วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

วิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นตรี 2545

 วิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นตรี 2545

ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ  นักธรรมชั้นตรี

สอบในสนามหลวง

วันอาทิตย์ ที่  ๒๔  พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕

 ๑.    ๑.๑ พระวินัย คืออะไร ?

        ๑.๒ สิกขา ๓  เมื่อศึกษาแล้วจะได้ประโยชน์อย่างไร ?

 ๑.    ๑.๑ คือพระพุทธบัญญัติและอภิสมาจาร ฯ

        ๑.๒ ย่อมได้ประโยชน์ดังนี้ ศึกษาเรื่องศีล ทำให้เป็นผู้มีกาย วาจาเรียบร้อย ศึกษา

             เรื่องสมาธิทำให้ใจสงบมั่นคง ไม่ฟุ้งซ่าน ศึกษาเรื่องปัญญา ทำให้รอบรู้ในกอง

             สังขาร ฯ

 ๒.    ๒.๑ สิกขากับสิกขาบทต่างกันอย่างไร ?

        ๒.๒ สิกขาบทที่มาในพระปาฏิโมกข์มีเท่าไร ?  อะไรบ้าง ?

 ๒.    ๒.๑ สิกขา  คือข้อที่ภิกษุต้องศึกษา

             สิกขาบท  คือพระบัญญัติมาตราหนึ่งๆ เป็นสิกขาบทอันหนึ่งๆ ฯ

        ๒.๒ มี ๒๒๗ ฯ  

             คือปาราชิก ๔  สังฆาทิเสส ๑๓  อนิยต ๒  นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐

             ปาจิตตีย์ ๙๒  ปาฏิเทสนียะ ๔  เสขิยะ ๗๕  อธิกรณสมถะ ๗

             รวมเป็น ๒๒๗ ฯ

 ๓.    ๓.๑ คำต่อไปนี้มีความหมายอย่างไร ?

                   ก) อาทิกัมมิกะ                                                  

                   ข) อเตกิจฉา

        ๓.๒ อาการที่ภิกษุจะต้องอาบัติมีเท่าไร ?  อะไรบ้าง ?

 ๓.    ๓.๑       ก) ภิกษุผู้ก่อเหตุให้ทรงบัญญัติสิกขาบทขึ้น ฯ

                   ข) อาบัติที่แก้ไขไม่ได้ ฯ

        ๓.๒ มี ๖ อย่าง คือ

                   ๑. ต้องด้วยไม่ละอาย

                   ๒. ต้องด้วยไม่รู้ว่า สิ่งนี้จะเป็นอาบัติ

                   ๓. ต้องด้วยสงสัยแล้วขืนทำลง

                   ๔. ต้องด้วยสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร

                   ๕. ต้องด้วยสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร

                   ๖. ต้องด้วยลืมสติ ฯ

 ๔.    ๔.๑ คำว่า "ไถยจิต" หมายถึงอะไร ?

        ๔.๒ ในอทินนาทานสิกขาบท กำหนดราคาทรัพย์เป็นวัตถุแห่งอาบัติไว้อย่างไรบ้าง ?

 ๔.    ๔.๑ หมายถึงจิตคิดจะลัก คือจิตคิดถือเอาของที่เจ้าของไม่ให้ด้วยอาการแห่งขโมย ฯ

        ๔.๒ กำหนดไว้อย่างนี้

                 ทรัพย์มีราคาตั้งแต่ ๕ มาสก ขึ้นไป เป็นวัตถุแห่งอาบัติปาราชิก

                 ทรัพย์มีราคาต่ำกว่า ๕ มาสก แต่สูงกว่า ๑ มาสก เป็นวัตถุแห่งอาบัติถุลลัจจัย

                 ทรัพย์มีราคาตั้งแต่ ๑ มาสก ลงไป เป็นวัตถุแห่งอาบัติทุกกฏ ฯ

 ๕.    ๕.๑ สังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ทรัพย์เช่นไร ?

        ๕.๒ การถือเอาทรัพย์ทั้ง ๒ อย่างนั้น   กำหนดว่าถึงที่สุดไว้อย่างไร ?

 ๕.    ๕.๑ สังหาริมทรัพย์ ได้แก่ทรัพย์หรือสิ่งของที่เคลื่อนที่ได้ ทั้งที่มีวิญญาณและไม่มี

             วิญญาณ เช่นสัตว์และเงินทองเป็นต้น ฯ ส่วนอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ทรัพย์

             หรือสิ่งของที่เคลื่อนที่ไม่ได้ โดยตรงได้แก่ที่ดิน โดยอ้อมนับของที่ติดเนื่องอยู่

             กับที่นั้นด้วย เช่น ต้นไม้และเรือนเป็นต้น ฯ

        ๕.๒ สังหาริมทรัพย์  กำหนดว่าถึงที่สุดด้วยทำให้เคลื่อนจากฐาน ฯ   

             อสังหาริมทรัพย์ กำหนดว่าถึงที่สุดด้วยขาดกรรมสิทธิ์แห่งเจ้าของ ฯ

 ๖.    ๖.๑ ปาราชิก ๔   สิกขาบทไหนที่ภิกษุใช้ให้เขาทำก็ต้องอาบัติถึงที่สุด ?

        ๖.๒ สังฆาทิเสส ๑๓  สิกขาบทไหนบ้างต้องอาบัติตั้งแต่แรกทำ ?  มีชื่อเรียกอย่างไร ?

 ๖.    ๖.๑ สิกขาบทที่ ๒ และสิกขาบทที่ ๓ ฯ

        ๖.๒ สิกขาบทที่ ๑ ถึงที่ ๙ ฯ    เรียกว่า ปฐมาปัตติกะ ฯ

 ๗.    ๗.๑ ภิกษุมีความกำหนัด จับต้องกะเทย บุรุษ และสัตว์ดิรัจฉานตัวผู้ เป็นอาบัติ

             อะไร ?

        ๗.๒ อาบัติไม่มีมูล กำหนดโดยอาการอย่างไร ? โจทด้วยอาบัติไม่มีมูลเป็นอาบัติ

             อะไร ?

 ๗.    ๗.๑ จับต้อง กะเทย เป็นอาบัติถุลลัจจัย  บุรุษ เป็นอาบัติทุกกฏ สัตว์ดิรัจฉานตัวผู้

             เป็นอาบัติทุกกฏ ฯ

        ๗.๒ กำหนดโดยอาการ ๓ คือ ไม่ได้เห็นเอง ๑  ไม่ได้ยิน ๑  ไม่ได้รังเกียจ ๑  ว่า

             ภิกษุนั้นต้องอาบัติชื่อนั้น ฯ  โจทด้วยอาบัติปาราชิกต้องสังฆาทิเสส โจทด้วย

             อาบัติสังฆาทิเสสต้องปาจิตตีย์ โจทด้วยอาบัติอื่นจากนี้ต้องปาจิตตีย์

             ในมุสาวาทสิกขาบท ฯ

 ๘.    ๘.๑ ผ้าจีวรที่ทรงอนุญาตให้ใช้ได้ทำด้วยวัตถุกี่ชนิด ?  อะไรบ้าง ?

        ๘.๒ จีวร ผ้านิสีทนะ อังสะ ผ้าเช็ดหน้า ย่ามผ้า เมื่อจะใช้สอย อย่างไหนควรพินทุ

             อย่างไหนไม่ควร ?  เพราะเหตุใด ?

 ๘.    ๘.๑ ๖ ชนิด คือ

                   ๑. ทำด้วยเปลือกไม้ เช่น ผ้าลินิน

                   ๒. ทำด้วยฝ้าย คือ ผ้าสามัญ

                   ๓. ทำด้วยไหม คือ ผ้าแพร

                   ๔. ทำด้วยขนสัตว์ เช่น ผ้าสักหลาด

                   ๕. ทำด้วยเปลือกไม้ เช่น ผ้าป่าน (สาณะ)

                   ๖. ทำด้วยสัมภาระเจือกัน ฯ

        ๘.๒ จีวร และอังสะ  ควรพินทุ  เพราะใช้ห่ม

             ผ้านิสีทนะ ผ้าเช็ดหน้า และย่ามผ้า ไม่ต้องพินทุ เพราะไม่ได้ใช้นุ่งห่ม ฯ

 ๙.    ๙.๑  ภิกษุพูดปดต้องอาบัตินั้นทราบแล้ว แต่ถ้าพูดเรื่องจริง จะต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ?

        ๙.๒ ปฏิสสวะทุกกฏ คืออะไร ?

 ๙.    ๙.๑ ต้องอาบัติเหมือนกันคือ บอกอุตตริมนุสสธรรมที่มีจริงแก่อนุปสัมบัน ต้อง

             อาบัติปาจิตตีย์ ตามสิกขาบทที่ ๘ แห่งมุสาวาทวรรค บอกอาบัติชั่วหยาบของ

             ภิกษุแก่อนุปสัมบัน เว้นไว้แต่ได้รับสมมติ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ตามสิกขาบทที่

             ๙ แห่งมุสาวาทวรรค ฯ

        ๙.๒ คืออาบัติทุกกฏที่เกิดจากการรับคำด้วยจิตบริสุทธิ์ แต่ภายหลังไม่ได้ทำตามคำ

             ที่รับปากไว้ ฯ

๑๐. ๑๐.๑ การนุ่งเป็นปริมณฑล คือการนุ่งอย่างไร ?

      ๑๐.๒ เสขิยวัตรว่าด้วยการรับบิณฑบาตมีหลายข้อ  จงระบุมาเพียง ๒ ข้อ

๑๐. ๑๐.๑ คือนุ่งเบื้องบนปิดสะดือ แต่ไม่ถึงกระโจมอก เบื้องล่างปิดหัวเข่าทั้ง ๒ ลงมา

             เพียงครึ่งแข้ง ไม่ถึงกรอมข้อเท้า ฯ

      ๑๐.๒ (เลือกตอบเพียง ๒ ข้อ)

                   ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับบิณฑบาตโดยเคารพ

                   ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เมื่อรับบิณฑบาต เราจักแลดูแต่ในบาตร

                   ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับแกงพอสมควรแก่ข้าวสุก

                   ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับบิณฑบาตแต่พอเสมอขอบปากบาตร ฯ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น