วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

๑๙. วนวาสีติสสสามเณร

๑๙. วนวาสีติสสสามเณร
ในอดีตกาล วนวาสีติสสสามเณร เกิดเป็น สหายของวังคันตพราหมณ์ ผู้บิดาของ
พระสารีบุตรเถระ ชื่อ มหาเสนพราหมณ์ อยู่ในเมืองราชคฤห์ วันหนึ่ง พระสารีบุตรเถระ
เที่ยวบิณฑบาต ได้ไปยังประตูเรือนของพราหมณ์นั้น เพื่ออนุเคราะห์เขา
แต่พราหมณ์นั้นมีสมบัติหมดเสียแล้ว กลับเป็นคนยากจน เขาคิดว่า บุตรของเรามา
เพื่อเที่ยวบิณฑบาตที่ประตูเรือนของเรา แต่เราเป็นคนยากจน บุตรของเราเห็นจะไม่ทราบ
ความที่เราเป็นคนยากจน ไทยธรรมอะไร ๆ ของเราก็ไม่มี เมื่อไม่อาจจะเผชิญหน้าพระเถระ
นั้นได้จึงหลบเสีย ถึงในวันอื่น แม้พระเถระได้ไปอีก พราหมณ์ก็ได้หลบเสียอย่างนั้นเหมือนกัน
เขาคิดอยู่ว่า เราได้อะไร ๆ แล้วนั่นแหละจะถวาย แต่ก็ไม่ได้อะไร ๆ
ภายหลังวันหนึ่ง เขาได้ถาดเต็มด้วยข้าวปายาสพร้อมกับผ้าสาฎกเนื้อหยาบ ในที่
บอกลัทธิของพราหมณ์แห่งหนึ่ง ถือไปถึงเรือน นึกถึงพระเถระขึ้นได้ว่า การที่เราถวาย
บิณฑบาตนี้แก่พระเถระ ควร
ในขณะนั้นนั่นเอง แม้พระเถระเข้าฌาน ออกจากสมาบัติแล้ว เห็นพราหมณ์นั้น
คิดว่า พราหมณ์ได้ไทยธรรมแล้ว หวังอยู่ซึ่งการมาของเรา การที่เราไปในที่นั้น ควร ดังนี้แล้ว
จึงห่มผ้าสังฆาฏิ ถือบาตร แสดงตนยืนอยู่ที่ประตูเรือนของพราหมณ์นั้น พอเห็นพระเถระ
เท่านั้น จิตของพราหมณ์เลื่อมใสแล้ว
ลาดับนั้น เขาเข้าไปหาพระเถระ ไหว้แล้ว ทาปฏิสันถาร นิมนต์ให้นั่งภายในเรือน
ถือถาดอันเต็มด้วยข้าวปายาส เกลี่ยลงในบาตรของพระเถระ พระเถระรับกึ่งหนึ่งแล้วจึงเอา
มือปิดบาตร
ทีนั้น พราหมณ์กล่าวกับพระเถระว่า ท่านผู้เจริญ ข้าวปายาสนี้สักว่าเป็นส่วนของ
คนเดียวเท่านั้น ขอท่านจงทาความสงเคราะห์ในปรโลกแก่กระผมเถิด อย่าทาความสงเคราะห์
ในโลกนี้เลย กระผมปรารถนาถวายไม่ให้เหลือทีเดียว ดังนี้แล้ว จึงเกลี่ยลงทั้งหมด พระเถระ
ฉันในที่นั้นนั่นเอง ครั้นในเวลาเสร็จภัตกิจ เขาถวายผ้าสาฎกแม้นั้นแก่พระเถระ ไหว้แล้ว
กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ขอให้กระผมพึงบรรลุธรรมที่ท่านเห็นแล้วเหมือนกันพระเถระทาอนุโมทนาแก่พราหมณ์นั้นว่า จงสาเร็จอย่างนั้น พราหมณ์ ลุกขึ้นจาก
อาสนะหลีกไป เที่ยวจาริกโดยลาดับ ได้ถึงวัดพระเชตวันแล้ว
ก็ทานที่บุคคลถวายแล้วในคราวที่ตนตกยาก ย่อมทาผู้ถวายให้ร่าเริงอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้น แม้พราหมณ์ถวายทานนั้นแล้ว มีจิตเลื่อมใส เกิดโสมนัสแล้ว ได้ทาความสิเนหา
มีประมาณยิ่งในพระเถระ ด้วยความสิเนหาในพระเถระ พราหมณ์นั้นทากาละแล้ว ถือปฏิสนธิ
ในสกุลอุปัฏฐากของพระเถระในเมืองสาวัตถี
ก็ในขณะนั้น มารดาของเขาบอกแก่สามีว่า สัตว์เกิดในครรภ์ตั้งขึ้นในท้องของฉัน
สามีได้ให้เครื่องบริหารครรภ์แก่มารดาของทารกนั้นแล้ว เมื่อนางเว้นการบริโภคอาหารวัตถุ
มีของร้อนจัด เย็นนัก และเปรี้ยวนัก เป็นต้น รักษาครรภ์อยู่โดยสบาย ความแพ้ท้องเห็น
ปานนี้เกิดขึ้นว่า ไฉนหนอ เราพึงนิมนต์ภิกษุ ๕๐๐ รูป มีพระสารีบุตรเถระเป็นประธานให้นั่ง
ในเรือน ถวายข้าวปายาสเจือด้วยน้านมล้วน แม้ตนเองนุ่งห่มผ้ากาสาวะ ถือขันทอง นั่งใน
ที่สุดแห่งอาสนะ แล้วบริโภคข้าวปายาสอันเป็นเดนของภิกษุประมาณเท่านี้
ได้ยินว่า ความแพ้ท้องในเพราะการนุ่งห่มผ้ากาสาวะนั้นของนาง ได้เป็นบุรพนิมิต
แห่งการบรรพชาในพระพุทธศาสนาของบุตรในท้อง
ลาดับนั้น พวกญาติของนางคิดว่า ความแพ้ท้องของธิดาพวกเราประกอบด้วยธรรม
ดังนี้แล้ว จึงถวายข้าวปายาสเจือด้วยน้านมล้วน แก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป มีพระสารีบุตรเถระเป็น
ประธาน แม้นางก็นุ่งผ้ากาสาวะผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง ถือขันทองนั่งในที่สุดแห่งอาสนะ บริโภค
ข้าวปายาสอันเป็นเดนของภิกษุความแพ้ท้องสงบแล้ว
ในมงคลที่เขากระทาแล้วในระหว่าง ๆ แก่นางนั้น ตลอดเวลาสัตว์เกิดในครรภ์
คลอดก็ดี ในมงคลที่เขากระทาแก่นางผู้คลอดบุตร โดยล่วงไป ๑๐ เดือนก็ดี พวกญาติก็ได้
ถวายข้าวมธุปายาสมีน้าน้อยแก่ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป มีพระสารีบุตรเถระเป็นประธาน
เหมือนกัน
ได้ยินว่า นี่เป็นผลแห่งข้าวปายาสที่ทารกถวายแล้วในเวลาที่ตนเป็นพราหมณ์
ในกาลก่อน
ก็ในวันมงคลที่พวกญาติกระทาในวันที่ทารกเกิด พวกญาติให้ทารกนั้นอาบน้าแต่
เช้าตรู่ ประดับแล้วให้นอนเบื้องบนผ้ากัมพลมีค่าแสนหนึ่ง บนที่นอนอันมีสิริทารกนั้นนอนอยู่บนผ้ากัมพล แลดูพระเถระแล้ว คิดว่า พระเถระนี้เป็นบุรพาจารย์
ของเรา เราได้สมบัตินี้เพราะอาศัยพระเถระนี้ การที่เราทาการบริจาคอย่างหนึ่งแก่ท่านผู้นี้
ควร อันญาตินาไปเพื่อประโยชน์แก่การรับสิกขาบท ได้เอานิ้วก้อยเกี่ยวผ้ากัมพลนั้นยึดไว้
ครั้งนั้น ญาติทั้งหลายของทารกนั้นคิดว่า ผ้ากัมพลคล้องที่นิ้วมือแล้ว จึงปรารภจะ
นาออก ทารกนั้นร้องไห้ พวกญาติกล่าวว่า ขอพวกท่านจงหลีกไปเถิด ท่านทั้งหลายอย่ายัง
ทารกให้ร้องไห้เลย ดังนี้แล้ว จึงนาไปพร้อมกับผ้ากัมพล ในเวลาไหว้พระเถระ ทารกนั้น
ชักนิ้วมือออกจากผ้ากัมพล ให้ผ้ากัมพลตกลง ณ ที่ใกล้เท้าของพระเถระ
ลาดับนั้น พวกญาติไม่กล่าวว่า เด็กเล็กไม่รู้กระทาแล้ว กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ผ้าอัน
บุตรของพวกข้าพเจ้าถวายแล้ว จงเป็นอันบริจาคแล้วเถิด ดังนี้แล้ว กล่าวต่อไปว่า ท่านเจ้าข้า
ขอพระผู้เป็นเจ้าจงให้สิกขาบทแก่ทาสของท่าน ผู้ทาการบูชาด้วยผ้ากัมพลนั่นแหละ อันมี
ราคาแสนหนึ่ง
พระเถระถามว่า เด็กนี้ชื่ออะไร พวกญาติตอบว่า ชื่อเหมือนกับพระคุณเจ้า ขอรับ
พระเถระอุทานว่า นี่ชื่อ ติสสะ ได้ยินว่า พระเถระ ในเวลาเป็นคฤหัสถ์ ได้มีชื่อว่า
อุปติสสมาณพ แม้มารดาของเด็กนั้น ก็คิดว่า เราไม่ควรทาลายอัธยาศัยของบุตร พวกญาติ
ครั้นกระทามงคลต่าง ๆ มีการตั้งชื่อ การบริโภคอาหาร การเจาะหู การนุ่งผ้าการโกนจุกของ
เด็กนั้นก็ได้ถวายข้าวมธุปายาสมีน้าน้อยแก่ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป มีพระสารีบุตรเถระเป็น
ประธาน
เด็กน้อยเจริญวัยแล้ว ในเวลามีอายุ ๗ ขวบ กล่าวกับมารดาว่า แม่ ฉันขอบวชใน
สานักของพระเถระ มารดารับว่า ดีละ ลูก เมื่อก่อนแม่ก็ได้หมายใจไว้ว่า เราไม่ควรทาลาย
อัธยาศัยของลูก เจ้าจงบวชเถิดลูก ดังนี้แล้ว ให้คนนิมนต์พระเถระมา ถวายภิกษาแก่
พระเถระแล้วกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ทาสของท่านกล่าวว่า ขอบวช พวกดิฉันจะพาทาสของ
ท่านนี้ไปสู่วิหารในเวลาเย็นแล้วส่งพระเถระกลับไป ในเวลาเย็นพาบุตรไปสู่วิหารด้วย
สักการะและสัมมานะเป็นอันมากแล้วก็มอบถวายพระเถระ
พระเถระกล่าวกับเด็กนั้นว่า ติสสะ ชื่อว่าการบวชเป็นของที่ทาได้ยาก เมื่อความ
ต้องการด้วยของร้อนมีอยู่ ย่อมได้ของเย็น เมื่อความต้องการด้วยของเย็นมีอยู่ ย่อมได้ของร้อน
ชื่อว่า นักบวชทั้งหลายย่อมเป็นอยู่โดยลาบาก ก็เธอเสวยความสุขมาแล้ว
ติสสะเรียนว่า ท่านขอรับ ผมสามารถทาได้ทุกอย่าง ตามที่ท่านบอกแล้ว พระเถระ
กล่าวว่า ดีละ แล้วบอกตจปัญจกกัมมัฏฐาน ด้วยสามารถแห่งการกระทาไว้ในใจโดยความเป็นของปฏิกูลแก่เด็กนั้น ให้บวชแล้ว มารดาบิดาทาสักการะแก่บุตรผู้บวชแล้ว ได้ถวายข้าว
มธุปายาสมีน้าน้อยแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ในวิหารนั่นเองสิ้น ๗ วัน ฝ่าย
ภิกษุทั้งหลายโพนทะนาว่า เราทั้งหลายไม่สามารถจะฉันข้าวมธุปายาสมีน้าน้อยเป็นนิตย์ได้
มารดาบิดาแม้ของสามเณรนั้น ได้ไปสู่เรือนในเวลาเย็นในวันที่ ๗ ในวันที่ ๘ สามเณรเข้าไป
บิณฑบาตกับภิกษุทั้งหลาย
เมื่อสามเณรนั้นอยู่ในวัดพระเชตวัน พวกเด็กที่เป็นญาติมาสู่สานักพูดจาปราศรัย
เนือง ๆ สามเณรคิดว่า เราเมื่ออยู่ในที่นี้ เด็กที่เป็นญาติมาพูดอยู่ ไม่อาจที่จะไม่พูดได้ ด้วยการ
เนิ่นช้า คือ การสนทนากับเด็กเหล่านี้ เราไม่อาจทาที่พึ่งแก่ตนได้ ไฉนหนอ เราเรียนกัมมัฏฐาน
ในสานักของพระพุทธเจ้าแล้ว พึงเข้าไปสู่ป่า
ติสสสามเณรเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ถวายบังคมแล้ว ทูลขอให้พระองค์ตรัสบอก
กัมมัฏฐานจนถึงอรหัตผล ไหว้พระอุปัชฌายะแล้ว ถือบาตรและจีวรออกไปจากวิหาร คิดว่า
ถ้าเราอยู่ในที่ใกล้ไซร้ พวกญาติจะร้องเรียกเราไป จึงได้ไปสิ้นทางประมาณ ๑๒๐ โยชน์ ครั้งนั้น
สามเณรเดินไปทางประตูบ้านแห่งหนึ่ง เห็นชายแก่คนหนึ่ง จึงถามว่า อุบาสก วิหารในป่า
ของภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ในประเทศนี้มีไหม
อุบาสกตอบว่า มี ขอรับ สามเณรกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ขอท่านช่วยบอกทางแก่ฉัน
ก็ความรักเพียงดังบุตรเกิดขึ้นแล้วแก่อุบาสก เพราะเห็นสามเณรนั้น ลาดับนั้น อุบาสก
ยืนอยู่ในที่นั้นนั่นเอง ไม่บอกแก่สามเณร กล่าวว่า มาเถิดขอรับ ผมจะบอกแก่ท่าน ได้พา
สามเณรไปแล้ว สามเณร เมื่อไปกับอุบาสกแก่นั้น เห็นประเทศ ๖ แห่ง ๕ แห่ง อันประดับ
ด้วยดอกไม้และผลไม้ต่าง ๆ ในระหว่างทาง จึงถามว่า ประเทศนี้ชื่ออะไร อุบาสก
ฝ่ายอุบาสกนั้นบอกชื่อประเทศเหล่านั้นแก่สามเณร ถึงวิหารอันตั้งอยู่ในป่าแล้ว
กล่าวว่า ท่านขอรับ ที่นี่เป็นที่สบาย ขอท่านจงอยู่ในที่นี้เถิด แล้วถามชื่อว่า ท่านชื่ออะไร
ขอรับ เมื่อสามเณรบอกว่า ฉันชื่อวนวาสีติสสะ อุบาสก จึงกล่าวว่า พรุ่งนี้ ท่านควรไปเที่ยว
บิณฑบาตในบ้านของพวกกระผม แล้วกลับไปสู่บ้านของตน บอกแก่พวกมนุษย์ว่า สามเณร
ชื่อวนวาสีติสสะมาสู่วิหารแล้ว ขอท่านจงจัดแจงอาหารวัตถุมียาคูและภัตเป็นต้น เพื่อ
สามเณรนั้น
ครั้งแรกทีเดียว สามเณรเป็นผู้ชื่อว่า ติสสะ แต่นั้นได้ชื่อ ๓ ชื่อเหล่านี้คือ ปิณฑปาต
ทายกติสสะ กัมพลทายกติสสะ วนวาสีติสสะ ได้ชื่อ ๔ ชื่อภายในอายุ ๗ ปี รุ่งขึ้น สามเณร
เข้าไปบิณฑบาตยังบ้านนั้นแต่เช้าตรู่ พวกมนุษย์ถวายภิกษา ไหว้แล้ว สามเณรกล่าวว่าขอท่านทั้งหลายจงถึงซึ่งความสุข จงพ้นจากทุกข์เถิด แม้มนุษย์คนหนึ่งถวายภิกษาแก่
สามเณรแล้ว ก็ไม่สามารถจะกลับไปยังเรือนได้อีก ทุกคนได้ยืนแลดูอยู่ แม้สามเณรนั้นก็รับ
อาหารพอยังอัตภาพให้เป็นไปเพื่อตน ชาวบ้านทั้งสิ้นหมอบลง แทบเท้าของสามเณรแล้ว
กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า เมื่อท่านอยู่ในที่นี้ตลอดไตรมาสนี้ พวกกระผมขอรับสรณะ ๓ ตั้งอยู่
ในศีล ๕ จะทาอุโบสถกรรม ๘ ครั้งต่อเดือน ขอท่านจงให้ปฏิญญาแก่กระผมทั้งหลาย
เพื่อประโยชน์แห่งการอยู่ในที่นี้
สามเณรกาหนดอุปการะ จึงให้ปฏิญญาแก่มนุษย์เหล่านั้น เที่ยวบิณฑบาตในบ้านนั้น
เป็นประจา ก็ในขณะที่เขาไหว้แล้ว ๆ กล่าวเฉพาะ ๒ บทว่า ขอท่านทั้งหลายจงถึงซึ่งความสุข
จงพ้นจากทุกข์ ดังนี้แล้ว หลีกไป สามเณรให้เดือนที่ ๑ และเดือนที่ ๒ ล่วงไปแล้ว ณ ที่นั้น
เมื่อเดือนที่ ๓ ล่วงไป ก็บรรลุอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา
ครั้นเวลาปวารณาออกพรรษาแล้ว พระอุปัชฌายะของสามเณรเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
ถวายบังคมแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จะไปยังสานักติสสสามเณร
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไปเถิด สารีบุตร
พระสารีบุตรเถระ เมื่อพาภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป ซึ่งเป็นบริวารของตนหลีกไป
กล่าวว่า โมคคัลลานะผู้มีอายุ กระผมจะไปยังสานักติสสสามเณร พระโมคคัลลานเถระกล่าวว่า
ท่านผู้มีอายุ แม้กระผมก็จะไปด้วย ดังนี้แล้ว ก็ออกไปพร้อมกับภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป
พระมหาสาวกทั้งปวง คือพระมหากัสสปเถระ พระอนุรุทธเถระ พระอุบาลีเถระ
พระปุณณเถระเป็นต้น ออกไปพร้อมกับภิกษุประมาณรูปละ ๕๐๐ รูป โดยอุบายนั้นแล
บริวารของพระมหาสาวกแม้ทั้งหมด ได้เป็นภิกษุประมาณ ๔ หมื่นรูป
พระพุทธเจ้าเสด็จไปเหมือนกัน เมื่อถึงป่าที่สามเณรพานักอยู่ จึงเสด็จขึ้นบนยอด
ภูเขาแล้วตรัสถามสามเณรว่า เห็นอะไรบ้าง ได้รับคาตอบว่า เห็นมหาสมุทร ตรัสถามต่อว่า
คิดอย่างไร ได้รับคาตอบว่า น้าตาของคนเราที่ร้องไห้ในเมื่อถึงทุกข์ยังมากกว่าน้าในมหาสมุทร
ทั้ง ๔ จึงตรัสว่า ถูกต้องแล้ว ติสสะ พระพุทธองค์ตรัสถามถึงที่พักอาศัยของสามเณร
เมื่อทราบว่า อยู่ที่เงื้อมเขา จึงตรัสถามสามเณรว่า เมื่ออยู่ที่เงื้อมเขาคิดอย่างไร สามเณร
กราบทูลว่า สถานที่ที่สัตว์ไม่เคยตายไม่มีในโลก พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ถูกต้องแล้ว ติสสะ
ชื่อว่าสถานที่แห่งสัตว์เหล่านี้ผู้ที่ไม่นอนตายบนแผ่นดินไม่มี
ครั้นแล้ว พระพุทธเจ้าเสด็จหลีกไปพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ส่วนวนวาสีติสสสามเณร
ได้พานักอยู่ในป่านั้นต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น