วันพฤหัสบดีที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

สรุปนักธรรมชั้นเอก หน้าที่ 3/10

 










44) การพิจารณาแลเห็นสังขารโดยไตรลักษณ์ จัดเป็นวิสุทธิอะไร? จงจัดวิสุทธิ ลงในไตรสิกขา?

ตอบ จัดเป็นทิฏฐิวิสุทธิ ความหมดจดแห่งความเห็น

. สลวิสุทธิ จัดเป็นศีล                                . จิตตวิสุทธิ จัดเป็นสมาธิ

. ทิฏฐิวิสุทธิ กังขาวิตรณวิสุทธิ มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ญาณทัสสนวิสุทธิ จัดเป็นปัญญา

 

 

สันติ ความสงบ

 

Ø อุทเทสแห่งสันติ

 

อุทเทสที่

สนฺติ มคฺคเมว พฺรูหย.

สูจงพูนทางแห่งความสงบนนแล.

อุทเทสที่

นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ.

สุขอื่นจากความสงบย่อมไม่มี .

อุทเทสที่

โลกามิสํ ปชเห สนฺติ เปกฺโข.

ผู้เพ่งความสงบ พึงละอามิสในโลกเสีย.

 

สันติ เป็นได้ทั้งโลกิยะทั้งโลกุตตระ ดุจเดียวกับวิสุทธิ

* ที่เป็นโลกิยะได้ในบาลีว่า 👉 รุณฺเณน โสเกน สนฺตึ ปปฺโ👉ติ เจตโส บุคคลย่อมถึงความสงบแห่งจิต ด้วยร้องไห้ ด้วยเศร้าโศกก็หาไม่

* ที่เป็นโลกุตตระได้ในบาลีว่า โลกามิสํ ปชเ👉 สนฺติเปกฺโข ผู้เพ่งสันติพึงละโลกามิสเสีย

 

 

(ปี 64, 61) โลกามิสคืออะไร ? ที่ได้ชื่ออย่างนั้นเพราะเหตไุ ?

ตอบ       คือกามคุณ ได้แก่ รูป เสยง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ ฯ เพราะเป็นเครื่องล่อใจให้ติดอยู่ในโลกดุจเหยื่ออันเบ็ดเกี่ยวไว้ฉะนั้น ฯ

(ปี 63) สันติ ความสงบ หมายถึงสงบอะไร ? ผู้มุ่งสันติสุขอย่างแท้จริง ท่านสอนให้ละอะไร ?

ตอบ หมายถึง สงบกาย วาจา ใจ ท่านสอนให้ละโลกามิส คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ

(ปี 62) พระพุทธพจน์ว่า ผู้เพ่งความสงบพึงละอามิสในโลกเสีย คําว่า อามิสในโลก หมายถึงอะไร ? และละอามิสเหล่านั้นได้ด้วยวิธีใด ? ตอบ หมายถึงกามคุณ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ ละได้ด้วยการทําใจมิให้ติดในสิ่งเหล่านั้น (ปี 60) สันติแปลว่าอะไร ? เป็นโลกิยะ หรือโลกุตตระ ? ตอบ สันติ แปลว่า ความสงบ เป็นได้ทั้งโลกิยะ และโลกุตตระ

(ปี 59) สันติ ความสงบ เกิดขึ้นที่ใด? มีปฏิปทาที่จะดําเนินอย่างไร?

ตอบ เกิดขึ้นที่กาย วาจา ใจฯ มีปฏิปทาที่จะดําเนิน คือปฏิบัติกาย วาจา ใจ ให้สงบจากโทษเวรภัย ด้วยการละโลกามิสคือกามคุณ ๕ฯ


(ปี 55) บาลีแสดงปฏิปทาแห่งสันติว่า โลกามิสํ ปชเห สนฺติเปกฺโข แปลว่า ผู้เพ่งความสงบพึงละอามิสในโลกเสย หมายถึงอะไร? ที่เรียกอย่างนั้นเพราะเหตุไร?

ตอบ       หมายถึงเบญจพิธกามคุณ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ฯ ที่เรียกอย่างนั้น เพราะเป็นเครื่องล่อใจให้ติดในโลก ดุจเหยื่ออันเบ็ดเกี่ยวอยู่ฉะนั้น

(ปี 53) สันติ ความสงบ เป็นโลกิยะหรือโลกุตตระ? จงตอบโดยอ้างพระบาลีมาประกอบ

ตอบ เป็นได้ทั้งโลกิยะและโลกุตตระ


ดังนี้ คําว่า อามิสในโลก


ที่เป็นโลกิยะได้ในบาลีว่า หิ รุณเณน โสเกน สนฺตึ ปปฺโปติ เจตโส บุคคลย่อมถึงความสงบแห่งจิต ด้วยร้องไห้ ด้วยเศร้าโศกก็หาไม่ ที่เป็นโลกุตตระได้ในบาลีว่า โลกามิสํ ปชเห สนฺติเปกฺโข            ผู้เพ่งสันติพึงละโลกามิสเสีย


(ปี 50) บาลีแสดงปฏิปทาแห่งสันติว่า ผู้เพ่งความสงบพึงละอามิสในโลกเสีย ความสงบ ได้แก่อะไร? อามิส ได้แก่อะไร? เพราะเหตุไรจึงเรียกว่า อามิส?

ตอบ       ได้แก่ ความเรียบร้อยทางกายทางวาจาและทางใจ

ได้แก่ ปัญจพิธกามคุณ คือรูป เสยง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนาน่าใคร่น่าชอบใจ   เพราะเป็นเครื่องล่อใจให้ติดในโลก

(ปี 48) พระพุทธพจน์ว่า นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี จะไม่เป็นการปฏิเสธสุขอย่างอื่นไปทั้งหมดหรือ? จงอธิบาย

ตอบ ไม่เป็นการปฏิเสธเสียทีเดียว เช่นทรงแสดงถึงสุขของคฤหัสถ์ อย่างไว้เป็นต้น แต่สุขอย่างอื่นนั้นยังเจือไปด้วยทุกข์อยู่ ยังไม่ใช่สุข ไม่ อาจจะนับว่าเป็นสุขที่แท้จริงได้  มีแต่ความสงบเท่านั้นที่เป็นสุขอย่างแท้จริง  เพราะไม่เจือไปด้วยความทุกข์ฉะนั้นสุขที่ยิ่งกว่าความสงบจึงไม่มีฯ (ปี 45) บาลีแสดงปฏิปทาแห่งสันติว่า โลกามิสํ ปชเห สนฺติเปกฺโข ความว่า ผู้เพ่งความสงบพึงละอามิสในโลกเสีย

คําว่า อามิสในโลก หมายถึงอะไร? ที่เรียกว่า อามิสในโลก เพราะเหตุไร?

ตอบ  หมายถึงปัญจพิธกามคุณ คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา น่าใคร่น่าชอบใจ ฯ เพราะเป็นเครื่องล่อใจให้ติดในโลก ดุจเหยื่ออันเบ็ดเกี่ยวอยู่

(ปี 43) สันติแปลว่าอะไร? มีปฏิปทาที่จะดําเนินอย่างไร? สันติเป็นโลกิยะ หรือโลกุตตระ?


ตอบ สันติ แปลว่า ความสงบ มีปฏิปทาที่จะดําเนินคือ ปฏิบัตส วิหารธรรม สันติเป็นได้ทั้งโลกิยะ และโลกุตตระ


งบกาย วาจา ใจ จากโทษเวรภัย ละโลกามิส คือเบญจพิธกามคุณ มีสนติเป็น


 

นิพพาน ความดับทุกข

Ø  อุทเทสที่ นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา.                                       พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมกล่าวนิพพานว่ายวดยิ่ง.

Ø  อุทเทสที่ นิพฺพานคมนํ มคฺคํ ขิปฺปเมว วิโสธเย.                                  พึงรีบรัดชําระทางไปนิพพาน.

 

 


สิญฺจ ภิกฺขุ อิมํ นาวํ สิตตา เต ลหุเมสฺสติ เฉตฺวา ราคญฺจ โทสญฺจ ตโต นิพฺพานเมหิสิ .

ภิกษุ เธอจงวิดเรือนี้ เรืออันเธอวิดแล้ว จักพลันถึง เธอตัดราคะและโทสะแล้ว แต่นั้นจก อธิบาย เรือหมายเอาอัตภาพ เรืออันวิดแล้วนั้น หมายเอาบรรเทากิเลส และบาปธรรมเสียให้บางเบาจนขจัดได้ขาด จักพลันถึงท่าคือนิพพาน


 

ถึงนพ


 

พาน.


 

Ø  อุทเทสที่ นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ.                                               นิพพานเป็นสขอย่างยวดยิ่ง.

 

นิกฺขิปิตฺวา ครุํ ภารํ อญฺญํ ภารํ อนาทิย สมูลํ ตณฺหํ อพฺพุยฺห นิจฺฉาโต ปรินิพฺพุ โต.

ปลงภาระอันหนักเสียแล้ว ไม่ถือเอาภาระอันอื่น ถอนตัณหากับทั้งมูลเสียแล้ว หายหิว ดับรอบแล้ว.

ภาระในคาถานี้ หมายเอาปํญจขันธ์ การถือเอาภาระ หมายเอาการถือด้วยอุปทาน การปลงภาระ หมายเอาการถอนอุปาทาน แต่มีทางจะเข้าใจอีก อย่างหนึ่งก็ได้ว่า ละขันธปญจกนี้ ด้วยดับจริมกจิตแล้ว ไม่ถือเอาขันธปํญจกอื่น ด้วยเกิดอีก

 

เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ ยทิทํ สพฺพสงฺขารสมโถ สพฺพูปธิปฏินสฺสคฺโค ตณฺหกฺขโข วิราโค นิโรธ นิพฺพานํ.


ธรรมชาตนั่นสงบแล้ว ธรรมชาตนั่นประณีต ธรรมชาตไรเล่าเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นแห่งตัณหา เป็น ที่สิ้นกําหนัด เป็นที่ดับ คือนิพพาน.

จากพระบาลีว่า "สพฺพูปธิปฏินสฺสคฺโค ธรรมเป็นที่สละอุปธิทั้งปวง" ในคํานี้ อุปธ เป็นชื่อของเป็นชื่อของกิเลสและปัญจขันธ์ ที่เป็นชื่อของกิเลส มีอธิบายว่า เข้าไปทรงคือเข้าครอง ส่วนที่เป็นชื่อแห่งปัญจขันธ์ มีอธิบายว่า เข้าไปทรงคือหอบไว้ซึ่งทุกข์

 

Ø  ประเภทของนิพพาน

.  สอุปาทิเสสนิพพาน เป็นความดับกิเลสที่ยังมีเบญจขันธเหลือ

.  อนุปาทิเสสนิพพาน เป็นความดับกิเลสที่ไม่มเบญจขันธเหลือ

 

(ปี 63, 51) สอุปาทิเสสนิพพาน กับ อนุปาทิเสสนิพพาน ต่างกันอย่างไร?

พระบาลีว่า เตสํ วูปสโม สุโข ความเข้าไปสงบแห่งสังขารเหล่านั้น เป็นสุข จัดเป็นนิพพานชนิดใด?

ตอบ ต่างกัน คือ สอุปาทิเสสนิพพาน เป็นความดับกิเลสที่ยังมีเบญจขันธ์เหลือ ส่วนอนุปาทิเสสนิพพาน เป็นความดับกิเลสที่ไม่มีเบญจขันธ์เหลือ เป็นอนุปาทิเสสนิพพาน ฯ

(ปี 61, 52) ข้อความว่า ปลงภาระอันหนักเสียแล้ว ไม่ถือเอาภาระอันอื่น ดังนี้ มีอธิบายอย่างไร?

ตอบ อธิบายว่า ภาระ หมายถึงเบญจขันธ์ การปลงภาระ หมายถึงการถอนอุปาทาน การไม่ถือเอาภาระอื่น หมายถึงการไม่ถือเบญจขันธ์อื่นด้วย อุปาทาน ฯ

(ปี 59) พระบาลีว่า "สพฺพูปธิปฏินิสฺสคฺโค ธรรมเป็นที่สละอุปธิทั้งปวง" ในคํานี้ อุปธิ เป็นชื่อของอะไรได้บ้าง? แต่ละอย่างมีอธิบายว่าอย่างไร ?

ตอบ       เป็นชื่อของกิเลสและปัญจขันธ์

ที่เป็นชื่อของกิเลส มีอธิบายว่า เข้าไปทรงคือเข้าครอง ที่เป็นชื่อแห่งปัญจขันธ์ มีอธิบายว่า เข้าไปทรงคือหอบไว้ซึ่งทุกข์

(ปี 57) คําว่า อุปาทิ ในคําว่า สอุปาทิเสสนิพพาน หมายถึงอะไร ? ตอบ หมายถึงขันธ์ (ขันธปัญจก)

(ปี 56) พระบาลีว่า นิกฺขิปิตฺวา ครุํ ภารํ อญฺญํ ภารํ อนาทิย ปลงภาระอันหนักเสียแล้ว ไม่ถือเอาภาระอันอื่นถามว่า ภาระ” “การไม่ถือเอาภาระ” “การปลงภาระได้แก่อะไร?

ตอบ ภาระ ได้แก่เบญจขันธ์ การไม่ถือเอาภาระ ได้แก่การไม่ถือเอาเบญจขันธ์ด้วยอุปาทาน ฯ การปลงภาระ ได้แก่การถอนอุปาทานในเบญจขันธ์


(ปี 54) พระศาสดาทรงสอนภิกษุโดยยกเอาเรือมาเป็นอุปมาว่า สิญฺจ ภิกฺขุ อิมํ นาวํ สิตฺตา เต ลหุเมสส แล้วจักพลันถึง มีอธิบายโดยย่อว่าอย่างไร?

ตอบ มีอธิบายโดยย่อว่า เรือ หมายถึงอัตภาพ


ติ แปลว่าภิกษุ เธอจงวิดเรือนี้ เรืออันเธอวิด


วิดเรือ คือวิดนํ้าที่รั่วเข้าในเรือ ซึ่งหมายถึงการบรรเทากิเลสและบาปธรรม ที่ไหลเข้ามาท่วมทับจิตใจ ให้บางเบา จนขจัดได้ขาด เมื่ออัตภาพนี้เบาก็ จักปฏิบัติเพื่อไปสู่พระนิพพานได้เร็ว

(ปี 51) พระบาลีว่า สิญฺจ ภิกฺขุ อิมํ นาวํ แปลว่า ภิกษุ เธอจงวิดเรือนี้ คําว่า เรือ และคําว่า วิด ในที่นี้ หมายถึงอะไร?

ตอบ       เรือ หมายถึง อัตภาพร่างกาย                           วิด หมายถึง บรรเทากิเลสและบาปธรรมเสียให้บางเบา จนขจัดได้ขาด

(ปี 49) พระบาลีว่า ภิกษุ เธอจงวิดเรือนี้ เรือที่เธอวิดแล้ว จักพลันถึง จงให้ความหมายคําต่อไปนี้ ให้ถูกต้องตามพระบาลีนั้น?

. เรือนี้                  . จงวิด (วิดอะไร)                       . เรือที่วิดแล้ว                         . จักพลันถึง (ถึงอะไร)                    . เรือจักไม่จมใน........

ตอบ       . อัตภาพร่างกาย                     . วิดนํ้า คือมิจฉาวิตก                    . อัตภาพที่บรรเทากิเลสให้เบาบางลง


. ถึงท่า คือพระนิพพาน                   . ในสังสารวัฏ


(ปี 46) เนื้อความในภารสูตรว่า ปลงภาระอันหนักเสย การถือและการปลงภาระอันหนักนั้น หมายถึงอะไร?


แล้ว ไม่ถือเอาภาระอันอื่น ถามว่า คําว่า ภาระอันหนัก ได้แก่อะไร?


ตอบ       ได้แก่ ปัญจขันธ์ การถือ หมายถึง การถือด้วยอุปาทาน การปลง หมายถึง การถอนอุปาทาน

(ปี 44) วัฏฏะในบาลีว่า วฏฺฏูปจฺเฉโท หมายถึงอะไร? วัฏฏะนั้นจะขาดได้อย่างไร? บาลีแสดงปฏิปทาแห่งนิพพานว่า " สิญฺจ ภิกฺขุ อิมํ นาวํ "

ความว่า " ภิกษุเธอจงวิดเรือนี้ " คําว่า เรือ และ วด ในบาลีนี้หมายถึงอะไร?

ตอบ วัฏฏะ หมายถึง ความเวียนเกิดด้วยอํานาจกิเลส กรรม และวิบาก ฯ                                         วัฏฏะนั้นจะขาดได้ด้วยการละกิเลสอันเป็นเบื้องต้นเสีย คําว่า เรือ หมายถึงอัตภาพร่างกาย                                                คําว่า วิด หมายถึงบรรเทากิเลส และบาปธรรมให้เบาบางจนขจัดได้ขาด

 

ส่วนสังสารวัฏ โดยบุคคลาธิษฐาน

คต

Ø  อุทเทสที่ จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา. เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันต้องหวัง.

Ø  อุทเทสที่ จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สคติ ปาฏิกงฺขา. เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้.

 

คติ คือ ภูมิเป็นที่ไปหรือเป็นที่ถึงเบื้องหน้าแต่มรณะ จําแนกไว้ 2 ประเภท ดังนี้

.  ทุคติ ภูมิเป็นที่ไปข้างชั่ว แบ่งเป็น ประเภท คือ นิรยะ ติรัจฉานโยนิ

และสามารถแบ่งเป็น ประเภท คือ อบาย ทุคติ วินิบาต นิรยะ …. (👉มายเ👉ตุ นิรยะ ก็คือ นรก)

. สุคติ ภูมิเป็นที่ไปข้างดี แบ่งเป็น ประเภท คือ เทวะ มนุษย์ หรือ สุคติ โลกสวรรค์

 

(ปี 64, 59) คติ คืออะไร ? สตวโลกที่ตายไป มีคติเป็นอย่างไรบ้าง ?

ตอบ คือ ภูมิหรือภพเป็นทไี่ ปหลังจากตายแล้ว

มีคติเป็น คือ             . ทุคติ ภูมิเป็นที่ไปข้างชั่ว ซึ่งเกิดจากการประพฤติทุจริตทางกายวาจาใจ

. สุคติ ภูมิเป็นที่ไปข้างดี ซึ่งเกิดจากการประพฤติสจริตทางกายวาจาใจ

(ปี 63, 57) อบาย คืออะไร ? ในอรรถกถาแจกไว้เป็น อย่าง อะไรบ้าง ?

ตอบ คือโลกที่ปราศจากความเจริญ                                 มีนิรยะ ติรัจฉานโยนิ ปิตติวิสยะ อสุรกาย

(ปี 61) ในพระบาลีว่า "จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อใจเศร้า หมอง ต้องประสบทุคติ" ทุคติ คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ?

ตอบ คือ ภูมิเป็นที่ไปข้างชั่ว                           มี อบาย ทุคติ วินิบาต นรก (ตามนัยอรรถกถา มี คือ นรก สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสรกาย)

(ปี 60, 44) ในส่วนสังสารวัฏฏ์ สัตวโลกตายแล้วมีคตเป็นอย่างไร? มีอุทเทสบาลีแสดงไว้อย่างไร?

ตอบ สัตวโลกตายแล้วมีคติเป็น คือสุคติ และทุคติ

มีอุทเทสบาลีแสดงว่า                  จิตฺเต สงฺกิลิฏเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา                        เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอนต้องหวัง

จิตฺเต อสงฺกลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา                        เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้

(ปี 53) คําว่า สุคติ ในพระบาลีว่า จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา คืออะไร? มีอะไรบ้าง?

ตอบ คือ ภูมิเป็นที่ไปข้างดี มี เทวะ มนุษย์ หรือ สุคติ โลกสวรรค์

(ปี 52) สัตว์โลกตายแล้วมีคติเป็นอย่างไร? มีพระบาลีแสดงไว้อย่างไร?


ตอบ       มีคติเป็น คือ สุคติและทุคติ มีพระบาลีแสดงไว้ว่า

จิตฺเต อสงฺกลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา.                       เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้

จิตฺเต สงฺกิลิฏเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา.                       เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอนต้องหวัง

(ปี 51) ในส่วนสังสารวัฏ สัตวโลกตายแล้วมีคติเป็นอย่างไร? จงอ้างบาลีประกอบ

ตอบ มีคติเป็น คือ                     สุคติ มีบาลีว่า จิตฺเต อสงฺกิลิฏเฺ สุคติ ปาฏิกงฺขา

และ ทุคติ มีบาลีว่า จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา

(ปี 48) สัตว์โลกตายแล้วมีคติเป็นอย่างไร? ปัจจุบันภพนั้น เกี่ยวเนื่องกับสัมปรายภพอย่างไร?

ตอบ สัตว์โลกตายแล้วมีคติเป็น คือ ถ้าทําดี คือ ประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ก็ไปสู่สุคติ ถ้าทําไม่ดี คือประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ก็ ไปสู่ทุคติ ฯ

จิตดีชั่วในปัจจุบัน ย่อมเป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิในสัมปรายภพ ภูมิและภพในภายภาคหน้าขึ้นอยู่กับภูมและภพชั้นของจิตในปัจจุบันนี้แหละ ดังมี หลักธรรมในอุเทศบาลีแสดงว่า เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันต้องหวัง และว่าเมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้

(ปี 46) คติ คือภูมิเป็นที่ไปของสัตว์ผู้ตายแล้ว เป็นอย่างไร? มีบาลีแสดงอุทเทสเกี่ยวกับคตินั้น ว่าอย่างไร?

ตอบ เป็น คือ ทุคติ ภูมิเป็นทไี่ ปข้างชั่ว สุคติ ภูมเป็นที่ไปข้างดี

มีบาลีแสดงอุทเทสว่า ดังนี้                . จิตฺเต สงฺกิลฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันต้องหวัง

. จิตฺเต อสงฺกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้

 

 

หลักกัมมัฏฐาน

สมถกัมมฏฐาน

Ø  กัมมัฏฐาน ๔๐ ประการ รวมเป็น หมวดนั้น คือ

- * กสิณ ๑๐  กสิณ แปลว่า วัตถุอันจูงใจ คือจูงใจให้เข้าไปผูกอยู่ เป็นชื่อของกัมมัฏฐานแปลว่า มีวัตถุที่ชื่อว่ากสิณเป็นอารมณ์

- อสุภ ๑๐

- อนุสสติ ๑๐

- พรหมวิการ

- อาหาเรปฏิกูลสัญญา

- จตุธาตุววัตถาน

- อรูป

Ø  สติปัฏฐาน

. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน                 . เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน . จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน . ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน

Ø  *อสุภะ ๑๐ พิจารณาซากศพเป็นอารมณ์

Ø  อนุสสติ ๑๐

. พุทธานุสสติ ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์

. ธัมมานุสสติ ระลึกถึงคุณพระธรรมเป็นอารมณ์

. สังฆานุสสติ ระลึกถึงคุณพระสงฆ์เป็นอารมณ์

. สีลานุสสติ ระลึกถึงศีลที่ตนรักษาเป็นอารมณ์

.  จาคานุสสติ ระลึกถึงทานที่ตนบริจาคแล้วเป็นอารมณ์


. เทวตานุสสติ ระลึกถึงเทวดาที่มีสล ของตนเป็นอารมณ์


าทิคุณเสมอ เหมือนกับด้วยตน ตั้งเทพดาเหล่านั้นไว้เป็นพยานแลว


กลับระลึกถึงสีลาทิคุณ


.   อุปสมานุสสติ ระลึกถึงนิพพานว่าเป็นที่ระงับดับเพลิงกิเลสและกองทุกข์เป็นบรมสุขอย่างยิ่งเป็นอารมณ์

.  มรณัสสติ ระลึกถึงความตายของตนและสัตว์ผู้อื่นเป็นอารมณ์

.  *กายคตาสติ ระลึกไปในอาการ ๓๒ ในร่างกายเป็นอารมณ์ (พิจารณาอาการภายในของตนเป็นอารมณ์)

๑๐. อานาปานสติ ระลึกถึงลมหายใจเข้าออกยาวสั้นเป็นต้นเป็นอารมณ์

 

Ø การเจริญเมตตาพรหมวิหาร มีความมุ่งหมายอย่างนี้ ให้ทําตนเป็นพยานว่า ตนนี้อยากได้แต่ความสุข เกลียดชังทุกข์และภัยต่าง ฉันใด แม้สัตว์ทั้งหลาย ก็อยากได้สุข เกลยดชังทุกข์และภัยต่าง ฉันนั้น เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว จิตก็ปรารถนาจะให้สัตว์ทั้งสิ้น มีความสุขความ เจริญ ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงให้แผ่เมตตาจิตไปในตนก่อน .

 

Ø  การเจริญมุทิตาพรหมวิหาร วิธีเจริญมุทิตานั้นดังนี้ เมื่อได้เห็นหรือได้ยินมนุษย์หรือสัตว์ เป็นอยู่สุขสบาย เจรญรุ่งเรืองด้วยสุขสมบัติ พึง

ทําจิตใจให้ชื่นชมยินดี แล้วแผ่มุทิตาจิตไปว่า สัตว์ผู้นี้หนอบริบูรณ์ยิ่งนัก มีสุขสมบัติมาก จงเจริญยั่งยืนด้วยสุขสมบัตยิ่งๆ เถิด เมื่อเจรญ อยู่เนืองๆ ย่อมได้รับอานิสงส์คือ จะละความริษยาในสมบัติของผู้อื่นได้

 

Ø การเจริญจตุธาตุววัตถาน คือ ความกําหนดหมายซึ่งธาตุ โดยสภาวะความเป็นเองของธาตุ วิธีปฏิบัติคือ พึงกําหนดพิจารณาทั้งกาย ตนเองและกายผู้อื่นให้เห็นเป็นแต่สักว่าธาตุ และพึงกําหนดให้รู้จักธาตุภายในภายนอกให้เห็นเป็นแต่สกว่าธาตุไปหมดทั้งโลก ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล

 

Ø  หัวใจสมถกมมัฏฐาน (กายคตาสติ เมตตา พุทธานุสสติ กสิณ จตุธาตุววัตถานะ)

มีพระบรมพุทโธวาทประทานไว้ว่า "สมาธึ ภิกฺขเว ภาเวถ สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ" ดังนี้ แปลความว่า ภิกษุทั้งหลายท่านทั้งหลาย จงยังสมาธิให้เกิดชนผู้มีจิตเป็นสมาธิแล้ว ย่อมรู้ตามจริง.

เพราะเหตุอะไร พระศาสดาจึงทรงชักนําในอันบําเพ็ญสมาธิ. เพราะในที่ได้รับอบรมดีแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์อันใหญ่.

 

นิวรณ์ ธรรมอันกั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี

กัมมัฏฐานแก้นิวรณ์

 

นิวรณ์

กําจัดด้วยกัมมัฏฐาน

กามฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในอารมณ์ที่ชอบใจ

กายคตาสติ, อสุภกัมมฏฐาน

พยาบาท การปองร้ายผู้อื่น

เมตตาพรหมวิหาร

ถีนมิทธะ ความที่จิตหดหู่และเคลบเคลิ้ม

อนุสสติกัมมัฏฐาน เช่น สีลานุสสติ พทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ

อุทธัจจกุกกุจจะ ฟุ้งซ่านและรําคาญ

กสิน, มรณัสสติ

วิจิกิจฉา ความลังเลไม่แน่ใจ

จตุธาตุววัตถานะ, วิปัสสนากัมมัฏฐาน


กัมมัฏฐานที่ควรเจริญกับจริต

 

จริต

กัมมัฏฐานที่ควรเจริญ

ราคจริต

กายคตาสติ, อสุภะ ๑๐

โทสจริต

วัณณกสิณ (นีลกสณิ             ปีตกสิณ โลหิตกสณิ โอทาตกสิณ), พรหมวิหาร

โมหจริต

อานาปานสติ

วิตกจริต

อานาปานสติ

สัทธาจริต

อนุสสติ ข้อ - (พุทธานุสสติ, ธัมมานุสติ, สังฆานุสสติ, สลี านุสสติ, จาคานุสสติ, เทวตานุสสติ)

พุทธิจริต

มรณสั สติ, อุปสมานุสสติ, อาหาเรปฏิกูลสัญญา, จตุธาตุววตถาน

 


Ø วสี (ความชํานาญ)เรื่องวสี ไม่ต้องท่องเมื่อพระโยคาพจรเจ้า อันได้สําเร็จปฐมฌานชํานิชํานาญเป็นอันดด


้วย วสีทั้ง ดังว่ามานี้แล้ว จึงจะสามารถเจริญทุติยฌานต่อขึ้น


ไปได้ ถ้าไม่ชํานาญในปฐมฌานกอนแล้ว จะเจริญทุติยฌานต่อขึ้นไป ก็จะเสื่อมเสียจากปฐมฌานและทุติยฌานทั้ง ฝ่าย เพราะอาศัยเหตุ ฉะนี้ จึงห้ามไว้ว่า ถ้ายังไม่ชํานาญในปฐมฌานแล้ว อย่าพึงเจริญทุติยฌานก่อน ต่อเมื่อชํานาญคล่องแคล่วในปฐมฌานด้วยวสี ประการแล้ว จึง ควรเจรญทุติยฌานสบต่อขึ้นไปได้ เมื่อชํานาญในทุติยฌานแล้ว จึงควรเจรญตติยฌาน จตุตถฌาน ปัญจมฌานสืบต่อ ขึ้นไปได้ โดยลําดับดังกล่าว แล้วนั้น.

 

(ปี 64, 60, 43) สมถะ กับ วิปัสสนา ให้ผลต่างกันอย่างไร?

ตอบ ให้ผลต่างกันดังนี้                  สมถะ ให้ผลอย่างตํ่า ทําให้ระงับนิวรณ์บางอย่างได้ อย่างสูง ทําให้เข้าถึงฌานต่าง ได้

ส่วนวิปัสสนา ให้ผลอย่างตํ่า ทําให้ได้ปัญญาเห็นสัจจธรรม อย่างสูงทําให้ได้บรรลุอริยผล พ้นจากสังสารทุกข์

(ปี 64) คนสัทธาจริตมีนิสัยอย่างไร ? คนประเภทนี้ควรเจริญกัมมัฏฐานบทใด ?

ตอบ มีนิสัยเชื่อง่ายๆ ในถ้อยคําวาจาที่กล่าวดีและชั่ว ที่เป็นบุญและเป็นบาป เป็นต้น

ควรเจรญอนุสสติกัมมัฏฐาน ประการ คือ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ และเทวตานุสสติ

(ปี 64, 62, 49) จงแสดงวิธีเจริญมุทิตา พร้อมทั้งอานิสงส์แห่งการเจริญ พอเป็นตัวอย่าง?

ตอบ วิธีเจริญมุทิตานั้นดังนี้ เมื่อได้เห็นหรือได้ยินมนุษย์หรือสัตว์ เป็นอยู่สุขสบาย เจรญรุ่งเรืองด้วยสุขสมบัติ พึงทําจิตใจให้ชื่นชมยินดี แล้วแผ่ มุทิตาจิตไปว่า สัตว์ผู้นี้หนอบริบูรณ์ยิ่งนัก มีสุขสมบัตมาก จงเจรญยงั่ ยืนด้วยสุขสมบัติยิ่งๆ เถิด เมื่อเจริญอยู่เนืองๆ ย่อมได้รับอานิสงส์คือ จะละ ความริษยาในสมบัติของผู้อื่นได้

(ปี 64, 63, 61) ผู้เจริญมหาสติปัฏฐาน ต้องประกอบด้วยธรรมใดบ้าง จึงจะกําจัดอภิชฌาและโทมนัสได้ ?

ตอบ ต้องประกอบด้วยธรรม คือ . อาตาปี มีความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน . สัมปชาโน รู้ทั่วพร้อม . สตมา มีสติ

(ปี 63) สติปัฏฐาน คืออะไรบ้าง ? การกําหนดลมหายใจเข้าออก ชื่อว่าเจริญสติปัฏฐาน ข้อไหน ?

ตอบ คือกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน และธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ชื่อว่าเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน

(ปี 62) เจรญมรณสสติอย่างไรจึงจะบรรเทาความเมาในชีวิต ไมติดในโลกธรรม ?

ตอบ เจริญพร้อมด้วยองค์ คือ . สติ ระลึกถึงความตาย . ญาณ รู้ว่าความตายจักมีแก่ตน . เกิดสังเวชสลดใจ

(ปี 62, 51) อารมณ์ของสติปัฏฐาน มีอะไรบ้าง ? ผเจรญสติปัฏฐานพึงมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ?

ตอบ มี กาย เวทนา จิต ธรรม พึงมี . อาตาปี มีความเพียรเผากิเลส . สัมปชาโน มีสมปชัญญะ . สติมา มีสติ


(ปี 61) คนวิตกจริตมีนิสัยอย่างไร ? คนประเภทนี้ควรเจริญกัมมัฏฐาน บทใด? ตอบ ชอบคิดมาก ฟุ้งซ่านฯ                                                 ควรเจรญอานาปานัสสติกัมมัฏฐานฯ

(ปี 60) เจรญมรณสสติอย่างไรจึงจะแยบคาย ?

ตอบ เจริญพร้อมด้วยองค์ คือ สติ ระลึกถึงความตาย ญาณ รู้ว่าความตายจักมีแก่ตน เกิดสังเวชสลดใจ เจรญอย่างนี้ จึงจะแยบคายฯ

(ปี 58) ในสมถกรรมฐาน ๔๐ ประการ มีนิมิตและภาวนากี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?


ตอบ มีนิมิต คือบริกรรมนิมิต อุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมติ (ปี 58) ผู้เจริญเมตตาเป็นประจํา ย่อมได้รับอานิสงส์อะไรบ้าง ? ตอบ ได้รับอานิสงส์อย่างนี้


และมีภาวนา คือบริกรรมภาวนา อุปจารภาวนา และอัปปนาภาวนา


. หลับอยู่ก็เป็นสุข                                   .  ไฟไม่ไหม้  พิษหรือศัสตราวุธทั้งหลายไม่อาจประทุษร้าย

. ตื่นอยู่ก็เป็นสุข                                    . จิตย่อมตั้งมั่นได้เร็วพลัน

. ไมฝันเห็นสิ่งลามก                                 . ผิวพรรณย่อมผ่องใสงดงาม

. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย                       ๑๐. ไม่หลงทํากาลกิริยา คือเมื่อจะตายย่อมได้สติ

. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย                          ๑๑. เมื่อตายแล้วแม้เกิดอีก ก็ย่อมเกิดในที่ดีเป็นที่เสวยสุข ถ้าไม่เสื่อมจากฌาน ก็ไปเกิดในพรหมโลก

. เทวดาทั้งหลายย่อมรักษา

(ปี 58) สติปัฏฐาน คืออะไรบ้าง ? การพิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง โดยความเป็นของปฏิกูล จัดเข้าในสติปัฏฐานข้อไหน ? ตอบ คือกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน และธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ฯ

(ปี 58) บรรดาอาการ ๓๒ ประการนั้น ส่วนที่เป็นอาโปธาตุมีอะไรบ้าง?

ตอบ มีดี เสมหะ นํ้าเหลือง เลือด เหงื่อ มันข้น นํ้าตา มันเหลว นํ้าลาย นํ้ามูก ไขข้อ มูตร (* หมายเหตุ อาโปธาตุ คือ ธาตุนํ้า)

(ปี 57) ปฐมฌาณ ประกอบด้วยองค์เท่าไร ? อะไรบ้าง ? ตอบ ด้วยองค์ คือวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา

(ปี 57) สมถกัมมัฏฐาน กับ วิปัสสนากัมมัฏฐาน ต่างกันอย่างไร? หัวใจสมถกัมมฏฐานมีอะไรบ้าง?

ตอบ สมถกัมมัฏฐาน คือกัมมัฏฐานเป็นอุบายเครื่องสงบใจ วิปัสสนากัมมัฏฐาน คือกัมมัฏฐานเป็นอุบายเครื่องเรืองปัญญา ฯ มีกายาคตาสติ เมตตา พุทธานุสสติ กสิณ และจตุธาตุววัตถาน

(ปี 56) ในนวสีวถิกาปัพพะ เมื่อเห็นซากศพชนิดใดชนิดหนึ่งใน ชนิดนั้นพึงภาวนาอย่างไร?

ตอบ พึงภาวนาโดยการน้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า อยมฺปิ โข กาโย ถึงร่างกาย อันนี้เล่า เอวํธมฺโม ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา เอวํภาวี จักเป็นอย่างนี้ เอวํ อนตีโต ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้

(ปี 55) กัมมัฏฐานที่พระอุปัชฌาย์สอนแก่ผู้บรรพชาอุปสมบทว่า เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ ตโจ ทนฺตา นขา โลมา เกสา นั้น จัดเข้าในสติปัฏ ฐานข้อใด? ให้พิจารณาอย่างไร?

ตอบ จัดเข้าในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน   ให้พิจารณาน้อมใจให้เห็นเป็นของน่าเกลียดปฏิกูล ทั้งในกายตน ทั้งในกายผู้อื่น

(ปี 55) กายคตาสติกัมมัฏฐานกับอสุภกัมมัฏฐาน มีอารมณต่างกันอย่างไร? แก้นิวรณ์ข้อใดได้?

ตอบ กายคตาสติกัมมัฏฐาน มีอาการ ๓๒ ในร่างกายเป็นอารมณ์                                          อสุภกัมมัฏฐาน มีซากศพเป็นอารมณ์ แก้กามฉันทนิวรณ์

(ปี 54) กัมมัฏฐานต่อไปนี้ คือ กสิณ จตุธาตุววัตถานะ พุทธานุสสติ เป็นที่สบายแก่คนผู้มักถูกนิวรณ์ข้อใดครอบงํา?

ตอบ กสิณ เป็นที่สบายแก่คนผู้มักถูกอุทธัจจกุกกุจจะครอบงํา จตุธาตุววัตถานะ เป็นที่สบายแก่คนผู้มักถูกวิจิกิจฉาครอบงํา พุทธานุสสติ เป็นที่สบายแก่คนผู้มักถูกถีนมิทธะครอบงําฯ

(ปี 53) นิวรณ์ คืออะไร? เมื่อจิตถูกนิวรณ์นั้น ครอบงํา ควรใช้กัมมัฏฐานบทใดเป็นเครื่องแก้?


ตอบ คือ ธรรมอันกั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี

กามฉันท์ ใช้ อสุภกัมมัฏฐาน หรือกายคตาสติเป็นเครื่องแก้

พยาบาท ใช้ เมตตา กรุณา มุทิตา พรหมวิหาร ข้อต้นเป็นเครื่องแก้ ถีนมิทธะ ใช้ อนุสสติกัมมฏฐานเป็นเครื่องแก้

อุทธัจจกุกกุจจะ ใช้ กสิณหรือมรณัสสติเป็นเครื่องแก้

วิจิกิจฉา ใช้ ธาตุกัมมัฏฐานหรือวิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นเครื่องแก้

(ปี 53) จตุธาตุววัตถานกัมมัฏฐาน คืออะไร? ผเจรญกัมมฏฐานนี้จะพึงกําหนดพิจารณาอย่างไร?

ตอบ คือ ความกําหนดหมายซึ่งธาตุ โดยสภาวะความเป็นเองของธาตุ

พึงกําหนดพิจารณาทั้งกายตนเองและกายผู้อื่นให้เห็นเป็นแต่สักว่าธาตุ   และพึงกําหนดให้รู้จักธาตุภายในภายนอกให้เห็นเป็นแต่สักว่าธาตุไปหมดทั้ง โลก ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล

(ปี 52) พระโยคาวจรสําเร็จปฐมฌาณแล้ว ควรกระทําให้ชํานาญดวยวสีทั้ง ก่อนที่จะเจรญทุติยฌาณต่อไป เพราะเหตุใด? ตอบ เพราะถ้าไม่ชํานาญในปฐมฌาณแล้ว เมื่อเจรญทุติยฌาณต่อขึ้นไปก็จะเสื่อมจากปฐมฌาณและทุติยฌาณทั้ง ฝ่าย (ปี 52) สติปัฏฐาน อันผู้ปฏิบัติธรรมอบรมให้บริบูรณเต็มที่แล้ว ย่อมเป็นเพื่ออานิสงส์ ประการ อะไรบ้าง?

ตอบ คือ . เพื่อความบริสุทธิ์แห่งสตว์ทั้งหลาย . เพื่อความข้ามพ้นโสกะและปรเิ ทวะทั้งหลาย . เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส

. เพื่อบรรลุธรรมที่ควรรู้ . เพื่อการทําให้แจ้งพระนิพพาน

(ปี 51) จริต คืออะไร? เพราะเหตุใดจึงต้องเจริญกัมมัฏฐานให้เหมาะกับจริตของตน?

ตอบ คือ ความประพฤติเป็นปกติของบุคคล


เพราะกัมมัฏฐานแต่ละอย่างก็เป็นที่สบายของคนแต่ละจรต


ถ้าเจรญ


ไม่เหมาะกับจริต กรรมฐานก็จะสาเร็จได้โดยยาก


(ปี 50) เพราะเหตไุ พระผมีพระภาคเจ้าจึงทรงชักนําให้บําเพ็ญสมาธิ? หัวใจสมถกัมมัฏฐานมีอะไรบ้าง?

ตอบ เพราะใจที่อบรมดีแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์อันใหญ่ เป็นกาลังสําคัญในอันจะให้คิดเห็นอรรถธรรมและเหตุผลอันสุขุมลุ่มลึก พระผมีพระ ภาคเจ้าจึงตรัสไว้ในพระบาลีว่า สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ ผู้มีใจตั้งมั่นแล้ว ย่อมรตามเป็นจริงฯ

มี กายคตาสติ เมตตา พุทธานุสสติ กสิณ จตุธาตุววัตถานะ

(ปี 49) คนสัทธาจริตและคนวิตกจริต มีลักษณะอย่างไร? ควรเจริญกัมมัฏฐานอะไร?

ตอบ คนสัทธาจริต มีลักษณะเชื่อง่ายขาดเหตุผล คนวิตกจรต มีลักษณะคิดมาก ฟุ้งซ่าน

คนสัทธาจริตควรเจริญอนุสสติ ข้างต้น คนวิตกจริตควรเจริญอานาปานสติ

(ปี 49) กายคตาสติกัมมัฏฐานกับอสุภกัมมัฏฐาน ต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร? จงอธิบาย

ตอบ ต่างกันที่อารมณ์ คือ กายคตาสติ พิจารณาอาการภายในของตนเป็นอารมณ์อสุภ พิจารณาซากศพเป็นอารมณ์ เหมือนกันตรงที่พิจารณาให้เห็นเป็นปฏิกูล ไม่งามเหมือนกันและเป็นปฏิปักษ์ต่อกามฉันทะ อีกทั้งเป็นเครื่องกําจัดวิปลาส ข้อที่เห็นว่าสวยงามในสิ่ง ที่ไม่สวยงามได้เหมือนกัน


(ปี 49) การทําวัตรสวดมนต์ เป็นกิจวัตรของพระภิกษส ทําวัตรเช้ามาดูพอเป็นตัวอย่าง?


ามเณรและเป็นภาวนากุศล จงแสดงวิธีเจรญสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมฏ


ฐาน ในบท


ตอบ การสวดนมัสการพระรัตนตรัยก็ดี สวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยก็ดี เป็นการน้อมจิตระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ชื่อว่า เจริญพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ จัดเป็นสมถกัมมัฏฐาน

สวดสังเวคปริกิตตนปาฐะว่า ชาติปิ ทุกฺขา ชราปิ ทุกฺขา มรณมฺปิ ทกฺขํ... รูปํ อนิจฺจํ เวทนา อนิจฺจา... รูปํ อนตฺตา เวทนา อนตฺตา... เป็นอาทิ ตั้งสติ มีความเพียร ใช้ปัญญาพิจารณาเบญจขันธ์ ยกขึ้นสู่ สามัญลักษณะ จัดเป็นวิปัสสนากัมมัฏฐานฯ


(ปี 48) บุคคลผู้ถูกนิวรณ์ ครอบงํา พึงแก้ด้วยกัมมัฏฐานอะไรบ้าง?

ตอบ       ถูกกามฉันทะครอบงํา พึงแก้ด้วยอสุภกัมมัฏฐานหรือกายคตาสติ ถูกพยาบาทครอบงํา พึงแก้ด้วยเมตตาพรหมวิหาร ถูกถีนมิทธะครอบงํา พึงแก้ด้วยอนุสสติกัมมฏฐาน ถูกอุทธัจจกุกกุจจะครอบงํา พึงแก้ด้วยกสิณหรือมรณัสสติ

ถูกวิจิกิจฉาครอบงํา  พึงแก้ด้วยธาตุกัมมัฏฐานหรือวิปัสสนากัมมัฏฐาน 

(ปี 48) ผู้เจริญเมตตาพรหมวิหาร ท่านสอนให้แผ่ไปในตนก่อนนั้น มีความมุ่งหมายอย่างไร?

ตอบ มีความมุ่งหมายอย่างนี้ ให้ทําตนเป็นพยานว่า ตนนี้อยากได้แต่ความสุข เกลียดชังทุกข์และภัยต่าง ฉันใด แม้สัตว์ทั้งหลาย ก็อยากได้สุข เกลียดชังทุกข์และภัยต่าง ฉันนั้น เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว จิตก็ปรารถนาจะให้สตว์ทั้งสิ้น มีความสุขความเจริญ ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงให้แผ่เมตตาจิตไปใน ตนก่อน ฯ

(ปี 47) จริตของคนในโลกนี้มีกี่ประเภท? อะไรบ้าง? คนสูงอายุมความกังวลนอนไม่หลับ เพราะคิดห่วงลูกหลานเป็นต้น จัดเป็นคนมีจริตอะไร? กัมมัฏฐานข้อใดเป็นที่สบายแก่คนจริตนั้น?

ตอบ มี ประเภท คือ ราคะจริต โทสะจริต โมหะจริต วิตกจริต สัทธาจริต พุทธิจริต มีวิตกจรต ข้ออานาปานสติ หรือ กสิณ

(ปี 47) ในอนุสสติ ๑๐ ข้อว่า มรณัสสติ ไม่ใช้ว่า มรณานุสสติ เพราะเหตุไร?

ตอบ ที่ไม่ใช้อย่างนั้น ก็เพราะท่านสอนให้ผู้พิจารณาเห็นปรากฏชัดเป็นปัจจุบันธรรม จะได้เกิดความไม่ประมาท เป็นผู้แกล้วกล้าไม่ย่อท้อต่อความ ตาย หากจะไปเหนี่ยวรั้งเอาความตายที่ล่วงมาแล้วยกขึ้นพิจารณา ในบางขณะอาจเกิดความกลัวตายขึ้นก็ได้

(ปี 46) พระบรมศาสดาทรงชักนําบุคคลให้บําเพ็ญสมาธิ เพราะทรงเห็นประโยชน์อย่างไร? พระพุทธจรรยาแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในการทรงแสดงธรรมเร้าใจนั้น ด้วยอาการอย่างไรบ้าง?

ตอบ เพราะทรงเห็นว่า จิตใจของบุคคลเมื่อได้อบรมดีแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ใหญ่ ย่อมรู้เห็นตามเป็นจริง ดังพระบาลีว่า สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ ผู้มีจิตเป็นสมาธิแล้ว ย่อมรู้ตามเป็นจริง


ด้วยอาการ คือ . สนฺทสส


นา อธิบายให้เห็นแจ่มแจ้ง ให้เข้าใจชด


. สมาทปนา ชวนให้มีแก่ใจสมาทาน คือทําตาม


. สมตฺเตชนา ชักนําให้เกิดอุตสาหะอาจหาญเพื่อจะทํา  . สมฺปหํสนา พยุงให้ร่าเริงในอันทํา

(ปี 46) บุคคลในโลกนี้ เมื่อจัดตามจริต มีกี่ประเภท? อะไรบ้าง? นิวรณ์ อย่างไหนสงเคราะห์เข้าในจริตอะไร ?


ตอบ มี ประเภท คือ คนราคจริต คนโทสจริต คนโมหจรต กามฉันท์          สงเคราะห์เข้าในราคจรติ

พยาบาท                สงเคราะห์เข้าในโทสจรติ

ถีนมิทธะ                สงเคราะห์เข้าในโมหจรติ อุทธัจจกุกกุจจะ          สงเคราะห์เข้าในวิตักกจริต


คนสัทธาจริต คนพุทธิจริต คนวิตักกจริต


วิจิกิจฉา                 สงเคราะห์เข้าในโมหจรต

(ปี 45) ปัจจุบันนี้ การเจรญกัมมฏฐาน เป็นที่นิยมของสาธุชน ขอทราบว่า กัมมัฏฐานนั้นมีกี่อย่าง? อะไรบ้าง? ธรรมที่เป็นหัวใจของสมถกัมมัฏฐาน มีอะไรบ้าง?

ตอบ มี อย่าง คือ . สมถกัมมัฏฐาน กัมมัฏฐานเป็นอุบายสงบใจ                                      . วิปัสสนากัมมัฏฐาน กัมมัฏฐานเป็นอุบายเรืองปัญญา ฯ มีกายคตาสติ เมตตา พุทธานุสสติ กสิณ และจตุธาตุววัตถาน

(ปี 45) กายคตาสติกัมมัฏฐาน กับ อสุภกัมมฏฐาน แตกต่างกันอย่างไร? กสิณ แปลว่าอะไร และเป็นคู่ปรับแก่นิวรณ์ชนิดไหน?


ตอบ กายคตาสติกัมมัฏฐาน พิจารณาร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่ให้เห็นเป็นของน่าเกลียด ส่วนอสุภกัมมัฏฐานพิจารณาซากศพ แปลว่าวัตถุอันจูงใจ คือจูงใจให้เข้าไปผูกอยู่ เป็นชื่อของกัมมัฏฐานแปลว่า มีวัตถุที่ชื่อว่ากสิณเป็นอารมณ์ เป็นคู่ปรับแก่อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ฯ

(ปี 45) การเจริญมรณสติอย่างไร จึงจะแยบคาย? ในนวสีวถิกาปัพพะ เมื่อภิกษุเห็นซากศพชนิดใดชนิดหนึ่งใน ชนิดนั้น ท่านให้ภาวนาอย่างไร?

ตอบ เจริญพร้อมด้วยองค์ คือ . มีสติ ระลึกถึงความตาย . มีญาณ รู้ว่าความตายจักมีเป็นแน่ ตัวจะต้องตายเป็นแท้

. เกิดสังเวชสลดใจ               เจริญอย่างนี้จึงจะแยบคาย ท่านให้ภาวนาโดยการน้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า อยมฺปิ โข กาโย ถึงร่างกายอันนี้เล่า เอวํ ธมฺโม ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา เอวํ ภาวี จักเป็นอย่างนี้ เอวํ อนตีโต ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้

(ปี 45) อานาปานสติ ในคิริมานนทสูตร กับในมหาสติปัฏฐานสตร ต่างกันอย่างไร? ผู้เจริญเมตตาเป็นประจําย่อมได้รับอานิสงส์ อย่างไรบ้าง?

ตอบ ในคิริมานนทสูตร แสดงการกําหนดลมหายใจที่เป็นไปพร้อมในกาย เวทนา จิต และธรรม ส่วนในมหาสติปัฏฐานสูตร แสดงแต่เพียงกายานุปัสสนาเท่านั้น

ย่อมได้รับอานิสงส์ ๑๑ ประการ คือ

. หลับอยู่ก็เป็นสุข                                   .  ไฟไม่ไหม้  พิษหรือศัสตราวุธทั้งหลายไม่อาจประทุษร้าย

. ตื่นอยู่ก็เป็นสุข                                    . จิตย่อมตั้งมั่นได้เร็วพลัน

. ไมฝันเห็นสิ่งลามก                                 . ผิวพรรณย่อมผ่องใสงดงาม

. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย                       ๑๐. ไม่หลงทํากาลกิริยา คือเมื่อจะตายย่อมได้สติ

. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย                      ๑๑. เมื่อตายแล้วแม้เกิดอีก ก็ย่อมเกิดในที่ดีเป็นที่เสวยสุข ถ้าไม่เสื่อมจากฌาน ก็ไปเกิดในพรหมโลก

. เทวดาทั้งหลายย่อมรักษา

(ปี 44) คนโทสจริต มีอุปนิสัยเป็นอย่างไร? จะแก้ด้วยการเจรญกัมมฏฐานบทใด? การที่ท่านสอนให้เจริญเมตตาในตนก่อนแล้ว จึงแผ่ไปในชนอื่น นั้น มีเหตุผลอย่างไร?

ตอบ คนที่มีจิตมักฉุนเฉียวโกรธเคืองง่าย สันดานหนักไปในโทสะ มักก่อทุกข์โทมนัสให้แก่ผู้อื่น จัดเป็นคนโทสจริต มีโทสะเป็นเครื่องประพฤติ เป็นปกติของตัว ควรเจริญกัมมัฏฐาน ประการ คือวัณณกสิณ กับพรหมวิหาร

มีเหตุผลดังนี้ คือจะได้ทําตนให้เป็นพยานว่า ตนนี้อยากได้แต่ความสข เกลียดชังทุกข์ และภัยต่าง ฉันใด สัตว์ทั้งหลายอื่น ก็อยากได้สุข เกลียด

ชังทุกข์และภัยต่าง ฉันนั้น เมื่อเห็นดังนี้แล้ว จิตก็ปรารถนาให้สัตว์ทั้งสิ้นอื่น มีความสุขความเจริญ

(ปี 44) ผู้เจริญสติปัฏฐานต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง? ผเจรญสติปัฏฐานสมบูรณ์เต็มที่แล้ว จะได้รับอานิสงส์เช่นใด?

ตอบ มี . อาตาปี มีความเพียรแผดเผากิเลส                               . สมฺปชาโน มีสัมปชัญญะ                     . สติมา มีสติ

ได้รับอานิสงส์ ประการดังนี้ . ได้ความบริสุทธิ์ . ได้ข้ามพ้นโสกะและปรเทวะ . ได้ความดับไปแห่งทุกข์และโทมนัส

. ได้บรรลุธรรมที่ถูก  . ได้ทําให้แจ้งพระนิพพาน

(ปี 43) สมถภาวนา เป็นอุบายสงบระงับจิตอย่างไร? คนที่มีจิตมักลมหลง สติไม่มั่นคง ควรเจริญกัมมัฏฐานบทใด?

ตอบ สมถภาวนา เป็นอุบายเครื่องสํารวมปิดกั้นนีวรณปกิเลส มิให้เกิด                                    ครอบงํา จิตสันดานได้ ดังบุคคลปิดทํานบกั้นนํ้าไว้มิให้ไหลไปได้ฉะนั้น และเป็นอุบายข่มขี่สะกดจตไว้มิให้ดิ้นรนฟุ้งซ่านได้ ดังนายสารถีฝึกม้าให้เรียบร้อย ควรเป็นราชพาหนะได้ฉะนั้น

ควรเจรญอานาปานัสสติ เพราะอานาปานัสสติกัมมัฏฐานนี้เป็นที่สบายของคนที่เป็นโมหจริต

(ปี 43) ผู้จะเจรญกายคตาสติกัมมัฏฐานพึงกําหนดอะไร?  เพราะเหตุใด ตจปัญจกกัมมฏฐาน ท่านจึงเรียกว่า มูลกัมมัฏฐาน?

ตอบ พึงกําหนดพิจารณากายเป็นที่ประชุมแห่งส่วนน่าเกลียดข้างบนตั้งแต่พื้นเท้าขึ้นมา ข้างล่างตั้งแต่ปลายผมลงไป มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ ให้เห็น


ว่าเต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่าง ที่เรย


กว่ามูลกัมมฏ


ฐานนั้น เพราะเป็นกัมมัฏฐานเดม


ที่กุลบุตรผู้มาบรรพชา ย่อมได้รับสอน


กัมมัฏฐานนไี้ ว้ก่อนจากพระอุปัชฌาย์ เหมือนดังไดรับมอบศัสตราวุธไว้สําหรับต่อสู้กับข้าศึก คือกามฉันท์ อันจะทําอันตรายแก่พรหมจรรย์

(ปี 43) เจรญมรณสสติอย่างไรจึงจะแยบคาย? อะไรเป็นลักษณะของวิปัสสนาภาวนา?


ตอบ เจริญพร้อมด้วยองค์ คือ สติ ระลึกถึงความตาย ญาณ รู้ว่าความตายจักมีแก่ตน เกิดสังเวชสลดใจ เจรญอย่างนี้ จึงจะแยบคาย ฯ ความกําหนดรู้ว่า สังขารเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา เป็นลักษณะของวิปัสสนาภาวนา

(ปี  43)  เมื่อจะเจรญกัมมฏฐานพึงปฏิบัติอย่างไร?

ตอบ พึงปฏิบัติอย่างนี้ ในชั้นต้นพึงศึกษาให้รู้ว่า กัมมัฏฐานชนิดไหนชั้นใด ในกัมมัฏฐานนั้น มีความมุ่งหมายเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร ใน ที่นี้ควรศึกษาให้รู้กัมมัฏฐาน อย่างคือ . สมถกัมมัฏฐาน    . วิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ

 

พุทธคุณกถา (นวรหคุณ แปลว่า คุณของพระอรหันต์ ประการ)

(ปี 63, 59) ในพระพุทธคุณ ประการนั้น ส่วนไหนเป็นเหตุ ส่วนไหนเป็นผล ? เพราะเหตไุ ?

ตอบ พระพุทธคุณ ส่วนอัตตสมบัติ เป็นเหตุ ส่วนปรหตปฏิบัติ เป็นผล เพราะทรงบริบูรณ์ด้วยพระพุทธคุณส่วนอัตตสมบัติก่อนแล้วจึงทรง บําเพ็ญพุทธกิจให้สําเร็จประโยชน์แก่เวไนย

(ปี 56) คุณของพระธรรมส่วนปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ โดยย่อว่าอย่างไร? จงอธิบาย

ตอบ       คุณของปริยัติธรรม คือให้รู้วิธีบําเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญา

คุณของปฏิปัตติธรรม คือทํากาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์จนบรรลมรรค ผล นิพพาน คุณของปฏิเวธธรรม คือละกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน บรรลุถึงความสขอย่างยิ่ง

(ปี 55) จงแสดงพระพุทธคุณ โดยอัตตสมบัติและปรหิตปฏิบัติ พอได้ใจความ

ตอบ       พระพุทธคุณ คือ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู เป็นพระพุทธคุณส่วนอตตสมบัติ พระพุทธคุณ คือ อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นพระพุทธคุณส่วนปรหตปฏิบัติ พระพุทธคุณ คือ พุทฺโธ ภควา เป็นพระพุทธคุณทั้งอัตตสมบัติและปรหิตปฏบัติ

(ปี 50) จงจัด นวหรคุณ แต่ละอย่างลงในพระปัญญาคุณและพระกรุณาคุณ?

ตอบ       บท อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู เป็นพระปัญญาคุณ บท อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นพระกรุณาคุณ

บท พุทฺโธ ภควา เป็นพระปัญญาคุณและพระกรุณาคุณทั้งสอง (สุคโต ในที่บางแห่ง จัดเป็นทั้งพระปัญญาคุณทั้งพระกรุณาคุณ)

(ปี 48) พระพุทธคุณบทว่า สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เมื่อกล่าวถึงพุทธจรรยาในส่วนที่ทรงสั่งสอนมหาชน ประมวลลงเป็นข้อได้อย่างไรบ้าง?

ตอบ ประมวลลงได้อย่างนี้               . ทรงพระกรณาหวังจะให้ผู้ที่ทรงสั่งสอน ได้ความรู้อันจะให้สําเร็จประโยชน์

. ทรงมุ่งความจริงกับประโยชน์เป็นที่ตั้ง . ทรงทํากับตรัสเป็นอย่างเดียวกัน . ทรงฉลาดในวิธีสั่งสอน

(ปี 47) พระพุทธคุณบทว่า สุคโต นั้น เป็นพระคุณส่วนอัตตสมบัติ และส่วนปรหิตปฏิบัติอย่างไร? จงอธิบาย

ตอบ พระคุณส่วนอตตสมบัติ คือ เสด็จออกผนวชไม่ย่อท้อ เสด็จดาํ เนินไปตามอัฏฐังคิกมรรคเป็นมัชฌิมาปฏิปทา มิได้ทรงกลับคืนมาสู่อํานาจ กิเลสที่พระองค์ทรงละได้แล้ว จนบรรลุอนตตรสัมมาสมโพธิญาณ เสด็จไปในที่ใด ก็ทรงไม่มีอันตรายใดจักเกิดแก่พระองค์ได้ เสด็จไปกลบได้โดย สวัสดี ฯ

พระคุณส่วนปรหิตปฏิบัติ คือ เสด็จจาริกไปในสถานที่ต่างๆ เทศนาโปรดมหาชนให้ได้ดวงตาเห็นธรรม ให้ได้รับประโยชน์ทั้งปัจจุบัน อนาคต และ ประโยชน์อย่างยิ่งคือพระนิพพาน อนึ่ง ทรงมีพระวาจาดี คือทรงกล่าวแต่คําที่จริงที่แท้ ประกอบด้วยประโยชน์แก่บุคคลที่ควรกล่าว เสด็จไประงับ อันตรายด้วยความอนุเคราะห์เกื้อกูลแก่ปวงชน แม้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ทรงฝากรอยจารึก คือพระคุณความดีในโลก ดุจฝนตกลงยังพืช ให้เผลดผล เป็นประโยชน์แก่คนและสตว์ผู้พึ่งแผ่นดิน

(ปี 46) ปริยัติธรรม หมายถึงอะไร? ที่ได้ชื่ออย่างนั้นเพราะเหตุไร?  ธรรมทั้งปริยติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ มีคุณโดยย่ออย่างไร?


ตอบ หมายถึง พุทธวจนะทั้งสิ้น ที่ได้ชื่อว่าปริยัติธรรม เพราะเป็นธรรมต้องเล่าเรียนศึกษาให้รู้รอบคอบด้วยดี มีคุณโดยย่ออย่างนี้

ปริยัติธรรม มีคุณคือ ให้รู้วิธีบําเพ็ญ ศีล สมาธิ ปัญญา

ปฏิบัติธรรม มีคุณคือ ทํากาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์จนบรรลุมรรค ผล นิพพาน

ปฏิเวธธรรม คือมรรค ผล นิพพาน มรรคผลนั้น มีคุณคือ ละกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน ส่วนนิพพาน มีคุณคือ ดับเพลิงกิเลสและกองทุกข์ได้ทั้งหมดฯ (ปี 45) จงแสดงพระพุทธคุณ โดยอัตตสมบัติและปรหิตปฏิบัติ พอได้ใจความ? ในพระพุทธคุณ ประการนั้น ส่วนไหนเป็นเหตุ ส่วนไหนเป็น ผล? เพราะเหตุไร?

ตอบ      พระพุทธคุณ ตั้งแต่ อรหํ จนถึง โลกวิทู เป็นพระพุทธคุณส่วนอัตตสมบัติ

พระพุทธคุณ คือ อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นพระพุทธคุณส่วนปรหตปฏิบัติ พระพุทธคุณ คือ พุทฺโธ ภควา เป็นพระพุทธคุณทั้งอัตตสมบัติและปรหิตปฏบัติ

พระพุทธคุณ ส่วนอัตตสมบัติ เป็นเหตุ ส่วนปรหิตปฏิบัติ เป็นผล เพราะทรงบริบูรณ์ด้วยพระพุทธคุณส่วนอัตตสมบัติก่อนแล้วจึงทรงบําเพ็ญพุทธ กิจให้สําเร็จประโยชน์แก่เวไนย

 


วิปัสสนากัมมฏฐาน หลักการเจริญวิปัสสนา

Ø  การเจริญวิปัสสนามีขันธ์ เป็นอารมณ์

ในพหุลานุสาสนีที่สวดในเวลาทําวัตรเช้า ตรัสสั่งสอนแต่โดยอนิจจลักษณะอนัตตลักษณะ หาได้ตรส


 

 

ทุกขลักษณะไม่ แม้บ่มิ


ได้กลาว ก็สําเร็จด้วย อนิจจลักษณะแล้ว เพราะเหตลักษณะทั้ง นี้ เป็นธรรมธาตุ ธรรมนิยาม ธรรมฐิติ ความตั้งอยู่ แห่งธรรมที่ คงอยู่บ

มิ ได้ยักย้ายประการหนึ่ง ยทนิจฺจํ สิ่งใดไม่เที่ยง ตํ ทุกฺขํ สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ยํ ทุกฺขํ ตทนตฺตร สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็น

อนัตตาแล้วก็ไม่ควรที่ จะถือมั่นซึ่งสิ่งนั้น ด้วยตณหามานะทิฏฐิอย่างใดอย่างหนึ่งเลย ตสฺมา เหตุนั้น พหุลานุสาสโนวาทนี้ จึงได้ลักษณะ

ครบทั้ง คือ อนิจฺ จตา ความเป็นของไม่เที่ยง ทุกฺขตา ความเป็นทุกข์ อนตฺตตา ความเป็นอนัตตา.

 

Ø  ธรรมเป็นภูมเป็นอารมณ์ของวิปัสสนานั้น ได้แก่ )สังขาร เป็นอารมณ์                                       )ธรรม เป็นอารมณ์             )ขนธ์ เป็นอารมณ

)ขนธ์ พร้อมทั้งเหตุและปัจจัย เป็นอารมณ์

 

 


Ø  รากเหง้าป็นเหตุเกิดขึ้นตั้งอยู่ของวิปัสสนา (ขั้นตอนก่อนการปฏิบัติวิปัสสนา)

.สีลวิสุทธิ ความบริสุทธิ์ของศีล                                  .จิตตวิสุทธิ ความบริสุทธิ์ของจิต คืออุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิ

วิสุทธิทั้ง นี้ เป็นรากเหง้าป็นเหตุเกิดขึ้นตั้งอยู่ของวิปัสสนานั้น. ผู้ที่จะเจรญวิปัสสนานั้นต้องปฏิบัติให้เป็นผู้มีศีลบริสุทธ์ เป็นผู้มีจิตบรส ด้วยสมาธิเสยก่อน จึงควรจะเจริญวิปัสสนานั้นได้เลย เพราะศีลและสมาธิเป็นเหตุแรงกล้าให้เกิดวิปัสสนานั้น.

 

Ø  วิสุทธิทั้ง นี้เป็นตัววิปัสสนา (ขั้นตอนการปฏิบัติวิปัสสนา)


 

ุทธิ์


. กําหนดรู้เห็นนามและรูปที่มีจริงเปนจรงตามลักิ                      ษณะเครื่องหมายแจ้งชัด ไม่หลงในสมมติ ว่าสัตว์ ว่าบุคคล ว่าตัวตน ดังนี้ ชื่อว่าทิฏฐิวิสุทธ.

.  กําหนดรู้จริงเห็นซึ่งนามและรูปทั้งเหตุทั้งปัจจัยข้ามล่วงกังขาในกาลทั้ง เสียได้ ไม่สงสัยว่า เราจุติมาแต่ไหน เราเป็นอะไร เราจะไปเกิดที่ไหน เทวดามีหรือไมมีเป็นต้น ดังนี้ ชื่อว่ากังขาวิตรณวิสุทธิ.

. ความรู้จริงเห็นจริงว่า นี่เป็นตัววิปัสสนาเป็นทางมรรคผล นี่เป็นอุปกเลส มิใช่ทางมรรคผล ดังนี้ ชื่อว่ามัคคามัคคญาณทัสสนาวิสุทธิ.


.  วิปัสสนาญาณทั้ง มีอุทยัพพญาณเป็นต้น มีอนุโลมญาณเป็นที่สุด ชื่อว่าปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ.

. อริยมรรคทั้ง ชื่อว่าญาณทัสสนวิสุทธิ.

 

Ø อรกสูตร ในคัมภีร์สตตกังคุตรว่า ภูตปุพฺพํ ภิกฺขเว อรโก นาม สตฺถา อโหสิ ติตฺถกโร กาเมสุ วีตราโค เป็นต้น มีความเป็นกระแสพระพุทธ ภาษิตว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ได้เคยมีมาแล้ว มีศาสดาเจ้าลัทธิผู้หนึ่งชื่ออรกะ เป็นคนปราศจากกําหนัดในกามคุณ และสาวกของ อรกศาสดานั้นมีหลายร้อย อรกศาสดานั้น แสดงธรรมแก่พวกสาวกวาดังนี้ ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายน้อยนิดเดยว พลันจะดับ มีทุกข์มาก

มีความคับแค้นมาก ควรรสึกด้วยปัญญา ควรบําเพ็ญกุศล ควรประพฤติพรหมจรรย์ เกิดแล้วจะไม่ตายไม่มี. ต่อนี้ในพระสูตรแสดงอุปมา

เป็นหลายข้อ จะถวายวิสัชนาพร้อมทั้งอรรถาธิบายเป็นลําดับไป

ข้อ ว่า ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายเหมือนหยาดนํ้าค้าง ธรรมดาว่าหยาดนํ้าค้างที่ปลายใบหญ้า เมื่อพระอาทิตย์อุทัยต้องไอร้อน ก็พลันจะหายไป

ไม่ตั้งอยู่นานฉันใด ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายนี้เลา เมื่อชาติมีแล้ว ก็มีชรา พยาธิ มรณะ คอยรุมเผาไม่ให้เป็นไปนาน พลันสาบสญอันตรธานเสียแต่ไม่

ทันไร เกิดแล้วก็แก่เฒ่าเจ็บตาย ในชวยังไม่ทันถึงร้อยปี ข้อนี้ก็อุปไมยฉันนั้น.

ข้อ ว่า เหมือนต่อมนํ้า (เหมือนฟองนํ้า) ธรรมดาว่าต่อมนํ้าอันตั้งขึ้นเพราะฝนเม็ดโตตกกระทบพื้นโดยกําลังแรง ย่อมพลันจะแตกไปไม่ตั้งอยู่

นานฉันใด   ชีวิตตนเกิดขึ้นเพราะความประชุมแห่งเหตุ   เมื่อเหตสลายจากกันแล้ว   ก็พลันทจะดับฉันนั้น.ี่

ข้อ ว่า เหมือนรอยไม้ขีดลงในนํ้า ธรรมดาว่านํ้าเป็นของไม่แยกจากกัน เมื่อบุคคลเอาไม้ขีดให้แยกจากกัน พอไม่มีไม้คั่น ก็กลับเลอนไหลเข้าหา กันอีน รอยปรากฏในชั่วเวลาไม้ขีดกําลังลงฉันใด ชีวิตนี้ยังเป็นไปได้ก็เพราะได้ปัจจัยอุดหนุน หมดปัจจัยแล้วก็หมดกัน สมด้วยพระพุทธภาษิตว่า

อายุ อุสฺมา จ วิญฺญาณํ               ยทา กายํ ชหนฺติมํ อปวิฏฺโฐ ตทา เสติ                               เอตฺถา สาโร วิชฺชติ.

ความว่า เมื่อใด อายุ ไออุ่น และวิญญาณ ละกายนี้เสีย เมื่อนั้นกายนี้ย่อมนอนทอดหาแก่นสารมไิ ด้ ข้อนี้ก็มีอุปไมยฉันนั้น.

ข้อ ว่า เหมือนลําธารอันไหลมาจากภูเขา ธรรมดาว่ากระแสนํ้าในลําธารไหลไปไกล กําลังเชี่ยว นําเอาสิ่งที่อาจนําได้ไปไม่มหยุดสักขณะ มีแต่ จะไหลไปอย่างเดียวฉันใด วันคืนลวงไป ก็นําเอาชีวิตล่วงตามไปด้วย ไม่มีพักสักขณะ มีแต่จะรุกไปสวนเดียวฉันนั้น.

ข้อ ว่า เหมือนก้อนเขฬะ(เหมือนก้อนเสลด) ธรรมดาว่าบุรุษมีกําลัง จะถ่มก้อนเขฬะที่ปลายสิ้นได้โดยไม่ยากฉันใด ชีวิตนี้ก็เป็นของจะดับได้ ง่ายฉันนั้น.

ข้อ ว่า เหมือนชิ้นเนื้อนาบไฟ ธรรมดาว่าชิ้นเนื้อที่บุคคลเอาลงในกะทะเหล็กอันร้อนตลอดวันยังคํ่า ย่อมจะพลันไหม้ ไม่ตั้งอยู่นานฉันใด ชีวิต ก็ต้องเพลิงกิเลสและเพลิงทุกข์เผาผลาญให้เหี้ยมเกรียมไม่ทนอยู่นานฉันนั้น.

ข้อ ว่า เหมือนโคที่เขาจะฆ่า ต้องนําไปสู่ที่ฆ่า ยกเท้าเดินไปเท่าใด ความตายก็ใกล้เข้ามาเท่านั้น ชีวิตนี้วันคืนล่วงไปเท่าใด ก็ใกล้ความตายเข้า ไปเท่านั้นเหมือนกัน.

 

Ø อนัตตลักขณสูตร ทรงยก ขันธ์ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอนัตตา ในตอนท้ายของพระสูตร ทรงแสดงอานิสงส์แห่ง วิปัสสนาว่า เอวํ ปสฺสํ ภิกฺขเว สุตวา อริยสาวโก เป็นต้น ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เมื่อเห็นอย่างนี้ ย่อมเบื่อ หน่าย ย่อมฟอกจิตให้หมดจด เพราะการฟอกจิตให้หมดจดได้ จิตนั้นก็พ้นจากอาสวะทั้งปวง เมื่อจิตพ้นพิเศษแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่า พ้น แล้ว และเธอรู้ประจักษ์ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์คือกิจพระศาสนาได้ทําเสร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทําเช่นนี้ ไม่มีอีก

 

Ø  วิปลาส (บางทีก็ใช้ วิปัลลาส ก็มี)

วิปลาสด้วยอํานาจจิตและเจตสิก ประการ คือ

. สัญญาวิปลาส วิปลาสด้วยอํานาจสําคัญผิด


. จิตตวิปลาส วิปลาสด้วยอํานาจคิดผิด

. ทิฏฐิวิปลาส วิปลาสด้วยอํานาจเห็นผิด

วิปลาสกล่าวด้วยสามารถวัตถุที่ตั้งเป็น(หรือตามเรื่องที่ยึดถือ) ประการ คือ

. วิปลาสในของที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง

. วิปลาสในของที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข

. วิปลาสในของที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน

. วิปลาสในของที่ไม่งามว่างาม

Ø  ฐานะ

. อนิจจะ                          ของไม่เที่ยง

. อนิจจลักขณะ เครื่องหมายที่จะให้กาํ หนดรู้ว่าไม่เที่ยง

. ทุกขะ                           ของสัตว์ทนได้ยาก

. ทุกขลักขณะ                      เครื่องหมายที่จะให้กําหนดรู้ว่าเป็นทุกข์

. อนัตตา                          สิ่งสภาพไม่ใช่ตัวตน

.  อนัตตลักขณะ เครื่องหมายที่จะกําหนดรู้ว่าเป็นอนัตตา

 

(ปี 64) ทุกข์ และ ทุกขลักขณะ เป็นอย่างเดียวกันหรือต่างกัน ? จงอธิบาย

ตอบ ต่างกันคือ            ทุกข์ ได้แก่ปัญจขันธ์

ทุกขลักขณะ ได้แก่ปัญจขันธ์ที่ถูกเบียดเบียนถูกบีบคั้นจากเหตุปัจจัยอันเป็นข้าศึก เช่น ความเย็น ความร้อน เป็นต้น

(ปี 63, 61) วิปัลลาสคืออะไร ? วัตถุที่วิปัลลาส มีอะไรบ้าง ?

ตอบ คือ กิริยาที่ถือเอาโดยอาการอันผิดจากความจริง

มี อย่าง คือ . วิปัลลาสในของที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง . วิปัลลาสในของที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข . วิปัลลาสในของที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน

. วิปัลลาสในของที่ไม่งามว่างาม

(ปี 60) ทุกขลักขณะ และ ทุกขานุปัสสนา เป็นอย่างเดียวกันหรือต่างกัน ? จงอธิบาย

ตอบ ต่างกันคือ            ทุกขลักขณะ ได้แก่ ลักษณะที่เป็นทุกข์แห่งสังขาร เพราะถูกบีบคั้น จากปัจจัยต่าง

ทุกขานุปัสสนา ได้แก่ ปัญญาพิจารณาเห็นสังขารว่าเป็นทุกข์

(ปี 59) ในวิสุทธิ วิสุทธิข้อไหนบ้าง เป็นเหตุให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่แห่งวิปัสสนา? เพราะเหตุไร? จงอธิบาย

ตอบ ข้อสีลวิสุทธิ ความบริสุทธิ์แห่งศีล และจิตตวิสุทธิ ความบริสุทธิ์แห่งจิตเป็นเหตุให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่แห่งวิปัสสนา

เพราะผู้มีศีลไม่บรสุทธิ์ จิตย่อมไม่สงบ เมื่อจิตไม่สงบก็ยากที่จะเจริญวิปัสสนา

(ปี 58) ท่านว่า ผู้ที่จะเจริญวิปัสสนาปัญญา พึงรู้ฐานะ ก่อน ฐานะ นั้น มีอะไรบ้าง ?

ตอบ มี . อนิจจะ ของไม่เที่ยง

. อนิจจลักขณะ เครื่องหมายที่จะให้กําหนดรู้ว่าไม่เที่ยง

. ทุกขะ ของสัตว์ทนได้ยาก

. ทุกขลักขณะ เครื่องหมายที่จะให้กําหนดรู้ว่าเป็นทุกข์

. อนัตตา สิ่งสภาพไม่ใช่ตัวตน

. อนัตตลักขณะ เครื่องหมายที่จะกําหนดรู้ว่าเป็นอนัตตา


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น