วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

วิชาธรรม นักธรรมชั้นเอก 2544

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม  นักธรรมชั้นเอก

สอบในสนามหลวง

วันเสาร์ ที่  ๓  พฤศจิกายน  พ.ศ. ๒๕๔๔

๑.

๑.๑

คำว่า มาร  และ บ่วงแห่งมาร  หมายถึงอะไร ?


๑.๒

บุคคลจะพ้นจากบ่วงแห่งมารด้วยวิธีอย่างไรบ้าง ?

๑.

๑.๑

คำว่า มาร หมายถึงกิเลสกาม คือเจตสิกอันเศร้าหมอง ได้แก่  ตัณหา  ราคะ และอรติ เป็นต้น                      

คำว่า บ่วงแห่งมาร หมายถึงวัตถุกาม ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ


๑.๒

ด้วยวิธี  ๓  อย่างคือ

           ๑) สำรวมอินทรีย์    มิให้ความยินดีครอบงำในเมื่อเห็นรูป

               เป็นต้นอันน่าปรารถนา

           ๒) มนสิการกัมมัฏฐาน  อันเป็นปฏิปักษ์แก่กามฉันท์   คือ

               อสุภะและกายคตาสติหรือมรณัสสติ

           ๓) เจริญวิปัสสนา     คือพิจารณาสังขารแยกออกเป็นขันธ์ 

               สันนิษฐานเห็นเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

๒.

๒.๑

ทุกขตา ความเป็นทุกข์แห่งสังขารนั้นกำหนดเห็นด้วยทุกข์กี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?


๒.๒

ความทุกข์ที่เกิดจากการต้องดิ้นรนต่อสู้ในการทำมาหากิน จัดเป็นทุกข์ชนิดไหน ?

๒.

๒.๑

ด้วยทุกข์  ๑๐  อย่างคือ

           ๑) สภาวทุกข์

           ๒) ปกิณกทุกข์ 

           ๓) นิพัทธทุกข์

           ๔) พยาธิทุกข์  

           ๕) สันตาปทุกข์ 

           ๖) วิปากทุกข์

           ๗) สหคตทุกข์

           ๘) อาหารปริเยฏฐิทุกข์

           ๙) วิวาทมูลกทุกข์

        ๑๐) ทุกขขันธ์ 


๒.๒

จัดเป็นอาหารปริเยฏฐิทุกข์

๓.

๓.๑

การพิจารณาแลเห็นสังขารโดยไตรลักษณ์  จัดเป็นวิสุทธิอะไร ?


๓.๒

จงจัดวิสุทธิ ๗  ลงในไตรสิกขา ?

๓.

๓.๑

จัดเป็นทิฏฐิวิสุทธิ  ความหมดจดแห่งความเห็น


๓.๒

           ๑) สีลวิสุทธิ  จัดเป็นศีล

           ๒) จิตตวิสุทธิ  จัดเป็นสมาธิ

           ๓) ทิฏฐิวิสุทธิ กังขาวิตรณวิสุทธิ มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ   

              ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ญาณทัสสนวิสุทธิ จัดเป็นปัญญา

๔.

๔.๑

วัฏฏะในบาลีว่า วฏฺฏูปจฺเฉโท หมายถึงอะไร ? วัฏฏะนั้นจะขาดได้อย่างไร ?


๔.๒

บาลีแสดงปฏิปทาแห่งนิพพานว่า " สิญฺจ  ภิกฺขุ  อิมํ  นาวํ " ความว่า  " ภิกษุเธอจงวิดเรือนี้ "  คำว่า เรือ และ วิด ในบาลีนี้หมายถึงอะไร ?

๔.

๔.๑

วัฏฏะ หมายถึง  ความเวียนเกิดด้วยอำนาจกิเลส  กรรม  และวิบาก

วัฏฏะนั้นจะขาดได้ด้วยการละกิเลสอันเป็นเบื้องต้นเสีย


๔.๒

คำว่า เรือ หมายถึงอัตภาพร่างกาย

คำว่า วิด หมายถึงบรรเทากิเลส และบาปธรรมให้เบาบางจนขจัดได้ขาด

๕.

๕.๑

ในส่วนสังสารวัฏฏ์  สัตวโลกตายแล้วมีคติเป็นอย่างไร ?


๕.๒

ในข้อ ๕.๑  นั้นมีอุทเทสบาลีแสดงไว้อย่างไร ?

๕.

๕.๑

สัตวโลกตายแล้วมีคติเป็น  ๒  คือสุคติ  และทุคติ                 


๕.๒

มีอุทเทสบาลีแสดงว่า

           จิตฺเต  สงฺกิลิฏฺเฐ  ทุคฺคติ  ปาฏิกงฺขา         

           เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว  ทุคติเป็นอันต้องหวัง

         จิตฺเต  อสงฺกิลิฏฺเฐ  สุคติ  ปาฏิกงฺขา          

          เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว  สุคติเป็นอันหวังได้

๖.

๖.๑

คนโทสจริต  มีอุปนิสัยเป็นอย่างไร ? จะแก้ด้วยการเจริญกัมมัฏฐานบทใด ?


๖.๒

การที่ท่านสอนให้เจริญเมตตาในตนก่อนแล้ว จึงแผ่ไปในชนอื่นนั้น

มีเหตุผลอย่างไร ?

๖.

๖.๑

คนที่มีจิตมักฉุนเฉียวโกรธเคืองง่าย ๆ สันดานหนักไปในโทสะ มักก่อทุกข์โทมนัสให้แก่ผู้อื่น จัดเป็นคนโทสจริต มีโทสะเป็นเครื่องประพฤติเป็นปกติของตัว

ควรเจริญกัมมัฏฐาน ๘ ประการ คือวัณณกสิณ ๔ กับพรหมวิหาร ๔


๖.๒

มีเหตุผลดังนี้ คือจะได้ทำตนให้เป็นพยานว่า ตนนี้อยากได้แต่ความสุข  เกลียดชังทุกข์ และภัยต่าง ๆ ฉันใด สัตว์ทั้งหลายอื่น ๆ ก็อยากได้สุข  เกลียดชังทุกข์และภัยต่าง ๆ ฉันนั้น เมื่อเห็นดังนี้แล้ว จิตก็ปรารถนาให้สัตว์ทั้งสิ้นอื่น ๆ มีความสุขความเจริญ                     

๗.

๗.๑

วิปัลลาสคืออะไร ?  จำแนกโดยวัตถุเป็นที่ตั้งมีกี่อย่าง ?  อะไรบ้าง ?


๗.๒

จะถอนวิปัลลาสนั้นได้เพราะเจริญธรรมอะไร ?

๗.

๗.๑

คือ  กิริยาที่ถือเอาโดยอาการวิปริตผิดจากความจริง มี  ๔  อย่างคือ

           ๑) วิปัลลาสในของที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง

           ๒) วิปัลลาสในของที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข

           ๓) วิปัลลาสในของที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน

           ๔) วิปัลลาสในของที่ไม่งามว่างาม


๗.๒

วิปัลลาสในของที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง  จะถอนได้ด้วยอนิจจสัญญา

วิปัลลาสในของที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข  จะถอนได้ด้วยทุกขสัญญา

วิปัลลาสในของที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน  จะถอนได้ด้วยอนัตตสัญญา

วิปัลลาสในของที่ไม่งามว่างาม  จะถอนได้ด้วยอสุภสัญญา

๘.

๘.๑

ผู้เจริญสติปัฏฐานต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ?


๘.๒

ผู้เจริญสติปัฏฐานสมบูรณ์เต็มที่แล้ว  จะได้รับอานิสงส์เช่นใด ?

๘.

๘.๑

มี         ๑) อาตาปี  มีความเพียรแผดเผากิเลส

           ๒) สมฺปชาโน  มีสัมปชัญญะ

          ๓) สติมา  มีสติ


๘.๒

ได้รับอานิสงส์ ๕ ประการดังนี้

           ๑) ได้ความบริสุทธิ์

          ๒) ได้ข้ามพ้นโสกะและปริเทวะ

           ๓) ได้ความดับไปแห่งทุกข์และโทมนัส

           ๔) ได้บรรลุธรรมที่ถูก

           ๕) ได้ทำให้แจ้งพระนิพพาน

๙.

๙.๑

การพิจารณากองลมหายใจเข้าออก เพียงแต่รู้ว่าสั้นยาว ดังนี้ จัดเป็น

สติปัฏฐานข้อไหน ?


๙.๒

ในธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หัวข้อธรรมที่จะนำมาพิจารณานั้นมีอะไรบ้าง ?

๙.

๙.๑

จัดเป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน


๙.๒

มี นิวรณ์ ๕  อุปาทานขันธ์ ๕  อายตนะ ๖  โพชฌงค์ ๗ และอริยสัจ ๔

๑๐.

๑๐.๑

อนิจจสัญญาในคิริมานนทสูตร  มีใจความว่าอย่างไร ?


๑๐.๒

การพิจารณาอาทีนวสัญญาโดยย่อ  ได้แก่พิจารณาอย่างไร ?

๑๐.

๑๐.๑

มีใจความว่า  " ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปในป่าก็ดี ไปที่โคนไม้ก็ดี ไปที่เรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาอย่างนี้ว่า รูป เวทนา สัญญา

สังขาร  วิญญาณ ไม่เที่ยง ย่อมเป็นผู้พิจารณาเนือง ๆ โดยความไม่เที่ยงในอุปาทานขันธ์ทั้ง  ๕ "


๑๐.๒

พิจารณาอย่างนี้ว่า  " กายนี้มีทุกข์มาก มีโทษมาก เหล่าอาพาธย่อมเกิดขึ้นในกายนี้ "

วิชาธรรม นักธรรมชั้นเอก 2545

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม  นักธรรมชั้นเอก

สอบในสนามหลวง

วันศุกร์ ที่  ๒๒  พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕

 ๑.    ๑.๑ อนิจจตา ทุกขตา  อนัตตตา  มีอะไรปิดบังไว้จึงไม่ปรากฏ ?

        ๑.๒ อนิจจตา กำหนดรู้ได้ด้วยอาการอย่างไรบ้าง ?

 ๑.    ๑.๑ อนิจจตา ความที่สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ถูกสันตติปิดบังไว้จึงไม่ปรากฏ

             ทุกขตา   ความที่สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ ถูกอิริยาบถปิดบังไว้ จึงไม่ปรากฏ

             อนัตตตา ความที่ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถูกฆนสัญญาปิดบังไว้ จึงไม่ปรากฏ ฯ

        ๑.๒ กำหนดรู้ได้ด้วยอาการ ๓ อย่าง  คือ

                   ๑) ในทางง่าย  ด้วยความเกิดขึ้นในเบื้องต้น และความสิ้นไปในเบื้องปลาย

                   ๒) ในทางละเอียดกว่านั้น ย่อมกำหนดรู้ได้ด้วยความแปรในระหว่างเกิด

                       และดับ

                   ๓) ในทางอันเป็นอย่างสุขุม ย่อมกำหนดเห็นความแปรแห่งสังขารในชั่ว

                       ขณะหนึ่งๆ  คือไม่คงที่อยู่นาน  เพียงในระยะกาลนิดเดียวก็แปรแล้ว ฯ

 ๒.    ๒.๑ นิพพิทาญาณ หมายถึงอะไร ?

        ๒.๒ ปฏิปทาแห่งนิพพิทา เป็นเช่นไร ?

 ๒.    ๒.๑ หมายถึงปัญญาของผู้บำเพ็ญเพียรจนเกิดความหน่ายในสังขาร ฯ

        ๒.๒ การพิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวง

             เป็นอนัตตา แล้วเกิดนิพพิทา เบื่อหน่ายในทุกขขันธ์ ไม่เพลิดเพลินหมกมุ่นอยู่

             ในสังขารอันยั่วยวนเสน่หา นี้เป็นปฏิปทาแห่งนิพพิทา ฯ

 ๓.    ๓.๑ วิราคะเป็นยอดแห่งธรรมทั้งปวง  คำว่า  "ธรรมทั้งปวง" หมายถึงอะไร ?

        ๓.๒ นิโรธ  ที่เป็นไวพจน์แห่ง วิราคะ หมายถึงอะไร ?

 ๓.    ๓.๑ หมายถึง สังขตธรรม  คือธรรมอันธรรมดาปรุงแต่ง  และอสังขตธรรม  คือ

             ธรรมอันธรรมดามิได้ปรุงแต่ง ฯ

        ๓.๒ หมายถึงความดับทุกข์  เนื่องมาจากดับตัณหา ฯ

 ๔.    ๔.๑ ตัณหาคืออะไร ? ตัณหานั้น เมื่อเกิดขึ้นย่อมเกิดที่ไหนและเมื่อดับย่อมดับที่ไหน ?

        ๔.๒ คำว่า  มทนิมฺมทโน  ธรรมยังความเมาให้สร่าง  หมายถึงความเมาในอะไร ?

 ๔.    ๔.๑ คือความอยาก ฯ เมื่อเกิดขึ้นย่อมเกิดในสิ่งเป็นที่รักที่ยินดีในโลก เมื่อดับ

             ย่อมดับในสิ่งเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ฯ

        ๔.๒ หมายถึงความเมาในอารมณ์อันยั่วยวนให้เกิดความเมาทุกประการ เช่น

             สมบัติแห่งชาติ สกุล อิสริยะ บริวาร ก็ดี  ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็ดี เยาว์วัย

             ความหาโรคมิได้ และชีวิต ก็ดี นับเข้าในอารมณ์ประเภทนี้ ฯ

 ๕.    ๕.๑ บาลีแสดงปฏิปทาแห่งสันติว่า โลกามิสํ ปชเห สนฺติเปกฺโข ความว่า ผู้เพ่ง

             ความสงบพึงละอามิสในโลกเสีย  คำว่า อามิสในโลก หมายถึงอะไร ?

        ๕.๒ ที่เรียกว่า อามิสในโลก เพราะเหตุไร ?

 ๕.    ๕.๑ หมายถึงปัญจพิธกามคุณ คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา

             น่าใคร่น่าชอบใจ ฯ

        ๕.๒ เพราะเป็นเครื่องล่อใจให้ติดในโลก ดุจเหยื่ออันเบ็ดเกี่ยวอยู่ ฯ

 ๖.    ๖.๑ จงแสดงพระพุทธคุณ ๙ โดยอัตตสมบัติและปรหิตปฏิบัติ พอได้ใจความ ?

        ๖.๒ ในพระพุทธคุณ ๙ ประการนั้น ส่วนไหนเป็นเหตุ ส่วนไหนเป็นผล ?

             เพราะเหตุไร ?

 ๖.    ๖.๑ พระพุทธคุณ ตั้งแต่ อรหํ  จนถึง  โลกวิทู  เป็นพระพุทธคุณส่วนอัตตสมบัติ 

             พระพุทธคุณ คือ  อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ

             เป็นพระพุทธคุณส่วนปรหิตปฏิบัติ  

             พระพุทธคุณ คือ พุทฺโธ ภควา เป็นพระพุทธคุณทั้งอัตตสมบัติและปรหิตปฏิบัติ ฯ

        ๖.๒ พระพุทธคุณ ส่วนอัตตสมบัติ เป็นเหตุ ส่วนปรหิตปฏิบัติ เป็นผล เพราะทรง

             บริบูรณ์ด้วยพระพุทธคุณส่วนอัตตสมบัติก่อนแล้วจึงทรงบำเพ็ญพุทธกิจให้

             สำเร็จประโยชน์แก่เวไนย ฯ

 ๗.    ๗.๑  ปัจจุบันนี้ การเจริญกัมมัฏฐาน เป็นที่นิยมของสาธุชน ขอทราบว่า กัมมัฏฐานนั้น

             มีกี่อย่าง ?  อะไรบ้าง ?

        ๗.๒ ธรรมที่เป็นหัวใจของสมถกัมมัฏฐาน มีอะไรบ้าง ?

 ๗.    ๗.๑ มี ๒ อย่าง คือ

                   ๑) สมถกัมมัฏฐาน      กัมมัฏฐานเป็นอุบายสงบใจ

                   ๒) วิปัสสนากัมมัฏฐาน กัมมัฏฐานเป็นอุบายเรืองปัญญา ฯ

        ๗.๒ มีกายคตาสติ เมตตา พุทธานุสสติ กสิณ และจตุธาตุววัตถาน ฯ

 ๘.    ๘.๑ กายคตาสติกัมมัฏฐาน กับ อสุภกัมมัฏฐาน  แตกต่างกันอย่างไร ?

        ๘.๒ กสิณ แปลว่าอะไร  และเป็นคู่ปรับแก่นิวรณ์ชนิดไหน ?

 ๘.    ๘.๑ กายคตาสติกัมมัฏฐาน พิจารณาร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่ให้เห็นเป็นของ

             น่าเกลียด ส่วนอสุภกัมมัฏฐาน พิจารณาซากศพ ฯ

        ๘.๒ แปลว่า วัตถุอันจูงใจ คือจูงใจให้เข้าไปผูกอยู่  เป็นชื่อของกัมมัฏฐานแปลว่า

             มีวัตถุที่ชื่อว่ากสิณเป็นอารมณ์   เป็นคู่ปรับแก่อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ ฯ

 ๙.    ๙.๑ การเจริญมรณสติอย่างไร จึงจะแยบคาย ?

        ๙.๒ ในนวสีวถิกาปัพพะ เมื่อภิกษุเห็นซากศพชนิดใดชนิดหนึ่งใน ๙ ชนิดนั้น ท่าน

             ให้ภาวนาอย่างไร ?

 ๙.    ๙.๑ เจริญพร้อมด้วยองค์ ๓ คือ

                   ๑) มีสติ ระลึกถึงความตาย

                   ๒) มีญาณ รู้ว่าความตายจักมีเป็นแน่  ตัวจะต้องตายเป็นแท้

                   ๓) เกิดสังเวชสลดใจ

             เจริญอย่างนี้จึงจะแยบคาย ฯ

        ๙.๒ ท่านให้ภาวนาโดยการน้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า อยมฺปิ โข กาโย ถึงร่างกาย

             อันนี้เล่า เอวํ ธมฺโม ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา เอวํ ภาวี จักเป็นอย่างนี้

             เอวํ อนตีโต ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ฯ

๑๐. ๑๐.๑ อานาปานสติ ในคิริมานนทสูตร กับในมหาสติปัฏฐานสูตร ต่างกันอย่างไร ?

      ๑๐.๒ ผู้เจริญเมตตาเป็นประจำย่อมได้รับอานิสงส์ อย่างไรบ้าง ?

๑๐. ๑๐.๑ ในคิริมานนทสูตร  แสดงการกำหนดลมหายใจที่เป็นไปพร้อมในกาย เวทนา

             จิต และธรรม ส่วนในมหาสติปัฏฐานสูตร แสดงแต่เพียงกายานุปัสสนาเท่านั้น ฯ

      ๑๐.๒ ย่อมได้รับอานิสงส์ ๑๑ ประการ คือ

                   ๑) หลับอยู่ก็เป็นสุข                                                        

                   ๒) ตื่นอยู่ก็เป็นสุข

                   ๓) ไม่ฝันเห็นสิ่งลามก                                           

                   ๔) เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย

                   ๕) เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย                        

                   ๖) เทวดาทั้งหลายย่อมรักษา

                   ๗) ไฟไม่ไหม้ พิษหรือศัสตราวุธทั้งหลายประทุษร้ายไม่ได้

                   ๘) จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิเร็ว                                      

                   ๙) ผิวพรรณผ่องใสงดงาม

                 ๑๐) ไม่หลงทำกาลกิริยา คือเมื่อจะตายย่อมได้สติ

                 ๑๑) เมื่อตายแล้วแม้เกิดอีกก็เกิดในสถานที่ดี เป็นที่เสวยสุข ถ้าไม่เสื่อม

                       จากฌาน ก็ไปเกิดในพรหมโลก ฯ

วิชาธรรม นักธรรมชั้นเอก 2546

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม  นักธรรมชั้นเอก

สอบในสนามหลวง

พ.ศ. ๒๕๔๖

 

๑.

บาลีแสดงปฏิปทาแห่งนิพพิทาว่า  เย  จิตฺตํ  สญฺญ เมสฺสนฺติ  โมกฺขนฺติ  มารพนฺธนา  ผู้ใดสำรวมจิต ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงแห่งมาร


๑.๑

คำว่า  “ บ่วงแห่งมาร ”  ได้แก่อะไร ?


๑.๒

อาการสำรวมจิต คืออย่างไร ?

๑.

๑.๑

ได้แก่วัตถุกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าใคร่ น่าปรารถนา น่าชอบใจ ฯ


๑.๒

อาการสำรวมจิตมี ๓ ประการ คือ

      ๑) สำรวมอินทรีย์มิให้ความยินดีครอบงำ ในเมื่อเห็นรูป ฟังเสียง ดม

          กลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา

      ๒) มนสิการกัมมัฏฐานอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกามฉันท์ คือ อสุภและ

          กายคตาสติ หรืออันยังจิตให้สลด คือมรณสติ

      ๓) เจริญวิปัสสนา คือพิจารณาสังขารแยกออกเป็นขันธ์ สันนิษฐาน

          เห็นเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯ

๒.

๒.๑

นิพัทธทุกข์ หมายถึงทุกข์อย่างไร ?


๒.๒

ในทุกข์ ๑๐ อย่าง ความร้อนใจ หรือความถูกลงอาชญา จัดเป็นทุกข์เช่นไร ?

๒.

๒.๑

หมายถึง ทุกข์เนืองนิตย์ หรือทุกข์เป็นเจ้าเรือน ได้แก่ หนาว ร้อน หิว ระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ ฯ


๒.๒

จัดเป็นวิปากทุกข์ ฯ


๓.

๓.๑

ในวิมุตติ ๕ อย่างไหนเป็นโลกิยะ อย่างไหนเป็นโลกุตตระ ?


๓.๒

พระบาลีว่า  “ ปญฺญาย  ปริสุชฺฌติ   บุคคลย่อมหมดจดด้วยปัญญา ”  มีอธิบายอย่างไร ?

๓.

๓.๑

ตทังควิมุตติ  วิกขัมภนวิมุตติ  เป็นโลกิยะ

สมุจเฉทวิมุตติ  ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ  นิสสรณวิมุตติ  เป็นโลกุตตระ ฯ


๓.๒

มีอธิบายว่า บุคคลทำบาปเอง ย่อมเศร้าหมองเอง ไม่ทำบาปเอง ย่อมหมดจดเอง

ความหมดจดและความเศร้าหมองเป็นของเฉพาะตน คนอื่นยังคนอื่นให้หมดจดหาได้ไม่ ฯ

๔.

เนื้อความในภารสูตรว่า  “ ปลงภาระอันหนักเสียแล้ว ไม่ถือเอาภาระอันอื่น ”  ถามว่า


๔.๑

คำว่า  “ ภาระอันหนัก ”  ได้แก่อะไร ?


๔.๒

การถือและการปลงภาระอันหนักนั้น หมายถึงอะไร ?

๔.

๔.๑

ได้แก่ ปัญจขันธ์ ฯ


๔.๒

การถือ หมายถึง การถือด้วยอุปาทาน การปลง หมายถึง การถอนอุปาทาน ฯ

๕.

๕.๑

คติ คือภูมิเป็นที่ไปของสัตว์ผู้ตายแล้ว เป็นอย่างไร ?


๕.๒

มีบาลีแสดงอุทเทสเกี่ยวกับคตินั้น ว่าอย่างไร ?

๕.

๕.๑

เป็น ๒ คือ ทุคติ ภูมิเป็นที่ไปข้างชั่ว ๑ สุคติ ภูมิเป็นที่ไปข้างดี ๑ ฯ


๕.๒

มีบาลีแสดงอุทเทสว่า ดังนี้

      ๑) จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา

          เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันต้องหวัง 

      ๒) จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา

          เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้ ฯ


๖.

๖.๑

พระบรมศาสดาทรงชักนำบุคคลให้บำเพ็ญสมาธิ เพราะทรงเห็นประโยชน์อย่างไร ?


๖.๒

พระพุทธจรรยาแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในการทรงแสดงธรรมเร้าใจนั้น ด้วยอาการอย่างไรบ้าง ?

๖.

๖.๑

เพราะทรงเห็นว่า จิตใจของบุคคลเมื่อได้อบรมดีแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ใหญ่ ย่อมรู้เห็นตามเป็นจริง ดังพระบาลีว่า สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ ผู้มีจิตเป็นสมาธิแล้ว ย่อมรู้ตามเป็นจริง ฯ


๖.๒

ด้วยอาการ ๔ คือ

      ๑. สนฺทสฺสนา    อธิบายให้เห็นแจ่มแจ้ง ให้เข้าใจชัด

      ๒. สมาทปนา    ชวนให้มีแก่ใจสมาทาน คือทำตาม

      ๓. สมุตฺเตชนา   ชักนำให้เกิดอุตสาหะอาจหาญเพื่อจะทำ

      ๔. สมฺปหํสนา    พยุงให้ร่าเริงในอันทำ ฯ

๗.

๗.๑

บุคคลในโลกนี้ เมื่อจัดตามจริต มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ?


๗.๒

นิวรณ์ ๕ อย่างไหนสงเคราะห์เข้าในจริตอะไร ?

๗.

๗.๑

มี ๖ ประเภท คือ

      คนราคจริต ๑

      คนโทสจริต ๑

      คนโมหจริต ๑

      คนสัทธาจริต ๑

      คนพุทธิจริต ๑

      คนวิตักกจริต ๑ ฯ




๗.๒

      กามฉันท์         สงเคราะห์เข้าในราคจริต 

      พยาบาท         สงเคราะห์เข้าในโทสจริต

      ถีนมิทธะ         สงเคราะห์เข้าในโมหจริต 

      อุทธัจจกุกกุจจะ สงเคราะห์เข้าในวิตักกจริต 

      วิจิกิจฉา          สงเคราะห์เข้าในโมหจริต ฯ

๘.

๘.๑

ปริยัติธรรม หมายถึงอะไร ?  ที่ได้ชื่ออย่างนั้นเพราะเหตุไร ?


๘.๒

ธรรมทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ มีคุณโดยย่ออย่างไร ?

๘.

๘.๑

หมายถึง พุทธวจนะทั้งสิ้น ฯ ที่ได้ชื่อว่าปริยัติธรรม   เพราะเป็นธรรมต้อง

เล่าเรียนศึกษาให้รู้รอบคอบด้วยดี ฯ


๘.๒

มีคุณโดยย่ออย่างนี้

      ปริยัติธรรม    มีคุณคือ ให้รู้วิธีบำเพ็ญ ศีล สมาธิ ปัญญา

      ปฏิบัติธรรม    มีคุณคือ ทำกาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์จนบรรลุ

                       มรรค ผล นิพพาน

      ปฏิเวธธรรม    คือ  มรรค ผล นิพพาน     มรรคผลนั้น   มีคุณคือ ละกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน   ส่วนนิพพาน  มีคุณคือ   ดับเพลิงกิเลสและกองทุกข์ได้ทั้งหมด ฯ

๙.

๙.๑

ความกำหนดรู้อย่างไร จัดเป็นลักษณะของวิปัสสนาภาวนา  ?


๙.๒

ผู้เจริญวิปัสสนาภาวนา พึงรู้ฐานะทั้ง ๖ ก่อน ฐานะทั้ง ๖ นั้น คืออะไรบ้าง ?

๙.

๙.๑

ความกำหนดรู้ว่า สังขารทั้งปวงเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา เป็นลักษณะของวิปัสสนาภาวนา ฯ


๙.๒

ฐานะทั้ง ๖ คือ

      อนิจจะ           ของไม่เที่ยง ๑

      อนิจจลักษณะ   เครื่องหมายที่จะกำหนดรู้ว่าไม่เที่ยง ๑

      ทุกขะ            ของที่สัตว์ทนยาก ๑

      ทุกขลักษณะ     เครื่องหมายที่จะให้กำหนดรู้ว่าเป็นทุกข์ ๑

      อนัตตา           สภาวะมิใช่ตัวมิใช่ตน ๑

      อนัตตลักษณะ   เครื่องหมายที่จะให้กำหนดรู้ว่าเป็นอนัตตา ๑ ฯ

๑๐.

๑๐.๑

พระคิริมานนท์หายจากอาพาธหนัก เพราะฟังธรรมอะไร ? ใครเป็นผู้แสดง ?


๑๐.๒

ข้อว่า  “ สพฺพสงฺขาเรสุ อนิจฺจสญฺญา ความจำหมายความไม่เที่ยงในสังขารทั้งปวง ”  มีใจความว่าอย่างไร ?

๑๐.

๑๐.๑

เพราะฟังคิริมานนทสูตร ฯ พระอานนทเถระ เป็นผู้แสดง ฯ


๑๐.๒

มีใจความว่า  ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเบื่อหน่าย ย่อมระอา ย่อมเกลียดชัง แต่สังขารทั้งปวง ฯ