วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

วิชาธรรม นักธรรมชั้นโท 2545

 วิชาธรรม นักธรรมชั้นโท 2545


ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท

สอบในสนามหลวง

วันศุกร์ ที่  ๒๒  พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕

 ๑.    ๑.๑ ปฏิสันถาร คืออะไร ?  มีอะไรบ้าง ?

        ๑.๒ มีประโยชน์แก่ผู้ทำอย่างไรบ้าง ?

 ๑.    ๑.๑ คือการต้อนรับแขกผู้มาถึงถิ่น ฯ   มี ๒ อย่าง

                   ๑) อามิสปฏิสันถาร   ต้อนรับด้วยสิ่งของ

                   ๒) ธัมมปฏิสันถาร     ต้อนรับโดยธรรม ฯ

        ๑.๒ อย่างนี้ คือ

                   ๑) เป็นอุบายสร้างความสามัคคีและยึดเหนี่ยวน้ำใจกัน

                   ๒) เป็นการรักษาไมตรีจิตระหว่างกันและกันให้มั่นคงยิ่งขึ้น ฯ

 ๒.    ๒.๑ วิมุตติคืออะไร ?  วิมุตติ ๒ อย่าง มีอะไรบ้าง ?

        ๒.๒ วิมุตติ ๒ กับวิมุตติ ๕ จัดเป็นโลกิยะและโลกุตตระอย่างไร ?

 ๒.    ๒.๑ คือความหลุดพ้น  มี

                   ๑) เจโตวิมุตติ     ความหลุดพ้นด้วยอำนาจแห่งใจ

                   ๒) ปัญญาวิมุตติ  ความหลุดพ้นด้วยอำนาจแห่งปัญญา ฯ

        ๒.๒ วิมุตติ ๒ เป็นโลกุตตระอย่างเดียว  

             ส่วนวิมุตติ ๕ เป็นได้ทั้งโลกิยะและโลกุตตระ ฯ

 ๓.    ๓.๑ ความเห็นว่า "ถึงคราวเคราะห์ดีก็ดีเอง ถึงคราวเคราะห์ร้ายก็ร้ายเอง" อย่างนี้

             เป็นทิฏฐิอะไร ?  จงอธิบาย

        ๓.๒ คติทางพระพุทธศาสนาต่างจากความเห็นนี้อย่างไร ?

 ๓.    ๓.๑  เป็นอเหตุกทิฏฐิ คือเห็นว่า สิ่งทั้งหลายไม่มีเหตุปัจจัย คนเราจะได้ดีหรือได้ร้าย

             ตามคราวเคราะห์ ถึงคราวจะดีก็ดีเอง ถึงคราวจะร้ายก็ร้ายเอง ไม่มีเหตุปัจจัยอื่น ฯ

        ๓.๒ พระพุทธศาสนาถือว่าสังขตธรรมทั้งปวงเกิดแต่เหตุ ฯ

 ๔.    ๔.๑ อาหารของสัตว์นรก และเปรต คืออะไร ?

        ๔.๒ คนจำพวกไหนเปรียบเหมือนอสุรกาย ในอบาย ๔ ?

 ๔.    ๔.๑ อาหารของสัตว์นรกคือกรรม  ส่วนของเปรตคือกรรมและผลทานที่ญาติมิตร

             ทำบุญอุทิศให้ ฯ

        ๔.๒ คนลอบทำโจรกรรม หลอกลวงฉกชิงเอาทรัพย์ของผู้อื่น เปรียบเหมือนอสุรกาย ฯ

 ๕.    ๕.๑ กุลมัจฉริยะ ตระหนี่ตระกูล คืออย่างไร ?

        ๕.๒  ครูสอนศิษย์  ปิดบังอำพรางความรู้  ไม่บอกให้สิ้นเชิง จัดเข้าในมัจฉริยะข้อไหน ?

 ๕.    ๕.๑ คือหวงแหนตระกูลไม่ยอมให้ตระกูลอื่นมาเกี่ยวดองด้วย    ถ้าเป็นบรรพชิตก็

             หวงอุปัฏฐาก  ไม่พอใจให้ไปบำรุงภิกษุอื่น ฯ

        ๕.๒ ธัมมมัจฉริยะ

 ๖.    ๖.๑ ญาณ ๓ ที่เป็นไปในจตุราริยสัจ  มีอะไรบ้าง ?

        ๖.๒ ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขสมุทัยมีอธิบายอย่างไร ?

 ๖.    ๖.๑ ๑) สัจจญาณ  ปรีชาหยั่งรู้อริยสัจ

             ๒) กิจจญาณ  ปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทำ

             ๓) กตญาณ  ปรีชาหยั่งรู้กิจอันทำแล้ว ฯ

        ๖.๒ ๑) ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสมุทัย  จัดเป็นสัจจญาณ

             ๒) ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขสมุทัย เป็นสภาพที่ควรละเสีย  จัดเป็นกิจจญาณ

             ๓) ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขสมุทัยที่ควรละๆ ได้แล้ว  จัดเป็นกตญาณ ฯ


 ๗.    ๗.๑ วิญญาณฐิติต่างจากสัตตาวาสอย่างไร ?

        ๗.๒ สัญญาเวทยิตนิโรธกับนิโรธสมาบัติต่างกันหรือเหมือนกัน ?

 ๗.    ๗.๑ ต่างกันอย่างนี้  ภูมิเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณเรียกว่า วิญญาณฐิติ 

             ภพเป็นที่อยู่แห่งสัตว์ เรียกว่า สัตตาวาส ฯ

        ๗.๒ ต่างกันโดยพยัญชนะ  โดยอรรถเป็นอย่างเดียวกัน  คือท่านผู้เข้าถึงสมาบัติ

             ชนิดนี้แล้วย่อมไม่มีสัญญาและเวทนา ฯ

 ๘.    ๘.๑ ในพระพุทธคุณ บทว่า อรหํ ที่แปลว่า เป็นผู้หักกำแห่งสังสารจักรนั้น กำแห่ง

             สังสารจักร ได้แก่อะไร ?

        ๘.๒ พระพุทธคุณต่อไปนี้มีคำแปลว่าอย่างไร ?

                   ก) สุคโต

                   ข) อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ

 ๘.    ๘.๑ ได้แก่อวิชชา  ตัณหา  อุปาทานและกรรม ฯ

        ๘.๒      ก)  เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว

                   ข) เป็นสารถีแห่งบุรุษพึงฝึกได้ ไม่มีบุรุษอื่นยิ่งไปกว่า ฯ

 ๙.    ๙.๑ ในกรรม ๑๒  กรรมที่ให้ผลตามลำดับ ได้แก่กรรมอะไรบ้าง ?

        ๙.๒ อุปฆาตกกรรม มีอธิบายอย่างไร ?

 ๙.    ๙.๑ ได้แก่

                   ๑) ครุกรรม        กรรมหนัก

                   ๒) พหุลกรรม หรือ อาจิณณกรรม  กรรมชิน

                   ๓) อาสันนกรรม   กรรมเมื่อจวนเจียน

                   ๔) กตัตตากรรม   กรรมสักว่าทำ ฯ

        ๙.๒ อุปฆาตกกรรมเป็นกรรมที่แรง ซึ่งตรงกันข้ามกับชนกกรรม และอุปัตถัมภกกรรม

             เข้าตัดรอนการให้ผลของกรรมสองอย่างนั้นให้ขาดไปเสียทีเดียว เช่น เกิดใน

             ตระกูลสูงมั่งคั่ง แต่อายุสั้น เป็นต้น ฯ

๑๐. ๑๐.๑ ในธุดงค์ ๑๓ นั้น ธุดงค์ที่ถือได้เฉพาะกาลมีอะไรบ้าง ?

      ๑๐.๒ การถือธุดงค์ ย่อมสำเร็จด้วยอาการอย่างไร ?

๑๐. ๑๐.๑       ๑) รุกขมูลิกังคะ     ถืออยู่โคนไม้เป็นวัตร

                   ๒) อัพโภกาสิกังคะ ถืออยู่ในที่แจ้งๆ เป็นวัตร ฯ

      ๑๐.๒ สำเร็จด้วยการสมาทาน คือด้วยอธิษฐานใจหรือแม้ด้วยเปล่งวาจา ฯ

วิชาธรรม นักธรรมชั้นโท 2546

 วิชาธรรม นักธรรมชั้นโท 2546


ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม  นักธรรมชั้นโท

สอบในสนามหลวง

พ.ศ. ๒๕๔๖

๑.

๑.๑

เทสนา ๒ มีอะไรบ้าง ?


๑.๒

เทสนา ๒ อย่างนั้นต่างกันอย่างไร จงอธิบาย ?

๑.

๑.๑

มี ปุคคลาธิฏฐานา มีบุคคลเป็นที่ตั้ง ๑ ธัมมาธิฏฐานา มีธรรมเป็น

ที่ตั้ง ๑ ฯ


๑.๒

ต่างกันอย่างนี้

      การสอนที่ยกบุคคลมาเป็นตัวอย่าง เช่น ในมหาชนกชาดก  สอนเรื่องความเพียร โดยกล่าวถึงพระมหาชนกโพธิสัตว์ว่า ทรงมีความเพียรอย่างยิ่ง  พยายามว่ายน้ำในท่ามกลางมหาสมุทรที่กว้างใหญ่มองไม่เห็นฝั่งอย่างไม่ย่อท้อ ด้วยความุ่งมั่นที่จะถึงฝั่งให้ได้ เป็น ปุคคลาธิฏฐานา ฯ

      ส่วนการยกธรรมแต่ละข้อมาอธิบายความหมายอย่างเดียว เช่น สติ  แปลว่า ความระลึกได้ หมายความว่า ก่อนจะทำ ก่อนจะพูดอะไร ต้องคิดให้รอบคอบเสียก่อน จึงทำ จึงพูดออกไป เป็นต้น เป็น ธัมมาธิฏฐานา ฯ

๒.

๒.๑

ญาณ ๓ ที่เป็นไปในอริยสัจ ๔ มีอะไรบ้าง ?


๒.๒

ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขนิโรธ มีอธิบายอย่างไร ?

๒.

๒.๑

มี    ๑) สัจจญาณ    ปรีชาหยั่งรู้อริยสัจ

      ๒) กิจจญาณ   ปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทำ

      ๓) กตญาณ     ปรีชาหยั่งรู้กิจอันทำแล้ว ฯ



๒.๒

มีอธิบายอย่างนี้ 

        ๑) ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขนิโรธ จัดเป็นสัจจญาณ

        ๒) ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขนิโรธ เป็นสภาพที่ควรทำให้แจ้ง

            จัดเป็นกิจจญาณ

        ๓) ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขนิโรธ เป็นสภาพที่ควรทำให้แจ้ง

            ทำให้แจ้งแล้ว จัดเป็นกตญาณ ฯ

๓.

๓.๑

คำว่า  “ โสดาบัน ”  แปลว่าอะไร ?


๓.๒

พระอริยบุคคลชั้นโสดาบันนี้ ท่านละกิเลสอะไรได้ขาดบ้าง ?

๓.

๓.๑

โสดาบัน แปลว่า ผู้แรกถึงกระแสพระนิพพาน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา จะต้องตรัสรู้ในภายภาคหน้า ฯ


๓.๒

ท่านละสังโยชน์ได้ขาด ๓ อย่าง คือ

      ๑) สักกายทิฏฐิ    

      ๒) วิจิกิจฉา        

      ๓) สีลัพพตปรามาส ฯ

๔.

๔.๑

ในอปัสเสนธรรม ข้อว่า  “ พิจารณาแล้วเสพของอย่างหนึ่ง ”  คำว่า

“ ของอย่างหนึ่ง ”  ในข้อนี้ได้แก่อะไร ?


๔.๒

ผู้พิจารณาตามข้อ ๔.๑ นั้น ได้ประโยชน์อย่างไร ?

๔.

๔.๑

ได้แก่ ปัจจัย ๔  บุคคล และธรรม เป็นต้น ที่ทำให้เกิดความสบาย ฯ


๔.๒

ได้ประโยชน์อย่างนี้  คือ ทำกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ทำกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญยิ่งขึ้น  ทำกิเลสและอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้เสื่อมไป ฯ

๕.

๕.๑

คำว่า ทักขิณา ในทักขิณาวิสุทธินั้น หมายถึงอะไร ?


๕.๒

ทักขิณาจะไม่บริสุทธิ์ และบริสุทธิ์ กำหนดรู้ได้อย่างไร ?

๕.

๕.๑

หมายถึง ของทำบุญ ฯ


๕.๒

กำหนดรู้ได้อย่างนี้

      ทั้งทายก ทั้งปฏิคาหกเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ทักขิณานั้น  ชื่อว่า

ไม่บริสุทธิ์ทั้งสองฝ่าย   

      ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบริสุทธิ์  ชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายเดียว

      ทั้งสองฝ่ายบริสุทธิ์  ชื่อว่าบริสุทธิ์ทั้งสองฝ่าย ฯ

๖.

๖.๑

ปัญจขันธ์ ได้ชื่อว่า มาร เพราะเหตุไร ?


๖.๒

กิเลสมาร และมัจจุมาร จัดเข้าในอริยสัจข้อใดได้หรือไม่ ?  

เพราะเหตุไร ?

๖.

๖.๑

เพราะบางทีทำความลำบากให้ อันเป็นเหตุเบื่อหน่าย จนถึงฆ่าตัวตายเสียเองก็มี ฯ


๖.๒

ได้ ฯ กิเลสมาร จัดเข้าในทุกขสมุทัยสัจ เพราะกิเลสเป็นเหตุให้เกิดทุกข์  มัจจุมาร  จัดเข้าในทุกขสัจ  เพราะเป็นตัวทุกข์ ฯ

๗.

บุคคลผู้มีปกติต่อไปนี้ จัดเข้าในจริตอะไร ?  จะพึงแก้ด้วยธรรมข้อใด ?


๗.๑

ผู้มีปกติรักสวยรักงาม


๗.๒

ผู้มีปกตินึกพล่าน

๗.

๗.๑

จัดเข้าในราคจริต ฯ  จะพึงแก้ด้วยเจริญกายคตาสติ   หรืออสุภกัมมัฏฐาน ฯ


๗.๒

จัดเข้าในวิตักกจริต ฯ  จะพึงแก้ด้วยเพ่งกสิณ หรือเจริญอานาปานสติ ฯ

๘.

๘.๑

พระสงฆ์ ในบทสังฆคุณ ๙ ท่านหมายถึงพระสงฆ์เช่นไร ?


๘.๒

คำว่า “อุชุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติตรง” คือปฏิบัติเช่นไร ?


๘.

๘.๑

หมายถึง พระสาวกผู้ได้บรรลุธรรมวิเศษ ฯ


๘.๒

คือไม่ปฏิบัติลวงโลก ไม่มีมายาสาไถย ประพฤติตรง  ตรงต่อพระศาสดาและเพื่อนสาวกด้วยกัน ไม่อำพรางความในใจ ไม่มีแง่มีงอน ฯ

๙.

จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้  ?


๙.๑

อโหสิกรรม


๙.๒

กตัตตากรรม

๙.

๙.๑

คือกรรมให้ผลสำเร็จแล้ว เป็นกรรมล่วงคราวแล้วเลิกให้ผล เปรียบเหมือนพืชสิ้นยางแล้ว เพาะไม่ขึ้น ฯ


๙.๒

คือ กรรมสักว่าทำ  ได้แก่กรรมอันทำด้วยไม่จงใจ ฯ

๑๐.

๑๐.๑

ปังสุกูลิกังคะ  องค์แห่งผู้ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร คืออย่างไร ?


๑๐.๒

ธุดงค์ข้อใด ที่ภิกษุสมาทานสำเร็จด้วยอิริยาบถ ๓ คือ ยืน เดิน นั่ง ?

๑๐.

๑๐.๑

คือไม่รับจีวรจากทายก เที่ยวแสวงหาและใช้เฉพาะแต่ผ้าบังสุกุลมาเย็บย้อมทำจีวรใช้เอง ฯ


๑๐.๒

คือ เนสัชชิกังคะ องค์แห่งภิกษุผู้ถือการนั่งเป็นวัตร ถือเฉพาะอิริยาบถ ๓ คือ ยืน เดิน และนั่งเท่านั้น ฯ

วิชาธรรม นักธรรมชั้นโท 2547

 วิชาธรรม นักธรรมชั้นโท 2547


ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม  นักธรรมชั้นโท

สอบในสนามหลวง

พ.ศ. ๒๕๔๗


   ๑.  วิมุตติ คืออะไร ?  ตทังควิมุตติ มีอธิบายอย่างไร ?

   ๑.  คือ ความทำจิตใจให้หลุดพ้นจากกิเลสาสวะ ฯ

        มีอธิบายว่า  ความพ้นจากกิเลสได้ชั่วคราว  เช่นเกิดเหตุเป็นที่ตั้งแห่งสังเวชขึ้น

        หายกำหนัดในกาม  เกิดเมตตาขึ้น หายโกรธ  แต่ความกำหนัดและความโกรธนั้น

        ไม่หายทีเดียว ทำในใจถึงอารมณ์งาม ความกำหนัดกลับเกิดขึ้นอีก  ทำในใจถึงวัตถุ

        แห่งอาฆาต ความโกรธกลับเกิดขึ้นอีก  อย่างนี้จัดเป็นตทังควิมุตติ ฯ

   ๒.  สังขารทั้งหลายไม่เป็นอนัตตาหรือ เพราะเหตุไรในธรรมนิยามจึงใช้คำว่า ธรรมทั้งหลาย

        เป็นอนัตตา ?  จงอธิบาย

   ๒.  สังขารทั้งหลายก็เป็นอนัตตา  แต่ที่ใช้คำว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา นั้น เพราะ

        ธรรมนั้นหมายเอาธรรมคือสังขตธรรมและอสังขตธรรม สังขตธรรมได้แก่สังขารนั่นเอง

        อสังขตธรรมได้แก่วิสังขารคือพระนิพพาน ฯ

   ๓.  ความรู้ชั้นวิปัสสนาภาวนา หมายถึงความรู้อย่างไร ?

   ๓.  หมายถึง ความรู้เท่าทันสภาวธรรมตามความเป็นจริง  เห็นอาการแห่งสภาวธรรม

        โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ซึ่งเรียกว่าสามัญญลักษณะ ฯ

   ๔.  ภิกษุผู้ได้รับการสรรเสริญว่าดำรงอยู่ในอริยวงศ์ เพราะเป็นผู้ปฏิบัติอย่างไร ? เมื่อ

        ดำรงอยู่ในอริยวงศ์ถูกต้องดีแล้วจะได้รับผลอย่างไร ?

   ๔.  เพราะเป็นผู้สันโดษด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะตามมีตามได้ และยินดีในการเจริญ

        กุศลและในการละอกุศล  ไม่ยกตนข่มผู้อื่น ขยัน ไม่เกียจคร้าน มีสัมปชัญญะ มีสติ ฯ

        ย่อมได้รับผลคือความสุขใจและปลอดโปร่งใจเพราะความประพฤติดีปฏิบัติชอบของตน

        และไม่ต้องเดือดร้อนใจเพราะความเดือดร้อนเนื่องด้วยการแสวงหาไม่สมควรและ

        ประพฤติเสียหายโดยประการต่างๆ ย่อมครอบงำความยินดีและความไม่ยินดีเสียได้  

        ความยินดีและความไม่ยินดีก็ไม่อาจครอบงำท่านได้ และใครๆ ก็ไม่อาจติเตียนท่านได้ ฯ

   ๕.  วิญญาณกับสัญญา ทำหน้าที่ต่างกันอย่างไร ?

   ๕.  ทำหน้าที่ต่างกันอย่างนี้คือ วิญญาณทำหน้าที่รู้แจ้งอารมณ์ที่เกิดขึ้น เมื่ออายตนะภายใน

        และอายตนะภายนอกมากระทบกัน เช่น เมื่อรูปมากระทบตา เกิดการเห็นขึ้นเป็นต้น 

        ส่วนสัญญา ทำหน้าที่จำได้หมายรู้เท่านั้น คือหมายรู้ไว้ซึ่งรูป เสียง กลิ่น รส

        โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ว่า เขียว ขาว ดำ แดง ดัง เบาเป็นต้น ฯ

   ๖.  พระธรรมคุณบทว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส

        ดีแล้ว  ที่ว่า ดีแล้ว นั้นมีอธิบายอย่างไร ?

   ๖.  มีอธิบายอย่างนี้คือ ดีทั้งในส่วนปริยัติและดีทั้งในส่วนปฏิเวธ  ในส่วนปริยัติ ได้ชื่อว่าดี

        เพราะตรัสไม่วิปริต เพราะแสดงข้อปฏิบัติโดยลำดับกัน มีความไพเราะในเบื้องต้น

        ท่ามกลาง ที่สุด มีทั้งอรรถทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง และเพราะประกาศ

        พรหมจรรย์อย่างนั้น   ส่วนในปฏิเวธนั้น ได้ชื่อว่าดี เพราะปฏิปทากับพระนิพพาน

        ย่อมสมควรแก่กันและกัน ฯ

   ๗.  อายตนะภายใน อายตนะภายนอกเป็นต้น ได้ชื่อว่า ปิยรูป สาตรูป เพราะเหตุไร ? 

        โดยตรง เป็นที่เกิดเป็นที่ดับแห่งกิเลสอะไร ?

   ๗.  เพราะเป็นสภาวะที่รักที่ชื่นใจ ด้วยเพ่งอิฏฐารมณ์เป็นที่ตั้ง ฯ  เป็นที่เกิด เป็นที่ดับ

        แห่งตัณหา ฯ

   ๘.  อริยบุคคล ๘ ได้แก่ใครบ้าง ?  จัดเข้าในพระเสขะและพระอเสขะได้อย่างไร ?

   ๘.  ได้แก่ พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค ๑

               พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ๑

               พระผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิมรรค ๑

               พระผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิผล ๑

               พระผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิมรรค ๑

               พระผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิผล ๑

               พระผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรค ๑

               พระผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตผล ๑  ฯ

        จัดเข้าได้อย่างนี้  อริยบุคคล ๗ ประเภทแรก เรียกว่า พระเสขะ   อริยบุคคล ๑

        ประเภทหลัง เรียกว่า พระอเสขะ ฯ

   ๙.  อัตตกิลมถานุโยค กับ การบำเพ็ญธุดงควัตร ต่างกันอย่างไร ?  เตจีวริกังคธุดงค์

        หมายความว่าอย่างไร ?

   ๙.  ต่างกันอย่างนี้  อัตตกิลมถานุโยค การทรมานตนให้ลำบากเพื่อให้บาปกรรมหมดไป

        เพราะการทรมานนั้น หรือเพื่อบูชาพระเจ้า ซึ่งเมื่อทราบแล้วจะทรงโปรดให้ประสบผล

        ที่น่าปรารถนา ส่วนการบำเพ็ญธุดงควัตร บัญญัติขึ้นเพื่อจะให้เป็นอุบายขัดเกลากิเลส

        และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ

        เตจีวริกังคธุดงค์ หมายถึง ธุดงค์ของภิกษุผู้ถือเตจีวริกังคะ ย่อมไม่ใช้จีวรผืนที่ ๔

        นุ่งห่มเฉพาะไตรจีวรอันเป็นผ้าอธิษฐาน ฯ

๑๐.  คำว่า ทิพพจักษุ คือ ตาทิพย์ ในนิทเทสแห่งวิชชา ๓  หมายถึงเห็นอย่างไร ?

๑๐.  หมายถึง การเห็นเหล่าสัตว์ที่กำลังจุติ กำลังเกิด เลว ดี มีผิวพรรณงาม มีผิวพรรณ

        ไม่งาม ได้ดี ตกยาก รู้ชัดว่าเหล่าสัตว์เป็นไปตามกรรม ฯ