วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

วิชาธรรม นักธรรมชั้นโท 2550

 วิชาธรรม นักธรรมชั้นโท 2550


ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม  นักธรรมชั้นโท

สอบในสนามหลวง

วันอังคาร ที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐

๑.     พระเสขะ ผู้ยังต้องศึกษา  คือศึกษาอะไร ?   ชื่อว่าพระอเสขะ  เพราะอะไร ?

๑.     ศึกษาสิกขา ๓  คือ  ๑. อธิสีลสิกขา  ๒. อธิจิตตสิกขา  ๓. อธิปัญญาสิกขา ฯ

        เพราะเสร็จกิจอันจะต้องทำแล้ว ฯ

๒.    ความเห็นว่าเที่ยงและเห็นว่าขาดสูญ  คือเห็นอย่างไร ?   มติในทางพระพุทธศาสนาเป็นเช่นไร  จงอธิบาย ?

๒.    เห็นว่าเที่ยง  คือเห็นว่า  คนและสัตว์ตายแล้ว  ชีวะไม่สูญ  ต้องเกิดอีกต่อไป  หรือเคยเป็นอะไร  ก็เป็นอย่างนั้นตลอดไปหรือมีสภาพอย่างนั้นไม่แปรผัน เป็นต้น   ส่วนเห็นว่าขาดสูญ  คือเห็นว่า  อัตภาพจุติแล้วเป็นอันสูญสิ้นไป หรือคนสัตว์ตายแล้วขาดสูญไปโดยประการทั้งปวง ฯ

พระพุทธศาสนาปฏิเสธความเห็นทั้ง ๒ นั้น  มีความเห็นประกอบด้วยสัมมาญาณ อิงเหตุผล ยึดเหตุผลเป็นที่ตั้ง  โดยเห็นว่า  คนและสัตว์ตายแล้วจะเกิดอีกหรือ ไม่ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ฯ

๓.     ปาพจน์ ๒  ได้แก่อะไรบ้าง ?   ถ้าแจกเป็น ๓  จะได้อะไรบ้าง ?

๓.     ได้แก่  พระธรรม และ พระวินัย ฯ

        ถ้าแจกเป็น ๓  จะได้ พระวินัย ๑  พระสูตร ๑  พระอภิธรรม ๑ ฯ

๔.     พระพุทธเจ้าทรงอุปมากิเลสเหล่าไหนว่ามีลักษณะเหมือนกับไฟ ?   

ที่ทรงอุปมาเช่นนั้นเพราะเหตุไร ?

๔.     กิเลสเหล่านี้  คือ ราคะ โทสะ โมหะ ฯ

เพราะเมื่อกิเลสทั้ง ๓ กองนี้  กองใดกองหนึ่งเกิดขึ้นภายในใจของบุคคล  จะแผดเผาก่อให้เกิดความเร่าร้อนขึ้นภายในใจ ฯ

๕.     กรรมและทวาร  คืออะไร ?   อภิชฌาเป็นกรรมใดและเกิดทางทวารใดบ้าง  จงอธิบาย ?

๕.     กรรม คือ การกระทำ  ส่วนทวาร คือ ทางเกิดของกรรม ฯ

อภิชฌา ความอยากได้ เป็นมโนกรรมได้อย่างเดียว และเกิดได้ทั้ง ๓ ทวาร  เป็นกายทวาร เช่น มีความอยากได้แล้วลูบคลำพัสดุที่อยากได้นั้น  แต่ไม่มีไถยจิต  เป็นวจีทวาร เช่น มีความอยากได้แล้วบ่นว่า ทำอย่างไรดีหนอ จักได้พัสดุนั้น  และเป็นมโนทวาร เช่น มีความอยากได้แล้วรำพึงในใจ ฯ

๖.     วิโมกข์  คืออะไร ?   มีอะไรบ้าง ?

๖.     คือ  ความพ้นจากกิเลส ฯ

มี  สุญญตวิโมกข์  อนิมิตตวิโมกข์  อัปปณิหิตวิโมกข์ ฯ

๗.    พระอริยบุคคล ๔  ได้แก่ใครบ้าง ?   พระโสดาบันละสังโยชน์อะไรได้บ้าง ?

๗.    ได้แก่ พระโสดาบัน  พระสกทาคามี  พระอนาคามี  และพระอรหันต์ ฯ

พระโสดาบันละสังโยชน์ได้ ๓   คือ  สักกายทิฏฐิ  วิจิกิจฉา  สีลัพพตปรามาส ฯ

๘.     โยนิ คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? เทวดา และสัตว์นรก จัดอยู่ในโยนิไหน ?

๘.     คือ  กำเนิด ฯ

มี  ชลาพุชะ เกิดในครรภ์   อัณฑชะ เกิดในไข่  

สังเสทชะ เกิดในเถ้าไคล   โอปปาติกะ เกิดผุดขึ้น ฯ

จัดอยู่ใน โอปปาติกะ ฯ

๙.     เวทนา ๓ และเวทนา ๕ ได้แก่อะไรบ้าง ? จัดกลุ่มเทียบกันได้อย่างไร ?

๙.     เวทนา ๓  ได้แก่ สุข ทุกข์ เฉย ๆ คือไม่สุขไม่ทุกข์   ส่วนเวทนา ๕  ได้แก่ สุข โสมนัส ทุกข์ โทมนัส อุเบกขา ฯ

        ในเวทนา ๓  สุข คือ สุขกายและสุขใจ  ซึ่งในเวทนา ๕  สุขกายก็คือสุข  และสุขใจก็คือโสมนัส

ในเวทนา ๓  ทุกข์ คือ ทุกข์กายและทุกข์ใจ  ซึ่งในเวทนา ๕  ทุกข์กายก็คือทุกข์  และทุกข์ใจก็คือโทมนัส

ส่วนในเวทนา ๓  เฉย ๆ คือไม่สุขไม่ทุกข์  ในเวทนา ๕  ก็คืออุเบกขานั่นเอง ฯ

๑๐.   ในกรรม ๑๒  อุปัตถัมภกกรรม กับ อุปปีฬกกรรม  ทำหน้าที่ต่างกันอย่างไร ?

๑๐.   อุปัตถัมภกกรรม  ทำหน้าที่สนับสนุนผลแห่งชนกกรรม

อุปปีฬกกรรม  ทำหน้าที่บีบคั้นผลแห่งชนกกรรม ฯ

***********

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น