วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

๒๐. สุมนสามเณร

๒๐. สุมนสามเณร
พระอนุรุทธเถระ เป็น ๑ ใน ๘๐ พระอัครสาวกผู้ใหญ่ ที่ได้รับการยกย่องจาก
พระพุทธเจ้าว่าเป็นเอตทัคคะ ผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้มีทิพยจักษุญาณ เป็นโอรสที่พระบิดา
ถวายให้เป็นบริวารแด่เจ้าชายสิทธัตถะ ในคราวที่เจ้าชายสิทธัตถะประสูติ
ครั้นเมื่อพระบรมโพธิสัตว์ เสด็จออกทรงผนวชและตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว
อนุรุทธะพร้อมกับพระโอรสของเจ้าศากยะห้าพระองค์ มีเจ้าภัททิยะเป็นประมุข เข้าไปเฝ้า
พระศาสดาที่ อนุปิยอัมพวัน ทรงผนวชแล้ว
ก็ครั้นผนวชแล้ว พระอนุรุทธะเป็นผู้ปฏิบัติชอบ ทาให้แจ้งวิชชา ๓ โดยลาดับ นั่งอยู่
บนอาสนะเดียว สามารถเล็งดูโลกธาตุพันหนึ่งได้ด้วยทิพยจักษุ ดุจผลมะขามป้อมที่บุคคลวาง
ไว้บนฝ่ามือฉะนั้น จึงเปล่งอุทานขึ้นว่า
เราย่อมระลึกได้ซึ่งบุพเพนิวาส ทิพยจักษุ เราก็ชาระแล้ว
เราเป็นผู้ได้วิชชา ๓ เป็นผู้ถึงฤทธิ์ คาสอนของพระพุทธเจ้า อันเราทาแล้ว
พิจารณาดูว่า เราทากรรมอะไรหนอ จึงได้สมบัตินี้ ทราบได้ว่า เราได้ตั้งความปรารถนา
ไว้แทบบาทมูลของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตระ ทราบต่อไปอีกว่า เราท่องเที่ยวอยู่
ในสงสาร ในกาลชื่อโน้น ได้อาศัยสุมนเศรษฐี ในเมืองพาราณสีเลี้ยงชีพ เป็นผู้ชื่อว่าอันนภาระ
ดังนี้แล้ว กล่าวว่า
ในกาลก่อน เราเป็นผู้ชื่อว่าอันนภาระ เป็นคนเข็ญใจ ขนหญ้า
เราถวายบิณฑบาตแก่พระอุปริฏฐปัจเจกพุทธะ ผู้มียศ
ครั้งนั้น ท่านได้มีความปริวิตกว่า สุมนเศรษฐีผู้เป็นสหายของเรา ได้กหาปณะแล้ว
รับเอาส่วนบุญจากบิณฑบาตซึ่งเราถวายแก่พระอุปริฏฐปัจเจกพุทธะในกาลนั้น บัดนี้ เกิดใน
ที่ไหนหนอแล
ทีนั้น ท่านได้เล็งเห็นเศรษฐีนั้นว่า บ้านชื่อว่ามุณฑนิคม มีอยู่ที่เชิงเขาใกล้ดงไฟไหม้
อุบาสกชื่อมหามุณฑะ ในมุณฑนิคมนั้น มีบุตรสองคน คือมหาสุมนะและจูฬสุมนะ ในบุตร
สองคนนั้น สุมนเศรษฐีเกิดเป็นจูฬสุมนะ ก็ครั้นเห็นแล้ว คิดว่า เมื่อเราไปในที่นั้น อุปการะ
จะมีหรือไม่มีหนอ ท่านใคร่ครวญอยู่ได้เห็นเหตุนี้ว่า เมื่อเราไปในที่นั้น จูฬสุมนะนั้นมีอายุ
๗ ขวบเท่านั้นจะขอออกบวช และจะบรรลุอรหัตผลในเวลาปลงผมเสร็จนั่นเองก็แลท่านครั้นเห็นแล้ว เมื่อกาลฝนใกล้เข้ามา จึงไปทางอากาศลงที่ประตูบ้าน
ส่วนมหามุณฑอุบาสกเป็นผู้คุ้นเคยของพระเถระแม้ในกาลก่อนเหมือนกัน เขาเห็นพระเถระ
ครองจีวรในเวลาบิณฑบาต จึงกล่าวกับมหาสุมนะผู้บุตรว่า พ่อ พระผู้เป็นเจ้าอนุรุทธเถระ
ของเรามาแล้ว เจ้าจงไปรับบาตรของท่านให้ทันเวลาที่ใคร ๆ คนอื่นยังไม่รับบาตรของท่านไป
พ่อจะให้เขาปูอาสนะไว้
มหาสุมนะได้ทาอย่างนั้นแล้ว อุบาสกอังคาสพระเถระภายในเรือนโดยเคารพแล้ว
รับปฏิญญาเพื่อต้องการแก่การอยู่จาพรรษาตลอดไตรมาส พระเถระรับนิมนต์แล้ว
ครั้งนั้น อุบาสกปฏิบัติพระเถระตลอดไตรมาส เป็นเหมือนปฏิบัติอยู่วันเดียว ในวัน
มหาปวารณา จึงนาไตรจีวรและอาหารวัตถุมีน้าอ้อย น้ามัน และข้าวสารเป็นต้นมาแล้ว
วางไว้ใกล้เท้าของพระเถระ เรียนว่า ขอพระผู้เป็นเจ้าจงรับเถิด ขอรับ
พระเถระกล่าวว่า อย่าเลยอุบาสก ความต้องการด้วยวัตถุนี้ของฉัน ไม่มี
อุบาสกเรียนว่า ท่านผู้เจริญ นี่ชื่อว่า วัสสาวาสิกลาภ (คือลาภอันเกิดแก่ผู้อยู่จาพรรษา)
ขอพระผู้เป็นเจ้าจงรับวัตถุนั้นไว้เถิด
พระเถระกล่าวว่า ช่างเถิด อุบาสก
อุบาสกถามว่า ท่านย่อมไม่รับเพื่ออะไร ขอรับ
พระเถระตอบว่า แม้สามเณรผู้เป็นกับปิยการก ในสานักของฉันก็ไม่มี
อุบาสกเรียนว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น มหาสุมนะผู้เป็นบุตรของกระผมจักเป็น
สามเณร
พระเถระกล่าวว่า อุบาสก ความต้องการด้วยมหาสุมนะของฉัน ก็ไม่มี
อุบาสกเรียนว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้าจงให้จูฬสุมนะ บวชเถิด
พระเถระกล่าวว่า ดีละ แล้วให้จูฬสุมนะบวช จูฬสุมนะนั้นบรรลุอรหัตในเวลาปลงผม
เสร็จนั่นเอง
พระเถระอยู่ในที่นั้นกับจูฬสุมนสามเณรนั้นประมาณกึ่งเดือนแล้ว ลาพวกญาติ
ของเธอว่า พวกฉันจะเฝ้าพระพุทธเจ้า ดังนี้แล้วไปทางอากาศ ลงที่กระท่อมอันตั้งอยู่ในป่า
ในหิมวันตประเทศ
ดึกคืนนั้น ท่านพระอนุรุทธเถระเกิดปวดท้องด้วยกาลังลมเสียดท้อง สามเณรจึงถาม
ว่ากระผมควรจะทายาเช่นไรดีขอรับพระเถระกล่าวว่า เอาเนยใสผสมกับน้าจากสระอโนดาตจึงจะหาย เธอถือเอาขวด
น้านี้ไปใส่มาเถิด พญานาคที่อยู่ที่สระนั้นเป็นเพื่อนกับเรา เธอบอกเขาว่าฉันใช้ให้มาเอา
เขาก็ถวาย ขอรับ
สามเณรรับคาแล้วเหาะไป พอดีวันนั้นเป็นวันจัดงานเลี้ยงของพญานาคพอดี และ
นาคก็กาลังดูนางราฟ้อนราอย่างสบายอารมณ์ พอเห็นสามเณรเหาะข้ามหัวตัวเองไปก็โกรธ
เพราะปกติพวกพญานาคนั้นขี้โกรธอยู่แล้ว จึงอยากลองฤทธิ์สามเณร จึงแผ่ขยายพังพานเจ็ด
หัวของตัวเองปิดสระอโนดาตกว้าง ๑๕๐ โยชน์จนหมด (๑ โยชน์ เท่ากับ ๑๖ กิโลเมตร)
สามเณรรู้ว่านาคโกรธจึงกล่าวว่า
ดูก่อนท่านพญานาค อาตมา มาตักน้าตามคาสั่งของอุปัชฌาย์ ขอท่านจงให้น้าแก่
อาตมาเถิด พญานาคกล่าวว่า แม่น้าใหญ่มีตั้งห้าสาย ทาไมท่านไม่ไปเอา ทาไมต้องมาเอาที่นี่
สามเณรตอบว่า อาตมาต้องนาน้าจากที่นี่ไปผสมยา อาการของอุปัชฌาย์จึงจะหาย
ขอท่านจงให้น้าเถิด พญานาคกล่าวว่า ถ้าท่านมีปัญญาท่านก็เอาไปสิ
สามเณรรู้ว่าพญานาคโกรธและกลั่นแกล้ง จึงเข้าฌานแยกร่างไปหาท้าวมหาพรหม
ชั้นต่าง ๆ ๑๖ ชั้น ยกเว้นพรหมที่ไม่มีสัญญี (รูปร่าง) จากนั้นก็เชิญพรหมทั้งหมดมาดูศึกของ
ตนเองและพญานาคที่หลังสระน้า สามเณรถามพญานาคอีกว่า
ท่านจะให้น้าแก่อาตมาได้หรือไม่
พญานาคตอบว่า ถ้าท่านมีปัญญาก็เอาไป
สามเณรเณรถามสามครั้งเพื่อยืนยันตามธรรมเนียม จึงเนรมิตร่างให้ใหญ่กว่าพรหม
ที่มาประชุมกันทั้งหมดแล้วเอาเท้าเหยียบหัวพญานาคจากขนาด ๑๕๐ โยชน์ พญานาคถูกกด
จนเหลือเท่าฝาทัพพี จมลงไปในน้า เกลียวน้าพุ่งขึ้นสูงจนเท่าลาตาลเจ็ดต้น สามเณรเอาขวด
รองรับน้าที่ตกลงมา เหล่าพรหมทั้งหลายสาธุการจนดังก้องไปทั่วบริเวณ พญานาคเห็นพรหม
ก็รู้ว่าเรื่องของตนกระจายแน่ๆ จึงโกรธสามเณรยิ่งกว่าเดิมและเหาะตามสามเณรไป แต่เหาะ
อย่างไรก็เหาะไม่ทัน สามเณรเหาะมาถึงและถวายน้าแก่พระเถระ พญานาคร้องห้ามว่า
อย่าฉันนะท่าน น้านี่ไม่สมควรจะฉัน สามเณรเรียนว่า ฉันเถอะขอรับ พญานาค
อนุญาตแล้ว พระเถระรู้ว่าสามเณรใช้ฤทธิ์ปราบนาค จึงฉันน้าผสมเนยใส อาพาธก็ระงับ
แล้วถามพญานาคว่า ท่านมาทาไม
พญานาคตอบว่า กระผมจะฆ่าเณรนี่ ฉีกอก ควักหัวใจแล้วโยนไปภูเขาหิมาลัยโน่นพระเถระกล่าวว่า มหาราช สามเณรมีอานุภาพมาก ท่านไม่สามารถสู้รบกับสามเณรได้
ควรให้สามเณรนั้นอดโทษแล้วกลับไปเสียเถิด พญานาคนั้นย่อมรู้อานุภาพของสามเณรได้ดี
แต่ติดตามมาเพราะความละอาย
ลาดับนั้น พญานาคให้สามเณรนั้นอดโทษตามคาของพระเถระ ทาความชอบพอกัน
ฉันมิตรกับเธอ จึงกล่าวว่า จาเดิมแต่กาลนี้ เมื่อความต้องการด้วยน้าในสระอโนดาตมีอยู่
กิจด้วยการมาแห่งพระผู้เป็นเจ้าย่อมไม่มี พระผู้เป็นเจ้าพึงส่งข่าวไปถึงข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเอง
จะนาน้ามาถวาย ดังนี้แล้วหลีกไป แม้พระเถระก็พาสามเณรไปแล้ว
พระพุทธเจ้าทรงทราบการมาแห่งพระเถระ ประทับนั่งทอดพระเนตรอยู่บนปราสาท
ของมิคารมารดา ถึงพวกภิกษุก็เห็นพระเถระซึ่งกาลังมา ลุกขึ้นต้อนรับ รับบาตรและจีวร
ครั้งนั้น ภิกษุบางพวกจับสามเณรที่ศีรษะบ้าง ที่หูทั้ง ๒ บ้าง ที่แขนบ้าง พลางเขย่า
กล่าวว่า ไม่กระสันหรือ สามเณร
พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นกิริยาของภิกษุเหล่านั้นแล้ว ทรงดาริว่า กรรมของ
ภิกษุเหล่านี้หยาบจริง ภิกษุเหล่านี้จับสามเณรเป็นดุจจับอสรพิษที่คอ พวกเธอหารู้อานุภาพ
ของสามเณรไม่ วันนี้ การที่เราทาคุณของสุมนสามเณรให้ปรากฏ สมควรอยู่
แม้พระเถระก็มาถวายบังคมพระพุทธเจ้า แล้วนั่ง
พระพุทธเจ้าทรงทาปฏิสันถารกับท่านแล้ว ตรัสเรียกพระอานนทเถระมาว่า อานนท์
เรามีความประสงค์จะล้างเท้าทั้งสองด้วยน้าในสระอโนดาต เธอจงให้หม้อแก่พวกสามเณร
แล้วให้นาน้ามาเถิด พระเถระให้สามเณรประมาณ ๕๐๐ ในวิหารประชุมกันแล้ว
บรรดาสามเณรเหล่านั้น สุมนสามเณรได้เป็นผู้ใหม่กว่าสามเณรทั้งหมด พระเถระ
กล่าวกะสามเณรผู้แก่กว่าสามเณรทั้งหมดว่า สามเณร พระพุทธเจ้ามีพระประสงค์จะทรงล้าง
พระบาททั้งสองด้วยน้าในสระอโนดาต เธอจงถือหม้อน้าไปนาน้ามาเถิด สามเณรนั้น
ไม่ปรารถนา ด้วยกล่าวว่า กระผมไม่สามารถ ขอรับ พระเถระถามสามเณรทั้งหลายแม้ที่เหลือ
โดยลาดับ แม้สามเณรเหล่านั้น ก็พูดปลีกตัวทานองเดียวกัน
ในที่สุด เมื่อวาระถึงแก่สุมนสามเณรเข้า พระเถระกล่าวว่า สามเณร พระพุทธเจ้า
มีพระประสงค์จะทรงล้างพระบาททั้งสองด้วยน้าในสระอโนดาต ได้ยินว่า เธอจงถือเอาหม้อ
ไปตักน้ามาสุมนสามเณรเรียนว่า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงให้นามา กระผมจะนามา ดังนี้แล้ว
ถวายบังคมพระพุทธเจ้าแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ได้ยินว่า พระองค์ให้
ข้าพระองค์นาน้ามาจากสระอโนดาตหรือ พระเจ้าข้า
พระพุทธเจ้าตรัสว่า อย่างนั้น สุมนะ
สุมนสามเณรเอามือจับหม้อใหญ่ใบหนึ่ง ซึ่งจุน้าได้ตั้ง ๖๐ หม้อ ในบรรดาหม้อ
สาหรับเสนาสนะ ซึ่งเลี่ยมดาดด้วยทองแท่ง อันนางวิสาขาให้สร้างไว้ หิ้วไปด้วยคิดว่า ความ
ต้องการของเราด้วยหม้อ อันเรายกขึ้นตั้งไว้บนจะงอยบ่านี้ ย่อมไม่มี เหาะขึ้นสู่เวหาส บ่ายหน้า
ต่อหิมวันตประเทศ รีบไปแล้ว
นาคราชเห็นสามเณรซึ่งกาลังมาแต่ไกล จึงต้อนรับ แบกหม้อด้วยจะงอยบ่า กล่าวว่า
ท่านเจ้าข้า เมื่อผู้รับใช้เช่นข้าพเจ้ามีอยู่ เพราะอะไร พระคุณเจ้าจึงมาเสียเอง เมื่อความ
ต้องการน้ามีอยู่ เหตุไร พระคุณเจ้าจึงไม่ส่งเพียงข่าวสาสน์มา ดังนี้แล้ว เอาหม้อ ตักน้า
แบกเองกล่าวว่า นิมนต์พระผู้เป็นเจ้าล่วงหน้าไปก่อนเถิดขอรับ ข้าพเจ้าเองจะนาไป
สามเณรกล่าวว่า มหาราช ท่านจงหยุด ข้าพเจ้าเองเป็นผู้อันพระพุทธเจ้าใช้มา ดังนี้
ให้พญานาคกลับแล้ว เอามือจับที่ขอบปากหม้อ เหาะมาทางอากาศ
ลาดับนั้น พระพุทธเจ้าทรงแลดูเธอซึ่งกาลังมา ตรัสเรียกพวกภิกษุมาแล้ว ตรัสว่า
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงดูการเยื้องกรายของสามเณร เธอย่อมงดงามดุจพระยาหงส์
ในอากาศฉะนั้น แม้สามเณรนั้นวางหม้อน้าแล้ว ได้ถวายบังคมพระพุทธเจ้าแล้วยืนอยู่
ลาดับนั้น พระพุทธเจ้าตรัสถามเธอว่า สุมนะ เธอมีอายุได้เท่าไร สามเณรกราบทูลว่า
มีอายุ ๗ ขวบ พระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า สุมนะ ถ้ากระนั้น ตั้งแต่วันนี้ เธอจงเป็นภิกษุ
เถิด ดังนี้แล้ว ได้ประทานทายัชชอุปสมบท
ได้ยินว่า สามเณรผู้มีอายุ ๗ ปี ๒ รูปเท่านั้น ได้อุปสมบท คือสุมนสามเณรนี้รูปหนึ่ง
โสปากสามเณร อีกรูปหนึ่ง
เมื่อสุมนสามเณรนั้นอุปสมบทแล้วอย่างนั้น พวกภิกษุสนทนากันในโรงธรรมว่า
ผู้มีอายุทั้งหลาย กรรมนี้น่าอัศจรรย์ อานุภาพของสามเณรน้อย แม้เห็นปานนี้ก็มีได้ อานุภาพ
เห็นปานนี้ พวกเราไม่เคยเห็นแล้ว ในกาลก่อนแต่กาลนี้
พระพุทธเจ้าเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วย
เรื่องอะไรหนอ เมื่อพวกเธอกราบทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้ พระเจ้าข้า ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย
ในศาสนาของเรา บุคคลแม้เป็นเด็ก ปฏิบัติชอบแล้ว ย่อมได้สมบัติเห็นปานนี้เหมือนกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น