วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

วิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท 2545

 วิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท 2545


ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ  นักธรรมชั้นโท

สอบในสนามหลวง

วันอาทิตย์ ที่  ๒๔  พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕

 ๑.    ๑.๑ อภิสมาจารคืออะไร ?  แบ่งเป็นกี่ประเภท ?  อะไรบ้าง ?

        ๑.๒ ขันธ์แห่งจีวรประกอบด้วยอะไรบ้าง ?  ทรงมีพระพุทธานุญาตไว้อย่างไร ?

 ๑.    ๑.๑ คือธรรมเนียมของภิกษุ แบ่งเป็น ๒ ประเภทคือ

             เป็นข้อห้าม ๑ เป็นข้ออนุญาต ๑ ฯ

        ๑.๒ ประกอบด้วยมณฑล อัฑฒมณฑล และอัฑฒกุสิ ฯ ทรงมีพระพุทธานุญาตไว้

             ว่า จีวรผืนหนึ่งให้มีขันธ์ไม่น้อยกว่า ๕ เกินกว่านั้นใช้ได้ แต่ให้เป็นขันธ์ที่เป็นคี่

             คือ  ๗, ๙, ๑๑ เป็นต้น ฯ

 ๒.    ๒.๑ ในบาลีแสดงเหตุนิสัยจะระงับจากอุปัชฌาย์ไว้เท่าไร ?  อะไรบ้าง ?

        ๒.๒ ภิกษุผู้ควรจะได้นิสัยมุตตกะต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง ?

 ๒.    ๒.๑ แสดงไว้ ๕ ประการคือ อุปัชฌาย์หลีกไปเสีย ๑  สึกเสีย ๑  ตายเสีย ๑

             ไปเข้ารีตเดียรถีย์ ๑   สั่งบังคับ ๑ ฯ

        ๒.๒ มีคุณสมบัติ คือ

                   ๑) เป็นผู้มีศรัทธา  มีหิริ  มีโอตตัปปะ  มีวิริยะ  มีสติ

                   ๒) เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล อาจาระ ความเห็นชอบ เคยได้ยินได้ฟังมาก

                       มีปัญญา

                   ๓) รู้จักอาบัติ มิใช่อาบัติ อาบัติเบา อาบัติหนัก จำปาฏิโมกข์ได้แม่นยำ

             ทั้งมีพรรษาได้ ๕ หรือยิ่งกว่า ฯ

 ๓.    ๓.๑ อุปัชฌาย์ประณามสัทธิวิหาริกผู้ประพฤติมิชอบด้วยเหตุอะไรบ้าง ?

        ๓.๒ อาการที่อุปัชฌาย์ประณามสัทธิวิหาริกพึงทำอย่างไร ?

 ๓.    ๓.๑ ด้วยเหตุดังนี้ คือ

             หาความรักใคร่ในอุปัชฌาย์มิได้ ๑ หาความเลื่อมใสมิได้ ๑ หาความละอาย

             มิได้ ๑  หาความเคารพมิได้ ๑ หาความหวังดีต่อมิได้ ๑ ฯ

        ๓.๒ พึงพูดให้รู้ว่าตนไล่เธอเสีย ในบาลีแสดงไว้ว่า เราประณามเธอ เธออย่าเข้ามา

             ณ ที่นี้ จงขนบาตรจีวรของเธอออกไปเสีย หรือเธอไม่ต้องอุปัฏฐากเราดังนี้

             หรือแสดงอาการทางกายให้รู้อย่างนั้นก็ได้ ฯ

 ๔.    ๔.๑ ภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะ  ไปสู่อาวาสอื่น พึงประพฤติให้ถูกธรรมเนียมอย่างไร ?

        ๔.๒  ภิกษุผู้เข้าไปรับบิณฑบาตในละแวกบ้าน พึงประพฤติให้ถูกธรรมเนียมอย่างไร ?

 ๔.    ๔.๑ พึงประพฤติดังนี้

                   ๑) ทำความเคารพในท่าน

                   ๒) แสดงความเกรงใจเจ้าของถิ่น

                   ๓) แสดงอาการสุภาพ

                   ๔) แสดงอาการสนิทสนมกับเจ้าของถิ่น

                   ๕) ถ้าจะอยู่ที่นั่น ควรประพฤติให้ถูกธรรมเนียมของเจ้าของถิ่น

                   ๖) ถือเสนาสนะแล้วอย่าดูดาย เอาใจใส่ชำระปัดกวาดให้หมดจด จัดตั้ง

                       เครื่องเสนาสนะให้เป็นระเบียบ ฯ

        ๔.๒ พึงประพฤติอย่างนี้

                   ๑) นุ่งห่มให้เรียบร้อย                                           

                   ๒) ถือบาตรในภายในจีวร

                   ๓) สำรวมกิริยาให้เรียบร้อย                             

                   ๔) กำหนดทางเข้าทางออกแห่งบ้าน

                   ๕) รับบิณฑบาตด้วยอาการสำรวม ฯ

 ๕.    ๕.๑ ภิกษุผู้เข้าไปในเจติยสถาน ควรปฏิบัติอย่างไร ?

        ๕.๒ ภิกษุได้ชื่อว่า "กุลปสาทโก ผู้ยังตระกูลให้เลื่อมใส" เพราะมีปฏิปทาอย่างไร ?

 ๕.    ๕.๑ ควรปฏิบัติอย่างนี้ คือไม่กั้นร่ม ไม่สวมรองเท้า ไม่ห่มคลุมเข้าไป ไม่แสดง

             อาการดูหมิ่นต่างๆ เช่นพูดเสียงดัง และนั่งเหยียดเท้าเป็นต้น ไม่ถ่ายอุจจาระ

             ปัสสาวะ และไม่ถ่มเขฬะในลานพระเจดีย์ ฯ

        ๕.๒ เพราะมีปฏิปทาอย่างนี้ คือเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอาจาระ ไม่ทอดตนเป็นคนสนิท

             ของสกุล โดยฐานเป็นคนเลว และอีกอย่างหนึ่ง ไม่รุกรานตัดรอนเขา แสดง

             เมตตาจิตต่อเขา ประพฤติพอดีพองาม ยังความเลื่อมใสนับถือของเขาให้เกิด

             ในตน ฯ

 ๖.    ๖.๑ ดิถีที่กำหนดให้เข้าจำพรรษาในบาลีกล่าวไว้เท่าไร ?  อะไรบ้าง ?

        ๖.๒ สัตตาหกรณียะ และ สัตตาหกาลิก มีอธิบายอย่างไร ?

 ๖.    ๖.๑ กล่าวไว้ ๒ คือ

             ๑) ปุริมิกา วัสสูปนายิกา วันเข้าพรรษาต้น คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘

             ๒) ปัจฉิมิกา วัสสูปนายิกา  วันเข้าพรรษาหลัง คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ ฯ

        ๖.๒ สัตตาหกรณียะ คือภิกษุผู้อยู่จำพรรษาไปแรมคืนที่อื่นด้วยกิจจำเป็นบางอย่าง

             แต่กลับมาภายใน ๗ วัน เรียกว่าไปด้วยสัตตาหกรณียะ หรือสัตตาหะ ฯ

             สัตตาหกาลิก คือของที่รับประเคนแล้วเก็บไว้บริโภคได้ ๗ วัน ฯ

 ๗.    ๗.๑ ผู้ทำและอาการที่ทำ  ในการทำอุโบสถ มีอะไรบ้าง ?

        ๗.๒ การทำอุโบสถต้องพร้อมด้วยองค์อย่างไรบ้าง ?

 ๗.    ๗.๑ ผู้ทำมี ๓  คือสงฆ์ คณะ และบุคคล ฯ อาการที่ทำมี ๓ คือสวดปาฏิโมกข์

             บอกความบริสุทธิ์ และอธิษฐาน ฯ

        ๗.๒ พร้อมด้วยองค์ ๔ คือ

                   ๑) วันนั้นเป็นวันอุโบสถที่ ๑๔ หรือ ๑๕ หรือวันสามัคคี วันใดวันหนึ่ง

                   ๒) ภิกษุผู้เข้าประชุมครบองค์ประชุม คือตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป

                   ๓) พวกเธอไม่ต้องสภาคาบัติ

                   ๔) บุคคลที่จำต้องเว้น ไม่มีในที่ประชุมนั้น ฯ

 ๘.    ๘.๑ วันปวารณา และอาการที่กระทำ คืออะไรบ้าง ?

        ๘.๒ การตั้งญัตติในสังฆปวารณามีกี่อย่าง ?  อะไรบ้าง ?

 ๘.    ๘.๑ วันปวารณามี ๓  คือ จาตุททสี ที่ ๑๔ ค่ำ ๑  ปัณณรสี ที่ ๑๕ ค่ำ ๑ สามัคคี

             วันที่ภิกษุสงฆ์พร้อมเพรียงกัน ๑ ฯ อาการที่กระทำมี ๓ คือปวารณาต่อ

             ที่ประชุม ๑ ปวารณากันเอง ๑ อธิษฐานใจ ๑ ฯ

        ๘.๒ มี ๕ อย่าง คือ เตวาจิกาญัตติ ๑   เทววาจิกาญัตติ ๑   เอกวาจิกาญัตติ ๑  

             สมานวัสสิกาญัตติ ๑   สัพพสังคาหิกาญัตติ ๑ ฯ

 ๙.    ๙.๑ ภิกษุไม่สังวรในอุปปถกิริยา จะพึงได้รับโทษอย่างไรบ้าง ?

        ๙.๒  การแสวงหาเช่นไรจัดเป็นโลกวัชชะ มีโทษทางโลก ? เช่นไรจัดเป็นปัณณัตติวัชชะ

             มีโทษทางพระบัญญัติ ?

 ๙.    ๙.๑  ปรับเป็นอาบัติทุกกฏ  และเป็นฐานที่สงฆ์จะพึงลงโทษ ๔ สถาน อย่างใดอย่างหนึ่ง

             ตามโทษานุโทษ คือ

                   ๑) ตัชชนียกรรม      ตำหนิโทษ

                   ๒) นิยสกรรม         ถอดยศ คือถอดความเป็นผู้ใหญ่

                   ๓) ปัพพาชนียกรรม  ขับไล่จากวัด

                   ๔) ปฏิสารณียกรรม   ให้หวนระลึกถึงความผิด ฯ

        ๙.๒ การแสวงหาในทางบาป เช่นทำโจรกรรมและหลอกลวงให้เขาเชื่อถือ และใน

             ทางที่โลกเขาดูหมิ่น จัดเป็นโลกวัชชะ ฯ การแสวงหาในทางผิดธรรมเนียมของ

             ภิกษุ แม้ไม่มีโทษแก่คนพวกอื่น จัดเป็นปัณณัตติวัชชะ ฯ

๑๐. ๑๐.๑ ในบาลีแสดงลักษณะการถือวิสาสะไว้อย่างไรบ้าง ?

      ๑๐.๒ เหตุที่ควรถือเป็นประมาณ ๕ ประการให้บริขารขาดอธิษฐาน มีอะไรบ้าง ?



๑๐. ๑๐.๑ แสดงไว้อย่างนี้ คือ

                   ๑) เป็นผู้เคยได้เห็นกันมา         

                   ๒) เป็นผู้เคยคบกันมา

                   ๓) ได้พูดกันไว้                    

                   ๔) ยังมีชีวิตอยู่

                   ๕) รู้ว่าของนั้น เราถือเอาแล้ว เจ้าของจักพอใจ ฯ

      ๑๐.๒ มีดังนี้ คือ

                   ๑) ให้แก่ผู้อื่น                      

                   ๒) ถูกโจรชิงเอาไปหรือลักเอาไป

                   ๓) มิตรถือเอาด้วยวิสาสะ         

                   ๔) ถอนเสียจากอธิษฐาน

                   ๕) เป็นช่องทะลุ ฯ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น