วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

วิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก 2559




 

ปัญหาวิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชันเอก

สอบในสนามหลวง

วันศุกร์ที๑๘พฤศจิกายน  พุทธศักราช๒๕๕๙

๑.           พุทธานุพุทธประวัติ ให้ความรู้แก่ผู้ศึกษาทางใดบ้าง?จงอธิบายพอได้ใจความ ตอบ ๑. ทางประวัติศาสตร์ เช่นความเป็นไปของบ ้านเมืองในครั งพุทธกาล

และลัทธิธรรมเนียมของประชาชนในสมัยนั น

๒.  ทางจรรยาของพระพุทธเจ้า และจรรยาของเหล่าพระอริยสาวก

๓.  ทางธรรมวินัยที ปรากฏในตํานานและความเป็นมาแห่งศาสนธรรม พร้อมทั งตัวอย่างการบํารุงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง ฯ

๒.  การที พระพุทธองค์ทรงเลิกการทรมานพระวรกายแล้ว กลับมาเสวยพระกระยาหาร เพราะทรงพิจารณาเห็นอย่างไร?

ตอบ    เพราะทรงพิจารณาเห็นว่า คนที ไม่บริโภคอาหารจนร่างกายหมดกําลัง ไม่สามารถบําเพ็ญเพียรทางจิตได้ ฯ

๓.           อาสยะ และ ปโยคะ ในสัตตูปการสัมปทา หมายถึงอะไร?

ตอบ                                 อาสยะ หมายถึง ความมีพระหฤทัยเยือกเย็นด้วยความกรุณา ปรารถนาคุณประโยชน์อยู่ เป็นนิตย์ม้ในบุคคลทีแ ทําผิดต่อพระองค์มีพระเทวทัตเป็นต้นก็ยังทรงกรุ

ปโยคะ หมายถึง ความมีพระหฤทัยมิได้มุ่งหวังต่ออามิส เทศนาสั งสอนสัตว์ด้วยข ้อปฏิบ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ฯ



๔.           ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลีเกิดขึ นแก่พระโกณฑัญญะความว่าอย่างไร ? ในขณะนั น ท่านเป็นพระอริยบุคลชันไหน  ?

ตอบ    ความว่า สิ งใดสิ งหนึ งมีความเกิดขึ นเป็นธรรมดา สิ งนั นทั งหมดมีความดับไปเป็นธ เป็นพระอริยบุคคลชั นพระโสดาบัน ฯ

๕.           พระศาสดาทรงแสดงอนุปุพพีกถาละอริยสัจแ๔ ตามลําดับ แก่บุคคลผู้มีคุณสมบัติเช่นไร? ตอบ แก่ผู ้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี คือ

๑.  เป็นมนุษย์
๒. เป็นคฤหัสถ์
๓. มีอุปนิสัยแก่กล ้า ควรบรรลุโลกุตรคุณ ฯ
๖.            “สิงทั งปวงไม่ควรแก่ข้าพเจ้า  ๆ ไม่ชอบใจหมด” เป็ นคําพูดของใคร? พระพุทธองค์ตรัสตอบว่าอย่างไ?

ตอบ   เป็นคําพูดของทีฆนขะ อัคคิเวสสนโคตร ฯ
ตรัสตอบว่า ถ้าอย่างนั น ความเห็นอย่างนั น ก็ต้องไม่ควรแก่ท่าน ท่านก็ต้องไม่ชอบความเ
อย่างนั นฯ

๗.           พระพุทธโอวาท๓ ข้อ ที ทรงประทานแก่พระมหากัสสปะว่าอย่างไร? จัดเข้าในการอุปสมบทวิธีใด?
ตอบ   พระโอวาท ๓ ข ้อว่าดังนี
๑. กัสสปะ ท่านพึงศึกษาว่าเราจักเข ้าไปตั งความละอายและความยําเกรงไ้
ใ นภิกษุทั งที เป็นผู ้เฒ่าผูหม่้ใทัทั งที งที เป็น เป็นปานกลางอย่างแรงกล ้า
๒. เราจักฟังธรรมอันใดอันหนึ งซึ งประกอบด้วยกุศล เราจักเงี ยโสตฟังธรรม
นั นพิจารณาเนื  อความ

๓.  เราจักไม่ละสติเป็นไปในกาย คือพิจารณากายเป็นอารมณ์ ฯ จัดเข ้าในเอหิภิกขุอุปสมบทวิธี ฯ

๘.           พระพุทธเจ้าตรัสสอนพระราธะว่า“งใดเป็นมาร ิ ท่านจงละความกําหนัดพอใจในสิงนันเสีย” มารในทีนีหมายถึงอะไร ?

ตอบ    หมายถึง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฯ

  
๙.            อายุสังขาราธิษฐานกับการปลงอายุสังขาร หมายถึงอะไร?พะพุทธเจ้าทรงกระทําที? ไหน

ตอบ                                    อายุสังขาราธิษฐานหมายถึงการที พระพุทธเจ้าทรงตั งพระหฤทัยว่า จักดํารงพระชนม์อยู่แสด สั งสอนมหาชน จนกว่าพุทธบริษัทจะตั งมั น และได้ประกาศพระศาสนา ให้แพร่หลายมั สําเร็จประโยชน์แก่มหาชน นคง

การปลงอายุสังขารหมายถึงการที พระพุทธเจ้าทรงกําหนดวันปรินิพพาน นับแต่วันเพ็ญเดือน๓ ไปอีก๓ เดือน ฯ

อายุสังขาราธิษฐานทรงกระทําที อชปาลนิโครธ ใกล ้สถานที ตรัสรู ้ การปลงอายุสังขารทรงกระทําที ปาวาลเจดีย์ เมืองไพศาลี ฯ

๑๐.    การทําสังคายนาครังแรก  เกิดขึ นหลังจากปรินิพพานล่วงแล้วกีเดือน  ?
ใช้เวลาเท่าไร? ใครทําหน้าที ปุจฉาและวิสัชนา?
ตอบ    ล่วงแล ้ว๓ เดือน ฯ
ใช้เวลา๗ เดือน ฯ
พระมหากัสสปะทําหน้าที ปุจฉา
พระอุบาลีทําหน้าที วิสัชนาพระวินัย
พระอานนท์ทําหน้าที วิสัชนาพระสูตรและพระอภิธรรม ฯ



ให้เวลา๓ ชั วโมง

วิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก 2560


 



ปัญหาและเฉลยวิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก สอบในสนามหลวง
วันอังคาร ที่๗พฤศจิกายน พุทธศักราช๒๕๖๐ 

๑.                                  อาสภิวาจาคือวาจาเช่นไร?มีใจความว่าอย่างไร?

ตอบ    คือวาจาที่เปล่งอย่างองอาจเป็นภาษิตของบุรุษพิเศษอาชาไนย ฯ มีใจความว่า เราเป็นผู้เลิศ เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้ประเสริฐแห่งโล

๒.                                พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานจาตุรงคมหาปธาน มีใจความว่าอย่างไร?
ที่ไหน?และได้รับผลอย่างไร?
ตอบ  มีใจความว่า หากยังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้วจักไม่ลุก
แม้เนื้อและเลือดจะแห้งเหือดไป เหลือแต่หนัง เอ็น และกระดูก
ก็ตาม ฯ
ที่ต าบลอุรุเวลาเสนานิคม ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ฯ
ได้รับผลคือ บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณสมดังพระหฤทัย ฯ

๓.                                ทางปฏิบัติที่สุด๒อย่าง อันบรรพชิตไม่ควรเสพนั้นคืออะไรบ้าง?
มีอธิบายอย่างไร?
ตอบ  คือ๑. กามสุขัลลิกานุโยค๒.อัตตกิลมถานุโยค ฯ
มีอธิบายดังนี้

กามสุขัลลิกานุโยค คือการประกอบตนให้พัวพันด้วยสุขในกาม เป็นธรรมอันเลว เป็นเหตุตั้งบ้านเรือน เป็นของคนมีกิเลสหนา ไม่ใช่ของคนอริยะคือผู้บริสุทธิ์ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ อัตตกิลมถานุโยค คือการประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตนเปล่า ให้เกิดทุกข์แก่ผู้ประกอบ ไม่ท าผู้ประกอบให้เป็นอริยะ ไม่ป ด้วยประโยชน์ ฯ


๔.                                พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดชฎิล๓พี่น้องพร้อมบริวาร โดยบังเอิญ

หรือโดยตั้งพระหฤทัยไว้ก่อน?มีหลักฐานสนับสนุนค าตอบนั้น อย่างไร?
ตอบ  โดยตั้งพระหฤทัยไว้ก่อน ฯ
มีหลักฐานปรากฏว่า ในครั้งที่ทรงส่งพระสาวก๖๐องค์แรก
ไปประกาศพระพุทธศาสนาในที่ต่าง ๆ ทรงมีพระด ารัสว่า
“แม้เราก็จะไปยังต าบลอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อจะแสดงธรรม” ฯ

๕.                                พระอัสสชิแสดงธรรมแก่อุปติสสปริพาชกมีความว่าอย่างไร?
และมีผลอย่างไร?
ตอบ  มีความว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุพระศาสดาทรงแสดงเหตุของธรรมนั้น
และความดับแห่งธรรมนั้น พระศาสดาทรงสอนอย่างนี้ ฯ
มีผล คือ อุปติสสปริพาชกได้ดวงตาเห็นธรรมว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา ฯ

๖.                                 พระมหากัสสปเถระประพฤติธุดงควัตรเพราะเห็นอาจประโยชน์าน
อย่างไร?

ตอบ เพราะเห็นอ านาจประโยชน์๒อย่างคือ ๑. การอยู่เป็นสุขในบัดนี้ของตน

๒.          เพื่ออนุเคราะห์ประชุมชนในภายหลัง จะได้เป็นทิฏฐานุ แห่งคนผู้มาเกิดในภายหลัง เมื่อทราบว่า สาวกของ พระพุทธเจ้าได้ประพฤติอย่างนี้ เขาจะได้ประพฤติตาม ซึ่งเป็นทางอ านวยสุขแก่เขาเอง ฯ

๗.                                พระพุทธองค์ทรงแสดงสุจริตธรรมโปรดพระเจ้าสุทโธทนะและ พระนางมหาปชาบดีโคตมี ท าให้ทั้ง๒พระองค์ได้บรรลุอริยผลชั้นไหน?

ตอบ    ท าให้พระเจ้าสุทโธทนะทรงบรรลุสกทาคามิผล และพระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงบรรลุโสดาปัตติผล ฯ

๘.                                พระสารีบุตรนิพพานที่ไหน?ท่านเลือกสถานที่นั้นเพราะเหตุไร?

ตอบ ที่นาลันทคาม แคว้นมคธ ฯ เพราะตั้งใจจะโปรดนางสารีพราหมณีผู้เป็นมารดาของท่าน
ให้พ้นจากมิจฉาทิฏฐิก่อนที่ท่านจะนิพพาน ฯ
๙.                                  พระปุณณมันตานีบุตรเป็นชาวเมืองไหน?ตั้งอยู่ในคุณธรรม
อะไรบ้าง?
ตอบ  เป็นชาวเมืองกบิลพัสดุ์ ฯ
ตั้งอยู่ในคุณธรรม๑๐ประการ คือ มักน้อย สันโดษ ชอบสงัด
ไม่ชอบเกี่ยวข้องด้วยหมู่ ปรารภความเพียร บริบูรณ์ด้วยศีล
สมาธิ ปัญญา วิมุตติ ความรู้เห็นในวิมุตติ ฯ

๑๐.     หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระสาวกองค์ใดเป็นประธาน ในการท าปฐมสังคายนา?เพราะปรารภเหตุใด?
ตอบ  พระมหากัสสปะ ฯ
เพราะปรารภค ากล่าวจาบจ้วงพระธรรมวินัยของพระสุภัททะ
ผู้บวชตอนแก่ ในระหว่างเดินทางมาสักการะพระพุทธสรีระ ฯ






ให้เวลา๓ ชั่วโมง



วิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก 2561


ปัญหาและเฉลยวิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก
สอบในสนามหลวง
วันจันทร์ ๒๖ที่พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๑



๑.                                  ศากยวงศ์สืบเชื้อสายมาจากใคร?ที่ได้นามว่าศากยะ เพราะเหตุไร?

ตอบ สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าโอกกากราช ฯ เพราะเหตุ๒ ประการ คือ

๑.            เพราะได้ชื่อตามชนบทที่ตั้งเมือง
๒. เพราะมีความกล้าหาญ สามารถตั้งเมืองได้เอง ฯ


๒.                                ที่สุดโต่งอันบรรพชิตไม่ควรเสพคืออะไรบ้าง?ที่สุดโต่งนั้น มีโทษอย่างไร?
ตอบ คือ ๑. กามสุขัลลิกานุโยค

๒.           อัตตกิลมถานุโยค ฯ มีโทษดังนี้ กามสุขัลลิกานุโยคการประกอบตนให้พัวพันด้วยสุขในกามคือ

เป็นธรรมอันเลว เป็นเหตุตั้งบ้านเรือน เป็นของคนมีกิเลสหนาไม่ใช่ของคนอริยะ คือผู้บริสุทธิ์อบด้วยประโยชน์ไม่ประก

อัตตกิลมถานุโยค คือการประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตนเปล่า ให้เกิดทุกข์ แก่ผู้ประกอบ ไม่ท าผู้ป ให้เป็นอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ฯ

๓.                                ภัพพบุคคล คือบุคคลเช่นใด?ประเภทที่๑ ท่านเปรียบด้วยอะไร?

ตอบ   ภัพพบุคคลคือบุคคลผู้สามารถจะตรัสรู้ธรรมได้ ฯ อุคฆติตัญญู เปรียบด้วยดอกบัวพ้นน้ า เมื่อต้องแสงพระอา ก็จักบานในวันนั้น ฯ

๔.                                พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ที่ไหน? มีใจความย่อว่าอย่างไร?
ตอบ ที่เวฬุวนาราม กรุงราชคฤห์ ฯ
ใจความย่อว่าไม่ท าบาปทั้งปวง ท ากุศลให้ถึงพร้อม ท าใจให้บร


๕.                               หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระมหากัสสปะได้ท าก ที่ส าคัญแก่พระศาสนา?จงอธิบาย

ตอบ   ท่านได้ท ากิจที่ส าคัญ คือเป็นผู้ชักชวนภิกษุสงฆ์ ท กรองพระธรรมวินัย และเป็นประธานในการท าสังคายนานั้น อัน เป็นเหตุให้พระศาสนาตั้งมั่นถาวรสืบมาจนถึงปัจจุบัน ฯ

๖.                                ปัญหาว่า“โลกคือหมู่สัตว์ อันอะไรปิดบังไว้ จึงหลงดุจอยู” ดังนี้ใครเป็นผู้ถาม?ได้รับค าพยากรณ์ว่าอย่างไร?
ตอบ อชิตมาณพเป็นผู้ถาม ฯ
ได้รับการพยากรณ์ว่า โลกคือหมู่สัตว์อันอวิชชาคือความไม่รู้แจ้ง
ปิดบังไว้ จึงหลงอยู่ ในที่มืด ฯ

๗.                                                 พระภัททิยเถระ มักเปล่งอุทานเนืองๆ ว่า สุขหนอๆ ดังนี้
เพราะเหตุไร?

ตอบ   เพราะเมื่อก่อนท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ต้องจัดการรักษาป้ ทั้งในวังนอกวังทั้งในเมืองนอกเมือง จนตลอดทั่วอาณาเขต แม้มีคนคอยรักษาอย่างนี้แล้ว ยังต้องหวาดระแวงสะดุ้งกลัว เป็นนิตย์ ครั้นทรงออกบวชได้บรรลุอรหัตผลแล้ว แม้อยู่ในที่ไหนๆ ก็ไม่หวาดระแวง ไม่สะดุ้งกลัว ไม่ต้องขวนขวาย มีใจปลอดโปร่ เป็นอิสระแก่ตน จึงเปล่งอุทานเช่นนั้น ฯ


๘.                                ในครั้งปฐมสังคายนา พระสาวกองค์ใดรับหน้าที่วิสัชนาพระว? ท่านอุปสมบทพร้อมกับใครบ้าง?
ตอบ พระอุบาลีเถระ ฯ
อุปสมบทพร้อมกับเจ้าศากยะ๕พระองค์ คือ ภัททิยะ อนุรุทธะ
อานนท์ ภัคคุกิมพิละ กับเจ้าโกลิยะ๑องค์ คือเทวทัต ฯ

๙.                                  ภิกษุณีผู้มีชื่อต่อไปนี้ได้รับเอตทัคคะในทางไหน? ก. พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี
ข. พระเขมาเถรี

ค.            พระอุบลวัณณาเถรี ง. พระปฏาจาราเถรี จ. พระธัมมทินนาเถรี
ตอบ ก. ได้รับเอตทัคคะในทางรัตตัญญู

ข.           ได้รับเอตทัคคะในทางมีปัญญา ค. ได้รับเอตทัคคะในทางมีฤทธิ์ ง. ได้รับเอตทัคคะในทางทรงวินัย จ. ได้รับเอตทัคคะในทางธรรมกถึก ฯ

๑๐.  สุภัททวุฑฒบรรพชิต กล่าวจาบจ้วงพระธรรมวินัยว่าอย่าง?
และท าให้เกิดเหตุการณ์อะไรในกาลต่อมา?
ตอบ ว่า“เราทั้งหลายพ้นดีแล้วจากพระสมณะนั้นบัดนี้ เราพอใจ

จะท าสิ่งใดก็ท ามิพอใจทหรือ าสิ่งใดก็ไม่ต้องท”ฯ า เป็นเหตุให้เกิดสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่๑ฯ

ให้เวลา๓ ชั่วโมง