วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

วิชาธรรม นักธรรมชั้นโท 2543

 วิชาธรรม นักธรรมชั้นโท 2543


ปัญหาและเฉลยธรรม  นักธรรมชั้นโท

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓

วันพฤหัสบดี ที่   ๑๖  พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓

------------------------------

๑.

๑.๑

ปริเยสนา ๒ อย่างตามความในพระสูตรท่านแสดงไว้อย่างไร ?


๑.๒

ภิกษุควรแสวงหาเลี้ยงชีพอย่างไรจึงเป็นการแสวงหาอย่างประเสริฐ ?

๑.

๑.๑

แสดงว่า แสวงหาสิ่งอันมิใช่ของมีชรา พยาธิ มรณะ โสกะและสังกิเลส เป็นธรรมดา คือธรรมอันเกษมมีพระนิพพานเป็นอย่างสูง จัดเป็นอริย  ปริเยสนา  แสวงหาสิ่งอันมีชรา พยาธิ มรณะ โสกะและสังกิเลสเป็นธรรมดา ทั้งที่สภาพเช่นนั้นก็มีในตนอยู่พร้อมแล้ว จัดเป็นอนริยปริเยสนา


๑.๒

ภิกษุแสวงหาเลี้ยงชีพโดยอุบายอันสมควร ทั้งไม่เป็นโลกวัชชะมีโทษทางโลกและไม่เป็นปัณณัตติวัชชะ มีโทษทางพระบัญญัติ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนและผู้อื่นจึงจะเป็นการแสวงหาอย่างประเสริฐ

๒.

๒.๑

ปรีชาหยั่งรู้อะไรจัดเป็นกิจจญาณ ?


๒.๒

สิกขาคืออะไร ?  มีเท่าไร ?  อะไรบ้าง ?

๒.

๒.๑

ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกข์เป็นธรรมชาติที่ควรกำหนดรู้ ทุกขสมุทัยเป็นสภาพที่ควรละเสีย ทุกขนิโรธเป็นสภาพที่ควรทำให้แจ้ง ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาเป็นธรรมชาติที่ควรทำให้เกิด จัดเป็นกิจจญาณ


๒.๒

ปฏิปทาที่ตั้งไว้เพื่อศึกษา คือฝึกหัดไตรทวารไปตาม ชื่อว่าสิกขา มี ๓ อย่างคือ อธิสีลสิกขา สิกขาคือศีลยิ่ง ๑  อธิจิตตสิกขา สิกขาคือจิตยิ่ง ๑

อธิปัญญาสิกขา สิกขาคือปัญญายิ่ง ๑

๓.

๓.๑

อัปปมัญญา ๔ กับพรหมวิหาร ๔ ต่างกันอย่างไร ?


๓.๒

อะไรเรียกว่า อริยวงศ์ ?  แจกออกเป็นเท่าไร ?  อะไรบ้าง ?

๓.

๓.๑

ต่างกันอย่างนี้คือ อัปปมัญญาได้แก่การแผ่โดยไม่เจาะจงตัว และไม่มีจำกัด ส่วนพรหมวิหารได้แก่การแผ่โดยเจาะจงตัว  หรือโดยไม่เจาะจงตัวแต่ยังจำกัดมุ่งเอาหมู่นี้หมู่นั้น


๓.๒

ปฏิปทาของพระอริยบุคคลผู้เป็นสมณะเรียกว่า อริยวงศ์  แจกออกเป็น ๔ คือ



     ๑) สันโดษด้วยจีวรตามมีตามเกิด

     ๒) สันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามเกิด

     ๓) สันโดษด้วยเสนาสนะตามมีตามเกิด

     ๔) ยินดีในการเจริญกุศลและในการละอกุศล

๔.

๔.๑

อุปาทานคืออะไร ?  มีกี่อย่าง ?  อะไรบ้าง ?


๔.๒

กำเนิด ๔ มีอะไรบ้าง ?

๔.

๔.๑

คือการถือมั่นข้างเลว ได้แก่การถือรั้น มี ๔ คือ 

     กามุปาทาน ถือมั่นในกาม ๑       ทิฏฐุปาทาน ถือมั่นทิฏฐิ ๑ 

     สีลัพพตุปาทาน ถือมั่นศีลพรต ๑  อัตตวาทุปาทาน  ถือมั่นวาทะ

     ว่าตน ๑


๔.๒

คือ  

     ชลาพุชะ เกิดในครรภ์ ๑             อัณฑชะ เกิดในไข่ ๑  

     สังเสทชะ เกิดในเถ้าไคล ๑          โอปปาติกะ เกิดผุดขึ้น ๑

๕.

๕.๑

การสำรวมระวังปิดกั้นอกุศลเรียกว่าอะไร ?  มีเท่าไร ?  อะไรบ้าง ?


๕.๒

สติสังวร สำรวมด้วยสตินั้น มีอธิบายอย่างไร ?

๕.

๕.๑

เรียกว่า สังวร มี ๕ คือ

     ๑) สีลสังวร สำรวมด้วยศีล

     ๒) สติสังวร สำรวมด้วยสติ

     ๓) ญาณสังวร สำรวมด้วยญาณ

     ๔) ขันติสังวร สำรวมด้วยขันติ

     ๕) วิริยสังวร สำรวมด้วยความเพียร


๕.๒

มีอธิบายว่า สำรวมอินทรีย์มีจักษุเป็นต้นระวังรักษามิให้อกุศลธรรมเข้า   ครอบงำ เมื่อเห็นรูปเป็นต้น ทั้งมีสติไม่ฟั่นเฟือนลืมหลง ระลึกได้ก่อนแต่ทำ พูด คิด ไม่ให้ผิดทางกาย วาจา ใจ ไม่ประมาทหลงทำกรรมชั่ว

๖.

๖.๑

ทำไมท่านจึงเปรียบวิสุทธิ ๗ เหมือนรถ ๗ ผลัด ?


๖.๒

อะไรจัดเป็นปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ?

๖.

๖.๑

เพราะวิสุทธิ ๗ นี้ เป็นปัจจัยส่งต่อกันขึ้นไปเพื่อบรรลุพระนิพพาน ท่านจึงเปรียบเหมือนรถ ๗ ผลัดต่างส่งต่อซึ่งคนผู้ไปให้ถึงสถานที่ปรารถนา


๖.๒

วิปัสสนาญาณ ๙ จัดเป็นปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ

๗.

  จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้



๗.๑

ภควา                      ๗.๒  โอปนยิโก


๗.

๗.๑

ภควา คือพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเป็นผู้มีโชค คือจะทรงทำการใด ก็     ลุล่วงปลอดภัยทุกประการ  อีกอย่างหนึ่งเป็นผู้จำแนกแจกธรรม                   


๗.๒ 

โอปนยิโก คือพระธรรมมีคุณควรน้อมเข้ามาในใจของตนหรือควรน้อมใจเข้าไปหาพระธรรมนั้นด้วยการปฏิบัติให้เกิดมีขึ้นในใจ

๘.

๘.๑

บารมีคืออะไร ? มีกี่อย่าง ?  อะไรบ้าง ?


๘.๒

สังโยชน์อะไรเรียกว่า โอรัมภาคิยสังโยชน์ ?  มีอะไรบ้าง ?

๘.

๘.๑

คือคุณสมบัติหรือปฏิปทาอันยวดยิ่ง

มี ๑๐ อย่าง คือ ทาน ๑  ศีล ๑  เนกขัมมะ ๑  ปัญญา ๑  วิริยะ ๑  

ขันติ ๑    สัจจะ ๑  อธิษฐาน ๑  เมตตา ๑  อุเบกขา ๑


๘.๒

สังโยชน์เบื้องต่ำคืออย่างหยาบเรียกว่า โอรัมภาคิยสังโยชน์   มี ๕ อย่างคือ สักกายทิฏฐิ ๑  วิจิกิจฉา ๑  สีลัพพตปรามาส ๑  กามราคะ ๑  ปฏิฆะ ๑

๙.

   จงอธิบายคำต่อไปนี้



๙.๑

มิจฉาสมาธิ                 ๙.๒  สัมมาสมาธิ

๙.

๙.๑

มิจฉาสมาธิ คือการตั้งจิตไว้ผิด โดยนำสมาธิที่ได้นั้นไปใช้ในผิดทาง เช่น สะกดจิตในทางหาลาภให้แก่ตนเอง ในทางหาผลประโยชน์  ทำให้ผู้อื่นหลงงมงายในวิชาความรู้ ในทางให้ร้ายผู้อื่นและในทางนำให้หลง           


๙.๒

สัมมาสมาธิ คือการตั้งจิตไว้ชอบในองค์ฌาน ๔ หรือมีนัยตรงกันข้ามกับ      มิจฉาสมาธิข้างต้น

๑๐.

๑๐.๑

ธุดงค์ ๑๓ ท่านกล่าวว่า เป็นวัตรจริยาพิเศษอย่างหนึ่งไม่ใช่ศีลนั้น

คืออย่างไร ?


๑๐.๒

ธุดงค์นั้น ท่านบัญญัติไว้เพื่ออะไร ?

๑๐.

๑๐.๑

คือการสมาทานหรือข้อที่ถือปฏิบัติจำเพาะผู้สมัครใจจะพึงสมาทานประพฤติไม่มีโทษ  มีแต่ให้คุณแก่ผู้ถือปฏิบัติ


๑๐.๒

เพื่อเป็นอุบายบรรเทาขัดเกลาและกำจัดกิเลส เป็นไปเพื่อความมักน้อยและสันโดษ เป็นต้น


ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท 2544

 ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท 2544


ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม  นักธรรมชั้นโท

สอบในสนามหลวง

วันเสาร์ ที่  ๓  พฤศจิกายน  พ.ศ. ๒๕๔๔

๑.

๑.๑

กาม  และกามคุณ  มีอธิบายอย่างไร ?


๑.๒

รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทั้ง ๕ นี้ เพราะเหตุไรจึงเรียกว่า กามคุณ ?

๑.

๑.๑

กาม ได้แก่ ความใคร่ ความน่าปรารถนา ความพอใจ แบ่งเป็น

กิเลสกาม  และวัตถุกาม

ส่วนกามคุณ ได้แก่อารมณ์ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ มี รูป  เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ  ซึ่งเป็นวัตถุกามนั่นเอง


๑.๒

เพราะเป็นกลุ่มแห่งกาม  และเป็นสิ่งที่ให้เกิดความสุข  ความพอใจได้

๒.

๒.๑

คำว่า  อธิปเตยยะ  แปลว่าอะไร ?  มีอะไรบ้าง ?


๒.๒

บุคคลผู้ถือความถูกต้องเป็นใหญ่ ทำด้วยอำนาจเมตตา กรุณา เป็นต้น

จัดเข้าในอธิปเตยยะข้อไหนได้หรือไม่ ?

๒.

๒.๑

แปลว่า  ความเป็นใหญ่  มี  ๓  คือ 

           ๑) อัตตาธิปเตยยะ  ความมีตนเป็นใหญ่

           ๒) โลกาธิปเตยยะ  ความมีโลกเป็นใหญ่

           ๓) ธัมมาธิปเตยยะ  ความมีธรรมเป็นใหญ่


๒.๒

จัดเข้าในธัมมาธิปเตยยะได้

๓.

๓.๑

ปาฏิหาริย์คืออะไร ? พระพุทธเจ้าทรงยกย่องปาฏิหาริย์อะไรว่าเป็นอัศจรรย์ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์อื่น ?


๓.๒

พุทธจริยา  และพุทธิจริต  ต่างกันอย่างไร ?

๓.

๓.๑

คือ การกระทำที่ให้บังเกิดผลเป็นอัศจรรย์ ทรงยกย่องอนุสาสนีปาฏิหาริย์ว่าเป็นอัศจรรย์ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์อื่น


๓.๒

พุทธจริยา  คือพระจริยาของพระพุทธเจ้า

พุทธิจริต  คือผู้มีความรู้เป็นปกติ

๔.

๔.๑

กาม ภพ ทิฏฐิ อวิชชา เพราะเหตุไรจึงเรียกว่า โอฆะ โยคะ อาสวะ ?


๔.๒

กิจในอริยสัจแต่ละอย่างนั้นมีอะไรบ้าง ?

๔.

๔.๑

เรียกว่า  โอฆะ  เพราะเป็นดุจกระแสน้ำอันท่วมใจสัตว์

เรียกว่า  โยคะ  เพราะประกอบสัตว์ไว้ในภพ

เรียกว่า  อาสวะ  เพราะเป็นสภาพหมักหมมอยู่ในสันดาน


๔.๒

มี  ๔  คือ

           ๑) ปริญญา  กำหนดรู้ทุกขสัจ

           ๒) ปหานะ  ละสมุทัยสัจ

           ๓) สัจฉิกรณะ  ทำให้แจ้งนิโรธสัจ

           ๔) ภาวนา  ทำมัคคสัจให้เกิด

๕.

๕.๑

กรรมฝ่ายอกุศลจัดเป็นมารอะไรในมาร ๕  ?  เพราะเหตุไรจึงได้ชื่อว่ามาร ?


๕.๒

สุทธาวาสมีกี่ชั้น ?  อะไรบ้าง ?  เป็นที่เกิดของใคร ?

๕.

๕.๑

จัดเป็นอภิสังขารมาร,  ที่ได้ชื่อว่ามารเพราะทำให้เป็นผู้ทุรพล


๕.๒

มี  ๕  ชั้นคือ

           ๑) อวิหา

           ๒) อตัปปา

           ๓) สุทัสสา

           ๔) สุทัสสี

           ๕) อกนิฏฐา

         เป็นที่เกิดของพระอนาคามี

๖.

๖.๑

อัญญสัตถุทเทสคืออะไร ?  หมายถึงผู้ประพฤติเช่นไร ?


๖.๒

อัญญสัตถุทเทสต่างจากสังฆเภทอย่างไร ?

๖.

๖.๑

คือถือศาสดาอื่น  หมายถึงภิกษุผู้ไปเข้ารีตเดียรถีย์ คือหันเหไปนับถือศาสนาอื่นทั้งที่ยังถือเพศบรรพชิตอยู่  ต้องห้ามมิให้อุปสมบทอีก


๖.๒

ต่างกัน คืออัญญสัตถุทเทสนั้น ละทิ้งศาสนาเดิมของตน เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่น  แต่ไม่ทำลายพวกเดิมของตน

ส่วนสังฆเภทนั้น ยังอยู่ในศาสนาเดิมของตน  แต่ทำลายพวกตนเองให้แตกแยกเป็นพรรคเป็นพวก

๗.

๗.๑

อะไรเรียกว่า  อนุสัย ?  เพราะเหตุไรจึงได้ชื่อเช่นนั้น ?


๗.๒

การจ้องตาต่อตากับหญิงสาวแล้วชื่นใจ จัดเป็นเมถุนสังโยคได้หรือไม่ ? เพราะเหตุไร ?

๗.

๗.๑

กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน เรียกว่าอนุสัย  เพราะกิเลสทั้ง ๗  อย่างล้วนเป็นกิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน บางทีไม่แสดงอาการที่แท้จริงออกมาให้ปรากฏ ต่อเมื่อมีอารมณ์ภายนอกอย่างใดอย่างหนึ่งมายั่วยวน ก็แสดงออกมาให้ปรากฏและทำจิตให้ขุ่นมัว  เมื่อไม่มีอารมณ์มายั่วยวน ก็นอนสงบนิ่งอยู่ประหนึ่งว่าเป็นผู้ไม่มีกิเลส  เป็นอยู่เช่นนี้  จึงได้ชื่อว่าอนุสัย


๗.๒

ได้  เพราะอาการเช่นนั้นอิงอาศัยกาม

๘.

๘.๑

พระพุทธคุณ  บทว่า  อรหํ  แปลว่าอย่างไรได้บ้าง ?


๘.๒

พระสงฆ์ดีอย่างไร  จึงจัดว่าเป็นนาบุญของโลก ?

๘.

๘.๑

แปลว่า    เป็นผู้เว้นไกลจากกิเลสและบาปธรรม 

           เป็นผู้หักกำแห่งสังสารจักร

           เป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอนเขา 

           เป็นผู้ควรรับความเคารพนับถือของเขา

           เป็นผู้ไม่มีข้อลับ ไม่ได้ทำความเสียหายอันจะพึงซ่อนเพื่อ

           มิให้คนอื่นรู้


๘.๒

พระสงฆ์เป็นผู้บริสุทธิ์  ทักขิณาที่บริจาคแก่ท่าน ย่อมมีผลานิสงส์

ดุจนาที่มีดินดีและไถดี พืชที่หว่านที่ปลูกลงย่อมเผล็ดผลไพบูลย์ จึง

ชื่อว่านาบุญของโลก

๙.

๙.๑

กรรมหมายถึงการกระทำเช่นไร ?


๙.๒

ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม  และอุปปัชชเวทนียกรรม  คือกรรมเช่นไร ?

๙.

๙.๑

หมายถึงการกระทำทางกาย วาจา ใจ ที่มีเจตนาจงใจทำ เป็นได้

ทั้งฝ่ายดี  ฝ่ายชั่วหรือเป็นกลาง ๆ


๙.๒

ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม  คือกรรมให้ผลในภพปัจจุบัน

อุปปัชชเวทนียกรรม  คือกรรมให้ผลในภพที่จะเกิดถัดไป

๑๐.

๑๐.๑

สัทธรรมในจรณะ ๑๕ คืออะไรบ้าง ?


๑๐.๒

พาหุสัจจะ  ความเป็นผู้ได้ฟังมาก  หมายถึงฟังอะไร ?  ประกอบด้วยองค์เท่าไร ?  อะไรบ้าง ?

๑๐.

๑๐.๑

คือ        สัทธา  ความเชื่อ

          หิริ  ความละอายแก่ใจ

           โอตตัปปะ  ความเกรงกลัวผิด

           พาหุสัจจะ  ความเป็นผู้ได้ฟังมาก

           วิริยะ  ความเพียร

           สติ  ความระลึกได้

           ปัญญา  ความรอบรู้


๑๐.๒

หมายถึงฟังธรรม ซึ่งไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะในท่ามกลาง ไพเราะในที่สุด ประกอบด้วยอรรถ ด้วยพยัญชนะ ประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ประกอบด้วยองค์  ๕  คือ

          ๑) พหุสฺสุตา  ได้ยินได้ฟังมาก

           ๒) ธตา  ทรงจำได้

           ๓) วจสา  ปริจิตา  ท่องไว้ด้วยวาจา

           ๔) มนสานุเปกฺขิตา  เอาใจจดจ่อ

           ๕) ทิฏฺฐิยา  สุปฏิวิทฺธา  ขบด้วยทิฏฐิ

วิชาธรรม นักธรรมชั้นโท 2545

 วิชาธรรม นักธรรมชั้นโท 2545


ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท

สอบในสนามหลวง

วันศุกร์ ที่  ๒๒  พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕

 ๑.    ๑.๑ ปฏิสันถาร คืออะไร ?  มีอะไรบ้าง ?

        ๑.๒ มีประโยชน์แก่ผู้ทำอย่างไรบ้าง ?

 ๑.    ๑.๑ คือการต้อนรับแขกผู้มาถึงถิ่น ฯ   มี ๒ อย่าง

                   ๑) อามิสปฏิสันถาร   ต้อนรับด้วยสิ่งของ

                   ๒) ธัมมปฏิสันถาร     ต้อนรับโดยธรรม ฯ

        ๑.๒ อย่างนี้ คือ

                   ๑) เป็นอุบายสร้างความสามัคคีและยึดเหนี่ยวน้ำใจกัน

                   ๒) เป็นการรักษาไมตรีจิตระหว่างกันและกันให้มั่นคงยิ่งขึ้น ฯ

 ๒.    ๒.๑ วิมุตติคืออะไร ?  วิมุตติ ๒ อย่าง มีอะไรบ้าง ?

        ๒.๒ วิมุตติ ๒ กับวิมุตติ ๕ จัดเป็นโลกิยะและโลกุตตระอย่างไร ?

 ๒.    ๒.๑ คือความหลุดพ้น  มี

                   ๑) เจโตวิมุตติ     ความหลุดพ้นด้วยอำนาจแห่งใจ

                   ๒) ปัญญาวิมุตติ  ความหลุดพ้นด้วยอำนาจแห่งปัญญา ฯ

        ๒.๒ วิมุตติ ๒ เป็นโลกุตตระอย่างเดียว  

             ส่วนวิมุตติ ๕ เป็นได้ทั้งโลกิยะและโลกุตตระ ฯ

 ๓.    ๓.๑ ความเห็นว่า "ถึงคราวเคราะห์ดีก็ดีเอง ถึงคราวเคราะห์ร้ายก็ร้ายเอง" อย่างนี้

             เป็นทิฏฐิอะไร ?  จงอธิบาย

        ๓.๒ คติทางพระพุทธศาสนาต่างจากความเห็นนี้อย่างไร ?

 ๓.    ๓.๑  เป็นอเหตุกทิฏฐิ คือเห็นว่า สิ่งทั้งหลายไม่มีเหตุปัจจัย คนเราจะได้ดีหรือได้ร้าย

             ตามคราวเคราะห์ ถึงคราวจะดีก็ดีเอง ถึงคราวจะร้ายก็ร้ายเอง ไม่มีเหตุปัจจัยอื่น ฯ

        ๓.๒ พระพุทธศาสนาถือว่าสังขตธรรมทั้งปวงเกิดแต่เหตุ ฯ

 ๔.    ๔.๑ อาหารของสัตว์นรก และเปรต คืออะไร ?

        ๔.๒ คนจำพวกไหนเปรียบเหมือนอสุรกาย ในอบาย ๔ ?

 ๔.    ๔.๑ อาหารของสัตว์นรกคือกรรม  ส่วนของเปรตคือกรรมและผลทานที่ญาติมิตร

             ทำบุญอุทิศให้ ฯ

        ๔.๒ คนลอบทำโจรกรรม หลอกลวงฉกชิงเอาทรัพย์ของผู้อื่น เปรียบเหมือนอสุรกาย ฯ

 ๕.    ๕.๑ กุลมัจฉริยะ ตระหนี่ตระกูล คืออย่างไร ?

        ๕.๒  ครูสอนศิษย์  ปิดบังอำพรางความรู้  ไม่บอกให้สิ้นเชิง จัดเข้าในมัจฉริยะข้อไหน ?

 ๕.    ๕.๑ คือหวงแหนตระกูลไม่ยอมให้ตระกูลอื่นมาเกี่ยวดองด้วย    ถ้าเป็นบรรพชิตก็

             หวงอุปัฏฐาก  ไม่พอใจให้ไปบำรุงภิกษุอื่น ฯ

        ๕.๒ ธัมมมัจฉริยะ

 ๖.    ๖.๑ ญาณ ๓ ที่เป็นไปในจตุราริยสัจ  มีอะไรบ้าง ?

        ๖.๒ ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขสมุทัยมีอธิบายอย่างไร ?

 ๖.    ๖.๑ ๑) สัจจญาณ  ปรีชาหยั่งรู้อริยสัจ

             ๒) กิจจญาณ  ปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทำ

             ๓) กตญาณ  ปรีชาหยั่งรู้กิจอันทำแล้ว ฯ

        ๖.๒ ๑) ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสมุทัย  จัดเป็นสัจจญาณ

             ๒) ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขสมุทัย เป็นสภาพที่ควรละเสีย  จัดเป็นกิจจญาณ

             ๓) ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขสมุทัยที่ควรละๆ ได้แล้ว  จัดเป็นกตญาณ ฯ


 ๗.    ๗.๑ วิญญาณฐิติต่างจากสัตตาวาสอย่างไร ?

        ๗.๒ สัญญาเวทยิตนิโรธกับนิโรธสมาบัติต่างกันหรือเหมือนกัน ?

 ๗.    ๗.๑ ต่างกันอย่างนี้  ภูมิเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณเรียกว่า วิญญาณฐิติ 

             ภพเป็นที่อยู่แห่งสัตว์ เรียกว่า สัตตาวาส ฯ

        ๗.๒ ต่างกันโดยพยัญชนะ  โดยอรรถเป็นอย่างเดียวกัน  คือท่านผู้เข้าถึงสมาบัติ

             ชนิดนี้แล้วย่อมไม่มีสัญญาและเวทนา ฯ

 ๘.    ๘.๑ ในพระพุทธคุณ บทว่า อรหํ ที่แปลว่า เป็นผู้หักกำแห่งสังสารจักรนั้น กำแห่ง

             สังสารจักร ได้แก่อะไร ?

        ๘.๒ พระพุทธคุณต่อไปนี้มีคำแปลว่าอย่างไร ?

                   ก) สุคโต

                   ข) อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ

 ๘.    ๘.๑ ได้แก่อวิชชา  ตัณหา  อุปาทานและกรรม ฯ

        ๘.๒      ก)  เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว

                   ข) เป็นสารถีแห่งบุรุษพึงฝึกได้ ไม่มีบุรุษอื่นยิ่งไปกว่า ฯ

 ๙.    ๙.๑ ในกรรม ๑๒  กรรมที่ให้ผลตามลำดับ ได้แก่กรรมอะไรบ้าง ?

        ๙.๒ อุปฆาตกกรรม มีอธิบายอย่างไร ?

 ๙.    ๙.๑ ได้แก่

                   ๑) ครุกรรม        กรรมหนัก

                   ๒) พหุลกรรม หรือ อาจิณณกรรม  กรรมชิน

                   ๓) อาสันนกรรม   กรรมเมื่อจวนเจียน

                   ๔) กตัตตากรรม   กรรมสักว่าทำ ฯ

        ๙.๒ อุปฆาตกกรรมเป็นกรรมที่แรง ซึ่งตรงกันข้ามกับชนกกรรม และอุปัตถัมภกกรรม

             เข้าตัดรอนการให้ผลของกรรมสองอย่างนั้นให้ขาดไปเสียทีเดียว เช่น เกิดใน

             ตระกูลสูงมั่งคั่ง แต่อายุสั้น เป็นต้น ฯ

๑๐. ๑๐.๑ ในธุดงค์ ๑๓ นั้น ธุดงค์ที่ถือได้เฉพาะกาลมีอะไรบ้าง ?

      ๑๐.๒ การถือธุดงค์ ย่อมสำเร็จด้วยอาการอย่างไร ?

๑๐. ๑๐.๑       ๑) รุกขมูลิกังคะ     ถืออยู่โคนไม้เป็นวัตร

                   ๒) อัพโภกาสิกังคะ ถืออยู่ในที่แจ้งๆ เป็นวัตร ฯ

      ๑๐.๒ สำเร็จด้วยการสมาทาน คือด้วยอธิษฐานใจหรือแม้ด้วยเปล่งวาจา ฯ