วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

วิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก 2548

ปัญหาและเฉลยวิชาพุทธานุพุทธประวัติ  นักธรรมชั้นเอก

สอบในสนามหลวง

วันอาทิตย์ ที่  ๒๐  พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘



   ๑.  รูปกายอุบัติและธรรมกายอุบัติ แห่งพระมหาบุรุษนั้น มีความหมายว่าอย่างไร ?

   ๑.  รูปกายอุบัติ คือความอุบัติในสมัยลงสู่พระครรภ์และในสมัยประสูติจากพระครรภ์

        ส่วนธรรมกายอุบัติ คือการตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ฯ

   ๒.  ข้ออุปมาว่า  “ไม้แห้งที่วางไว้บนบก ไกลน้ำ สามารถสีให้เกิดไฟได้”  เกิดขึ้น

        แก่ใคร ?  โดยนำไปเปรียบกับอะไร ?

   ๒. แก่พระมหาบุรุษ คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฯ โดยทรงนำไปเปรียบ

        กับสมณพราหมณ์ทั้งหลายว่า สมณพราหมณ์บางพวกมีกายหลีกออกจากกาม

        ใจก็ละความรักใคร่ในกาม สงบดีแล้ว หากพากเพียรพยายามอย่างถูกต้อง

        ย่อมสามารถตรัสรู้ธรรมได้ ฯ

   ๓.  อนุปุพพีกถา คืออะไร ?  ทรงแสดงแก่บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยองค์เท่าไร ?  อะไรบ้าง ?

   ๓.  คือถ้อยคำที่กล่าวเรียงเรื่องเป็นลำดับไป ฯ  ด้วยองค์ ๓ ฯ  คือ เป็นมนุษย์ ๑ 

        เป็นคฤหัสถ์ ๑  มีอุปนิสัยแก่กล้าควรบรรลุโลกุตรคุณในที่นั้น ๑ ฯ

   ๔.  สหายของพระยสะ ๔ คน ได้ออกบวชตามพระยสะ เพราะคิดอย่างไร ?

   ๔.  เพราะคิดว่า  ธรรมวินัยที่พระยสะออกบวชนั้นจักไม่เลวทรามแน่แท้  คงเป็น

        ธรรมวินัยอันประเสริฐ คิดดังนี้จึงได้ออกบวช ฯ

   ๕.  พระพุทธดำรัสว่า “เราสรรเสริญความคลุกคลีด้วยประการทั้งปวงหามิได้ แต่เรา

        มิใช่ไม่สรรเสริญความคลุกคลีด้วยประการทั้งปวงเลย” ตรัสแก่ใคร ?  ทรงหมาย

        ความว่าอย่างไร ?

   ๕.  ตรัสแก่พระมหาโมคคัลลานเถระ ฯ  ทรงหมายความว่า พระองค์ไม่ทรงสรรเสริญ

        ความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ แต่ทรงสรรเสริญความคลุกคลีด้วยเสนาสนะอันสงัด ฯ

   ๖.  พระพุทธเจ้าตรัสสอนภิกษุให้ประพฤติตนในการเข้าไปใกล้ตระกูลโดยยก

        พระมหากัสสปะเป็นตัวอย่างไว้อย่างไร ?

   ๖.  ตรัสสอนไว้มาก โดยสรุปทรงสอนว่า ท่านพระมหากัสสปะมีความสำรวมระวัง

        อย่างยิ่ง ทำตนเป็นผู้ใหม่อยู่เสมอ ไม่ลำพอง ไม่ติดข้อง วางเฉยกับอิฏฐารมณ์

        และอนิฏฐารมณ์ที่ประสบได้ทุกอย่าง ฯ

   ๗.  ธรรม ๓๗ ประการมีสติปัฏฐาน ๔ เป็นต้น มีมรรคมีองค์ ๘ เป็นที่สุด เรียก

        ชื่อว่าธรรมอะไรได้บ้าง ?  เรียกอย่างนั้นเพราะเหตุไร ?

   ๗.  เรียกชื่อว่า อภิญญาเทสิตธรรม เพราะเป็นธรรมที่พระองค์ทรงแสดงด้วย

        พระปัญญาอันยิ่ง และเรียกชื่อว่า โพธิปักขิยธรรม เพราะธรรมเหล่านี้เป็น

        ฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ ฯ

   ๘.  โมฆราชมาณพคิดจะทูลถามปัญหากะพระพุทธองค์ ๓ ครั้ง   แต่มิได้ทูลถาม

        เพราะเหตุไร ?

   ๘.  ในครั้งที่ ๑ ไม่ได้ทูลถามเพราะเห็นว่าอชิตมาณพเป็นผู้ใหญ่กว่า จึงยอมให้ทูลถาม

        ก่อน ในครั้งที่ ๒ และ ๓  ไม่ได้ทูลถามเพราะพระพุทธองค์ตรัสห้ามไว้ ฯ

   ๙.  ในพุทธประวัติกล่าวถึงบุคคลต่อไปนี้คือ โสตถิยพราหมณ์ หุหุกชาติพราหมณ์

        โทณพราหมณ์ ว่าอย่างไรบ้าง ?

   ๙.  โสตถิยพราหมณ์ เป็นพราหมณ์ที่ถวายหญ้าแด่พระมหาบุรุษในเวลาเย็นแห่งวันตรัสรู้

        หุหุกชาติพราหมณ์ เป็นพราหมณ์ที่เข้าเฝ้าทูลถามปัญหากะพระพุทธองค์ขณะ

        ประทับ ณ ภายใต้ร่มไม้อชปาลนิโครธ

        โทณพราหมณ์ เป็นพราหมณ์ที่ทำหน้าที่แบ่งพระบรมสารีริกธาตุแก่กษัตริย์และ

        พราหมณ์ทั้ง ๘ พระนคร ฯ

๑๐.  พุทธบริษัท ๔ คือ ใครบ้าง ?  ผู้ตั้งอยู่ในเอตทัคคะทางพระธรรมกถึกของแต่

        ละฝ่ายคือใคร ?

๑๐.  คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ฯ

        ฝ่ายภิกษุ คือ พระปุณณมันตานีบุตรเถระ

        ฝ่ายภิกษุณี คือ พระธัมมทินนาเถรี

        ฝ่ายอุบาสก คือ จิตตคฤหบดี

        ฝ่ายอุบาสิกา คือ นางขุชชุตตรา ฯ

วิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก 2549

ปัญหาและเฉลยวิชาพุทธานุพุทธประวัติ  นักธรรมชั้นเอก

สอบในสนามหลวง

วันเสาร์ ที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙

   ๑.  บุพพนิมิต ๕ ประการที่เกิดแก่พระโพธิสัตว์ ก่อนจะจุติลงปฏิสนธิ

        ในครรภ์พระมารดาคืออะไรบ้าง ?

   ๑. คือ

               ๑. ดอกไม้ทิพย์ประดับกายเหี่ยวแห้ง

               ๒. ผ้าภูษาทรงมีสีเศร้าหมอง

               ๓. เหงื่อไหลออกจากรักแร้

               ๔. ร่างกายปรากฏชรา

               ๕. พระทัยกระสันเป็นทุกข์ เหนื่อยหน่ายจากเทวโลก ฯ

  ๒.  สัมปทาคุณ ๓ ประการของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คืออะไรบ้าง ? เกิดผลดี

        อย่างไร ?

  ๒.  คือ

               ๑.   เหตุสัมปทา คือการบำเพ็ญบารมีมาอย่างครบถ้วน

               ๒.  ผลสัมปทา คือการที่ทรงได้รับผลของบารมี ทำให้มีรูปกาย

                     ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ อานุภาพ การละกิเลสและ

                     พระญาณหยั่งรู้ เป็นต้น

               ๓.  สัตตูปการสัมปทา คือการที่ทรงบำเพ็ญประโยชน์แก่ชาวโลก

                     ด้วยพระทัยที่บริสุทธิ์ ฯ

        ทำให้พระองค์ทรงเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาและความเลื่อมใสของบัณฑิตชน              ทั้งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจะพึงปรารภเป็นอารมณ์แล้วก่อสร้าง

        สั่งสมบุญกุศลให้ไพบูลย์ ฯ

  ๓.  เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติ มีปาฏิหาริย์อะไรเกิดขึ้นบ้าง ?

  ๓.  มีปาฏิหาริย์ ๗ อย่าง คือ

               ๑. พระมารดาทรงประทับยืน

               ๒. ประสูติไม่เปรอะเปื้อนด้วยครรภมลทิน

               ๓. มีเทวดามาคอยรับก่อน

               ๔. มีธารน้ำร้อนน้ำเย็นตกลงมาจากอากาศสนานพระกาย

               ๕. เมื่อประสูติออกมาทรงเดินได้ ๗ ก้าว

               ๖. ทรงเปล่งวาจาเป็นบุพพนิมิตแห่งพระสัมมาสัมโพธิญาณ

               ๗. แผ่นดินไหว ฯ

   ๔.  ในการบำเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณของพระโพธิสัตว์

        อยากทราบว่าการบำเพ็ญทุกรกิริยาและอุปมา ๓ ข้อ อย่างไหนเกิดก่อน ?

        ทรงมีเหตุผลอย่างไร ?

   ๔.  อุปมา ๓ ข้อเกิดก่อน การบำเพ็ญทุกรกิริยาเกิดภายหลัง ฯ

        เพราะเมื่ออุปมา ๓ ข้อ มาปรากฏแก่พระองค์แล้ว ทรงคิดจะบำเพ็ญเพียร

        เพื่อป้องกันจิตไม่ให้น้อมไปในกามารมณ์ได้ จึงทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา ฯ

   ๕.  อปาณกฌาน ได้แก่อะไร ? พระพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญครั้งไหน ? และ

        ได้รับผลอย่างไร ?

   ๕.  ได้แก่ความเพ่งไม่มีปราณ คือไม่มีลมอัสสาสะปัสสาสะ โดยเนื้อความ

        ก็คือกลั้นลมหายใจไม่ให้ดำเนินทางจมูกและทางปาก ฯ

        ได้ทรงบำเพ็ญในคราวทรงทำทุกรกิริยา ฯ

        ไม่ได้รับผลที่ทรงมุ่งหวังกลับเป็นการทรมานร่างกายให้ลำบากเปล่า ฯ

   ๖.  “สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่ข้าพเจ้าๆ ไม่ชอบใจหมด” เป็นคำพูดของใคร ?

        พระพุทธองค์ ตรัสตอบว่าอย่างไร ?

   ๖.  เป็นคำพูดของทีฆนขะ อัคคิเวสสนโคตร ฯ

        ตรัสตอบว่า ถ้าอย่างนั้น ความเห็นอย่างนั้น ก็ต้องไม่ควรแก่ท่าน ท่าน

        ก็ต้องไม่ชอบความเห็นอย่างนั้น ฯ

  ๗.  พระศาสดารับสั่งให้ท่านพระมหากัสสปะทรงจีวรที่คฤหบดีถวายเป็นต้น              แต่ท่านมิได้ทำตาม เพราะเห็นอำนาจประโยชน์อะไร ?

  ๗.  เห็นประโยชน์ ๒ อย่าง คือ

               ๑.   การอยู่เป็นสุขในบัดนี้ของตน

               ๒.  การอนุเคราะห์ประชุมชนในภายหลัง ประชุมชนในภายหลัง

                     ทราบว่าสาวกของพระพุทธเจ้าไม่ประพฤติตนอย่างนั้น จักถึง

                     ทิฏฐานุคติ ปฏิบัติตามที่ตนได้เห็นได้ยิน ความปฏิบัตินั้น จัก

                     เป็นไปเพื่อประโยชน์และสุขแก่เขาสิ้นกาลนาน ฯ

  ๘.  ก่อนที่ท่านพระโมฆราชจะมาเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา ท่านเคยเป็น

        ศิษย์ของใคร ?  ผู้นั้นตั้งสำนักสอนอยู่ที่ไหน ?

  ๘.  เป็นศิษย์ของพาวรีพราหมณ์ ฯ

        อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวรี ที่พรมแดนแห่งเมืองอัสสกะและเมืองอาฬกะ ฯ

  ๙.  ท่านพระอานนท์ทูลขอพรพระบรมศาสดาก่อนจะรับเป็นพุทธุปัฏฐากไว้

        ๘ ข้อ  ท่านมีเหตุผลที่ทูลขอพร ๔ ข้อหลังว่าอย่างไร ?

  ๙.  ใน ๔ ข้อหลังนี้ ๓ ข้อแรก เพื่อจะป้องกันคนพูดว่า พระอานนท์บำรุง

        พระศาสดาทำอะไร เพราะพระองค์ไม่ทรงอนุเคราะห์แม้ด้วยกิจเท่านี้                  ส่วนข้อสุดท้าย เมื่อมีคนถามในที่ลับหลัง พระพุทธองค์ว่า ธรรมนี้

        พระองค์ทรงแสดงในที่ไหน ถ้าท่านบอกไม่ได้ เขาก็จะพูดได้ว่า ท่าน

        ไม่รู้แม้แต่เรื่องเท่านี้ ไม่ละพระศาสดาเที่ยวตามเสด็จอยู่ ดุจเงาตามตัว

        สิ้นกาลนาน เพราะเหตุอะไร ฯ

๑๐.  บุคคลต่อไปนี้ได้รับเอตทัคคะในทางใด ?

               ก. พระอนุรุทธเถระ     

               ข. พระโสณโกฬิวิสเถระ  

               ค. พระรัฐปาลเถระ                

               ง. นางปฏาจาราเถรี     

                จ. นางกีสาโคตมีเถรี

๑๐.        ก. พระอนุรุทธเถระ        ได้ทิพยจักษุญาณ

               ข. พระโสณโกฬิวิสเถระ   มีความเพียรปรารภแล้ว

               ค. พระรัฐปาลเถระ         บวชด้วยศรัทธา

               ง. นางปฏาจาราเถรี        ทรงไว้ซึ่งวินัย

               จ. นางกีสาโคตมีเถรี       ทรงไว้ซึ่งจีวรอันเศร้าหมอง ฯ


*********

วิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก 2550

ปัญหาและเฉลยวิชาพุทธานุพุทธประวัติ  นักธรรมชั้นเอก

สอบในสนามหลวง

วันพุธ ที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐

๑.     จงเล่าความเป็นมาของพุทธโกลาหล ฯ

๑.     เมื่อสุทธาวาสมหาพรหมทั้งหลายลงมาเที่ยวประกาศทั่วหมื่นโลกธาตุว่า  เบื้องหน้าแต่นี้ล่วงไปอีกแสนปี  พระสัพพัญญูจะบังเกิดในโลก  ถ้าใคร่จะพบเห็น  จงเว้นจากเวรทั้ง ๕   อุตส่าห์บำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนา กระทำการกุศลต่าง ๆ  ดังนี้   จึงทำให้เกิดพุทธโกลาหลขึ้น ฯ

๒.     ฤษีปัญจวัคคีย์ออกบวชตามและอยู่ปรนนิบัติพระพุทธองค์ขณะทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา  เพราะคิดอย่างไร ?   หลีกหนีไปเพราะคิดอย่างไร ?   และการทั้ง ๒ นั้น  มีผลดีอย่างไร ?

๒.     ออกบวชตามเพราะคิดว่า  บรรพชาของพระองค์คงมีประโยชน์       พระองค์บรรลุธรรมใด  จักทรงสั่งสอนให้ตนบรรลุธรรมนั้นบ้าง ฯ

หลีกไปโดยคิดว่า  พระองค์ทรงละทุกรกิริยาแล้ว  คงจะไม่บรรลุธรรมพิเศษอันใดได้ ฯ

การมาปรนนิบัตินั้น  ทำให้สามารถเป็นพยานได้ว่า  พระพุทธองค์ทรงเคยประพฤติอัตตกิลมถานุโยคอย่างอุกฤษฎ์มาแล้ว  แม้เช่นนี้ก็ไม่เป็นทางที่จะให้รู้ธรรมพิเศษอันใดได้   ส่วนการหลีกหนีไปนั้นก็เป็นผลดี  เพราะเวลานั้นเป็นเวลาบำเพ็ญเพียรทางจิต  ซึ่งต้องการความสงัด ฯ


๓.     พระมหาสุบินนิมิตก่อนจะตรัสรู้ที่ว่า  เสด็จจงกรมบนภูเขาอุจจาระโดยพระบาทไม่แปดเปื้อน  หมายถึงอะไร ?

๓.     หมายถึง  จะทรงได้ปัจจัยทั้ง ๔  แต่มิได้มีพระทัยปลิโพธิเอื้อเฟื้อในปัจจัยทั้งปวง ฯ

๔.     พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานจาตุรงคมหาปธาน  มีใจความว่าอย่างไร ?   ที่ไหน ?   และได้รับผลอย่างไร ?

๔.     มีใจความว่า หากยังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้วจักไม่ลุกขึ้น  แม้เนื้อและเลือดจะแห้งเหือดไป  เหลือแต่หนัง เอ็น และกระดูก       ก็ตามที ฯ

        ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม  ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ฯ

ได้รับผลคือ  บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณสมดังพระหฤทัย ฯ

๕.     ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงแล้วอย่างไรในอริยสัจ ๔  ซึ่งมีรอบ ๓  มีอาการ ๑๒  ทำให้พระพุทธองค์ทรงยืนยันได้ว่าเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ   ที่ว่ารอบ ๓  อาการ ๑๒  คืออย่างไร ?

๕.     คือ  ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงว่า

นี้ทุกข์  ทุกข์นั้นควรกำหนดรู้  ทุกข์นั้นได้กำหนดรู้แล้ว

นี้เหตุให้เกิดทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์นั้นควรละ เหตุให้เกิดทุกข์นั้นได้ละแล้ว

นี้เหตุให้ทุกข์ดับ  เหตุให้ทุกข์ดับนั้นควรทำให้แจ้ง  เหตุให้ทุกข์ดับนั้นได้ทำให้แจ้งแล้ว

นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์  ข้อปฏิบัตินั้นควรทำให้เกิด  ข้อปฏิบัตินั้นได้ทำให้เกิดแล้ว ฯ


๖.     ก่อนจะทรงแสดงอริยสัจ ๔  พระพุทธองค์ทรงแสดงส่วนสุด ๒ อย่างแก่ปัญจวัคคีย์ แต่ทรงแสดงอนุปุพพีกถาแก่ยสกุลบุตร  เพราะเหตุไร ?

๖.     เพราะปัญจวัคคีย์ได้ละกามออกบวชเป็นฤษีแล้ว  ซึ่งบรรพชิตในครั้งนั้นหมกมุ่นอยู่ในส่วนสุด ๒ อย่าง  คืออัตตกิลมถานุโยคและกาม      สุขัลลิกานุโยค  ฤษีปัญจวัคคีย์ติดอยู่ในอัตตกิลมถานุโยค จึงไม่จำต้องแสดงอนุปุพพีกถาเพื่อฟอกจิตให้สะอาดจากกาม   แต่ยสกุลบุตรเป็น  ผู้เสพกามอยู่ครองเรือน  กำลังได้รับความขัดข้องวุ่นวายจากกามอยู่   จึงทรงแสดงอนุปุพพีกถาฟอกจิตให้ห่างไกลจากความยินดีในกาม  ควรรับธรรมเทศนาคืออริยสัจ ๔  เหมือนผ้าที่ปราศจากมลทิน  ควรรับ   น้ำย้อมได้ฉะนั้น ฯ

๗.     พระพุทธบัญญัติที่ว่า  ผู้ขออุปสมบทต้องได้รับอนุญาตจากมารดาบิดาก่อน  นั้น  มีประวัติความเป็นมาโดยย่ออย่างไร ?

๗.     พระเจ้าสุทโธทนะทรงโทมนัสมาก  เพราะพระสิทธัตถราชกุมาร     พระนันทะ และพระราหุล  เสด็จออกผนวชแล้ว  สิ้นผู้จะสืบราชวงศ์  ต่อไป  ทรงปรารภทุกข์นี้ที่จะพึงมีแก่มารดาบิดาในตระกูลอื่น จึงทูลขอพระพุทธองค์ให้มารดาบิดาต้องอนุญาตก่อนจึงจะบวชกุลบุตรได้      จึงเกิดพระพุทธบัญญัติข้อนี้ขึ้น ฯ

๘.     บิณฑบาตของนางสุชาดาที่ถวายก่อนแต่ตรัสรู้  และของนายจุนทะที่ถวายก่อนแต่เสด็จปรินิพพาน  มีผลเสมอกัน  มีวิบากเสมอกัน  เพราะเหตุไร ?



๘.     เพราะ

ก.  ปรินิพพานเสมอกัน  คือสอุปาทิเสสปรินิพพานและอนุปาทิเสสปรินิพพาน

ข.  สมาบัติเสมอกัน  คือทรงเข้าสู่สมาบัติ ๒๔ แสนโกฏิเสมอกันก่อนจะตรัสรู้และก่อนจะปรินิพพาน

ค.  เมื่อบุคคลทั้ง ๒ ระลึกถึงการถวายบิณฑบาตของตน  ก็บังเกิดปีติโสมนัสอย่างแรงกล้าเหมือนกัน ฯ

๙.     ใครเป็นผู้ถามพระปุณณมันตานีบุตรว่า  ข้าพเจ้าถามท่านว่า  ท่านประพฤติพรหมจรรย์เพื่ออย่างนั้นหรือ ๆ  ท่านก็ตอบว่า  ไม่อย่างนั้น ๆ   เมื่อเป็นอย่างนี้  ท่านประพฤติพรหมจรรย์เพื่ออะไรเล่า ?   และได้รับคำตอบว่าอย่างไร ?

๙.     พระสารีบุตรเป็นผู้ถาม ฯ

        ได้รับคำตอบว่า  เราประพฤติพรหมจรรย์เพื่อความดับไม่มีเชื้อ ฯ

๑๐.   พระสาวกผู้ใหญ่ ๘๐ องค์  เท่าที่ปรากฏในหนังสือพุทธานุพุทธประวัติ  มีองค์ใดนิพพานก่อนและหลังพระพุทธองค์บ้าง ?   จงบอกมาอย่างละ ๒ องค์ ฯ

๑๐.   (ตอบเพียงอย่างละ ๒ องค์)

ผู้นิพพานก่อนพระพุทธองค์  คือ  พระอัญญาโกณฑัญญะ           พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ และพระราหุล ฯ

ผู้นิพพานหลังพระพุทธองค์  คือ  พระมหากัสสปะ  พระอุบาลี 

พระอนุรุทธะ  พระอานนท์ ฯ

***********