วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท 2548

 ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท 2548


ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม  นักธรรมชั้นโท

สอบในสนามหลวง

วันเสาร์ ที่  ๑๙  พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘


   ๑.  ตจปัญจกกัมมัฏฐานได้แก่อะไรบ้าง ?  จัดเป็นสมถะหรือวิปัสสนา ?  จงอธิบาย

   ๑.  ได้แก่ เกสา โลมา นขา ทันตา และตโจ ฯ  เป็นได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา  ถ้าเพ่ง

        กำหนดยังจิตให้สงบด้วยภาวนา เป็นสมถะ ถ้าเพ่งพิจารณาถึงความแปรปรวน

        เปลี่ยนแปลงไป หรือให้เห็นว่าเป็นทุกข์ คือทนอยู่ได้ยากและทนอยู่ไม่ได้ ต้อง

        เสื่อมสลายไปในที่สุด หรือให้เห็นว่าเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตน

        พิจารณาเช่นนี้เป็นวิปัสสนา ฯ

   ๒.  มหาภูตรูป คือ อะไร ?  มีความเกี่ยวเนื่องกับอุปาทายรูปอย่างไร ?

   ๒.  คือ รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน อันประกอบด้วย ธาตุ ๔ ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ฯ  

        เป็นที่ตั้งอาศัยแห่งรูปย่อยซึ่งเรียกว่าอุปาทายรูป  เมื่อรูปใหญ่แตกทำลายไป

        อุปาทายรูปที่อิงอาศัยมหาภูตรูปนั้นก็แตกทำลายไปด้วย ฯ

   ๓. พระพุทธเจ้าทรงประพฤติประโยชน์โดยฐานเป็นพระพุทธเจ้าที่เรียกว่าพุทธัตถจริยา

        คือทรงประพฤติอย่างไร ?

   ๓.  ทรงทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้า คือ ได้ทรงแสดงธรรมประกาศพระศาสนาให้

        บริษัททั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตรู้ทั่วถึงธรรมตามภูมิชั้น และทรงบัญญัติสิกขาบท

        อันเป็นอาทิพรหมจรรย์และอภิสมาจาร ฯ

    ๔.  ทิฏฐุปาทาน และสีลัพพตุปาทาน คืออะไร ?

   ๔.  ทิฏฐุปาทาน คือถือมั่นความเห็นผิดด้วยอำนาจหัวดื้อ  จนเป็นเหตุเถียงกัน

        ทะเลาะกัน  สีลัพพตุปาทาน คือ ถือมั่นธรรมเนียมที่เคยประพฤติมาจนชิน

        ด้วยอำนาจความเชื่อว่าขลัง จนเป็นเหตุหัวดื้องมงาย ฯ

   ๕.  มัจจุมารได้แก่อะไร ?  ได้ชื่อว่าเป็นมารเพราะเหตุไร ?

   ๕.  ได้แก่ความตาย ฯ  ชื่อว่าเป็นมาร เพราะเมื่อความตายเกิดขึ้น บุคคลย่อมหมด

        โอกาสที่จะทำประโยชน์ใดๆ อีกต่อไป ฯ

   ๖.  พระพุทธคุณบทว่า  “อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ  เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกได้

        ไม่มีใครยิ่งกว่า”  คำว่า  “บุรุษที่ควรฝึกได้”  นั้น หมายถึงบุคคลเช่นไร ?

   ๖.  หมายถึงบุคคลผู้มีอุปนิสัยที่อาจฝึกให้ดีได้และตั้งใจจะเข้าใจพระธรรมเทศนา

        แม้ฟังด้วยตั้งใจจะจับข้อบกพร่องขึ้นยกโทษเช่นเดียรถีย์ก็ตาม ฯ

   ๗.  กิเลสที่ได้ชื่อว่าอนุสัยและได้ชื่อว่าสังโยชน์มีอธิบายอย่างไร ?

   ๗.  กิเลสที่ได้ชื่อว่าอนุสัย เพราะเป็นกิเลสอย่างละเอียด นอนเนื่องอยู่ในสันดาน

        ของสัตว์ มักไม่ปรากฏ ต่อเมื่อมีอารมณ์มายั่วจึงปรากฏขึ้น ฯ 

        กิเลสที่ได้ชื่อว่า สังโยชน์ เพราะเป็นกิเลสที่ผูกใจสัตว์ไว้กับภพไม่ให้หลุดพ้นไปได้ ฯ

   ๘.  ในวิมุตติ ๕ วิมุตติอย่างไหนเป็นโลกิยะ อย่างไหนเป็นโลกุตระ ?

   ๘.  ตทังควิมุตติ และวิกขัมภนวิมุตติ จัดเป็นโลกิยวิมุตติ  ส่วน สมุจเฉทวิมุตติ

        ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ และนิสสรณวิมุตติ จัดเป็นโลกุตรวิมุตติ ฯ

   ๙.  พุทธภาษิตว่า ผู้ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ผู้ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว แต่

        ปรากฏว่าผู้ทำกรรมชั่วยังได้รับสุขก็มี ผู้ทำกรรมดียังได้รับทุกข์ก็มี ที่เป็นเช่นนี้

        เพราะเหตุใด ?

   ๙.  เพราะกรรมบางอย่างให้ผลในภพนี้ บางอย่างให้ผลในภพหน้า หรือในภพต่อ ๆ ไป

        ผู้ทำกรรมชั่วได้รับสุข เพราะกรรมชั่วยังไม่ได้ช่องให้ผลในขณะนั้น กรรมดีที่เขา

        ทำไว้ในอดีตกำลังให้ผลอยู่ แต่กรรมชั่วนั้นยังไม่สูญหายไป ยังติดตามให้ผลอยู่

        เสมอ เป็นแต่ยังไม่ได้ช่องเท่านั้น ส่วนผู้ทำกรรมดี ที่ไม่ได้รับสุขในขณะนั้น

        เพราะกรรมชั่วที่เขาได้ทำไว้ในอดีตกำลังให้ผลอยู่ จึงต้องรับทุกข์ลำบากอยู่

        ในขณะนั้น แต่กรรมดีที่ทำไว้นั้นยังไม่สูญหายไป ยังติดตามเขาไปเหมือนเงา

        ตามตัว ฉะนั้น  เมื่อได้ช่องก็ย่อมให้ผลทันที ฯ

๑๐.  คำว่า  “วัตร”  ในธุดงควัตร หมายถึงอะไร ?  ผู้ถือธุดงค์ข้อเตจีวริกังคะอย่าง

        เคร่ง มีวิธีปฏิบัติอย่างไร ?

๑๐.  หมายถึงข้อปฏิบัติพิเศษอย่างหนึ่ง ตามแต่ใครจะสมัครถือ บัญญัติขึ้น

        ด้วยหมายจะให้เป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ 

        มีวิธีปฏิบัติอย่างนี้ ใช้เฉพาะไตรจีวรของตนเท่านั้น แม้จะซักหรือจะย้อมอันตรวาสก

        ย่อมใช้อุตตราสงค์นุ่ง และใช้สังฆาฏิห่ม ฯ

วิชาธรรม นักธรรมชั้นโท 2549

 วิชาธรรม นักธรรมชั้นโท 2549


ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม  นักธรรมชั้นโท

สอบในสนามหลวง

วันศุกร์ ที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙

   ๑.  มูลกัมมัฏฐาน คืออะไร ?  เจริญอย่างไรเป็นอารมณ์ของสมถะ ?

        เจริญอย่างไรเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา ?

   ๑.  คือ กัมมัฏฐานเดิม ได้แก่ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ที่พระอุปัชฌาย์

        สอนก่อนบรรพชา ฯ

        ถ้าเพ่งกำหนดให้จิตสงบด้วยภาวนา จัดเป็นอารมณ์ของสมถะ ถ้ายกขึ้น

        พิจารณาแยกออกเป็นส่วนๆ ให้เห็นตามความเป็นจริงโดยสามัญลักษณะ

        จัดเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา ฯ

  ๒.  ปฏิสันถาร คืออะไร ?  จงแสดงวิธีปฏิสันถารตามความรู้ที่ได้ศึกษามา ?

  ๒.  คือ การต้อนรับผู้มาเยือนด้วยการพูดจาปราศรัย หรือด้วยการรับรอง

        ด้วยของ  ต้อนรับตามสมควรด้วยไมตรีจิต ฯ

        ปฏิสันถารที่ได้ศึกษามามี ๒ อย่าง คือ

               ๑.   อามิสปฏิสันถาร ปฏิสันถารด้วยสิ่งของ ได้แก่การจัดหาวัตถุ

                     สิ่งของต้อนรับ เช่น ข้าว น้ำ หรือที่พัก เป็นต้น

               ๒.  ธัมมปฏิสันถาร ปฏิสันถารด้วยธรรม ได้แก่การแสดงการ

                     ต้อนรับตามความเหมาะสมแก่ผู้มาเยือน หรือการให้คำแนะนำ

                     ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นต้น ฯ

  ๓.  อกุศลวิตก ๓  มีโทษอย่างไร ?  แก้ด้วยวิธีอย่างไร ?

  ๓.  กามวิตก         ทำใจให้เศร้าหมอง เป็นเหตุให้มัวเมาติดอยู่ในกามสมบัติ

        พยาบาทวิตก ทำให้เดือดร้อนกระวนกระวายใจ คิดทำร้ายผู้อื่น

        วิหิงสาวิตก     ย่อมครอบงำจิต ให้คิดเบียดเบียนผู้อื่นโดยเห็นแก่

                            ประโยชน์สุขส่วนตัว ฯ

        กามวิตก         แก้ด้วยการเจริญกายคตาสติและอสุภกัมมัฏฐาน

        พยาบาทวิตก แก้ด้วยการเจริญเมตตาพรหมวิหาร

        วิหิงสาวิตก     แก้ด้วยการเจริญกรุณาพรหมวิหารและโยนิโสมนสิการ ฯ

   ๔.  พรหมวิหารกับอัปปมัญญา ต่างกันอย่างไร ?  อย่างไหนเป็นปฏิปทา

        โดยตรงของภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ?

   ๔.  ต่างกันโดยวิธีแผ่ คือ แผ่โดยเจาะจงตัวก็ดี โดยไม่เจาะจงตัวก็ดี แต่

        ยังจำกัดหมู่นั้นหมู่นี้จัดเป็นพรหมวิหาร ถ้าแผ่โดยไม่เจาะจงไม่จำกัด

        จัดเป็นอัปปมัญญา ฯ

        อัปปมัญญาเป็นปฏิปทาของภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ฯ

   ๕.  ทักขิณา คืออะไร ?  ทักขิณานั้น จะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์  มีอะไร

        เป็นเครื่องหมาย ?

   ๕.  คือ ของทำบุญ ฯ

        มีกัลยาณธรรมของทายก หรือปฏิคาหกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เป็นเครื่องหมาย

        ให้รู้ว่า บริสุทธิ์ และมีความเป็นผู้ทุศีลและอธรรม ของทายกหรือ

        ปฏิคาหกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นเครื่องหมายให้รู้ว่า ไม่บริสุทธิ์ ฯ


   ๖.  มาร คืออะไร ?  เฉพาะอภิสังขารมาร หมายถึงอะไร ?

   ๖. คือ สิ่งที่ล้างผลาญทำลายความดี ชักนำให้ทำบาปกรรม ปิดกั้นไม่ให้ทำ

        ความดี จนถึงปิดกั้นไม่ให้เข้าใจสรรพสิ่งตามความเป็นจริง ฯ

        หมายถึง อกุศลกรรม ฯ

  ๗.  พระธรรมคุณบทใด  มีความหมายตรงกับคำว่า “ท้าให้มาพิสูจน์ได้” ?                

        พระธรรมคุณบทนั้น  มีอธิบายว่าอย่างไร ?

  ๗.  บทว่า เอหิปัสสิโก ฯ

        มีอธิบายว่า พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถที่จะให้พิสูจน์

        ได้ทุกเวลาและสามารถนำไปประพฤติในชีวิตประจำวันเพื่อประโยชน์

        สุขได้ ฯ

  ๘.  บารมี คืออะไร ?  อธิษฐานบารมี คือการทำอย่างไร ?

  ๘.  ปฏิปทาอันยิ่งยวด หรือคุณธรรมที่ประพฤติอย่างยิ่งยวด ได้แก่ ความดี

        ที่บำเพ็ญอย่างพิเศษ เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุด ฯ

        คือความตั้งใจมั่นตัดสินใจเด็ดเดี่ยว วางจุดหมายแห่งการกระทำของตน

        ไว้แน่นอนและดำเนินตามนั้นอย่างแน่วแน่ ฯ

  ๙.  คำต่อไปนี้มีความหมายอย่างไร ?

               ก. ชนกกรรม    

               ข. อุปัตถัมภกกรรม    

               ค. ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม

               ง.  อุปปัชชเวทนียกรรม    

               จ. กตัตตากรรม

๙.           ก. กรรมแต่งให้เกิด                

               ข. กรรมสนับสนุน                 

               ค. กรรมให้ผลในภพนี้

               ง. กรรมให้ผลในภพหน้า                  

               จ. กรรมสักว่าทำ คือกรรมที่ทำด้วยไม่จงใจ ฯ

๑๐.  ธุดงค์ ท่านบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ?  อารัญญิกังคธุดงค์ คือการ

        ถือปฏิบัติอย่างไร ?

๑๐.  เพื่อเป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ

        คือ การถืออยู่ป่าเป็นวัตร หมายถึงการพักอาศัยปฏิบัติธรรมอยู่ในป่า

        หรือ บริเวณป่าและจะต้องห่างจากบ้านคนอย่างน้อย ๒๕ เส้น หรือ

        ๕๐๐ ชั่วธนู ฯ


*********

วิชาธรรม นักธรรมชั้นโท 2550

 วิชาธรรม นักธรรมชั้นโท 2550


ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม  นักธรรมชั้นโท

สอบในสนามหลวง

วันอังคาร ที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐

๑.     พระเสขะ ผู้ยังต้องศึกษา  คือศึกษาอะไร ?   ชื่อว่าพระอเสขะ  เพราะอะไร ?

๑.     ศึกษาสิกขา ๓  คือ  ๑. อธิสีลสิกขา  ๒. อธิจิตตสิกขา  ๓. อธิปัญญาสิกขา ฯ

        เพราะเสร็จกิจอันจะต้องทำแล้ว ฯ

๒.    ความเห็นว่าเที่ยงและเห็นว่าขาดสูญ  คือเห็นอย่างไร ?   มติในทางพระพุทธศาสนาเป็นเช่นไร  จงอธิบาย ?

๒.    เห็นว่าเที่ยง  คือเห็นว่า  คนและสัตว์ตายแล้ว  ชีวะไม่สูญ  ต้องเกิดอีกต่อไป  หรือเคยเป็นอะไร  ก็เป็นอย่างนั้นตลอดไปหรือมีสภาพอย่างนั้นไม่แปรผัน เป็นต้น   ส่วนเห็นว่าขาดสูญ  คือเห็นว่า  อัตภาพจุติแล้วเป็นอันสูญสิ้นไป หรือคนสัตว์ตายแล้วขาดสูญไปโดยประการทั้งปวง ฯ

พระพุทธศาสนาปฏิเสธความเห็นทั้ง ๒ นั้น  มีความเห็นประกอบด้วยสัมมาญาณ อิงเหตุผล ยึดเหตุผลเป็นที่ตั้ง  โดยเห็นว่า  คนและสัตว์ตายแล้วจะเกิดอีกหรือ ไม่ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ฯ

๓.     ปาพจน์ ๒  ได้แก่อะไรบ้าง ?   ถ้าแจกเป็น ๓  จะได้อะไรบ้าง ?

๓.     ได้แก่  พระธรรม และ พระวินัย ฯ

        ถ้าแจกเป็น ๓  จะได้ พระวินัย ๑  พระสูตร ๑  พระอภิธรรม ๑ ฯ

๔.     พระพุทธเจ้าทรงอุปมากิเลสเหล่าไหนว่ามีลักษณะเหมือนกับไฟ ?   

ที่ทรงอุปมาเช่นนั้นเพราะเหตุไร ?

๔.     กิเลสเหล่านี้  คือ ราคะ โทสะ โมหะ ฯ

เพราะเมื่อกิเลสทั้ง ๓ กองนี้  กองใดกองหนึ่งเกิดขึ้นภายในใจของบุคคล  จะแผดเผาก่อให้เกิดความเร่าร้อนขึ้นภายในใจ ฯ

๕.     กรรมและทวาร  คืออะไร ?   อภิชฌาเป็นกรรมใดและเกิดทางทวารใดบ้าง  จงอธิบาย ?

๕.     กรรม คือ การกระทำ  ส่วนทวาร คือ ทางเกิดของกรรม ฯ

อภิชฌา ความอยากได้ เป็นมโนกรรมได้อย่างเดียว และเกิดได้ทั้ง ๓ ทวาร  เป็นกายทวาร เช่น มีความอยากได้แล้วลูบคลำพัสดุที่อยากได้นั้น  แต่ไม่มีไถยจิต  เป็นวจีทวาร เช่น มีความอยากได้แล้วบ่นว่า ทำอย่างไรดีหนอ จักได้พัสดุนั้น  และเป็นมโนทวาร เช่น มีความอยากได้แล้วรำพึงในใจ ฯ

๖.     วิโมกข์  คืออะไร ?   มีอะไรบ้าง ?

๖.     คือ  ความพ้นจากกิเลส ฯ

มี  สุญญตวิโมกข์  อนิมิตตวิโมกข์  อัปปณิหิตวิโมกข์ ฯ

๗.    พระอริยบุคคล ๔  ได้แก่ใครบ้าง ?   พระโสดาบันละสังโยชน์อะไรได้บ้าง ?

๗.    ได้แก่ พระโสดาบัน  พระสกทาคามี  พระอนาคามี  และพระอรหันต์ ฯ

พระโสดาบันละสังโยชน์ได้ ๓   คือ  สักกายทิฏฐิ  วิจิกิจฉา  สีลัพพตปรามาส ฯ

๘.     โยนิ คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? เทวดา และสัตว์นรก จัดอยู่ในโยนิไหน ?

๘.     คือ  กำเนิด ฯ

มี  ชลาพุชะ เกิดในครรภ์   อัณฑชะ เกิดในไข่  

สังเสทชะ เกิดในเถ้าไคล   โอปปาติกะ เกิดผุดขึ้น ฯ

จัดอยู่ใน โอปปาติกะ ฯ

๙.     เวทนา ๓ และเวทนา ๕ ได้แก่อะไรบ้าง ? จัดกลุ่มเทียบกันได้อย่างไร ?

๙.     เวทนา ๓  ได้แก่ สุข ทุกข์ เฉย ๆ คือไม่สุขไม่ทุกข์   ส่วนเวทนา ๕  ได้แก่ สุข โสมนัส ทุกข์ โทมนัส อุเบกขา ฯ

        ในเวทนา ๓  สุข คือ สุขกายและสุขใจ  ซึ่งในเวทนา ๕  สุขกายก็คือสุข  และสุขใจก็คือโสมนัส

ในเวทนา ๓  ทุกข์ คือ ทุกข์กายและทุกข์ใจ  ซึ่งในเวทนา ๕  ทุกข์กายก็คือทุกข์  และทุกข์ใจก็คือโทมนัส

ส่วนในเวทนา ๓  เฉย ๆ คือไม่สุขไม่ทุกข์  ในเวทนา ๕  ก็คืออุเบกขานั่นเอง ฯ

๑๐.   ในกรรม ๑๒  อุปัตถัมภกกรรม กับ อุปปีฬกกรรม  ทำหน้าที่ต่างกันอย่างไร ?

๑๐.   อุปัตถัมภกกรรม  ทำหน้าที่สนับสนุนผลแห่งชนกกรรม

อุปปีฬกกรรม  ทำหน้าที่บีบคั้นผลแห่งชนกกรรม ฯ

***********