วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

วิชาธรรม นักธรรมชั้นโท 2546

 วิชาธรรม นักธรรมชั้นโท 2546


ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม  นักธรรมชั้นโท

สอบในสนามหลวง

พ.ศ. ๒๕๔๖

๑.

๑.๑

เทสนา ๒ มีอะไรบ้าง ?


๑.๒

เทสนา ๒ อย่างนั้นต่างกันอย่างไร จงอธิบาย ?

๑.

๑.๑

มี ปุคคลาธิฏฐานา มีบุคคลเป็นที่ตั้ง ๑ ธัมมาธิฏฐานา มีธรรมเป็น

ที่ตั้ง ๑ ฯ


๑.๒

ต่างกันอย่างนี้

      การสอนที่ยกบุคคลมาเป็นตัวอย่าง เช่น ในมหาชนกชาดก  สอนเรื่องความเพียร โดยกล่าวถึงพระมหาชนกโพธิสัตว์ว่า ทรงมีความเพียรอย่างยิ่ง  พยายามว่ายน้ำในท่ามกลางมหาสมุทรที่กว้างใหญ่มองไม่เห็นฝั่งอย่างไม่ย่อท้อ ด้วยความุ่งมั่นที่จะถึงฝั่งให้ได้ เป็น ปุคคลาธิฏฐานา ฯ

      ส่วนการยกธรรมแต่ละข้อมาอธิบายความหมายอย่างเดียว เช่น สติ  แปลว่า ความระลึกได้ หมายความว่า ก่อนจะทำ ก่อนจะพูดอะไร ต้องคิดให้รอบคอบเสียก่อน จึงทำ จึงพูดออกไป เป็นต้น เป็น ธัมมาธิฏฐานา ฯ

๒.

๒.๑

ญาณ ๓ ที่เป็นไปในอริยสัจ ๔ มีอะไรบ้าง ?


๒.๒

ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขนิโรธ มีอธิบายอย่างไร ?

๒.

๒.๑

มี    ๑) สัจจญาณ    ปรีชาหยั่งรู้อริยสัจ

      ๒) กิจจญาณ   ปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทำ

      ๓) กตญาณ     ปรีชาหยั่งรู้กิจอันทำแล้ว ฯ



๒.๒

มีอธิบายอย่างนี้ 

        ๑) ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขนิโรธ จัดเป็นสัจจญาณ

        ๒) ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขนิโรธ เป็นสภาพที่ควรทำให้แจ้ง

            จัดเป็นกิจจญาณ

        ๓) ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขนิโรธ เป็นสภาพที่ควรทำให้แจ้ง

            ทำให้แจ้งแล้ว จัดเป็นกตญาณ ฯ

๓.

๓.๑

คำว่า  “ โสดาบัน ”  แปลว่าอะไร ?


๓.๒

พระอริยบุคคลชั้นโสดาบันนี้ ท่านละกิเลสอะไรได้ขาดบ้าง ?

๓.

๓.๑

โสดาบัน แปลว่า ผู้แรกถึงกระแสพระนิพพาน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา จะต้องตรัสรู้ในภายภาคหน้า ฯ


๓.๒

ท่านละสังโยชน์ได้ขาด ๓ อย่าง คือ

      ๑) สักกายทิฏฐิ    

      ๒) วิจิกิจฉา        

      ๓) สีลัพพตปรามาส ฯ

๔.

๔.๑

ในอปัสเสนธรรม ข้อว่า  “ พิจารณาแล้วเสพของอย่างหนึ่ง ”  คำว่า

“ ของอย่างหนึ่ง ”  ในข้อนี้ได้แก่อะไร ?


๔.๒

ผู้พิจารณาตามข้อ ๔.๑ นั้น ได้ประโยชน์อย่างไร ?

๔.

๔.๑

ได้แก่ ปัจจัย ๔  บุคคล และธรรม เป็นต้น ที่ทำให้เกิดความสบาย ฯ


๔.๒

ได้ประโยชน์อย่างนี้  คือ ทำกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ทำกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญยิ่งขึ้น  ทำกิเลสและอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้เสื่อมไป ฯ

๕.

๕.๑

คำว่า ทักขิณา ในทักขิณาวิสุทธินั้น หมายถึงอะไร ?


๕.๒

ทักขิณาจะไม่บริสุทธิ์ และบริสุทธิ์ กำหนดรู้ได้อย่างไร ?

๕.

๕.๑

หมายถึง ของทำบุญ ฯ


๕.๒

กำหนดรู้ได้อย่างนี้

      ทั้งทายก ทั้งปฏิคาหกเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ทักขิณานั้น  ชื่อว่า

ไม่บริสุทธิ์ทั้งสองฝ่าย   

      ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบริสุทธิ์  ชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายเดียว

      ทั้งสองฝ่ายบริสุทธิ์  ชื่อว่าบริสุทธิ์ทั้งสองฝ่าย ฯ

๖.

๖.๑

ปัญจขันธ์ ได้ชื่อว่า มาร เพราะเหตุไร ?


๖.๒

กิเลสมาร และมัจจุมาร จัดเข้าในอริยสัจข้อใดได้หรือไม่ ?  

เพราะเหตุไร ?

๖.

๖.๑

เพราะบางทีทำความลำบากให้ อันเป็นเหตุเบื่อหน่าย จนถึงฆ่าตัวตายเสียเองก็มี ฯ


๖.๒

ได้ ฯ กิเลสมาร จัดเข้าในทุกขสมุทัยสัจ เพราะกิเลสเป็นเหตุให้เกิดทุกข์  มัจจุมาร  จัดเข้าในทุกขสัจ  เพราะเป็นตัวทุกข์ ฯ

๗.

บุคคลผู้มีปกติต่อไปนี้ จัดเข้าในจริตอะไร ?  จะพึงแก้ด้วยธรรมข้อใด ?


๗.๑

ผู้มีปกติรักสวยรักงาม


๗.๒

ผู้มีปกตินึกพล่าน

๗.

๗.๑

จัดเข้าในราคจริต ฯ  จะพึงแก้ด้วยเจริญกายคตาสติ   หรืออสุภกัมมัฏฐาน ฯ


๗.๒

จัดเข้าในวิตักกจริต ฯ  จะพึงแก้ด้วยเพ่งกสิณ หรือเจริญอานาปานสติ ฯ

๘.

๘.๑

พระสงฆ์ ในบทสังฆคุณ ๙ ท่านหมายถึงพระสงฆ์เช่นไร ?


๘.๒

คำว่า “อุชุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติตรง” คือปฏิบัติเช่นไร ?


๘.

๘.๑

หมายถึง พระสาวกผู้ได้บรรลุธรรมวิเศษ ฯ


๘.๒

คือไม่ปฏิบัติลวงโลก ไม่มีมายาสาไถย ประพฤติตรง  ตรงต่อพระศาสดาและเพื่อนสาวกด้วยกัน ไม่อำพรางความในใจ ไม่มีแง่มีงอน ฯ

๙.

จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้  ?


๙.๑

อโหสิกรรม


๙.๒

กตัตตากรรม

๙.

๙.๑

คือกรรมให้ผลสำเร็จแล้ว เป็นกรรมล่วงคราวแล้วเลิกให้ผล เปรียบเหมือนพืชสิ้นยางแล้ว เพาะไม่ขึ้น ฯ


๙.๒

คือ กรรมสักว่าทำ  ได้แก่กรรมอันทำด้วยไม่จงใจ ฯ

๑๐.

๑๐.๑

ปังสุกูลิกังคะ  องค์แห่งผู้ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร คืออย่างไร ?


๑๐.๒

ธุดงค์ข้อใด ที่ภิกษุสมาทานสำเร็จด้วยอิริยาบถ ๓ คือ ยืน เดิน นั่ง ?

๑๐.

๑๐.๑

คือไม่รับจีวรจากทายก เที่ยวแสวงหาและใช้เฉพาะแต่ผ้าบังสุกุลมาเย็บย้อมทำจีวรใช้เอง ฯ


๑๐.๒

คือ เนสัชชิกังคะ องค์แห่งภิกษุผู้ถือการนั่งเป็นวัตร ถือเฉพาะอิริยาบถ ๓ คือ ยืน เดิน และนั่งเท่านั้น ฯ

วิชาธรรม นักธรรมชั้นโท 2547

 วิชาธรรม นักธรรมชั้นโท 2547


ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม  นักธรรมชั้นโท

สอบในสนามหลวง

พ.ศ. ๒๕๔๗


   ๑.  วิมุตติ คืออะไร ?  ตทังควิมุตติ มีอธิบายอย่างไร ?

   ๑.  คือ ความทำจิตใจให้หลุดพ้นจากกิเลสาสวะ ฯ

        มีอธิบายว่า  ความพ้นจากกิเลสได้ชั่วคราว  เช่นเกิดเหตุเป็นที่ตั้งแห่งสังเวชขึ้น

        หายกำหนัดในกาม  เกิดเมตตาขึ้น หายโกรธ  แต่ความกำหนัดและความโกรธนั้น

        ไม่หายทีเดียว ทำในใจถึงอารมณ์งาม ความกำหนัดกลับเกิดขึ้นอีก  ทำในใจถึงวัตถุ

        แห่งอาฆาต ความโกรธกลับเกิดขึ้นอีก  อย่างนี้จัดเป็นตทังควิมุตติ ฯ

   ๒.  สังขารทั้งหลายไม่เป็นอนัตตาหรือ เพราะเหตุไรในธรรมนิยามจึงใช้คำว่า ธรรมทั้งหลาย

        เป็นอนัตตา ?  จงอธิบาย

   ๒.  สังขารทั้งหลายก็เป็นอนัตตา  แต่ที่ใช้คำว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา นั้น เพราะ

        ธรรมนั้นหมายเอาธรรมคือสังขตธรรมและอสังขตธรรม สังขตธรรมได้แก่สังขารนั่นเอง

        อสังขตธรรมได้แก่วิสังขารคือพระนิพพาน ฯ

   ๓.  ความรู้ชั้นวิปัสสนาภาวนา หมายถึงความรู้อย่างไร ?

   ๓.  หมายถึง ความรู้เท่าทันสภาวธรรมตามความเป็นจริง  เห็นอาการแห่งสภาวธรรม

        โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ซึ่งเรียกว่าสามัญญลักษณะ ฯ

   ๔.  ภิกษุผู้ได้รับการสรรเสริญว่าดำรงอยู่ในอริยวงศ์ เพราะเป็นผู้ปฏิบัติอย่างไร ? เมื่อ

        ดำรงอยู่ในอริยวงศ์ถูกต้องดีแล้วจะได้รับผลอย่างไร ?

   ๔.  เพราะเป็นผู้สันโดษด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะตามมีตามได้ และยินดีในการเจริญ

        กุศลและในการละอกุศล  ไม่ยกตนข่มผู้อื่น ขยัน ไม่เกียจคร้าน มีสัมปชัญญะ มีสติ ฯ

        ย่อมได้รับผลคือความสุขใจและปลอดโปร่งใจเพราะความประพฤติดีปฏิบัติชอบของตน

        และไม่ต้องเดือดร้อนใจเพราะความเดือดร้อนเนื่องด้วยการแสวงหาไม่สมควรและ

        ประพฤติเสียหายโดยประการต่างๆ ย่อมครอบงำความยินดีและความไม่ยินดีเสียได้  

        ความยินดีและความไม่ยินดีก็ไม่อาจครอบงำท่านได้ และใครๆ ก็ไม่อาจติเตียนท่านได้ ฯ

   ๕.  วิญญาณกับสัญญา ทำหน้าที่ต่างกันอย่างไร ?

   ๕.  ทำหน้าที่ต่างกันอย่างนี้คือ วิญญาณทำหน้าที่รู้แจ้งอารมณ์ที่เกิดขึ้น เมื่ออายตนะภายใน

        และอายตนะภายนอกมากระทบกัน เช่น เมื่อรูปมากระทบตา เกิดการเห็นขึ้นเป็นต้น 

        ส่วนสัญญา ทำหน้าที่จำได้หมายรู้เท่านั้น คือหมายรู้ไว้ซึ่งรูป เสียง กลิ่น รส

        โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ว่า เขียว ขาว ดำ แดง ดัง เบาเป็นต้น ฯ

   ๖.  พระธรรมคุณบทว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส

        ดีแล้ว  ที่ว่า ดีแล้ว นั้นมีอธิบายอย่างไร ?

   ๖.  มีอธิบายอย่างนี้คือ ดีทั้งในส่วนปริยัติและดีทั้งในส่วนปฏิเวธ  ในส่วนปริยัติ ได้ชื่อว่าดี

        เพราะตรัสไม่วิปริต เพราะแสดงข้อปฏิบัติโดยลำดับกัน มีความไพเราะในเบื้องต้น

        ท่ามกลาง ที่สุด มีทั้งอรรถทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง และเพราะประกาศ

        พรหมจรรย์อย่างนั้น   ส่วนในปฏิเวธนั้น ได้ชื่อว่าดี เพราะปฏิปทากับพระนิพพาน

        ย่อมสมควรแก่กันและกัน ฯ

   ๗.  อายตนะภายใน อายตนะภายนอกเป็นต้น ได้ชื่อว่า ปิยรูป สาตรูป เพราะเหตุไร ? 

        โดยตรง เป็นที่เกิดเป็นที่ดับแห่งกิเลสอะไร ?

   ๗.  เพราะเป็นสภาวะที่รักที่ชื่นใจ ด้วยเพ่งอิฏฐารมณ์เป็นที่ตั้ง ฯ  เป็นที่เกิด เป็นที่ดับ

        แห่งตัณหา ฯ

   ๘.  อริยบุคคล ๘ ได้แก่ใครบ้าง ?  จัดเข้าในพระเสขะและพระอเสขะได้อย่างไร ?

   ๘.  ได้แก่ พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค ๑

               พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ๑

               พระผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิมรรค ๑

               พระผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิผล ๑

               พระผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิมรรค ๑

               พระผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิผล ๑

               พระผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรค ๑

               พระผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตผล ๑  ฯ

        จัดเข้าได้อย่างนี้  อริยบุคคล ๗ ประเภทแรก เรียกว่า พระเสขะ   อริยบุคคล ๑

        ประเภทหลัง เรียกว่า พระอเสขะ ฯ

   ๙.  อัตตกิลมถานุโยค กับ การบำเพ็ญธุดงควัตร ต่างกันอย่างไร ?  เตจีวริกังคธุดงค์

        หมายความว่าอย่างไร ?

   ๙.  ต่างกันอย่างนี้  อัตตกิลมถานุโยค การทรมานตนให้ลำบากเพื่อให้บาปกรรมหมดไป

        เพราะการทรมานนั้น หรือเพื่อบูชาพระเจ้า ซึ่งเมื่อทราบแล้วจะทรงโปรดให้ประสบผล

        ที่น่าปรารถนา ส่วนการบำเพ็ญธุดงควัตร บัญญัติขึ้นเพื่อจะให้เป็นอุบายขัดเกลากิเลส

        และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ

        เตจีวริกังคธุดงค์ หมายถึง ธุดงค์ของภิกษุผู้ถือเตจีวริกังคะ ย่อมไม่ใช้จีวรผืนที่ ๔

        นุ่งห่มเฉพาะไตรจีวรอันเป็นผ้าอธิษฐาน ฯ

๑๐.  คำว่า ทิพพจักษุ คือ ตาทิพย์ ในนิทเทสแห่งวิชชา ๓  หมายถึงเห็นอย่างไร ?

๑๐.  หมายถึง การเห็นเหล่าสัตว์ที่กำลังจุติ กำลังเกิด เลว ดี มีผิวพรรณงาม มีผิวพรรณ

        ไม่งาม ได้ดี ตกยาก รู้ชัดว่าเหล่าสัตว์เป็นไปตามกรรม ฯ


ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท 2548

 ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท 2548


ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม  นักธรรมชั้นโท

สอบในสนามหลวง

วันเสาร์ ที่  ๑๙  พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘


   ๑.  ตจปัญจกกัมมัฏฐานได้แก่อะไรบ้าง ?  จัดเป็นสมถะหรือวิปัสสนา ?  จงอธิบาย

   ๑.  ได้แก่ เกสา โลมา นขา ทันตา และตโจ ฯ  เป็นได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา  ถ้าเพ่ง

        กำหนดยังจิตให้สงบด้วยภาวนา เป็นสมถะ ถ้าเพ่งพิจารณาถึงความแปรปรวน

        เปลี่ยนแปลงไป หรือให้เห็นว่าเป็นทุกข์ คือทนอยู่ได้ยากและทนอยู่ไม่ได้ ต้อง

        เสื่อมสลายไปในที่สุด หรือให้เห็นว่าเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตน

        พิจารณาเช่นนี้เป็นวิปัสสนา ฯ

   ๒.  มหาภูตรูป คือ อะไร ?  มีความเกี่ยวเนื่องกับอุปาทายรูปอย่างไร ?

   ๒.  คือ รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน อันประกอบด้วย ธาตุ ๔ ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ฯ  

        เป็นที่ตั้งอาศัยแห่งรูปย่อยซึ่งเรียกว่าอุปาทายรูป  เมื่อรูปใหญ่แตกทำลายไป

        อุปาทายรูปที่อิงอาศัยมหาภูตรูปนั้นก็แตกทำลายไปด้วย ฯ

   ๓. พระพุทธเจ้าทรงประพฤติประโยชน์โดยฐานเป็นพระพุทธเจ้าที่เรียกว่าพุทธัตถจริยา

        คือทรงประพฤติอย่างไร ?

   ๓.  ทรงทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้า คือ ได้ทรงแสดงธรรมประกาศพระศาสนาให้

        บริษัททั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตรู้ทั่วถึงธรรมตามภูมิชั้น และทรงบัญญัติสิกขาบท

        อันเป็นอาทิพรหมจรรย์และอภิสมาจาร ฯ

    ๔.  ทิฏฐุปาทาน และสีลัพพตุปาทาน คืออะไร ?

   ๔.  ทิฏฐุปาทาน คือถือมั่นความเห็นผิดด้วยอำนาจหัวดื้อ  จนเป็นเหตุเถียงกัน

        ทะเลาะกัน  สีลัพพตุปาทาน คือ ถือมั่นธรรมเนียมที่เคยประพฤติมาจนชิน

        ด้วยอำนาจความเชื่อว่าขลัง จนเป็นเหตุหัวดื้องมงาย ฯ

   ๕.  มัจจุมารได้แก่อะไร ?  ได้ชื่อว่าเป็นมารเพราะเหตุไร ?

   ๕.  ได้แก่ความตาย ฯ  ชื่อว่าเป็นมาร เพราะเมื่อความตายเกิดขึ้น บุคคลย่อมหมด

        โอกาสที่จะทำประโยชน์ใดๆ อีกต่อไป ฯ

   ๖.  พระพุทธคุณบทว่า  “อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ  เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกได้

        ไม่มีใครยิ่งกว่า”  คำว่า  “บุรุษที่ควรฝึกได้”  นั้น หมายถึงบุคคลเช่นไร ?

   ๖.  หมายถึงบุคคลผู้มีอุปนิสัยที่อาจฝึกให้ดีได้และตั้งใจจะเข้าใจพระธรรมเทศนา

        แม้ฟังด้วยตั้งใจจะจับข้อบกพร่องขึ้นยกโทษเช่นเดียรถีย์ก็ตาม ฯ

   ๗.  กิเลสที่ได้ชื่อว่าอนุสัยและได้ชื่อว่าสังโยชน์มีอธิบายอย่างไร ?

   ๗.  กิเลสที่ได้ชื่อว่าอนุสัย เพราะเป็นกิเลสอย่างละเอียด นอนเนื่องอยู่ในสันดาน

        ของสัตว์ มักไม่ปรากฏ ต่อเมื่อมีอารมณ์มายั่วจึงปรากฏขึ้น ฯ 

        กิเลสที่ได้ชื่อว่า สังโยชน์ เพราะเป็นกิเลสที่ผูกใจสัตว์ไว้กับภพไม่ให้หลุดพ้นไปได้ ฯ

   ๘.  ในวิมุตติ ๕ วิมุตติอย่างไหนเป็นโลกิยะ อย่างไหนเป็นโลกุตระ ?

   ๘.  ตทังควิมุตติ และวิกขัมภนวิมุตติ จัดเป็นโลกิยวิมุตติ  ส่วน สมุจเฉทวิมุตติ

        ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ และนิสสรณวิมุตติ จัดเป็นโลกุตรวิมุตติ ฯ

   ๙.  พุทธภาษิตว่า ผู้ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ผู้ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว แต่

        ปรากฏว่าผู้ทำกรรมชั่วยังได้รับสุขก็มี ผู้ทำกรรมดียังได้รับทุกข์ก็มี ที่เป็นเช่นนี้

        เพราะเหตุใด ?

   ๙.  เพราะกรรมบางอย่างให้ผลในภพนี้ บางอย่างให้ผลในภพหน้า หรือในภพต่อ ๆ ไป

        ผู้ทำกรรมชั่วได้รับสุข เพราะกรรมชั่วยังไม่ได้ช่องให้ผลในขณะนั้น กรรมดีที่เขา

        ทำไว้ในอดีตกำลังให้ผลอยู่ แต่กรรมชั่วนั้นยังไม่สูญหายไป ยังติดตามให้ผลอยู่

        เสมอ เป็นแต่ยังไม่ได้ช่องเท่านั้น ส่วนผู้ทำกรรมดี ที่ไม่ได้รับสุขในขณะนั้น

        เพราะกรรมชั่วที่เขาได้ทำไว้ในอดีตกำลังให้ผลอยู่ จึงต้องรับทุกข์ลำบากอยู่

        ในขณะนั้น แต่กรรมดีที่ทำไว้นั้นยังไม่สูญหายไป ยังติดตามเขาไปเหมือนเงา

        ตามตัว ฉะนั้น  เมื่อได้ช่องก็ย่อมให้ผลทันที ฯ

๑๐.  คำว่า  “วัตร”  ในธุดงควัตร หมายถึงอะไร ?  ผู้ถือธุดงค์ข้อเตจีวริกังคะอย่าง

        เคร่ง มีวิธีปฏิบัติอย่างไร ?

๑๐.  หมายถึงข้อปฏิบัติพิเศษอย่างหนึ่ง ตามแต่ใครจะสมัครถือ บัญญัติขึ้น

        ด้วยหมายจะให้เป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ 

        มีวิธีปฏิบัติอย่างนี้ ใช้เฉพาะไตรจีวรของตนเท่านั้น แม้จะซักหรือจะย้อมอันตรวาสก

        ย่อมใช้อุตตราสงค์นุ่ง และใช้สังฆาฏิห่ม ฯ