล้วกลับด้วยตั้งใจว่า จะทาสมณธรรม แม้เราก็ควรไปในที่นั้น ดังนี้แล้วตรัส
เรียกท้าวมหาราชทั้ง ๔ มา ตรัสว่า พวกท่านจงไปไล่นกที่บินจอแจอยู่ในป่าใกล้วิหารให้หนีไป
แล้วยึดอารักขาไว้โดยรอบ ตรัสกับจันทเทพบุตรว่า ท่านจงรั้งมณฑลพระจันทร์ไว้ ตรัสกับ
สุริยเทพบุตรว่า ท่านจงฉุดรั้งมณฑลพระอาทิตย์ไว้ ดังนี้แล้ว พระองค์เองได้เสด็จไปประทับ
ยืนยึดอารักขาอยู่ที่สายยูในพระวิหาร แม้เสียงแห่งใบไม้แก่ก็มิได้มี จิตของสามเณรได้อารมณ์
เป็นหนึ่ง เธอพิจารณาอัตภาพแล้วบรรลุผล ๓ อย่างในระหว่างภัตนั้นเอง
ฝ่ายพระเถระคิดว่า สามเณรนั่งในวิหาร เราอาจจะได้โภชนะที่สมประสงค์แก่เธอ
ในสกุลชื่อโน้น ดังนี้แล้ว จึงได้ไปสู่ตระกูลอุปัฏฐากซึ่งประกอบด้วยความรักและเคารพ
ตระกูลหนึ่ง
ก็ในวันนั้น มนุษย์ทั้งหลายในตระกูลนั้น ได้ปลาตะเพียนหลายตัว นั่งดูการมาแห่ง
พระเถระอยู่ พวกเขาเห็นพระเถระกาลังมาจึงกล่าวว่า ท่านขอรับ ท่านมาที่นี้ ทากรรมเจริญ
แล้วนิมนต์ให้เข้าไปข้างใน ถวายข้าวยาคูและของควรเคี้ยวเป็นต้นแล้ว ได้ถวายบิณฑบาต
ด้วยรสปลาตะเพียน พระเถระแสดงอาการจะนาไป พวกมนุษย์เรียนว่า นิมนต์ฉันเถิดขอรับ
ใต้เท้าจะได้แม้ภัตสาหรับจะนาไป ในเวลาเสร็จภัตกิจของพระเถระ ได้เอาภาชนะประกอบด้วย
รสปลาตะเพียนใส่เต็มบาตรถวาย พระเถระคิดว่า สามเณรของเราหิวแล้วจึงได้รีบไป
แม้พระพุทธเจ้า ในวันนั้นเสวยแต่เช้า เสด็จไปวิหารใคร่ครวญว่า บัณฑิตสามเณรให้
บาตรและจีวรแก่พระอุปัชฌาย์แล้วกลับไปด้วยตั้งใจว่าจะทาสมณธรรมกิจแห่งบรรพชิต
ของเธอ จะสาเร็จหรือไม่ ทรงทราบว่า สามเณรบรรลุผล ๓ อย่างแล้ว จึงทรงพิจารณาว่า
อุปนิสัยแห่งอรหัตผลจะมีหรือไม่มี ทรงเห็นว่า มี แล้วทรงใคร่ครวญว่า เธอจะบรรลุอรหัตผล
ก่อนภัตหรือไม่ ได้ทรงทราบว่า บรรลุ
ลาดับนั้น พระองค์ได้มีความปริวิตกอย่างนี้ว่า สารีบุตรถือภัตเพื่อสามเณรรีบมา
เธอจะพึงทาอันตรายแก่สามเณรนั้นได้ เราจะนั่งถือเอาอารักขาที่ซุ้มประตู ทีนั้นจะถามปัญหา
๔ ข้อ เมื่อเธอแก้อยู่ สามเณรจะบรรลุอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ดังนี้แล้ว จึงเสด็จไป
จากวิหาร ประทับยืนอยู่ที่ซุ้มประตู ตรัสถามปัญหา ๔ ข้อกับพระเถระผู้มาถึงแล้ว
เมื่อพระเถระแก้ปัญหาทั้ง ๔ ข้อเหล่านี้อย่างนั้นแล้ว สามเณรก็ได้บรรลุอรหัตผล
พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ฝ่ายพระพุทธเจ้าตรัสกับพระเถระว่า ไปเถิด สารีบุตร จงให้ภัตแก่สามเณรของเธอ พระเถระไปเคาะประตูแล้ว สามเณรออกมารับบาตรจากมือพระเถระวางไว้
ณ ส่วนข้างหนึ่ง จึงเอาพัดก้านตาลพัดพระเถระ
ลาดับนั้น พระเถระกล่าวว่า สามเณร จงทาภัตกิจเสียเถิด
สามเณรเรียนถามว่า ก็ใต้เท้าเล่า ขอรับ
พระเถระกล่าวว่า เราทาภัตกิจเสร็จแล้ว เธอจงทาเถิด
เด็กอายุ ๗ ขวบบวชแล้ว ในวันที่ ๘ บรรลุอรหัตผล เป็นเหมือนดอกปทุมที่แย้มแล้ว
ในขณะนั้น ได้นั่งพิจารณาที่เป็นที่ใส่ภัต ทาภัตกิจแล้ว
ในขณะที่เธอล้างบาตรเก็บไว้ จันทเทพบุตรปล่อยมณฑลพระจันทร์ สุริยเทพบุตร
ปล่อยมณฑลพระอาทิตย์ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ เลิกอารักขาทั้ง ๔ ทิศ ท้าวสักกเทวราช
เลิกอารักขาที่สายยู พระอาทิตย์ เคลื่อนคล้อยไปแล้วจากที่ท่ามกลาง
ภิกษุทั้งหลายโพนทะนาว่า เงา บ่ายเกินประมาณแล้ว พระอาทิตย์เคลื่อนคล้อยไป
จากที่ท่ามกลาง ก็สามเณรฉันเสร็จเดี๋ยวนี้เอง นี่เรื่องอะไรกันหนอ
พระพุทธเจ้าทรงทราบความเป็นไปนั้นแล้วเสด็จมา ตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลายพวกเธอ
พูดอะไรกัน
พวกภิกษุกราบทูลว่า เรื่องชื่อนี้ พระเจ้าข้า
พระพุทธเจ้าตรัสว่า อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย ในเวลาผู้มีบุญทาสมณธรรม จันทเทพบุตร
ฉุดมณฑลพระจันทร์รั้งไว้ สุริยเทพบุตรฉุดมณฑลพระอาทิตย์รั้งไว้ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ถือ
อารักขาทั้ง ๔ ทิศ ในป่าใกล้วิหาร ท้าวสักกเทวราชเสด็จมายึดอารักขาที่สายยู ถึงเราผู้มี
ความขวนขวายน้อยด้วยนึกเสียว่า เป็นพระพุทธเจ้า ก็ไม่อาจจะนั่งอยู่ได้ ยังได้ไปยึดอารักขา
เพื่อบุตรของเรา ที่ซุ้มประตู แล้วตรัสต่อไปว่า วันนี้บัณฑิตสามเณรเห็นคนไขน้าไปจากเหมือง
ช่างศรกาลังดัดลูกศรให้ตรง และช่างถากกาลังถากไม้แล้ว ถือเอาเหตุเท่านั้นให้เป็นอารมณ์
ทรมานตนบรรลุอรหัตผลแล้ว ดังนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น