หลักสำคัญในการรักษาศีล
ผู้ที่จะรักษาศีล
พึงทราบหลักในทางวิชาการ และทางปฏิบัติ โดยย่อ คือ
๑. ความมุ่งหมายในการรักษาศีลห้า
๒. ข้อห้ามของผู้รักษาศีลห้า
๑. ความมุ่งหมายในการรักษาศีลห้า
ดังได้กล่าวมาแล้วว่า
การรักษาศีลห้ามีความมุ่งหมายในการป้องกันตนไม่ให้เสียหาย ของทุกสิ่งทุกอย่าง มันจะดีหรือจะเสีย
จะคงทนถาวรหรือชำรุดหักพังโดยง่าย สำคัญอยู่ที่พื้นฐานของสิ่งนั้น ฉะนั้น
ช่างก่อสร้างที่เขาจะสร้างตึก จึงต้องตอกเสาเข็มลงรากตรงจุดที่จะรับน้ำหนักไว้แข็งแรง
ชีวิตของคฤหัสถ์ก็เช่นเดียวกัน
ต้องแบกน้ำหนัก เพราะเรื่องครอบครัว เรื่องหน้าที่การงาน เรื่องยากดีมีจน
ความสุขความทุกข์ร้อยแปด จำจะต้องสร้างพื้นฐานของชีวิตให้มั่นคง จึงจะรับน้ำหนักไว้อย่างปลอดภัย
เราคงจะเคยเห็นคนที่มีพื้นฐานชีวิตไม่ดีพอ
พอตนจะต้องรับภาระหรือกระทบกระแทกเข้า เลยต้องกระทำความผิดถึงติดคุกติดตะรางก็มี นั่นแสดงความที่ชีวิตพังทลายไป
น่าเสียดายมาก
ทางศาสนาชี้จุดสำคัญที่จะต้องสร้างพื้นฐานไว้ให้มั่นคงเป็นพิเศษ
๕ จุด เป็นการปิดช่องทางที่ตัวเองจะเสีย ๕ ทางด้วยกัน และวิธีที่ว่าก็คือ
การรักษาศีล ๕ ข้อ
ศีลข้อที่ ๑
ป้องกันทางที่ตนจะเสียหาย เพราะความโหดร้าย
ศีลข้อที่ ๒
ป้องกันทางที่ตนจะเสียหาย เพราะความมือไว
ศีลข้อที่ ๓
ป้องกันทางที่ตนจะเสียหาย เพราะความใจเร็ว
ศีลข้อที่ ๔
ป้องกันทางที่ตนจะเสียหาย เพราะความขี้ปด
ศีลข้อที่ ๕
ป้องกันทางที่ตนจะเสียหาย เพราะความขาดสติ
หมายความว่า
ชีวิตของคฤหัสถ์ทั้งหลาย มักจะพังทลายใน ๕ อย่างนี้ คือ
๑. ความโหดร้ายในสันดาน
๒. ความอยากได้ทรัพย์ของคนอื่นในทางที่ผิด
ๆ
๓. ความร่านในทางกามเกี่ยวกับเพศตรงข้าม
๔. ความไม่มีสัจจะประจำใจ
๕. ความประมาทขาดสติ
สัมปชัญญะ
วิธีแก้ก็คือ
การหันเข้ามาปรับพื้นฐานสันดานของตนเอง โดยรักษาด้วยเบญจศีล
๒. ข้อห้ามของผู้รักษาศีล ๕
ความเบียดเบียนกันทางโลก
ซึ่งเป็นไปโดยกายทวาร ย่อเป็น ๓ ประการ คือ
๑. เบียดเบียนชีวิตร่างกาย
๒. เบียดเบียนทรัพย์สมบัติ
๓. เบียดเบียนประเพณี
คือ ทำเชื้อสายของผู้อื่นให้สับสน
ความประพฤติเสียด้วยวาจา
อันมีมุสาวาท คือ กล่าวคำเท็จเป็นที่ตั้ง คนจะประพฤติก็เพราะความประมาท
และความประมาทนั้น ไม่มีมูลอื่นที่ยิ่งกว่า น้ำเมา เมื่อดื่มเข้าไปแล้ว
ย่อมทำให้ความคิดวิปริตทันที เหตุนั้น นักปราชญ์ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้า เป็นต้น
เล็งเห็นการณ์นี้จึงบัญญัติศีลมีองค์ ๕ ไว้ดังกล่าวแล้ว
คำอาราธนาศีล
หมายความว่า การนิมนต์ หรือ เชิญพระภิกษุ หรือผู้ใดผู้หนึ่งให้เป็นผู้ให้ศีล
คำสมาทานศีล หมายความว่า การว่าตามผู้ที่เราอาราธนามาเพื่อให้ศีล
ตั้งแต่ นโม ตสฺส ภควโต เป็นต้นไป
องค์แห่งศีลอย่างหนึ่งๆ
เรียกว่า "สิกขาบท" ศีลมีองค์ ๕ จึงเป็นสิกขาบท ๕ ประการ รวมเรียกว่า
เบญจศีล
การรักษาศีล
คือ การตั้งเจตนางดเว้น จากการทำความผิดดังท่านบัญญัติไว้ เป็นเรื่องที่ตั้งใจงด
ตั้งใจเว้น ตั้งใจไม่ทำอีก ต้องมี "ความตั้งใจ" กำกับไว้เสมอ
ไม่ใช่เพราะมีเหตุอื่นบังคับตน
จึงไม่ทำความผิด แต่ไม่ทำเพราะตนเองได้ ตั้งใจไว้ว่าจะงดเว้น
ความตั้งใจดังว่ามานี้ ทางศาสนา เรียกว่า "วิรัติ" คือ
เจตนาที่งดเว้นจากความชั่ว
วิรัติ
ผู้ปฏิบัติตามสิกขาบท
๕ ประการนั้น ย่อมมีวิรัติด้วย วิรัติมี ๓ ประการ คือ
๑. สัมปัตตวิรัติ เว้นจากวัตถุที่จะพึงล่วงได้อันมาถึงเฉพาะหน้า
ได้แก่ วิรัติของคนทั่วไป
๒. สมาทานวิรัติ เว้นด้วยอำนาจการถือเป็นกิจวัตร ได้แก่ พระภิกษุ สามเณร
อุบาสก อุบาสิกา
๓. สมุจเฉทวิรัติ เว้นด้วยตัดขาด
มีอันไม่ทำอย่างนั้นเป็นปกติ ได้แก่ พระอริยเจ้า (พระอรหันต์)
ศัพท์ที่ควรรู้
คำว่า รูปธรรม – นามธรรม
คนที่เกิดมาอาศัยเหตุแต่ขึ้น
คุมธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ขึ้นเป็นร่างกาย เรียกว่า รูปธรรม
แต่เพราะอาศัยความพร้อมเพรียงแห่งธาตุ ๔ จึงมีใจ รู้จักคิดตริตรอง
และรู้สึกกำหนดหมายต่างๆ จึงเรียกว่า นามธรรม ถ้ารวมรูปธรรม และนามธรรม
เข้าด้วยกันเรียกว่า สังขาร ซึ่งแปลว่า สิ่งที่เหตุแต่งขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น