วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

วิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท 2546

 วิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท 2546


ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ  นักธรรมชั้นโท

สอบในสนามหลวง

พ.ศ. ๒๕๔๖


๑.

๑.๑

อนุพุทธองค์แรกสำเร็จเป็นพระภิกษุด้วยพระพุทธดำรัสว่าอย่างไร ?


๑.๒

อนุพุทธองค์นั้นได้เป็นพระโสดาบันและได้เป็นพระอรหันต์ เพราะได้ฟังพระธรรมเทศนาอะไร ?

๑.

๑.๑

ด้วยพระพุทธดำรัสว่า  “ ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด  ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว  ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด ”  ฯ


๑.๒

ได้เป็นพระโสดาบัน เพราะได้ฟังธัมมจักกัปปวัตตนสูตร  และได้เป็น

พระอรหันต์ เพราะได้ฟังอนัตตลักขณสูตร ฯ

๒.

๒.๑

อนุปุพพีกถา คืออะไร ?  ทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระพุทธประสงค์อย่างไร ?


๒.๒

พระสาวกผู้ได้ฟัง อนุปุพพีกถา ครั้งแรกคือใคร ?  ณ ที่ไหน ?

๒.

๒.๑

คือ ถ้อยคำที่กล่าวโดยลำดับ ฯ  ด้วยพระพุทธประสงค์เพื่อฟอกจิตกุลบุตรให้ห่างไกลจากความยินดีในกาม  ควรรับพระธรรมเทศนาให้เกิดธรรมจักษุ  เหมือนผ้าที่ปราศจากมลทิน ควรรับน้ำย้อมได้ ฉะนั้น ฯ


๒.๒

คือ ยสกุลบุตร ฯ   ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ฯ

๓.

๓.๑

ชฎิล ๓ พี่น้อง ชื่ออะไรบ้าง ?  ใครได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มีบริวารมาก ?


๓.๒

ท่านเหล่านั้นพร้อมบริวารได้บรรลุอรหัต เพราะฟังพระธรรมเทศนาอะไร ?

ใจความย่อว่าอย่างไร ?

๓.

๓.๑

ชื่อ อุรุเวลกัสสปะ  นทีกัสสปะ  และคยากัสสปะ ฯ  อุรุเวลกัสสปะ ฯ




๓.๒

เพราะฟังอาทิตตปริยายสูตร ฯ 

ใจความย่อว่า  อายตนะภายใน อายตนะภายนอก วิญญาณ  สัมผัส  และเวทนาที่เกิดแต่สัมผัส เป็นของร้อน  ร้อนเพราะไฟคือความกำหนัด ความโกรธ  ความหลง  และร้อนเพราะความเกิด ความแก่ ความตาย ความโศกร่ำไรรำพัน เจ็บกาย เสียใจ คับใจ ฯ

๔.

จงตอบคำถามเกี่ยวกับพระอนุรุทธเถระ ดังต่อไปนี้


๔.๑

      ก) ท่านเป็นโอรสของใคร ?

      ข) เกี่ยวเนื่องกับพระบรมศาสดาอย่างไร ?


๔.๒

      ก) ท่านออกบวชพร้อมกับใครบ้าง ?

      ข) ได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดาอย่างไร ?

๔.

๔.๑

      ก) ของพระเจ้าศากยะพระนามว่า อมิโตทนะ พระมารดาไม่ปรากฏ

          พระนาม ฯ

      ข) เป็นพระโอรสของพระเจ้าอาของพระบรมศาสดา จึงนับเป็นพระอนุชา

          ของพระบรมศาสดา ฯ


๔.๒

      ก) พร้อมกับพระอุบาลี พระภัททิยะ พระภคุ พระกิมพิละ พระอานนท์  

          และพระเทวทัต ฯ

      ข) เป็นผู้เลิศในทางมีจักษุทิพย์ ฯ

๕.

๕.๑

พระสารีบุตรได้บรรลุอรหัตผลช้ากว่าบริวาร เพราะเหตุไร ?


๕.๒

พระโมคคัลลานะ นิพพานที่ไหน ?  อัฐิธาตุของท่านบรรจุไว้ที่ไหน ?

๕.

๕.๑

เพราะท่านเป็นผู้มีปัญญามาก ต้องใช้บริกรรมใหญ่ ซึ่งเปรียบด้วยการเสด็จไปข้างไหน ๆ แห่งพระราชา  ต้องตระเตรียมราชพาหนะและราชบริพารที่จำเป็น  จึงช้ากว่าการไปของคนสามัญ ฯ



๕.๒

นิพพานที่ตำบลกาฬสิลา แขวงมคธ ฯ  อัฐิธาตุของท่านบรรจุไว้ที่เจดีย์

ใกล้ซุ้มประตูแห่งเวฬุวนาราม ฯ

๖.

การศึกษาเป็นการพัฒนาชีวิตและสังคมให้ก้าวหน้าและก้าวไกล  จึงอยากทราบว่า


๖.๑

พระเถระองค์ใด ได้รับการยกย่องว่า  เป็นผู้ใฝ่ใจในการศึกษา ?


๖.๒

ท่านได้รับการยกย่องเช่นนั้น เพราะมีปฏิปทาอย่างไร ?

๖.

๖.๑

พระราหุลเถระ ฯ


๖.๒

มีปฏิปทาอย่างนี้คือ ท่านตื่นขึ้นแต่เช้าแล้วกอบเอาทรายมาเต็มกำมือแล้วปรารถนาว่า ขอให้เราได้รับโอวาทคำสั่งสอนแต่สำนักพระทศพลและพระอุปัชฌาย์อาจารย์เท่าเม็ดทรายในกำมือเถิด แล้วตั้งใจศึกษา ตั้งใจปฏิบัติอย่างจริงจัง  ด้วยปฏิปทาเช่นนี้แล จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ใฝ่ใจในการศึกษา ฯ

๗.

๗.๑

พระอานนท์ได้บรรลุโสดาปัตติผลเพราะได้ฟังโอวาทจากใคร ?  และได้บรรลุอรหัตผลเมื่อไร ?


๗.๒

ท่านบรรลุอรหัตผลและนิพพาน ต่างจากพระสาวกองค์อื่นอย่างไร ?

๗.

๗.๑

จากพระปุณณมันตานีบุตร ฯ 

บรรลุอรหัตผลก่อนวันรุ่งขึ้นจะทำปฐมสังคายนา ฯ


๗.๒

การบรรลุอรหัตผลของท่านไม่ปรากฏว่าได้ในขณะยืน หรือเดิน หรือนั่ง หรือนอน ปรากฏว่าท่านได้ในระหว่างอิริยาบถ ๔ ท่านนิพพานบนอากาศ  กลางแม่น้ำโรหิณีแล้วอธิษฐานให้สรีระของท่านแยกเป็น ๒ ภาค  ให้ตกลงที่ฝั่งแม่น้ำฝั่งละภาค ฯ




ศาสนพิธี

๘.

๘.๑

ศาสนพิธีเล่ม ๒ แสดงอุโบสถกรรมไว้กี่ประเภท ?  อะไรบ้าง ?


๘.๒

แต่ละประเภทต่างกันอย่างไร ?

๘.

๘.๑

แสดงไว้ ๓ ประเภทคือ สังฆอุโบสถ ๑ ปาริสุทธิอุโบสถ ๑ อธิษฐานอุโบสถ ๑ ฯ


๘.๒

มีความแตกต่างกันดังนี้

      ๑) สังฆอุโบสถ คือ อุโบสถกรรมที่พระภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป

          ประชุมสวดพระปาฏิโมกข์

      ๒) ปาริสุทธิอุโบสถ คือ อุโบสถกรรมที่พระภิกษุน้อยกว่า ๔ รูป

          มีเพียง ๓ รูป หรือ ๒ รูป  ร่วมกันทำเป็นการคณะ ให้แต่ละรูป

          บอกความบริสุทธิ์ของตน ๆ

      ๓) อธิษฐานอุโบสถ คือ อุโบสถกรรมที่พระภิกษุรูปเดียวทำเป็นการ

          บุคคล ด้วยการอธิษฐานความบริสุทธิ์ใจของตนเอง ฯ

๙.

จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้


๙.๑

การเข้าพรรษา


๙.๒

การออกพรรษา

๙.

๙.๑

การเข้าพรรษา หมายถึง การที่ภิกษุผูกใจว่า จะอยู่ประจำเสนาสนะในวัดใดวัดหนึ่งตลอดเวลา ๓ เดือนในฤดูฝน  ไม่ไปค้างแรมให้ล่วงราตรีในที่แห่งอื่น ระหว่างผูกใจนั้น  เว้นแต่ไปด้วยสัตตาหกรณียะ ฯ


๙.๒

การออกพรรษา หมายถึง กาลที่สิ้นสุดกำหนดอยู่จำพรรษาของภิกษุตามพระวินัยบัญญัติ  มีพิธีเป็นสังฆกรรมพิเศษโดยเฉพาะ  เรียกโดยภาษาพระวินัยว่า ปวารณากรรม คือการทำปวารณาของสงฆ์ผู้อยู่ร่วมกันตลอดเวลา ๓ เดือน ฯ

๑๐.

๑๐.๑

สามีจิกรรม หมายถึงอะไร ?  มีเท่าไร ?  อะไรบ้าง ?


๑๐.๒

การเทศน์ในปัจจุบันนิยมทำกันกี่ลักษณะ ?  อะไรบ้าง ?

๑๐.

๑๐.๑

หมายถึง การขอขมาโทษกันให้อภัยกัน ทุกโอกาสไม่ว่าจะมีโทษขัดข้องหมองใจกันหรือไม่ก็ตาม ถึงโอกาสที่ควรทำสามีจิกรรมกันแล้ว ทุกรูป

ไม่พึงละโอกาสเสีย ฯ   มี ๒ แบบ  คือ

      ๑) แบบขอขมาโทษ

      ๒) แบบถวายสักการะ ฯ


๑๐.๒

นิยมทำกัน ๔ ลักษณะ  คือ

      ๑) เทศน์ในงานทำบุญ

      ๒) เทศน์ตามกาลนิยม

      ๓) เทศน์พิเศษ

      ๔) เทศน์มหาชาติ ฯ

วิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท 2547

 วิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท 2547


ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ  นักธรรมชั้นโท

สอบในสนามหลวง

พ.ศ. ๒๕๔๗


   ๑.  อนุพุทธบุคคล คือใคร ?  เป็นได้เฉพาะบรรพชิตหรือเฉพาะคฤหัสถ์ ?

   ๑.  คือ สาวกของพระพุทธเจ้า ที่ท่านได้ตรัสรู้มรรคผลตามพระพุทธเจ้า ฯ

        เป็นได้ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ ฯ

   ๒.  พระวาจาว่า ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติ

        พรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด ดังนี้  คำว่า ที่สุดทุกข์ คืออะไร ?  ผู้ทำ

        ที่สุดทุกข์ได้ก่อนกว่าผู้อื่นคือใคร ?  ด้วยพระธรรมเทศนาอะไร ?

   ๒.  คือ พระอรหัตผล ฯ

        คือ พระภิกษุปัญจวัคคีย์ ฯ

        ด้วยพระธรรมเทศนาชื่อว่า อนัตตลักขณสูตร ฯ

   ๓.  พระพุทธเจ้าทรงทำอิทธาภิสังขารแก่ใครเป็นครั้งแรก ?   ทรงทำเช่นนั้นด้วยพระพุทธ

        ประสงค์อย่างไร ?

   ๓.  ทรงทำแก่ ยสกุลบุตรและบิดาของยสกุลบุตรเป็นครั้งแรก ฯ

        ด้วยพระพุทธประสงค์เพื่อให้ยสกุลบุตรพิจารณาภูมิธรรมอันตนได้เห็นแล้ว จนถึง

        ได้บรรลุพระอรหัต  และให้บิดาได้ฟังธรรมแล้วบรรลุพระโสดาปัตติผล ฯ

   ๔.  ในคราวที่เสด็จไปโปรดพระเจ้าพิมพิสาร ณ ลัฏฐิวัน มีพระสาวกตามเสด็จไปเป็น

        จำนวนมาก   ผู้ที่เป็นหัวหน้าของพระสาวกเหล่านั้นคือใคร ?  และท่านมีส่วนสำคัญ

        ในการประกาศพระศาสนาในครั้งนั้นอย่างไร ?

   ๔.  คือ พระอุรุเวลกัสสปะ ฯ

        ท่านเป็นที่เคารพนับถือของมหาชน ได้ประกาศความไม่มีแก่นสารแห่งลัทธิเก่าของตน

        และความที่ตนเป็นสาวกของพระพุทธองค์ ทำให้พระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยบริวาร

        ๑๒ ส่วน  น้อมจิตลงสดับพระธรรมเทศนาเรื่องอนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔  พระเจ้า

        พิมพิสารพร้อมด้วยบริวาร ๑๑ ส่วน ได้ดวงตาเห็นธรรม  อีก ๑ ส่วน ตั้งอยู่

        ในไตรสรณคมน์ ฯ

   ๕.  เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เมืองเทวทหะ รับสั่งกับพระภิกษุผู้เข้าเฝ้าเพื่อทูลลาไป

        ปัจฉาภูมิชนบท ให้ไปลาพระเถระรูปใด ?  และทรงยกย่องพระเถระรูปนั้นว่าอย่างไร ?

­   ๕.  รับสั่งให้ไปลาพระสารีบุตรเถระ ฯ

        ทรงยกย่องท่านว่า เป็นผู้มีปัญญา อนุเคราะห์เพื่อนบรรพชิต ฯ

   ๖.  พระมหากัสสปะออกบวชเพราะมีความเห็นอย่างไร ? ท่านได้รับยกย่องว่าเลิศใน

        ทางไหน ?

   ๖.  เพราะมีความเห็นว่า ผู้อยู่ครองเรือนต้องคอยนั่งรับบาปเพราะการงานที่ผู้อื่นทำไม่ดี  

        และเห็นว่าฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งกิเลสธุลี  จึงมีใจเบื่อหน่ายสละสมบัติ

        ออกบวชอุทิศพระอรหันต์ในโลก ฯ

        ได้รับยกย่องว่า เป็นเลิศแห่งภิกษุผู้ทรงธุดงค์ ฯ

   ๗.  บุคคลประเภทที่ว่า ธัมมัปปมาณิกา ผู้ถือธรรมเป็นประมาณ มีอธิบายอย่างไร ? 

        ในข้อนี้มีตัวอย่างแสดงไว้อย่างไร ?

   ๗.  มีอธิบายว่า บุคคลประเภทนี้ถือธรรมเป็นสำคัญ ชอบใจเฉพาะข้อปฏิบัติ เห็นผู้ที่

        ตั้งอยู่ในสังวรมีมรรยาทเรียบร้อย และได้ฟังธรรมอันท่านแสดงมุ่งกล่าวเฉพาะ

        ข้อปฏิบัติ ย่อมเลื่อมใส ฯ

        ตัวอย่างเช่นพระสารีบุตรได้เห็นพระอัสสชิ และได้ฟังธรรมของท่านแล้ว จึงเกิดความ

        เลื่อมใส ฯ

ศาสนพิธี

   ๘.  การทำวัตร และการสวดมนต์ ต่างกันอย่างไร ?

   ๘.  การทำวัตร คือ การทำกิจวัตรที่ต้องทำประจำ วันละ ๒ เวลา คือ เช้า-เย็น จนเป็น

        วัตรปฏิบัติ มีการสวดบูชาพระรัตนตรัย และสวดพิจารณาปัจจัยที่บริโภคเป็นต้น  

        ส่วนการสวดมนต์คือ การสวดพระพุทธมนต์ต่างๆ  นอกเหนือจากบทสวดทำวัตร 

        ที่เป็นส่วนพระสูตรก็มี ที่เป็นส่วนพระปริตรก็มี ที่เป็นส่วนเฉพาะคาถาอันนิยม

        กำหนดให้นำมาสวดประกอบในการสวดมนต์เป็นประจำก็มี ฯ

   ๙.  คำต่อไปนี้หมายถึงอะไร ?

               ก. เทศน์มหาชาติ

               ข. ทำบุญอัฐิ

               ค. สามัญอนุโมทนา

               ง. วิเสสอนุโมทนา

               จ. สลากภัต

   ๙.          ก. หมายถึง เทศนาเรื่องพระเวสสันดรชาดก

               ข. หมายถึง  ทำบุญหลังจากการปลงศพปรารภผู้ล่วงลับแล้ว

               ค. หมายถึง การอนุโมทนาที่นิยมใช้ปฏิบัติกันทั่วไปเป็นปกติ

               ง. หมายถึง   การอนุโมทนาด้วยบทสวดสำหรับอนุโมทนาเป็นพิเศษ

                              เฉพาะทาน เฉพาะกาล เฉพาะเรื่อง

               จ. หมายถึง ภัตตาหารที่ทายก ทายิกาถวายตามสลาก ฯ

๑๐.  ประเพณีการเทศน์แจงและการสวดแจงอาศัยเค้ามูลมาจากเรื่องอะไร ?  นิยมเทศน์

        ในงานอะไร ?


๑๐.  อาศัยเค้ามูลมาจากเรื่องการทำปฐมสังคายนา ซึ่งเป็นการรวบรวมพระธรรมวินัย จัดไว้

        เป็นหมวดหมู่ เรียกว่า พระไตรปิฎก ดังนั้นการเทศน์แจงจึงเป็นการแสดงธรรม

        แจกแจงวัตถุและหัวข้อในพระไตรปิฎก  ในการทำปฐมสังคายนา มีการกสงฆ์จำนวน

        ๕๐๐ รูป  การสวดแจงจึงนิยมนิมนต์พระสงฆ์ ๕๐๐ รูป ให้เท่าจำนวนการกสงฆ์

        ในครั้งนั้น ฯ

        นิยมเทศน์ในงานฌาปนกิจศพ ฯ

วิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท 2548

 วิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท 2548


ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ  นักธรรมชั้นโท

สอบในสนามหลวง

วันอาทิตย์ ที่  ๒๐  พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘


   ๑.  ประวัติอนุพุทธบุคคลมีความสำคัญต่อผู้ศึกษาอย่างไร ?

   ๑.  ทำให้ผู้ศึกษาได้รับความรู้ในจริยาวัตรและคุณความดีที่ท่านได้บำเพ็ญมา ตลอด

        จนถึงผลงานในการช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาอันทำให้เจริญสืบมาถึงทุกวันนี้

        นำให้เกิดความเลื่อมใสและความนับถือ เป็นทิฏฐานุคติอันดี สามารถน้อมนำมา

        ปฏิบัติตามได้ ฯ

   ๒.  คำที่มีอยู่ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรต่อไปนี้ ได้แก่อะไร ?

             ก. ส่วนสุด ๒ อย่าง

             ข. มัชฌิมาปฏิปทา

   ๒.        ก. ส่วนสุด ๒ อย่าง คือ

                   ๑. กามสุขัลลิกานุโยค ความหมกมุ่นอยู่ในกาม

                   ๒. อัตตกิลมถานุโยค ความทำตนให้ลำบาก

             ข. มัชฌิมาปฏิปทา ได้แก่ข้อปฏิบัติสายกลาง  คือ มรรคมีองค์ ๘ ฯ

   ๓.  ความเป็นผู้สำรวมกิริยาอาการให้เรียบร้อยดีงามสมความเป็นสมณะ เป็นการ

        เผยแผ่พระพุทธศาสนาได้ทางหนึ่ง ในข้อนี้มีปฏิปทาของพระสาวกองค์ใดเป็น

        ตัวอย่าง ?  จงเล่าประวัติโดยสังเขปมาประกอบ

   ๓.  พระอรหันตสาวกทุกรูปล้วนเป็นผู้สำรวมกิริยาอาการเรียบร้อยดีงามทั้งสิ้น แต่ที่

        ได้รับยกย่องเป็นพิเศษคือพระอัสสชิเถระ ท่านมีกิริยาอาการที่น่าเลื่อมใส เป็นเหตุ

        ให้อุปติสสะปริพาชกเห็นแล้วเกิดศรัทธา เข้าไปหา ขอฟังธรรมจนได้บรรลุ

        โสดาปัตติผล ภายหลังยังชักชวนสหายของตนเข้ามาบวชในพระธรรมวินัย ได้เป็น

        กำลังสำคัญช่วยพระศาสดาเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองกว้างขวาง

        และมั่นคงอย่างรวดเร็ว ฯ

   ๔.  พระสาวกผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีบริวารมาก คือใคร ?  เพราะท่านมีคุณธรรม               อะไร ?

   ๔.  คือ พระอุรุเวลกัสสปะ ฯ เพราะท่านรู้จักสงเคราะห์บริวารด้วยอามิสบ้าง ด้วยธรรม

        บ้าง จึงเป็นที่รักใคร่นับถือ สามารถยึดเหนี่ยวน้ำใจบริวารไว้ได้ ฯ

   ๕.  ธรรมเสนาบดี และ นวกัมมาธิฏฐายี เป็นนามของพระสาวกองค์ใด ? เพราะเหตุไร

        จึงมีนามเช่นนั้น ?

   ๕.  ธรรมเสนาบดี เป็นนามของพระสารีบุตรเถระ เพราะท่านเป็นกำลังสำคัญยิ่งในการ

        ประกาศพระพุทธศาสนา ฯ  นวกัมมาธิฏฐายี เป็นนามของพระโมคคัลลานเถระ

        เพราะท่านเป็นผู้สามารถกำกับดูแลการก่อสร้าง ฯ

   ๖.  พระศาสดาทรงประทานพระโอวาทเป็นการให้อุปสมบทแก่พระมหากัสสปะไว้

        กี่ข้อ ?  อะไรบ้าง ?

   ๖.  ๓ ข้อ คือ

              ๑. เราจักเข้าไปตั้งความละอายและความยำเกรงอย่างแรงกล้าไว้ในภิกษุ

                 ทั้งที่เป็นเถระ ปานกลาง และผู้ใหม่

              ๒. เราจักเงี่ยหูลงฟังธรรม อันประกอบด้วยกุศล และพิจารณาเนื้อความ

                 แห่งธรรมนั้น

              ๓. เราจักไม่ละสติที่ไปในกาย ฯ

   ๗.  พระมหากัจจายนะ นิพพานก่อนหรือหลังพระพุทธเจ้า ? มีอะไรเป็นข้ออ้าง ?

   ๗.  พระมหากัจจายนะ นิพพานหลังพระพุทธเจ้า มีมธุรสูตรเป็นข้ออ้าง โดยมีใจความ

        ตอนหนึ่งในพระสูตรนั้นว่า พระเจ้ามธุรราชตรัสถามว่า เดี๋ยวนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า

        นั้นเสด็จอยู่ ณ ที่ไหน พระมหากัจจายนะทูลว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ฯ

ศาสนพิธี

   ๘.  วันธรรมสวนะ คือวันอะไร ?  ทรงอนุญาตให้มีในวันใดบ้าง ?

   ๘.  คือ วันกำหนดประชุมฟังธรรม หรือที่เรียกว่า “วันพระ” ฯ  ในวัน ๘ ค่ำ และ

        วัน ๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำของปักษ์ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม ฯ

   ๙.  ผ้าป่าคือผ้าอะไร ?  คำพิจารณาผ้าป่าว่าอย่างไร ?

   ๙.  คือ ผ้าบังสุกุลจีวร ได้แก่ผ้าเปื้อนฝุ่นที่ไม่มีเจ้าของหวงแหน ทิ้งอยู่ตามป่าดงบ้าง

        ตามป่าช้าบ้าง ตามถนนหนทางและห้อยอยู่ตามกิ่งไม้บ้าง ที่สุดจนกระทั่งที่เขา

        อุทิศไว้แทบเท้า รวมเรียกว่า “ผ้าป่า” ฯ 

        คำพิจารณาผ้าป่าว่า  อิมํ  ปํสุกูลจีวรํ  อสฺสามิกํ  มยฺหํ  ปาปุณาติ   หรือว่า  

        อิมํ  วตฺถํ  อสฺสามิกํ  ปํสุกูลจีวรํ  มยฺหํ  ปาปุณาติ ฯ

๑๐.  จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ ?

              ก. ปาฏิปุคคลิกทาน

              ข. เภสัชทาน

              ค. สลากภัตต์

              ง. ผ้าวัสสิกสาฎก

              จ. ผ้าอัจเจกจีวร


๑๐.        ก. คือทานที่ถวายเจาะจงเฉพาะรูปนั้นรูปนี้

              ข. คือการถวายเภสัช ๕ ได้แก่ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย

              ค. คือภัตตาหารที่ทายกทายิกาถวายตามสลาก

              ง. คือผ้าที่อธิษฐานสำหรับใช้นุ่งในเวลาอาบน้ำฝน หรืออาบน้ำทั่วไป

              จ. คือผ้าจำนำพรรษาที่ทายกรีบด่วนถวายก่อนกำหนดกาล ฯ