วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2561

นิพพาน ธรรมศึกษา วิชา ธรรม ระดับอุดมศึกษา (ธศ 332) ชั้นเอก

คำว่ำ นิพพาน สมเด็จพระมหำสมณเจ้ำฯ ทรงแสดงพระมติไว้ ๒ นัย ดังนี้
๑) นิพฺพาน แปลว่ำ ดับ มำจำก วา ธำตุ, มี นี เป็นบทหน้ำ, ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น
อน, แปลง ว เป็น พ สำเร็จรูปเป็น นิพฺพาน
๒) นิพฺพาน แปลว่ำ หาของเสียบแทงมิได้ ออกจำก วาน ศัพท์ อันเป็นชื่อของ
ลูกศร มี นี เป็นบทหน้ำ ในควำมหมำยปฏิเสธ เข้ำรูปเป็นปัญจมีหรือฉัฏฐีพหุพพิหิสมำส
เทียบได้กับบทว่ำ “อพฺพุฬฺหสลฺโล : ผู้มีลูกศรอันถอนแล้ว” เป็นคุณบทของพระอรหันต์
นิพพาน มีความหมาย ๒ นัย
นัยที่ ๑ นิพพาน แปลว่ำ ธรรมหาเครื่องเสียบแทงมิได้ หมำยถึงภำวะที่จิต
ปรำศจำกตัณหำเครื่องเสียบแทง นิพพำนตำมควำมหมำยนี้ ตรงกับคำว่ำ สอุปาทิเสส-
นิพพาน คือภำวะที่จิตดับกิเลสตัณหำได้ แต่ยังมีเบญจขันธ์อยู่ หรือภำวะจิตของบุคคลที่สิ้น
กิเลสแล้วแต่ยังมีชีวิตอยู่
นัยที่ ๒ นิพพาน แปลว่ำ ความดับ หมำยถึงภำวะที่ดับกิเลส คือรำคะ โทสะ และ
โมหะได้อย่ำงเด็ดขำด หรือสภำพที่ดับกองทุกข์ในวัฏฏะทั้งมวลอันมี ชาติ ควำมเกิด ชรา
ควำมแก่ มรณะ ควำมตำยเป็นต้น ได้อย่ำงสิ้นเชิง นิพพำนตำมควำมหมำยนี้ ตรงกับคำว่ำ
อนุปาทิเสสนิพพาน คือภำวะที่ดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลือ หรือภำวะที่สิ้นทั้งกิเลสทั้งชีวิต

ดุจประทีปสิ้นเชื้อดับไปฉะนั้น
พระพุทธพจน์ที่แสดงปฏิปทำแห่งนิพพำน มีนัยดังนี้
ภิกษุยินดีในความไม่ประมาทแล้ว หรือเห็นภัยในความประมาทโดยปกติ
ย่อมเป็นผู้ไม่ควรเพื่อเสื่อมรอบ ย่อมปฏิบัติใกล้นิพพานเทียว.
อัปปมำทวรรค : ขุททกนิกำย ธรรมบท
ความไม่ประมาท ในที่นี้ คือกำรอยู่ไม่ปรำศจำกสติ เจริญสติปัฏฐำน ๔ อยู่เสมอ
ซึ่งเป็นหลักธรรมสำคัญที่ทำผู้ปฏิบัติให้บรรลุนิพพำนได้
ภิกษุหนักในพระศาสดา หนักในพระธรรม มีความเคารพกล้าใน
พระสงฆ์ มีความเพียร หนักในสมาธิ มีความเคารพกล้าในสิกขา หนัก
ในความไม่ประมาท และเคารพในปฏิสันถาร ย่อมเป็นผู้ไม่ควรเพื่อ
เสื่อมรอบ ย่อมปฏิบัติใกล้นิพพานเทียว.
คำรวสูตร : อังคุตตรนิกำย สัตตกนิบำต
ความเคารพ ในที่นี้ คือควำมเอื้อเฟื้อตระหนักในพระรัตนตรัย ในกำรบำเพ็ญสมำธิ

ในกำรปฏิบัติตำมหลักไตรสิกขำ ในควำมไม่ประมำทต่อกำรเจริญสติปัฏฐำน ๔ และในธรรม
ปฏิสันถำร เมื่อผู้ใดมีควำมเคำรพดังกล่ำวมำนี้ ชื่อว่ำปฏิบัติตนเพื่อควำมเจริญ มุ่งตรงต่อกำร
บรรลุนิพพำนอย่ำงแน่แท้
ฌานและปัญญามีในผู้ใด ผู้นั้นปฏิบัติใกล้นิพพาน.
ภิกขุวรรค : ขุททกนิกำย ธรรมบท
ฌานและปัญญา ในที่นี้ คือ ฌาน ได้แก่จิตที่เป็นสมำธิแน่วแน่ สงบจำกนิวรณธรรม
ในภำคปฏิบัติ ได้แก่ การเจริญสมถกัมมัฏฐาน ส่วนปัญญา ได้แก่จิตที่รู้เท่ำทันควำมเป็นไป
ของสรรพสิ่งตำมเป็นจริง ในภำคปฏิบัติ ได้แก่ การเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน
ภิกษุ เธอจงวิดเรือนี้ เรืออันเธอวิดแล้ว จักพลันถึง
เธอตัดราคะและโทสะแล้ว แต่นั้นจักถึงนิพพาน.
ภิกขุวรรค : ขุททกนิกำย ธรรมบท
คำว่ำ เรือ หมำยถึง อัตภาพร่างกายของคนเรำ อันลอยอยู่ในแม่น้ำคือสังสำรวัฏ
เรืออันเธอวิดแล้ว หมำยถึงกำรบรรเทำกิเลสและบำปธรรมให้เบำบำงลงจนตัดได้เด็ดขำด
เมื่อตัดกิเลสและบำปธรรมได้แล้ว เรือคืออัตภำพนี้ก็จักแล่นไปถึงท่ำคือพระนิพพำนได้

ในที่สุด

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2561

สันติ ความสงบ ธรรมศึกษา วิชา ธรรม ระดับอุดมศึกษา (ธศ 332) ชั้นเอก

สันติ ความสงบ หมำยถึงควำมสงบกำย วำจำ และใจ ในที่นี้ จำแนกเป็น ๒ คือ
ความสงบภายนอก ได้แก่ สงบกาย วาจา และ ความสงบภายใน ได้แก่ สงบใจ
ในอุทเทสที่ ๑ พระพุทธองค์ทรงสอนให้พอกพูนทางแห่งสันติ อันเป็นไปทำง
ไตรทวาร คือ กายทวาร วจีทวาร มโนทวาร ที่เป็นไปโดยสุจริต คือเว้นจำกพฤติกรรม
ที่เบียดเบียนตนและผู้อื่นให้เดือดร้อน โดยกำรไม่ประทุษร้ำย กำรไม่กล่ำวร้ำย และกำรไม่
คิดร้ำย เป็นต้น ดังที่ตรัสไว้ในสหัสสวรรค ขุททกนิกำย ธรรมบท ว่ำ “ผู้หลุดพ้นแล้วเพราะ
รู้ชอบ ผู้สงบระงับแล้ว ผู้คงที่นั้น มีใจสงบแล้ว วาจาและการกระทาก็สงบแล้ว”
จิตที่ประกอบด้วยมโนสุจริต ๓ คือ ไม่คิดโลภอยำกได้ ไม่คิดพยำบำทปองร้ำย
มีควำมเห็นชอบตำมคลองธรรม จัดเป็นความสงบภายใน กำรประกอบด้วยกำยสุจริต ๓
วจีสุจริต ๔ จัดเป็นความสงบภายนอก
คำว่ำ พูน ในอุทเทสที่ ๑ หมำยถึงทาให้มากขึ้น ทาให้เจริญขึ้น ในที่นี้มุ่งถึงพูนทำง
ที่ทำให้ถึงควำมดับทุกข์ อันเป็นทำงแห่งสันติที่แท้จริง ได้แก่ อริยมรรคมีองค์ ๘
คำว่ำ ความสงบ ในอุทเทสที่ ๒ ได้แก่ พระนิพพาน มีอธิบำยว่ำ ควำมสุขอย่ำงอื่น
แม้จะเป็นควำมสุขเหมือนกัน แต่ก็ไม่ใช่ควำมสุขที่แท้จริง ส่วนควำมสุขที่เกิดจำกกำรละกิเลส
ได้เด็ดขำด จัดเป็นควำมสุขที่แท้จริง
คำว่ำ อามิส ในอุทเทสที่ ๓ หมำยถึงเครื่องล่อใจให้ติดอยู่ในโลก ดุจเหยื่อที่เบ็ดเกี่ยว
ไว้สำหรับล่อปลำ ได้แก่ กามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่ำปรำรถนำ น่ำรักใคร่
น่ำพอใจกำรทำจิตมิให้ติดอยู่ในกำมคุณ ๕ จัดเป็นปฏิปทำของผู้รู้ ผู้สงบดีแล้ว ดังที่ตรัสไว้
ในชรำสูตร ขุททกนิกำย สุตตนิบำต ว่ำ “หยาดแห่งน้าย่อมไม่ติดในใบบัว แม้ฉันใด วารี
ย่อมไม่กาซาบในดอกปทุม ฉันใด มุนีย่อมไม่เข้าไปติดในอารมณ์อันเห็นแล้วก็ดี อันฟัง
แล้วก็ดี อันทราบแล้วก็ดี ฉันนั้น” ดังนั้น ผู้มุ่งสันติอันเป็นสุขอย่ำงแท้จริง พึงละโลกำมิสเสีย

วิสุทธิ ความหมดจด ธรรมศึกษา วิชา ธรรม ระดับอุดมศึกษา (ธศ 332) ชั้นเอก

วิสุทธิ ความหมดจด หมำยถึงควำมบริสุทธิ์ คือกำรชำระจิตของตนให้หมดจด
บริสุทธิ์ผ่องแผ้วจำกกิเลสำสวะทั้งปวง ควำมหมดจดนี้ย่อมเกิดได้ด้วยปัญญำ
หลักความหมดจดในลัทธิศาสนาอื่น : ลัทธิศำสนำพรำหมณ์ถือว่ำ ควำมหมดจด
จะมีได้ด้วยกำรชำระบำป โดยทำพิธีลอยบำปทิ้งเสียในแม่น้ำคงคำ (หรือเรียกว่ำอำบน้ำชำระ
บำปได้) ลัทธิศำสนำอื่นๆ เช่นคริสต์ศำสนำ ถือว่ำ ควำมหมดจดจะมีได้ด้วยกำรสวดมนต์
อ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้ำเพื่อทรงยกโทษให้
หลักความหมดจดในพระพุทธศาสนา : พระพุทธศำสนำถือว่ำ ควำมหมดจดจะมี
ได้ด้วยปัญญำเท่ำนั้น จะมีด้วยเหตุอื่นหำได้ไม่ นั่นหมำยควำมว่ำ บุญบำปจะมีได้เพรำะ
ตนเองเป็นผู้ทำ ไม่มีใครมำช่วยทำให้บริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ได้ ดังพระบำลีในขุททกนิกำย
ธรรมบท ว่ำ
“ทาบาปเอง ย่อมเศร้าหมองเอง ไม่ทาบาปเอง ย่อมหมดจดเอง ความหมดจด
และความเศร้าหมอง เป็นของเฉพาะตน คนอื่นยังคนอื่นให้หมดจดหาได้ไม่”
ความบริสุทธิ์ภายในย่อมมีด้วยปัญญา กล่ำวคือ ควำมหมดจดจำกกิเลสำสวะอัน
นอนเนื่องอยู่ภำยในขันธสันดำน จะต้องอำศัยปัญญาพิจารณาตามความเป็นจริง เรียกว่ำ
วิปัสสนาญาณ ๙ ซึ่งจัดเป็นขั้นๆ สูงขึ้นไปตำมลำดับ ๙ ขั้น ดังนี้
๑) อุทยัพพยญาณ หรือ อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ญาณหยั่งเห็นความเกิดและ
ความดับ คือปัญญำพิจำรณำควำมเกิดขึ้นและควำมดับไปแห่งสังขำรหรือเบญจขันธ์ จนเห็น
ประจักษ์ชัดว่ำสังขำรทั้งหลำยทั้งปวงเกิดขึ้นแล้วก็ต้องดับไป
๒) ภังคญาณ หรือ ภังคานุปัสสนาญาณ ญาณหยั่งเห็นความเสื่อมสลาย คือปัญญำ
พิจำรณำเห็นว่ำ สังขำรทั้งหลำยทั้งปวงมีกำรแตกสลำยย่อยยับไป
๓) อาทีนวญาณ หรือ อาทีนวานุปัสสนาญาณ ญาณหยั่งเห็นโทษ คือปัญญำ
พิจำรณำเห็นสังขำรทั้งหลำยทั้งปวงว่ำเป็นโทษ มีควำมบกพร่อง เจือปนด้วยทุกข์
๔) ภยตูปัฏฐานญาณ ญาณหยั่งเห็นสังขารปรากฏโดยเป็นของน่ากลัว คือปัญญำ
พิจำรณำเห็นสังขำรทั้งหลำยทั้งปวง ทั้งที่เป็นไปในอดีต ปัจจุบัน และอนำคต ล้วนปรำกฏ
เป็นของน่ำสะพรึงกลัว
๕) นิพพิทาญาณ หรือ นิพพิทานุปัสสนาญาณ ญาณหยั่งเห็นความหน่าย คือ
ปัญญำพิจำรณำเห็นสังขำรว่ำเป็นโทษน่ำกลัวเช่นนั้นแล้ว จึงเกิดควำมหน่ำยในสังขำร
๖) มุญจิตุกัมยตาญาณ ญาณหยั่งเห็นด้วยใคร่จะพ้นไปเสีย คือปัญญำพิจำรณำจน
เกิดควำมหน่ำยสังขำรทั้งหลำยแล้วเกิดควำมปรำรถนำที่จะพ้นไปเสียจำกสังขำรเหล่ำนั้น
๗) ปฏิสังขาญาณ ญาณพิจารณาหาทาง คือปัญญำพิจำรณำสังขำรทั้งหลำย โดย
ยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์ เพื่อหำอุบำยที่จะปลดเปลื้องจิตออกไปจำกควำมหน่ำยนั้น
๘) สังขารุเปกขาญาณ ญาณวางเฉยในสังขาร คือปัญญำพิจำรณำรู้เห็นสังขำรตำม
ควำมเป็นจริงว่ำ มีควำมเป็นอยู่ เป็นไปอย่ำงนั้นเป็นธรรมดำ จึงวำงจิตเป็นกลำงในสังขำร
ทั้งหลำย จำกนั้นจึงละควำมเกี่ยวเกำะในสังขำรเสียได้
๙) สัจจานุโลมิกญาณ หรือ อนุโลมญาณ ญาณอันเป็นไปโดยอนุโลมแก่การหยั่งรู้
อริยสัจ คือเมื่อเกิดสังขำรุเปกขำญำณ จิตก็เป็นกลำงต่อสังขำรทั้งหลำย และญำณนั้นมุ่งตรง
ต่อนิพพำน จึงเกิดปัญญำที่สูงขึ้นอีกขั้นหนึ่ง เป็นขั้นสุดท้ำยของวิปัสสนำญำณ คือญำณอัน

คล้อยต่อกำรตรัสรู้อริยสัจ ย่อมเกิดขึ้นเป็นลำดับถัดมำ จำกนั้นก็จะเกิด โคตรภูญาณ ญาณ
วิสุทธิ ๗ คือทำงแห่งควำมหมดจดด้วยปัญญำที่อุดหนุนส่งเสริมกันให้สูงขึ้น
ไปเป็นขั้นๆ ไปตำมลำดับ ๗ ขั้น ดังนี้
๑) สีลวิสุทธิ ความหมดจดแห่งศีล หมำยถึงกำรรักษำศีลตำมภูมิชั้นของตนให้
บริสุทธิ์ และให้เป็นไปเพื่อสมำธิ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สงเคราะห์
เข้าในข้อนี้
๒) จิตตวิสุทธิ ความหมดจดแห่งจิต หมำยถึงควำมหมดจดแห่งจิตที่เกิดจำกกำร
บำเพ็ญสมำธิจิตจนได้บรรลุฌำนสมำบัติ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สงเคราะห์
เข้าในข้อนี้
๓) ทิฏฐิวิสุทธิ ความหมดจดแห่งทิฏฐิ หมำยถึงควำมหมดจดแห่งควำมคิดเห็นที่เกิด

จำกควำมรู้ควำมเข้ำใจ สำมำรถมองเห็นนำมรูปหรือเบญจขันธ์ตำมที่เป็นจริง
๔) กังขาวิตรณวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณเป็นเหตุข้ามพ้นความสงสัย หมำยถึง
ควำมหมดจดแห่งปัญญำที่พิจำรณำเห็นควำมเป็นไปแห่งสังขำรอันเนื่องมำจำกเหตุปัจจัย
ปรุงแต่ง ดังพระพุทธพจน์ในพระไตรปิฎก ว่ำ “พืชอย่างใดอย่างหนึ่งที่บุคคลหว่านในนาย่อม
งอกขึ้นได้ เพราะอาศัยเหตุ ๒ อย่าง คือ รสในแผ่นดินและยางในพืช ฉันใด ขันธ์ ธาตุ และ
อายตนะ ๖ เหล่านี้ ก็เกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุปัจจัย ดับไปเพราะเหตุปัจจัยดับ ฉันนั้น” แล้ว
กำจัดควำมสงสัยทั้งปวงในนำมรูปเสียได้
๕) มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณที่รู้เห็นว่าเป็นทางหรือ
มิใช่ทาง หมำยถึงควำมหมดจดด้วยกำรเริ่มเจริญวิปัสสนำพิจำรณำสิ่งที่รวมกันอยู่เป็น
กลุ่มก้อน จนเห็นควำมเกิดขึ้นและควำมเสื่อมไปแห่งสังขำรทั้งหลำย แล้วเกิดวิปัสสนูปกิเลส
(สิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวำงมิให้กำรเจริญวิปัสสนำรุดหน้ำไป) ๑๐ อย่ำง คือ โอภาส
แสงสว่ำง, ญาณ ควำมรู้, ปีติ ควำมอิ่มใจ, ปัสสัทธิ ควำมสงบ, สุข ควำมสบำย, อธิโมกข์
ควำมน้อมใจเชื่อ, ปัคคาหะ ควำมเพียรประคองจิต, อุปัฏฐาน ควำมปรำกฏชัดแห่งสติ,
อุเบกขำ ควำมวำงจิตเป็นกลำง และนิกันติ ควำมพอใจในวิปัสสนำ เมื่อวิปัสสนูปกิเลส
๑๐ อย่ำงนี้เกิดขึ้น ก็ใช้โยนิโสมนสิกำรกำหนดได้ว่ำมิใช่ทำง ส่วนวิปัสสนำที่เริ่มดำเนินเข้ำสู่
วิถีนั่นแหละเป็นทำงถูกต้อง แล้วเตรียมที่จะประคองจิตไว้ในวิปัสสนำญำณนั้นต่อไป
๖) ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณอันรู้เห็นทางดาเนิน หมำยถึง
ควำมหมดจดแห่งควำมรู้เห็นชัดในข้อปฏิบัติด้วยกำรประกอบควำมเพียรในวิปัสสนำญำณ ๙
ดังกล่ำว โดยเริ่มตั้งแต่ อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ที่พ้นจำกอุปกิเลสดำเนินเข้ำสู่วิถีทำงนั้น
เป็นต้นไปจนถึง สัจจานุโลมิกญาณ อันเป็นที่สุดแห่งวิปัสสนำ ต่อจำกนั้นก็จะเกิด โคตรภูญาณ
คั่นระหว่ำงวิสุทธิข้อนี้กับข้อสุดท้ำย เป็นรอยต่อแห่งควำมเป็นปุถุชนกับควำมเป็นอริยบุคคล
๗) ญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณทัสสนะ หมำยถึงควำมหมดจดที่เกิด
จำกควำมรู้เห็นด้วยปัญญำในอริยมรรค ๔ มีโสดำปัตติมรรคเป็นต้น อันเกิดถัดจำกโคตรภูญำณ
เป็นต้นไป เมื่อมรรคจิตเกิดขึ้นแล้ว ผลจิตย่อมเกิดขึ้น เป็นอันบรรลุจุดหมำยสูงสุด
ในพระพุทธศำสนำ
สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สงเคราะห์เข้าในวิสุทธิทั้ง ๕ ข้อดังกล่าวมานี้ คือข้อ
๓ ถึง ข้อ ๗ โดยสัมมาสังกัปปะทำกิจพิจารณา สัมมาทิฏฐิทำกิจสันนิษฐาน คือความ

ตกลงใจ