วิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นตรี 2545
ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นตรี
สอบในสนามหลวง
วันอาทิตย์ ที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕
๑. ๑.๑ พระวินัย คืออะไร ?
๑.๒ สิกขา ๓ เมื่อศึกษาแล้วจะได้ประโยชน์อย่างไร ?
๑. ๑.๑ คือพระพุทธบัญญัติและอภิสมาจาร ฯ
๑.๒ ย่อมได้ประโยชน์ดังนี้ ศึกษาเรื่องศีล ทำให้เป็นผู้มีกาย วาจาเรียบร้อย ศึกษา
เรื่องสมาธิทำให้ใจสงบมั่นคง ไม่ฟุ้งซ่าน ศึกษาเรื่องปัญญา ทำให้รอบรู้ในกอง
สังขาร ฯ
๒. ๒.๑ สิกขากับสิกขาบทต่างกันอย่างไร ?
๒.๒ สิกขาบทที่มาในพระปาฏิโมกข์มีเท่าไร ? อะไรบ้าง ?
๒. ๒.๑ สิกขา คือข้อที่ภิกษุต้องศึกษา
สิกขาบท คือพระบัญญัติมาตราหนึ่งๆ เป็นสิกขาบทอันหนึ่งๆ ฯ
๒.๒ มี ๒๒๗ ฯ
คือปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐
ปาจิตตีย์ ๙๒ ปาฏิเทสนียะ ๔ เสขิยะ ๗๕ อธิกรณสมถะ ๗
รวมเป็น ๒๒๗ ฯ
๓. ๓.๑ คำต่อไปนี้มีความหมายอย่างไร ?
ก) อาทิกัมมิกะ
ข) อเตกิจฉา
๓.๒ อาการที่ภิกษุจะต้องอาบัติมีเท่าไร ? อะไรบ้าง ?
๓. ๓.๑ ก) ภิกษุผู้ก่อเหตุให้ทรงบัญญัติสิกขาบทขึ้น ฯ
ข) อาบัติที่แก้ไขไม่ได้ ฯ
๓.๒ มี ๖ อย่าง คือ
๑. ต้องด้วยไม่ละอาย
๒. ต้องด้วยไม่รู้ว่า สิ่งนี้จะเป็นอาบัติ
๓. ต้องด้วยสงสัยแล้วขืนทำลง
๔. ต้องด้วยสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร
๕. ต้องด้วยสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร
๖. ต้องด้วยลืมสติ ฯ
๔. ๔.๑ คำว่า "ไถยจิต" หมายถึงอะไร ?
๔.๒ ในอทินนาทานสิกขาบท กำหนดราคาทรัพย์เป็นวัตถุแห่งอาบัติไว้อย่างไรบ้าง ?
๔. ๔.๑ หมายถึงจิตคิดจะลัก คือจิตคิดถือเอาของที่เจ้าของไม่ให้ด้วยอาการแห่งขโมย ฯ
๔.๒ กำหนดไว้อย่างนี้
ทรัพย์มีราคาตั้งแต่ ๕ มาสก ขึ้นไป เป็นวัตถุแห่งอาบัติปาราชิก
ทรัพย์มีราคาต่ำกว่า ๕ มาสก แต่สูงกว่า ๑ มาสก เป็นวัตถุแห่งอาบัติถุลลัจจัย
ทรัพย์มีราคาตั้งแต่ ๑ มาสก ลงไป เป็นวัตถุแห่งอาบัติทุกกฏ ฯ
๕. ๕.๑ สังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ทรัพย์เช่นไร ?
๕.๒ การถือเอาทรัพย์ทั้ง ๒ อย่างนั้น กำหนดว่าถึงที่สุดไว้อย่างไร ?
๕. ๕.๑ สังหาริมทรัพย์ ได้แก่ทรัพย์หรือสิ่งของที่เคลื่อนที่ได้ ทั้งที่มีวิญญาณและไม่มี
วิญญาณ เช่นสัตว์และเงินทองเป็นต้น ฯ ส่วนอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ทรัพย์
หรือสิ่งของที่เคลื่อนที่ไม่ได้ โดยตรงได้แก่ที่ดิน โดยอ้อมนับของที่ติดเนื่องอยู่
กับที่นั้นด้วย เช่น ต้นไม้และเรือนเป็นต้น ฯ
๕.๒ สังหาริมทรัพย์ กำหนดว่าถึงที่สุดด้วยทำให้เคลื่อนจากฐาน ฯ
อสังหาริมทรัพย์ กำหนดว่าถึงที่สุดด้วยขาดกรรมสิทธิ์แห่งเจ้าของ ฯ
๖. ๖.๑ ปาราชิก ๔ สิกขาบทไหนที่ภิกษุใช้ให้เขาทำก็ต้องอาบัติถึงที่สุด ?
๖.๒ สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบทไหนบ้างต้องอาบัติตั้งแต่แรกทำ ? มีชื่อเรียกอย่างไร ?
๖. ๖.๑ สิกขาบทที่ ๒ และสิกขาบทที่ ๓ ฯ
๖.๒ สิกขาบทที่ ๑ ถึงที่ ๙ ฯ เรียกว่า ปฐมาปัตติกะ ฯ
๗. ๗.๑ ภิกษุมีความกำหนัด จับต้องกะเทย บุรุษ และสัตว์ดิรัจฉานตัวผู้ เป็นอาบัติ
อะไร ?
๗.๒ อาบัติไม่มีมูล กำหนดโดยอาการอย่างไร ? โจทด้วยอาบัติไม่มีมูลเป็นอาบัติ
อะไร ?
๗. ๗.๑ จับต้อง กะเทย เป็นอาบัติถุลลัจจัย บุรุษ เป็นอาบัติทุกกฏ สัตว์ดิรัจฉานตัวผู้
เป็นอาบัติทุกกฏ ฯ
๗.๒ กำหนดโดยอาการ ๓ คือ ไม่ได้เห็นเอง ๑ ไม่ได้ยิน ๑ ไม่ได้รังเกียจ ๑ ว่า
ภิกษุนั้นต้องอาบัติชื่อนั้น ฯ โจทด้วยอาบัติปาราชิกต้องสังฆาทิเสส โจทด้วย
อาบัติสังฆาทิเสสต้องปาจิตตีย์ โจทด้วยอาบัติอื่นจากนี้ต้องปาจิตตีย์
ในมุสาวาทสิกขาบท ฯ
๘. ๘.๑ ผ้าจีวรที่ทรงอนุญาตให้ใช้ได้ทำด้วยวัตถุกี่ชนิด ? อะไรบ้าง ?
๘.๒ จีวร ผ้านิสีทนะ อังสะ ผ้าเช็ดหน้า ย่ามผ้า เมื่อจะใช้สอย อย่างไหนควรพินทุ
อย่างไหนไม่ควร ? เพราะเหตุใด ?
๘. ๘.๑ ๖ ชนิด คือ
๑. ทำด้วยเปลือกไม้ เช่น ผ้าลินิน
๒. ทำด้วยฝ้าย คือ ผ้าสามัญ
๓. ทำด้วยไหม คือ ผ้าแพร
๔. ทำด้วยขนสัตว์ เช่น ผ้าสักหลาด
๕. ทำด้วยเปลือกไม้ เช่น ผ้าป่าน (สาณะ)
๖. ทำด้วยสัมภาระเจือกัน ฯ
๘.๒ จีวร และอังสะ ควรพินทุ เพราะใช้ห่ม
ผ้านิสีทนะ ผ้าเช็ดหน้า และย่ามผ้า ไม่ต้องพินทุ เพราะไม่ได้ใช้นุ่งห่ม ฯ
๙. ๙.๑ ภิกษุพูดปดต้องอาบัตินั้นทราบแล้ว แต่ถ้าพูดเรื่องจริง จะต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ?
๙.๒ ปฏิสสวะทุกกฏ คืออะไร ?
๙. ๙.๑ ต้องอาบัติเหมือนกันคือ บอกอุตตริมนุสสธรรมที่มีจริงแก่อนุปสัมบัน ต้อง
อาบัติปาจิตตีย์ ตามสิกขาบทที่ ๘ แห่งมุสาวาทวรรค บอกอาบัติชั่วหยาบของ
ภิกษุแก่อนุปสัมบัน เว้นไว้แต่ได้รับสมมติ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ตามสิกขาบทที่
๙ แห่งมุสาวาทวรรค ฯ
๙.๒ คืออาบัติทุกกฏที่เกิดจากการรับคำด้วยจิตบริสุทธิ์ แต่ภายหลังไม่ได้ทำตามคำ
ที่รับปากไว้ ฯ
๑๐. ๑๐.๑ การนุ่งเป็นปริมณฑล คือการนุ่งอย่างไร ?
๑๐.๒ เสขิยวัตรว่าด้วยการรับบิณฑบาตมีหลายข้อ จงระบุมาเพียง ๒ ข้อ
๑๐. ๑๐.๑ คือนุ่งเบื้องบนปิดสะดือ แต่ไม่ถึงกระโจมอก เบื้องล่างปิดหัวเข่าทั้ง ๒ ลงมา
เพียงครึ่งแข้ง ไม่ถึงกรอมข้อเท้า ฯ
๑๐.๒ (เลือกตอบเพียง ๒ ข้อ)
ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับบิณฑบาตโดยเคารพ
ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เมื่อรับบิณฑบาต เราจักแลดูแต่ในบาตร
ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับแกงพอสมควรแก่ข้าวสุก
ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับบิณฑบาตแต่พอเสมอขอบปากบาตร ฯ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น