วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

วิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท 2545

 วิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท 2545


ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ  นักธรรมชั้นโท

สอบในสนามหลวง

วันอาทิตย์ ที่  ๒๔  พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕

 ๑.    ๑.๑ อภิสมาจารคืออะไร ?  แบ่งเป็นกี่ประเภท ?  อะไรบ้าง ?

        ๑.๒ ขันธ์แห่งจีวรประกอบด้วยอะไรบ้าง ?  ทรงมีพระพุทธานุญาตไว้อย่างไร ?

 ๑.    ๑.๑ คือธรรมเนียมของภิกษุ แบ่งเป็น ๒ ประเภทคือ

             เป็นข้อห้าม ๑ เป็นข้ออนุญาต ๑ ฯ

        ๑.๒ ประกอบด้วยมณฑล อัฑฒมณฑล และอัฑฒกุสิ ฯ ทรงมีพระพุทธานุญาตไว้

             ว่า จีวรผืนหนึ่งให้มีขันธ์ไม่น้อยกว่า ๕ เกินกว่านั้นใช้ได้ แต่ให้เป็นขันธ์ที่เป็นคี่

             คือ  ๗, ๙, ๑๑ เป็นต้น ฯ

 ๒.    ๒.๑ ในบาลีแสดงเหตุนิสัยจะระงับจากอุปัชฌาย์ไว้เท่าไร ?  อะไรบ้าง ?

        ๒.๒ ภิกษุผู้ควรจะได้นิสัยมุตตกะต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง ?

 ๒.    ๒.๑ แสดงไว้ ๕ ประการคือ อุปัชฌาย์หลีกไปเสีย ๑  สึกเสีย ๑  ตายเสีย ๑

             ไปเข้ารีตเดียรถีย์ ๑   สั่งบังคับ ๑ ฯ

        ๒.๒ มีคุณสมบัติ คือ

                   ๑) เป็นผู้มีศรัทธา  มีหิริ  มีโอตตัปปะ  มีวิริยะ  มีสติ

                   ๒) เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล อาจาระ ความเห็นชอบ เคยได้ยินได้ฟังมาก

                       มีปัญญา

                   ๓) รู้จักอาบัติ มิใช่อาบัติ อาบัติเบา อาบัติหนัก จำปาฏิโมกข์ได้แม่นยำ

             ทั้งมีพรรษาได้ ๕ หรือยิ่งกว่า ฯ

 ๓.    ๓.๑ อุปัชฌาย์ประณามสัทธิวิหาริกผู้ประพฤติมิชอบด้วยเหตุอะไรบ้าง ?

        ๓.๒ อาการที่อุปัชฌาย์ประณามสัทธิวิหาริกพึงทำอย่างไร ?

 ๓.    ๓.๑ ด้วยเหตุดังนี้ คือ

             หาความรักใคร่ในอุปัชฌาย์มิได้ ๑ หาความเลื่อมใสมิได้ ๑ หาความละอาย

             มิได้ ๑  หาความเคารพมิได้ ๑ หาความหวังดีต่อมิได้ ๑ ฯ

        ๓.๒ พึงพูดให้รู้ว่าตนไล่เธอเสีย ในบาลีแสดงไว้ว่า เราประณามเธอ เธออย่าเข้ามา

             ณ ที่นี้ จงขนบาตรจีวรของเธอออกไปเสีย หรือเธอไม่ต้องอุปัฏฐากเราดังนี้

             หรือแสดงอาการทางกายให้รู้อย่างนั้นก็ได้ ฯ

 ๔.    ๔.๑ ภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะ  ไปสู่อาวาสอื่น พึงประพฤติให้ถูกธรรมเนียมอย่างไร ?

        ๔.๒  ภิกษุผู้เข้าไปรับบิณฑบาตในละแวกบ้าน พึงประพฤติให้ถูกธรรมเนียมอย่างไร ?

 ๔.    ๔.๑ พึงประพฤติดังนี้

                   ๑) ทำความเคารพในท่าน

                   ๒) แสดงความเกรงใจเจ้าของถิ่น

                   ๓) แสดงอาการสุภาพ

                   ๔) แสดงอาการสนิทสนมกับเจ้าของถิ่น

                   ๕) ถ้าจะอยู่ที่นั่น ควรประพฤติให้ถูกธรรมเนียมของเจ้าของถิ่น

                   ๖) ถือเสนาสนะแล้วอย่าดูดาย เอาใจใส่ชำระปัดกวาดให้หมดจด จัดตั้ง

                       เครื่องเสนาสนะให้เป็นระเบียบ ฯ

        ๔.๒ พึงประพฤติอย่างนี้

                   ๑) นุ่งห่มให้เรียบร้อย                                           

                   ๒) ถือบาตรในภายในจีวร

                   ๓) สำรวมกิริยาให้เรียบร้อย                             

                   ๔) กำหนดทางเข้าทางออกแห่งบ้าน

                   ๕) รับบิณฑบาตด้วยอาการสำรวม ฯ

 ๕.    ๕.๑ ภิกษุผู้เข้าไปในเจติยสถาน ควรปฏิบัติอย่างไร ?

        ๕.๒ ภิกษุได้ชื่อว่า "กุลปสาทโก ผู้ยังตระกูลให้เลื่อมใส" เพราะมีปฏิปทาอย่างไร ?

 ๕.    ๕.๑ ควรปฏิบัติอย่างนี้ คือไม่กั้นร่ม ไม่สวมรองเท้า ไม่ห่มคลุมเข้าไป ไม่แสดง

             อาการดูหมิ่นต่างๆ เช่นพูดเสียงดัง และนั่งเหยียดเท้าเป็นต้น ไม่ถ่ายอุจจาระ

             ปัสสาวะ และไม่ถ่มเขฬะในลานพระเจดีย์ ฯ

        ๕.๒ เพราะมีปฏิปทาอย่างนี้ คือเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอาจาระ ไม่ทอดตนเป็นคนสนิท

             ของสกุล โดยฐานเป็นคนเลว และอีกอย่างหนึ่ง ไม่รุกรานตัดรอนเขา แสดง

             เมตตาจิตต่อเขา ประพฤติพอดีพองาม ยังความเลื่อมใสนับถือของเขาให้เกิด

             ในตน ฯ

 ๖.    ๖.๑ ดิถีที่กำหนดให้เข้าจำพรรษาในบาลีกล่าวไว้เท่าไร ?  อะไรบ้าง ?

        ๖.๒ สัตตาหกรณียะ และ สัตตาหกาลิก มีอธิบายอย่างไร ?

 ๖.    ๖.๑ กล่าวไว้ ๒ คือ

             ๑) ปุริมิกา วัสสูปนายิกา วันเข้าพรรษาต้น คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘

             ๒) ปัจฉิมิกา วัสสูปนายิกา  วันเข้าพรรษาหลัง คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ ฯ

        ๖.๒ สัตตาหกรณียะ คือภิกษุผู้อยู่จำพรรษาไปแรมคืนที่อื่นด้วยกิจจำเป็นบางอย่าง

             แต่กลับมาภายใน ๗ วัน เรียกว่าไปด้วยสัตตาหกรณียะ หรือสัตตาหะ ฯ

             สัตตาหกาลิก คือของที่รับประเคนแล้วเก็บไว้บริโภคได้ ๗ วัน ฯ

 ๗.    ๗.๑ ผู้ทำและอาการที่ทำ  ในการทำอุโบสถ มีอะไรบ้าง ?

        ๗.๒ การทำอุโบสถต้องพร้อมด้วยองค์อย่างไรบ้าง ?

 ๗.    ๗.๑ ผู้ทำมี ๓  คือสงฆ์ คณะ และบุคคล ฯ อาการที่ทำมี ๓ คือสวดปาฏิโมกข์

             บอกความบริสุทธิ์ และอธิษฐาน ฯ

        ๗.๒ พร้อมด้วยองค์ ๔ คือ

                   ๑) วันนั้นเป็นวันอุโบสถที่ ๑๔ หรือ ๑๕ หรือวันสามัคคี วันใดวันหนึ่ง

                   ๒) ภิกษุผู้เข้าประชุมครบองค์ประชุม คือตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป

                   ๓) พวกเธอไม่ต้องสภาคาบัติ

                   ๔) บุคคลที่จำต้องเว้น ไม่มีในที่ประชุมนั้น ฯ

 ๘.    ๘.๑ วันปวารณา และอาการที่กระทำ คืออะไรบ้าง ?

        ๘.๒ การตั้งญัตติในสังฆปวารณามีกี่อย่าง ?  อะไรบ้าง ?

 ๘.    ๘.๑ วันปวารณามี ๓  คือ จาตุททสี ที่ ๑๔ ค่ำ ๑  ปัณณรสี ที่ ๑๕ ค่ำ ๑ สามัคคี

             วันที่ภิกษุสงฆ์พร้อมเพรียงกัน ๑ ฯ อาการที่กระทำมี ๓ คือปวารณาต่อ

             ที่ประชุม ๑ ปวารณากันเอง ๑ อธิษฐานใจ ๑ ฯ

        ๘.๒ มี ๕ อย่าง คือ เตวาจิกาญัตติ ๑   เทววาจิกาญัตติ ๑   เอกวาจิกาญัตติ ๑  

             สมานวัสสิกาญัตติ ๑   สัพพสังคาหิกาญัตติ ๑ ฯ

 ๙.    ๙.๑ ภิกษุไม่สังวรในอุปปถกิริยา จะพึงได้รับโทษอย่างไรบ้าง ?

        ๙.๒  การแสวงหาเช่นไรจัดเป็นโลกวัชชะ มีโทษทางโลก ? เช่นไรจัดเป็นปัณณัตติวัชชะ

             มีโทษทางพระบัญญัติ ?

 ๙.    ๙.๑  ปรับเป็นอาบัติทุกกฏ  และเป็นฐานที่สงฆ์จะพึงลงโทษ ๔ สถาน อย่างใดอย่างหนึ่ง

             ตามโทษานุโทษ คือ

                   ๑) ตัชชนียกรรม      ตำหนิโทษ

                   ๒) นิยสกรรม         ถอดยศ คือถอดความเป็นผู้ใหญ่

                   ๓) ปัพพาชนียกรรม  ขับไล่จากวัด

                   ๔) ปฏิสารณียกรรม   ให้หวนระลึกถึงความผิด ฯ

        ๙.๒ การแสวงหาในทางบาป เช่นทำโจรกรรมและหลอกลวงให้เขาเชื่อถือ และใน

             ทางที่โลกเขาดูหมิ่น จัดเป็นโลกวัชชะ ฯ การแสวงหาในทางผิดธรรมเนียมของ

             ภิกษุ แม้ไม่มีโทษแก่คนพวกอื่น จัดเป็นปัณณัตติวัชชะ ฯ

๑๐. ๑๐.๑ ในบาลีแสดงลักษณะการถือวิสาสะไว้อย่างไรบ้าง ?

      ๑๐.๒ เหตุที่ควรถือเป็นประมาณ ๕ ประการให้บริขารขาดอธิษฐาน มีอะไรบ้าง ?



๑๐. ๑๐.๑ แสดงไว้อย่างนี้ คือ

                   ๑) เป็นผู้เคยได้เห็นกันมา         

                   ๒) เป็นผู้เคยคบกันมา

                   ๓) ได้พูดกันไว้                    

                   ๔) ยังมีชีวิตอยู่

                   ๕) รู้ว่าของนั้น เราถือเอาแล้ว เจ้าของจักพอใจ ฯ

      ๑๐.๒ มีดังนี้ คือ

                   ๑) ให้แก่ผู้อื่น                      

                   ๒) ถูกโจรชิงเอาไปหรือลักเอาไป

                   ๓) มิตรถือเอาด้วยวิสาสะ         

                   ๔) ถอนเสียจากอธิษฐาน

                   ๕) เป็นช่องทะลุ ฯ

วิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท 2546

 วิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท 2546


ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ  นักธรรมชั้นโท

สอบในสนามหลวง

พ.ศ. ๒๕๔๖


๑.

๑.๑

สิกขาบทนอกพระปาฏิโมกข์  เรียกว่าอะไร ?  มีกี่อย่าง ?  อะไรบ้าง ?


๑.๒

ภิกษุล่วงละเมิดสิกขาบทนอกพระปาฏิโมกข์นั้น  ต้องอาบัติโดยตรงอย่างไรบ้าง ?

๑.

๑.๑

เรียกว่าอภิสมาจาร ฯ

มี  ๒  อย่าง  คือ  เป็นข้อห้าม ๑  เป็นข้ออนุญาต ๑ ฯ


๑.๒

ต้องอาบัติโดยตรง  ๒  อย่าง  คือ  ถุลลัจจัย ๑  ทุกกฏ ๑ ฯ

๒.

บริขารต่อไปนี้ได้แก่อะไรบ้าง ?


๒.๑

บริขารเครื่องบริโภค


๒.๒

บริขารเครื่องอุปโภค

๒.

๒.๑

ได้แก่  ไตรจีวร  ผ้าปูนอน  ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปาก  ผ้านิสีทนะ  บาตร ฯ


๒.๒

ได้แก่  กล่องเข็ม  เครื่องกรองน้ำ  มีดโกนพร้อมทั้งฝัก  หินสำหรับลับ  กับเครื่องสะบัด   ร่ม รองเท้า ฯ

๓.

๓.๑

การแสดงความเคารพได้แก่กิริยาเช่นไร ?


๓.๒

ภิกษุควรงดทำความเคารพกันในเวลาใดบ้าง ?  จงตอบมา  ๕  ข้อ

๓.

๓.๑

ได้แก่  การกราบไหว้  การลุกรับ  การทำอัญชลี  การทำสามีจิกรรม ฯ


๓.๒

ในเวลาดังต่อไปนี้ (ตอบมา  ๕  ข้อ)

      ๑) ในเวลาประพฤติวุฏฐานวิธี คือ อยู่กรรมเพื่อออกจากอาบัติสังฆาทิเสส

      ๒) ในเวลาถูกสงฆ์ลงอุกเขปนียกรรม

      ๓) ในเวลาเปลือยกาย

      ๔) ในเวลาเข้าบ้านหรือเดินอยู่ตามทาง

      ๕) ในเวลาอยู่ในที่มืดแลไม่เห็นกัน

      ๖) ในเวลาที่ท่านไม่รู้

      ๗) ในเวลาขบฉันอาหาร

      ๘) ในเวลาถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ฯ

๔.

๔.๑

ท่านห้ามไม่ให้จำพรรษาตลอด  ๔  เดือนฤดูฝนนั้น  เพราะเหตุไร ?


๔.๒

อีก ๗  วันจะถึงวันปวารณา  ภิกษุทำสัตตาหกรณียะไปปวารณาที่วัดอื่น  เธอจะได้รับอานิสงส์การจำพรรษาหรือไม่ ?  เพราะเหตุไร ?

๔.

๔.๑

เพราะต้องการเดือนท้ายฤดูฝนไว้เป็นจีวรกาล คราวแสวงหาจีวร คราวทำจีวร เพื่อผลัด ผ้าไตรจีวรเดิม ฯ


๔.๒

ได้รับอานิสงส์การจำพรรษาเหมือนกัน  เพราะวันสุดท้ายแห่งวันจำพรรษาตกอยู่ในวันที่  ๗  ในที่อื่นบ่งให้กลับใน  ๗  วันนั้นเพราะยังไม่สิ้นกำหนดวันจำพรรษา ฯ

๕.

๕.๑

ภิกษุพึงประชุมกันสวดพระปาฏิโมกข์ในวันเช่นไรบ้าง ?


๕.๒

กำลังสวดพระปาฏิโมกข์ค้างอยู่  หากมีภิกษุอื่นมาถึงเข้าจะปฏิบัติอย่างไร ?

๕.

๕.๑

ในวันพระจันทร์เพ็ญ  (ดิถีขึ้น ๑๕ ค่ำ) วันพระจันทร์ดับ (ดิถีแรม ๑๕  ค่ำ หรือ ๑๔  ค่ำ)  และวันสามัคคี ฯ


๕.๒

ปฏิบัติอย่างนี้  คือ  ถ้าภิกษุผู้เข้ามาใหม่มากกว่าภิกษุผู้ชุมนุม   ต้องสวดตั้งต้นใหม่  ถ้าเท่ากัน  หรือน้อยกว่า  ส่วนที่สวดไปแล้วก็ให้เป็นอันสวดแล้ว  ให้เธอผู้มาใหม่ฟัง  ส่วนที่ยังเหลือต่อไป ฯ

๖.

๖.๑

สังฆปวารณา  คืออะไร ?


๖.๒

คำบอกปาริสุทธิว่าอย่างไร ?


๖.

๖.๑

คือ  ปวารณาเป็นการสงฆ์ มีภิกษุประชุมตั้งแต่  ๕  รูปขึ้นไป ฯ


๖.๒

ว่าดังนี้

      สำหรับผู้แก่พรรษากว่าว่า  “ปริสุทฺโธ  อหํ  อาวุโส  ปริสุทฺโธติ 

มํ  ธาเรหิ”  ว่า  ๓  หน

      สำหรับผู้อ่อนพรรษากว่าว่า  “ปริสุทฺโธ  อหํ  ภนฺเต  ปริสุทฺโธติ 

มํ  ธาเรถ”  ว่า  ๓  หน ฯ

๗.

ความประพฤติต่อไปนี้  จัดเข้าในอุปปถกิริยาข้อไหน ?


๗.๑

ชอบเล่นคะนอง  ร้องรำทำเพลง


๗.๒

ชอบด่าว่า  เสียดสี  เปรียบเปรยเขา  ยุยงให้เขาแตกกัน

๗.

๗.๑

จัดเข้าในข้ออนาจาร  ความประพฤติไม่ดีไม่งาม ฯ


๗.๒

จัดเข้าในข้อปาปสมาจาร  ความประพฤติเลวทราม ฯ

๘.

๘.๑

อุททิสมังสะ  ได้แก่เนื้อเช่นไร ?


๘.๒

ภิกษุฉันเนื้องู  เนื้อมนุษย์  ต้องอาบัติอะไร ?

๘.

๘.๑

อุททิสมังสะ  ได้แก่เนื้อที่เป็นกัปปิยะโดยกำเนิดและเขาทำให้สุกแล้ว  แต่เป็นของที่เขาฆ่าเพื่อทำเป็นอาหารถวายพระภิกษุโดยตรง ฯ


๘.๒

ภิกษุฉันเนื้องู  ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ  ฉันเนื้อมนุษย์  ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯ

๙.

๙.๑

วินัยกรรม  คืออะไร ?  มีกี่อย่าง  อะไรบ้าง ?


๙.๒

การทำวินัยกรรมมีจำกัดบุคคลหรือสถานที่ไว้อย่างไรบ้าง ?

๙.

๙.๑

คือ  การทำกิจตามพระวินัย ฯ

มี  ๓  อย่าง  คือ

          ๑)  การแสดงอาบัติ

          ๒)  การอธิษฐาน

          ๓)  การวิกัป ฯ

 

๙.๒

มีจำกัดบุคคลหรือสถานที่ดังนี้

          ๑) แสดงอาบัติต้องแสดงแก่ภิกษุผู้มีสังวาสเสมอกัน

          ๒) อธิษฐานต้องทำเอง

          ๓) วิกัปต้องทำแก่สหธรรมิกทั้ง ๕  คือ ภิกษุ ภิกษุณี  สิกขมานา

                   สามเณร สามเณรี รูปใดรูปหนึ่ง ฯ  ส่วนสถานที่ห้ามไม่ให้ทำ

                   ในที่มืด แต่ในที่นอกสีมา ก็ทำได้ ฯ         

๑๐.

๑๐.๑

วิบัติของภิกษุในทางพระวินัยมีเท่าไร ?  อะไรบ้าง ?

 

๑๐.๒

จงให้ความหมายของวิบัติแต่ละอย่างนั้นพอได้ใจความ

๑๐.

๑๐.๑

มี  ๔  คือ

          ๑) สีลวิบัติ

          ๒) อาจารวิบัติ

          ๓) ทิฏฐิวิบัติ

          ๔) อาชีววิบัติ ฯ

 

๑๐.๒

ความเสียแห่งศีล  ชื่อว่าสีลวิบัติ  

ความเสียมารยาท  ชื่อว่าอาจารวิบัติ 

ความเห็นผิดธรรมผิดวินัย  ชื่อว่าทิฏฐิวิบัติ 

ความเสียแห่งการเลี้ยงชีพ  ชื่อว่าอาชีววิบัติ ฯ

วิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท 2547

 วิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท 2547


ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ  นักธรรมชั้นโท

สอบในสนามหลวง

พ.ศ. ๒๕๔๗


   ๑.  ในพระวินัยส่วนอภิสมาจาร มีพระพุทธบัญญัติให้รักษาความสะอาดเกี่ยวกับร่างกาย

        ไว้อย่างไร ?   การเคี้ยวไม้ชำระฟันมีประโยชน์อย่างไร ?

   ๑.  มีพระพุทธบัญญัติว่าด้วยกายบริหารไว้ว่า ห้ามไว้ผมยาว ๑  ห้ามไว้หนวดเครา ๑ 

        ห้ามไว้เล็บยาว ๑  ห้ามไว้ขนจมูกยาว ๑  เมื่อถ่ายอุจจาระแล้ว น้ำมีอยู่ไม่ชำระไม่ได้ ๑  

        อนุญาตให้ใช้ไม้ชำระฟัน ๑  น้ำดื่มให้กรองก่อน ๑ ฯ

        มีประโยชน์ คือ

               ๑. ฟันไม่สกปรก             

               ๒. ปากไม่เหม็น              

               ๓. เส้นประสาทรับรสหมดจดดี

               ๔. เสมหะไม่หุ้มอาหาร       

               ๕. ฉันอาหารมีรส ฯ

   ๒.  บริขารเหล่านี้คือ ไตรจีวร ฟูกเตียง (ที่นอน) หมอนหนุนศีรษะ เตียง ผ้าปูนอน

        ผ้าเช็ดหน้า ฟูกตั่ง (เบาะ)  ผ้านิสีทนะ  อย่างไหนจัดเป็นบริขารเครื่องบริโภค อย่างไหน

        จัดเป็นบริขารเครื่องเสนาสนะ ?

   ๒.  ไตรจีวร ผ้าปูนอน ผ้าเช็ดหน้า ผ้านิสีทนะ  จัดเป็นบริขารเครื่องบริโภค

        ฟูกเตียง (ที่นอน) หมอนหนุนศีรษะ เตียง ฟูกตั่ง (เบาะ) จัดเป็นบริขารเครื่อง

        เสนาสนะ ฯ

   ๓.  ในพระวินัย ทรงอนุญาตบาตรไว้กี่ชนิด ?  อะไรบ้าง ?  และมีธรรมเนียมระวังรักษา

        บาตรอย่างกวดขันไว้อย่างไร ?

   ๓.  ทรงอนุญาตไว้ ๒ ชนิด คือ บาตรดินเผา (สุมดำสนิท) ๑  บาตรเหล็ก ๑  ฯ

        มีธรรมเนียมระวังรักษาบาตรอย่างกวดขัน คือ ห้ามไม่ให้วางบาตร เก็บบาตรไว้ในที่ๆ

        บาตรจะตกแตก และในที่จะประทุษร้ายบาตร  ห้ามคว่ำบาตรไว้ที่พื้นคมแข็งอันจะ

        ประทุษร้ายบาตร  ห้ามไม่ให้แขวนบาตร  และห้ามไม่ให้ใช้บาตรต่างกระโถน ห้ามไม่

        ให้เก็บไว้ทั้งยังเปียก  มีบาตรอยู่ในมือห้ามไม่ให้ผลักบานประตู เป็นต้น ฯ

   ๔.  จงให้ความหมายของคำดังต่อไปนี้

               ก. นิสสัย                     

               ข. วัตร

               ค. อุปัชฌายะ

               ง.  อาจารย์

               จ. สัทธิวิหาริกวัตร

   ๔.          ก. นิสสัย คือ กิริยาที่พึ่งพิง

               ข. วัตร หมายถึง ขนบคือแบบอย่าง อันภิกษุควรประพฤติในกาลนั้นๆ

                   ในที่นั้นๆ ในกิจนั้น  แก่บุคคลนั้นๆ

               ค. อุปัชฌายะ คือ ภิกษุผู้รับให้สัทธิวิหาริกพึ่งพิง

               ง.  อาจารย์ คือ ภิกษุผู้รับให้อันเตวาสิกพึ่งพิง

               จ. สัทธิวิหาริกวัตร คือ หน้าที่อันอุปัชฌายะจะพึงทำแก่สัทธิวิหาริก ฯ

   ๕.  กิจวัตรที่สัทธิวิหาริกควรกระทำแก่พระอุปัชฌายะในข้อว่า เคารพในท่าน นั้น ในบาลี

        ท่านแสดงไว้อย่างไร ?

   ๕.  ในบาลีแสดงการเดินตามท่าน ไม่ให้ชิดนัก ไม่ให้ห่างนัก และไม่พูดสอดในขณะที่

        ท่านกำลังพูด เมื่อท่านพูดผิด ไม่ทักหรือค้านอย่างจังๆ พูดอ้อมพอท่านได้สติรู้สึกตัว

        จึงจะเป็นการดี ฯ

   ๖.  การตั้งญัตติกรรม ในเวลาทำอุโบสถ มีคำว่า ปตฺตกลฺลํ แปลว่า ความพรั่งพร้อม นั้น

        หมายความว่าอย่างไร ?

   ๖.  หมายความว่า การทำอุโบสถกรรมนั้น ต้องประกอบด้วยองค์ ๔ คือ

               ๑. วันนั้น เป็นวันอุโบสถที่ ๑๔ หรือ ๑๕ หรือวันสามัคคี วันใดวันหนึ่ง

               ๒. ภิกษุประชุมครบองค์ประชุม

               ๓. พวกเธอไม่ต้องสภาคาบัติ

               ๔. บุคคลที่ควรเว้นไม่มีในที่ประชุม ฯ

   ๗.  ในอาวาสแห่งหนึ่งมีภิกษุจำพรรษาแรก ๔ รูป พรรษาหลัง ๒ รูป เมื่อถึงวันปวารณา

        แรก (เพ็ญเดือน ๑๑) และวันปวารณาหลัง (เพ็ญเดือน ๑๒) เธอทั้ง ๖ รูปนั้น

        จะปฏิบัติอย่างไร ?

   ๗.  เมื่อถึงวันปวารณาแรก พึงประชุมกันทั้ง ๖ รูปแล้ว ตั้งสังฆญัตติ ภิกษุผู้จำพรรษาแรก

        ๔ รูปพึงปวารณา  เมื่อเสร็จแล้วภิกษุอีก ๒ รูปพึงทำปาริสุทธิอุโบสถ ในสำนักภิกษุ

        ๔ รูปนั้น เมื่อถึงวันปวารณาหลัง พึงประชุมกัน ๖ รูปเช่นเดียวกันแล้ว ภิกษุผู้จำ

        พรรษาแรก ๔ รูป พึงตั้งญัตติสวดปาฏิโมกข์  เมื่อจบแล้วภิกษุ ๒ รูป พึงปวารณา

        ในสำนักภิกษุ ๔ รูปนั้น ฯ

   ๘.  ภิกษุบิณฑบาตได้สับปะรดแล้ว นำมาฉันรวมกับน้ำตาลทรายและเกลือซึ่งรับประเคน

        ไว้แล้ว ๒ วัน  จะต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ?  เพราะเหตุไร ?

   ๘.  ต้องอาบัติปาจิตตีย์  เพราะน้ำตาลทรายเป็นสัตตาหกาลิก เกลือเป็นยาวชีวิก  เมื่อ

        นำมาฉันรวมกับสับปะรดซึ่งเป็นยาวกาลิก จึงมีคติเป็นยาวกาลิก ทำให้ต้องอาบัติ

        ปาจิตตีย์ เพราะฉันของเป็นสันนิธิ ฯ

   ๙.  ภัณฑะเช่นไรที่จัดเป็นของสงฆ์ ?  กำหนดไว้กี่ประเภท ?  อะไรบ้าง ?  บิณฑบาต กุฎี

        ที่ดิน จีวร ประคดเอว และเสนาสนะ เป็นภัณฑะประเภทไหน ?

   ๙.  ภัณฑะที่เขาถวายเป็นสาธารณะแก่หมู่ภิกษุ ไม่เฉพาะตัว หรือภัณฑะอันภิกษุรับก็ดี                    ปกครองหวงห้ามไว้ก็ดีด้วยความเป็นสาธารณะแก่หมู่ภิกษุ จัดเป็นของสงฆ์ ฯ

        กำหนดไว้ ๒ ประเภทคือ ครุภัณฑ์ ๑  ลหุภัณฑ์ ๑ ฯ

        บิณฑบาต จีวร ประคดเอว จัดเป็นลหุภัณฑ์

        กุฎี ที่ดิน และเสนาสนะ จัดเป็นครุภัณฑ์ ฯ

๑๐.  มหาปเทส คืออะไร ?  น้ำตาลสด มิได้ทรงอนุญาตไว้โดยตรงให้ภิกษุฉันได้เหมือน

        น้ำอ้อย แต่ฉันได้เพราะอะไร ?  จงตอบให้มีหลัก

๑๐.  คือ ข้อสำหรับอ้างใหญ่ ฯ

        แม้มิได้ทรงอนุญาตโดยตรงให้ภิกษุฉันได้ก็จริง  แต่เพราะน้ำตาลสดเป็นของมี

        รสหวาน สำเร็จประโยชน์เช่นเดียวกันกับรสหวานแห่งอ้อย ชื่อว่าเป็นของเข้ากันกับ

        รสหวานแห่งอ้อย ดังมีระบุไว้ในมหาปเทศ ๔  ข้อว่า สิ่งใดไม่ได้ทรงอนุญาตไว้ว่าควร

        แต่เข้ากันกับสิ่งเป็นกัปปิยะ ขัดกันต่อสิ่งเป็นอกัปปิยะ สิ่งนั้นควร ฯ