วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

หัวใจสมถกัมมัฎฐาน ธรรมศึกษา วิชา ธรรม ระดับอุดมศึกษา (ธศ 332) ชั้นเอก

หัวใจสมถกัมมัฏฐาน

สมาธึ ภิกฺขเว ภาเวถ, สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ.
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงยังสมาธิให้เกิด ชนผู้มีจิตเป็นสมาธิแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง.
สังยุตตนิกำย สฬำยตนวรรค
อำกำรของกำยและวำจำจะเป็นอย่ำงไร ย่อมสำเร็จมำจำกใจเป็นผู้บัญชำ ถ้ำใจ
ได้รับกำรอบรมดี ก็บังคับบัญชำกำยและวำจำให้ดีไปด้วย ถ้ำใจชั่ว ก็บังคับบัญชำให้กำยและ
วำจำชั่วไปด้วย ดังนั้น พระพุทธองค์จึงทรงสอนภิกษุทำใจให้เป็นสมำธิ เมื่อใจเป็นสมำธิ
แม้จะนำไปใช้นึกคิดอะไรก็ละเอียดสุขุม ย่อมรู้จักควำมเป็นจริงได้ดีกว่ำผู้มีใจไม่เป็นสมำธิ
ใจที่ไม่เป็นสมำธิ บำงครำวอำจทำให้เป็นคนเสียสติ เพรำะไม่มีอะไรเป็นเครื่องควบคุม
กัมมัฏฐาน
คำว่ำ กัมมัฏฐาน แปลว่ำ ที่ตั้งแห่งการงาน หมำยถึงอำรมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งกำร
งำน หรือเรียกว่ำ ภาวนา แปลว่ำ ทาให้มีให้เป็นขึ้น แบ่งเป็น ๒ อย่ำง คือ
๑. สมถกัมมัฏฐาน กัมมัฏฐานเป็นอุบายสงบใจ หมำยถึงกัมมัฏฐำนที่เนื่องด้วย
บริกรรมอย่ำงเดียว เป็นกำรบำเพ็ญเพียรทำงจิตโดยใช้สติเป็นหลัก เป็นอุบำยทำให้นิวรณ
ธรรมระงับไป ไม่เกี่ยวกับกำรใช้ปัญญำ
๒. วิปัสสนากัมมัฏฐาน กัมมัฏฐานเป็นอุบายเรืองปัญญา หมำยถึงกัมมัฏฐำน
ที่ใช้ปัญญำพิจำรณำอย่ำงเดียว โดยกำรพิจำรณำปรำรภสภำวธรรม คือ ขันธ์ ๕ อำยตนะ ๑๒
ธำตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ แยกออกพิจำรณำให้รู้ตำมสภำพควำมเป็นจริง โดยยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์
หรือสำมัญญลักษณะว่ำ เป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตำ
หัวใจสมถกัมมัฏฐาน
หัวใจสมถกัมมัฏฐานนี้ หมำยถึง กัมมัฏฐำนหลักสำคัญ ที่เป็นอุบำยเครื่องอบรม
จิตให้เป็นสมำธิ มี ๕ อย่ำง คือ

๑. กำยคตำสติ
๒. เมตตำ
๓. พุทธำนุสสติ
๔. กสิณ

๕. จตุธำตุววัตถำน
๑. กายคตาสติ สติอันไปในกาย
กายคตาสติ หมำยถึงกำรใช้สติกำหนดพิจำรณำกำยว่ำ เป็นของไม่สวยงำม คือ
กำหนดพิจำรณำแต่ปลำยผมลงมำถึงปลำยเท้ำ อันประกอบด้วยผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
เป็นต้น กำหนดพิจำรณำสี สัณฐำน กลิ่น ที่เกิด ที่อยู่ของส่วนต่ำงๆ เหล่ำนั้น ซึ่งเรียกว่ำ
อาการ ๓๒ จนเห็นว่ำ แต่ละอย่ำงล้วนเป็นสิ่งปฏิกูลน่ำเกลียด เหมือนหม้อใส่อุจจำระและ
สิ่งปฏิกูลต่ำงๆ ภำยนอกอำจดูสวยงำม แต่ภำยในเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกโสโครกนำนัปกำร
๒. เมตตา
เมตตา หมำยถึง ควำมปรำรถนำจะให้ผู้อื่นเป็นสุข คือควำมมีจิตอันแผ่ไมตรี
และคิดทำประโยชน์แก่มนุษย์และสัตว์ทั่วหน้ำ ผู้เจริญเมตตำกัมมัฏฐำนนี้ เบื้องต้นควรนึกถึง
คนอื่นเทียบกับตนว่ำ “เรารักสุข เกลียดทุกข์ฉันใด คนอื่นก็รักสุข เกลียดทุกข์ฉันนั้น สิ่งที่
ชอบใจของเรา ย่อมเป็นของที่ชอบใจของคนอื่น สิ่งที่ไม่เป็นที่ชอบใจของเรา ย่อมไม่เป็นที่
ชอบใจของคนอื่นด้วยเหมือนกัน”
ผู้เจริญเมตตำ พึงแผ่โดยเจาะจงก่อน เริ่มต้นแต่คนที่ใกล้ชิดสนิทกัน เช่น
มำรดำบิดำ สำมีภรรยำ บุตรธิดำ ครูอำจำรย์เป็นต้น หลังจำกนั้น พึงแผ่โดยไม่เจาะจง คือ
สร้ำงควำมปรำรถนำดีในคนทั่วไป หรือเพื่อนมนุษย์ทั่วโลก ตลอดถึงสรรพสัตว์ การแผ่
เมตตาโดยเจาะจง ทำให้จิตมีพลังแรง แต่ขอบเขตแห่งควำมไม่มีภัยไม่มีเวรและควำมสำเร็จ
ประโยชน์แก่ผู้อื่นเป็นไปในวงแคบ ส่วนการแผ่เมตตาโดยไม่เจาะจง แม้ว่ำจิตจะมีพลังอ่อน
แต่เป็นไปในวงกว้ำง สำมำรถทำให้คนในสังคมมีควำมรักใคร่ปรองดองช่วยเหลือกัน และได้สุข
โดยทั่วถึงกัน ในกำรเจริญเมตตำกัมมัฏฐำนนิยมบริกรรมตำมบทบำลีว่ำ “สพฺเพ สตฺตา อเวรา
อพฺยาปชฺฌา อนีฆา สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ” แปลว่ำ “ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง เป็นผู้ไม่มีเวร

ไม่มีความลาบาก ไม่มีทุกข์ จงมีสุข รักษาตนเถิด”บุคคลที่เจริญเมตตำย่อมได้รับอำนิสงส์ ๑๑ อย่ำง คือ (๑) หลับเป็นสุข (๒) ตื่น
เป็นสุข (๓) ไม่ฝันร้าย (๔) เป็นที่รักของมนุษย์ (๕) เป็นที่รักของอมนุษย์ (๖) เทวดารักษา
(๗) ไฟ ยาพิษ ศัสตราวุธ ไม่กล้ากราย (๘) จิตสงบเป็นสมาธิได้เร็ว (๙) สีหน้าผ่องใส (๑๐)
ตายอย่างมีสติ (๑๑) เมื่อยังไม่บรรลุธรรมชั้นสูง ย่อมเข้าถึงพรหมโลก
๓. พุทธานุสสติ
พุทธานุสสติ แปลว่ำ ความระลึกถึงพระพุทธเจ้า หมำยถึงกำรระลึกถึงพระพุทธองค์
โดยปรำรภถึงพระคุณควำมดีของพระองค์ ไม่ใช่ระลึกถึงเพรำะต้องกำรจะกล่ำวโทษ
โดยประกำรต่ำงๆ
ผู้เจริญพุทธำนุสสติ พึงบริกรรมระลึกถึงพระพุทธคุณ ๙ บท คือ อรหํ,
สมฺมาสมฺพุทฺโธ, วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน, สุคโต, โลกวิทู, อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ, สตฺถา
เทวมนุสฺสานํ, พุทฺโธ, ภควา โดยลำดับ หรือจะกำหนดเฉพำะพระคุณบทใดบทหนึ่งก็ได้
เช่น บทที่นิยมกันมำกคือบทว่ำ “อรหํ” หรือ “พุทฺโธ”
๔. กสิณ
กสิณ แปลว่ำ วัตถุอันจูงใจ หมำยถึงวัตถุอันจูงใจให้เข้ำไปผูกอยู่สำหรับเพ่ง
เพื่อให้จิตเป็นสมำธิ โดยกำหนดเอำวัตถุจูงใจ ๑๐ อย่ำงมำเพ่งเป็นอำรมณ์ คือ (๑) ปฐวี ดิน
(๒) อาโป น้ำ (๓) เตโช ไฟ (๔) วาโย ลม (๕) นีลํ สีเขียว (๖) ปีตํ สีเหลือง (๗) โลหิตํ สีแดง
(๘) โอทาตํ สีขำว (๙) อาโลโก แสงสว่ำง (๑๐) อากาโส ที่ว่ำง
ข้อ ๑ – ๔ เรียกรวมกันว่ำ ภูตกสิณ กสิณมหาภูตรูป ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ และลม
ส่วนข้อ ๕ – ๘ เรียกรวมกันว่ำ วัณณกสิณ กสิณสี ๔ คือ สีเขียว เหลือง แดง และขำว
๕. จตุธาตุววัตถาน
จตุธาตุววัตถาน แปลว่ำ การกาหนดธาตุ ๔ หมำยถึงกัมมัฏฐำนที่กำหนด
พิจำรณำให้เห็นว่ำ ร่ำงกำยของคนเรำ เป็นแต่เพียงธำตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม มำประชุม
รวมกันเท่ำนั้น ทั้งนี้เพื่อถ่ำยถอนควำมรู้สึกว่ำ เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรำเขำออกไปจำก
จิตใจเสียได้ เรียกอีกอย่ำงว่ำ ธาตุมนสิการ หรือ ธาตุกัมมัฏฐาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น