วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

๒๓. ธัมมิกอุบาสก

๒๓. ธัมมิกอุบาสก
ในเมืองสาวัตถี ได้มีอุบาสกผู้ปฏิบัติธรรมประมาณ ๕๐๐ คน บรรดาอุบาสกเหล่านั้น
คนหนึ่ง ๆ มีอุบาสกเป็นบริวารคนละ ๕๐๐ อุบาสกที่เป็นหัวหน้าแห่งอุบาสกเหล่านั้นมีบุตร
๗ คน ธิดา ๗ คนบรรดาบุตรและธิดาเหล่านั้น คนหนึ่ง ๆ ได้มีสลากยาคู สลากภัต ปักขิกภัต
สังฆภัต อุโปสถิกภัต อาคันตุกภัต วัสสาวาสิกภัต อย่างละที่ ชนแม้เหล่านั้น ได้เป็นผู้ชื่อว่า
อนุชาตบุตรด้วยกันทั้งหมดทีเดียว
เป็นอันว่า สลากยาคูเป็นต้น ๑ ที่ คือ ของบุตร ๑๔ คน ของภรรยาหนึ่ง ของ
อุบาสกหนึ่ง ย่อมเป็นไปอย่างนี้ เขาพร้อมทั้งบุตรและภรรยา ได้เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม
มีความยินดีในอันจาแนกทาน ด้วยประการฉะนี้ ต่อมา ในกาลอื่น โรคเกิดขึ้นแก่เขา อายุ
สังขารเสื่อมรอบแล้ว เขาใคร่จะสดับธรรมจึงส่ง (คน) ไปสู่สานักพระศาสดา ด้วยกราบทูลว่า
ขอพระองค์ได้โปรดส่งภิกษุ ๘ รูปหรือ ๑๖ รูป ประทานแก่ข้าพระองค์เถิด
พระศาสดาทรงส่งภิกษุทั้งหลายไป ภิกษุเหล่านั้นไปแล้วนั่งบนอาสนะที่ตบแต่งไว้
ล้อมเตียงของเขา อันเขากล่าวว่า ท่านผู้เจริญ การเห็นพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย จักเป็นของ
อันกระผมได้โดยยาก กระผมเป็นผู้ทุพพลภาพ ขอพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย จงสาธยาย
พระสูตร ๆ หนึ่ง โปรดกระผมเถิด
พวกภิกษุจึงถามว่า ท่านประสงค์จะฟังสูตรไหน อุบาสก
เขาเรียนว่า สติปัฏฐานสูตร ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่ทรงละแล้วพระภิกษุก็เริ่มสวดสาธยายเรื่องสติปัฏฐาน ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการพิจารณาตาม
เห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม แล้วก็ชี้บอกหนทางสายกลาง อันเป็น
ทางสายเอก ซึ่งเรียกว่า เอกายนมรรค เป็นเส้นทางแห่งความบริสุทธิ์ไปสู่พระนิพพาน
ในขณะที่พระภิกษุกาลังสวดสาธยายอยู่นั้น ได้มีชาวสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น ประดับเครื่อง
ทรงอันเป็นทิพย์ พร้อมด้วยราชรถมารออยู่ เทวดาที่ยืนอยู่ตรงราชรถของชาวสวรรค์แต่ละ
ชั้น ต่างก็เชื้อเชิญธัมมิกอุบาสกให้ไปเป็นสหายของตน โดยบอกว่า ข้าพเจ้าจะนาท่านไปยัง
เทวโลกชั้นของข้าพเจ้า ท่านจงละภาชนะดินแล้วถือเอาภาชนะทองคาเถิด มาอยู่ร่วมกับ
ข้าพเจ้าที่สวรรค์ชั้นนี้เถิด ชาวสวรรค์ทุกชั้นต่างก็เชื้อเชิญเขาให้เป็นสหายในชั้นของตน ๆ
ฝ่ายอุบาสกซึ่งเป็นผู้เคารพในธรรม เมื่อกาลังฟังธรรมอยู่ ก็ไม่อยากให้การฟังธรรม
หยุดชะงักไป จึงได้กล่าวกับเทวดาทั้งหลายว่า ขอท่านจงรอก่อน ๆ พระภิกษุซึ่งกาลังสวด
สาธยายธรรมอยู่ เข้าใจว่าอุบาสกให้หยุด จึงได้หยุดสวดและปรึกษากันว่า คงไม่เป็นโอกาส
เหมาะในการสาธยายธรรมเสียแล้ว ดังนั้น ลุกจากอาสนะแล้วเดินทางกลับวัด ฝ่ายบุตรและ
ธิดาของเขานึกว่าพ่อห้ามพระสวดมนต์ก็รู้สึกเสียใจว่า เมื่อก่อนพ่อของเราเป็นผู้ไม่อิ่มในธรรม
แต่ขณะนี้ถูกทุกขเวทนาครอบงา จนกระทั่งเพ้อ ห้ามพระสวดมนต์ แล้วต่างก็ร้องไห้เสียใจ
พอเวลาผ่านไปสักครู่หนึ่ง อุบาสกก็ถามลูก ๆ ว่า พระคุณเจ้าไปไหนหมดแล้ว
ลูกบอกว่า ก็พ่อนิมนต์พระมาแล้วก็ห้ามพระสวดมนต์เสียเอง พระท่านจึงกลับวัด
หมดแล้ว
ธัมมิกอุบาสกบอกว่า พ่อไม่ได้พูดกับพระ แต่พ่อพูดกับเทวดา เขาเอาราชรถมาเชิญ
ให้พ่อกลับวิมาน พ่อจึงบอกให้เขารอก่อน พ่อจะฟังธรรม
บุตรก็ถามว่า ราชรถที่ไหนล่ะพ่อ พวกผมไม่เห็นเลย
พ่อจึงบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ลูกจงเอาดอกไม้มาร้อยเป็นพวงมาลัย แล้วถามลูกต่อว่า
ลูกคิดว่าสวรรค์ชั้นไหนน่ารื่นรมย์ล่ะ ลูก ๆ ก็บอกว่า ชั้นดุสิตซิพ่อ เพราะเป็นที่ประทับของ
พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ของพุทธมารดาและของพุทธบิดาเป็นที่รื่นรมย์สิพ่อ
ธัมมิกอุบาสกจึงบอกว่า ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงอธิษฐานจิตไปที่เทวดาชั้นดุสิต แล้วโยน
พวงมาลัยขึ้นไปบนอากาศ
ลูก ๆ ได้โยนพวงมาลัยขึ้นไป พวงมาลัยก็ไปคล้องกับแอกของราชรถชั้นดุสิต พวก
ลูก ๆ มองไม่เห็นราชรถ เห็นแต่พวงมาลัยลอยอยู่ในอากาศ มีแต่ธัมมิกอุบาสกเห็นคนเดียว
จึงบอกว่า ลูกเห็นพวงดอกไม้ที่ลอยอยู่นั่นไหม ลูกก็บอกว่า เห็นแต่พวงดอกไม้ ไม่เห็นรถฝ่ายพ่อจึงกล่าวว่า ขณะนี้พวงดอกไม้นั้น ได้ห้อยอยู่ที่ราชรถซึ่งมาจากชั้นดุสิตแล้ว
พ่อกาลังจะไปอยู่ภพดุสิต พวกเจ้าอย่าได้วิตกไปเลย ถ้าพวกเจ้ามีความปรารถนาจะไป
อยู่ร่วมกับพ่อ ก็จงหมั่นทาบุญให้มาก ๆ อย่างที่พ่อได้ทาไว้แล้วเถิด
ธัมมิกอุบาสกกล่าวเสร็จแล้วก็ได้ทากาละ คือ ถึงแก่กรรมลงในเวลานั้น ละจาก
อัตภาพมนุษย์ไปเป็นเทพบุตร มีกายทิพย์ที่สวยงาม สว่างไสว นั่งอยู่บนราชรถซึ่งมาจาก
ชั้นดุสิต เหล่าเทวดาทั้งหลายก็นาเขาไปสู่วิมาน เป็นวิมานแก้ว มีความอลังการสวยงามมาก
เต็มไปด้วยบริวาร เหล่าบริวารที่แวดล้อมเทพบุตรธัมมิกะ ต่างก็ปลื้มปีติดีใจ ที่นายของตน
กลับมาสู่วิมานอย่างผู้มีชัยชนะ เต็มเปี่ยมด้วยบุญบารมี ต่างก็อนุโมทนาบุญกับท่านธัมมิก
อุบาสก ที่ได้ทาบุญไว้ดีแล้ว
พระพุทธเจ้าตรัสถามภิกษุแม้เหล่านั้น ผู้มาถึงวิหารแล้วโดยลาดับว่า ภิกษุทั้งหลาย
อุบาสกได้ฟังธรรมเทศนาแล้วหรือ
พวกภิกษุกราบทูลว่า ฟังแล้ว พระเจ้าข้า แต่อุบาสกได้ห้ามเสียในระหว่างนั่นแลว่า
ขอท่านจงรอก่อน ลาดับนั้น บุตรและธิดาของอุบาสกคร่าครวญกันแล้ว พวกข้าพระองค์
ปรึกษากันว่า บัดนี้ ไม่เป็นโอกาส จึงลุกจากอาสนะออกมา
พระพุทธเจ้าตรัสว่าภิกษุทั้งหลาย อุบาสกนั้นหาได้กล่าวกับพวกเธอไม่ ก็เทวดา
ประดับรถ ๖ คัน นามาจากเทวโลก ๖ ชั้น เชื้อเชิญอุบาสกนั้นแล้ว อุบาสกไม่ปรารถนาจะทา
อันตรายแก่การแสดงธรรม จึงกล่าวกับเทวดาเหล่านั้น
พวกภิกษุกราบทูลว่า อย่างนั้นหรือ พระเจ้าข้า
พระพุทธเจ้าตรัสว่า อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย
เมื่อพวกภิกษุกราบทูลถามว่า บัดนี้เขาเกิดแล้ว ณ ที่ไหน
ทรงตอบว่า ในภพดุสิต ภิกษุทั้งหลาย
พวกภิกษุทูลถามต่อไปว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุบาสกนั้นเที่ยวชื่นชมในท่ามกลาง
ญาติในโลกนี้แล้ว เกิดในฐานะเป็นที่ชื่นชมอีกหรือ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย เพราะคนผู้ไม่ประมาทแล้วทั้งหลาย
เป็นคฤหัสถ์ก็ตาม เป็นบรรพชิตก็ตาม ย่อมบันเทิงในที่ทั้งปวงทีเดียว ดังนี้แล้วตรัสพระคาถา
นี้ว่า ผู้ทาบุญไว้แล้ว ย่อมบันเทิงในโลกนี้ ละไปแล้วก็ย่อมบันเทิง ย่อมบันเทิงในโลกทั้งสอง
เขาเห็นความหมดจดแห่งกรรมของตน ย่อมบันเทิงเขาย่อมรื่นเริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น