วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

วินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก 2543

ปัญหาและเฉลยวินัยบัญญัติ  นักธรรมชั้นเอก

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓

วันเสาร์ ที่  ๑๘  พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓

------------------------------

๑.

๑.๑

การตั้งญัตติและสวดอนุสาวนามีอยู่ในกรรมอะไรบ้าง ในสังฆกรรม

ทั้ง ๔ ?


๑.๒

สังฆกรรม ๔ นั้น อย่างไหนต้องทำในสีมา อย่างไหนทำนอกสีมาก็ได้ ?

๑.

๑.๑

การตั้งญัตติ มีในญัตติกรรม ญัตติทุติยกรรม และญัตติจตุตถกรรม

ส่วนการสวดอนุสาวนา มีในญัตติทุติยกรรม และญัตติจตุตถกรรม


๑.๒

ญัตติกรรม ญัตติทุติยกรรม และญัตติจตุตถกรรม ต้องทำในสีมาเท่านั้น              ทำนอกสีมาไม่ได้ เพราะต้องตั้งญัตติ ส่วนอปโลกนกรรม ทำนอกสีมา

ก็ได้ เพราะไม่ต้องตั้งญัตติ

๒.

๒.๑

พัทธสีมามีกำหนดขนาดพื้นที่ไว้หรือไม่ ?  ถ้ามี กำหนดไว้อย่างไร ?


๒.๒

สถานที่ที่เป็นสีมาตามพระวินัยไม่ได้ มีหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ?

๒.

๒.๑

มีกำหนดไว้ คือกำหนดไม่ให้สมมติสีมาเล็กเกินไปจนจุภิกษุ ๒๑ รูป นั่งไม่ได้และไม่ให้สมมติสีมาใหญ่เกินไปกว่า ๓ โยชน์   สีมาเล็กเกินไปใหญ่เกินไป เป็นสีมาวิบัติ ใช้ไม่ได้


๒.๒

ไม่มี  เพราะในป่าที่ไม่มีบ้าน ก็จัดเป็นสัตตัพภันตรสีมา ในน่านน้ำที่ได้ขนาด ก็จัดเป็นอุทกุกเขปสีมา ผืนแผ่นดินที่มีหมู่บ้านก็จัดเป็นคามสีมา แม้สีมันตริกซึ่งคั่นระหว่างมหาสีมากับขัณฑสีมาก็จัดเป็นคามสีมา

๓.

๓.๑

คำว่า “เจ้าอธิการ” ในพระวินัยหมายถึงใคร ?  มีกี่แผนก ?  อะไรบ้าง ?


๓.๒

การให้ภิกษุถือเสนาสนะเป็นหน้าที่ของใคร ?  ผู้นั้นพึงปฏิบัติอย่างไร ?

๓.

๓.๑

หมายถึงภิกษุที่สงฆ์สมมติให้เป็นเจ้าหน้าที่ทำกิจการของสงฆ์

มี ๕ แผนก คือ



     ๑) เจ้าอธิการแห่งจีวร

     ๒) เจ้าอธิการแห่งอาหาร

     ๓) เจ้าอธิการแห่งเสนาสนะ

     ๔) เจ้าอธิการแห่งอาราม

     ๕) เจ้าอธิการแห่งคลัง



๓.๒

เป็นหน้าที่ของเจ้าอธิการแห่งเสนาสนะ พึงปฏิบัติอย่างนี้ คือ เจ้าอธิการแห่งเสนาสนะพึงกำหนดฐานะของภิกษุผู้ถือเสนาสนะว่า เป็นผู้ใหญ่หรือผู้น้อย เป็นผู้มีอุปการะแก่สงฆ์หรือหามิได้ เป็นผู้เล่าเรียนหรือประกอบกิจในทางใดบ้าง เป็นต้น แล้วพึงให้ถือเสนาสนะ

๔.

๔.๑

วัดมีพระจำพรรษาวัดละ ๒ รูปบ้าง ๓ รูปบ้าง ทายกประสงค์จะถวายกฐิน  นิมนต์พระมารวมในวัดเดียวกันเพื่อรับกฐิน  เป็นกฐินหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ?


๔.๒

ในคัมภีร์บริวาร ภิกษุผู้ควรกรานกฐินประกอบด้วยองค์เท่าไร  ?  บอกมา  ๓  ข้อ

๔.

๔.๑

ไม่เป็นกฐิน เพราะองค์กำหนดสิทธิของภิกษุผู้จะกรานกฐินมี ๓ คือ



     ๑) เป็นผู้จำพรรษาถ้วนไตรมาสไม่ขาด

     ๒) อยู่ในอาวาสเดียวกัน

     ๓) ภิกษุมีจำนวนตั้งแต่ ๕ รูปขึ้นไป


๔.๒

ประกอบด้วยองค์ ๘  (เลือกตอบเพียง ๓ ข้อ)



     ๑) รู้จักบุพพกรณ์

     ๒) รู้จักถอนไตรจีวร

     ๓) รู้จักอธิษฐานไตรจีวร

     ๔) รู้จักการกราน

     ๕) รู้จักมาติกาคือหัวข้อแห่งการเดาะกฐิน

     ๖) รู้จักปลิโพธกังวลเป็นเหตุยังไม่เดาะกฐิน

     ๗) รู้จักการเดาะกฐิน

     ๘) รู้จักอานิสงส์กฐิน

๕.

๕.๑

จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้   ๑. ปฏิจฉันนาบัติ   ๒. อันตราบัติ


๕.๒

สัมมุขาวินัยมีองค์เท่าไร ?  อะไรบ้าง ?

๕.

๕.๑

๑) ปฏิจฉันนาบัติ หมายถึง อาบัติที่ภิกษุต้องแล้วปกปิดไว้

๒) อันตราบัติ หมายถึง อาบัติสังฆาทิเสสที่ภิกษุต้องเข้าอีกระหว่าง

     ประพฤติวุฏฐานวิธี


๕.๒

มีองค์ ๔ คือ



     ๑) ในที่พร้อมหน้าสงฆ์

     ๒) ในที่พร้อมหน้าธรรม


     ๓) ในที่พร้อมหน้าวินัย

     ๔) ในที่พร้อมหน้าบุคคล

๖.

๖.๑

การคว่ำบาตรในทางพระวินัยมีความหมายว่าอย่างไร ?


๖.๒

การคว่ำบาตรนี้ สงฆ์ทำแก่ผู้ประพฤติเช่นไร ?  บอกมา ๓ ข้อ

๖.

๖.๑

มีความหมายว่าไม่ให้คบค้าสมาคมด้วยลักษณะ ๓ ประการคือ



     ๑) ไม่รับบิณฑบาตของเขา

     ๒) ไม่รับนิมนต์ของเขา

     ๓) ไม่รับไทยธรรมของเขา


๖.๒

ทำแก่คฤหัสถ์  (เลือกตอบเพียง ๓ ข้อ)



     ๑) ขวนขวายเพื่อไม่ใช่ลาภแห่งภิกษุทั้งหลาย

     ๒) ขวนขวายเพื่อไม่ใช่ประโยชน์แห่งภิกษุทั้งหลาย

     ๓) ขวนขวายเพื่ออยู่ไม่ได้แห่งภิกษุทั้งหลาย

     ๔) ด่าว่าเปรียบเปรยภิกษุทั้งหลาย

     ๕) ยุยงภิกษุทั้งหลายให้แตกกัน

     ๖) กล่าวติเตียนพระพุทธ

     ๗) กล่าวติเตียนพระธรรม

     ๘) กล่าวติเตียนพระสงฆ์

๗.

๗.๑

ใครเป็นผู้ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน หรือเป็นผู้ขวนขวายเพื่อทำลายสงฆ์ได้ ?


๗.๒

เหตุที่สงฆ์จะแตกกันมีอะไรบ้าง ?   จะป้องกันได้ด้วยวิธีอย่างไร  ?

๗.

๗.๑

ภิกษุผู้ปกตัตตะเป็นสมานสังวาส อยู่ในสีมาเดียวกันเท่านั้น ย่อมอาจทำลายสงฆ์ให้แตกกันเป็นก๊กเป็นพวกได้ นางภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกา หาอาจทำลายสงฆ์ให้แตกกันได้ไม่ เป็นได้เพียงขวนขวายเพื่อทำลายสงฆ์เท่านั้น


๗.๒

มี ๒ อย่างคือ



     ๑) มีความเห็นปรารภพระธรรมวินัยแตกต่างกันจนเกิดเป็นอธิกรณ์

     ๒) ความประพฤติปฏิบัติไม่เสมอกัน ยิ่งหย่อนกว่ากันแล้วเกิดความ

          รังเกียจกันขึ้น



จะป้องกันได้ด้วย ๒ วิธีคือ



     ๑) ต้องส่งเสริมและกวดขันการศึกษาพระธรรมวินัย ให้มีความ

          เห็นชอบเหมือนกัน


     ๒) ต้องส่งเสริมและกวดขันความประพฤติของภิกษุทั้งหลาย

         ให้เสมอกัน ไม่ให้เป็นทางรังเกียจกัน






    พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕, (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕

๘.

๘.๑

กรรมการมหาเถรสมาคมดำรงอยู่ในตำแหน่งคราวละกี่ปี ?


๘.๒

ผู้จะดำรงตำแหน่งเลขาธิการมหาเถรสมาคม มีกำหนดไว้อย่างไร ?

๘.

๘.๑

กรรมการมหาเถรสมาคมที่เป็นสมเด็จพระราชาคณะ ไม่มีกำหนดเวลา ส่วนกรรมการมหาเถรสมาคมที่สมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้ง ดำรงอยู่ในตำแหน่งคราวละ ๒ ปี


๘.๒

มีกำหนดไว้ว่าต้องเป็นอธิบดีกรมการศาสนา (โดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕, (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๓ ความว่า  ให้อธิบดีกรมการศาสนาเป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง)

๙.

๙.๑

ในกรณียุบเลิกวัด ทรัพย์สินของวัดนั้นจะพึงตกแก่ใคร  ?


๙.๒

การดูแลและจัดการศาสนสมบัติ กำหนดให้เป็นหน้าที่ของใคร ?

๙.

๙.๑

ให้ตกเป็นของศาสนสมบัติกลาง จะแบ่งให้ใครไม่ได้ (มาตรา ๓๒ วรรค ๒ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕, (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕)


๙.๒

การดูแลและจัดการศาสนสมบัติกลาง    กำหนดให้เป็นหน้าที่ของกรมการศาสนา

การดูแลและจัดการศาสนสมบัติของวัด กำหนดให้เป็นหน้าที่ของ      เจ้าอาวาส

(การดูแลและจัดการศาสนสมบัติกลาง บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๐ ว่า ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกรมการศาสนา เพื่อการนี้ให้ถือว่ากรมการศาสนาเป็นเจ้าของศาสนสมบัติกลางนั้นด้วย และมาตรา ๔๑ ว่า ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำงบประมาณประจำปีของศาสนสมบัติกลาง ด้วยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม และเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้งบประมาณนั้นได้ ส่วนการดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติของวัดมีในมาตรา ๓๗ (๑) ว่า เจ้าอาวาสมีหน้าที่บำรุงรักษาวัด จัด    กิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดีและใน  มาตรา ๔๐ ว่า การดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติของวัด ให้เป็นไปตามวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง)

๑๐.

๑๐.๑

เจ้าอาวาส ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๔ ใครเป็นผู้แต่งตั้ง ?


๑๐.๒

เจ้าอาวาสผู้ได้รับแต่งตั้งมีหน้าที่อย่างไร ?

๑๐.

๑๐.๑

สมเด็จพระสังฆราช ทรงแต่งตั้งเจ้าอาวาสพระอารามหลวง

เจ้าคณะจังหวัด แต่งตั้งเจ้าอาวาสวัดราษฎร์


๑๐.๒

เจ้าอาวาสมีหน้าที่ตามมาตรา ๓๗ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕, (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ดังนี้



     ๑) บำรุงรักษาวัด จัดกิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี

     ๒) ปกครองและสอดส่องให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ที่มีที่อยู่หรือพำนัก

          อาศัยอยู่ในวัดนั้น ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย กฎมหาเถรสมาคม

          ข้อบังคับ ระเบียบ หรือคำสั่งของมหาเถรสมาคม

     ๓) เป็นธุระในการศึกษาอบรม และสั่งสอนพระธรรมวินัยแก่บรรพชิต

          และคฤหัสถ์

     ๔) ให้ความสะดวกตามสมควรในการบำเพ็ญกุศล


วิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก 2544

ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ  นักธรรมชั้นเอก

สอบในสนามหลวง

วันจันทร์ ที่  ๕  พฤศจิกายน  พ.ศ. ๒๕๔๔

๑.

๑.๑

อปโลกนกรรมมีกี่อย่าง ?  อะไรบ้าง ?


๑.๒

สงฆ์ผู้ทำสังฆกรรม  มีกำหนดจำนวนไว้อย่างไร ?

๑.

๑.๑

มี  ๕  อย่างคือ

๑) นิสสารณา  นาสนะสามเณรผู้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้า

๒) โอสารณา รับสามเณรผู้ถูกนาสนะแล้วกลับประพฤติเรียบร้อย ให้เข้าหมู่

           ๓) ภัณฑูกรรม บอกขออนุญาตปลงผมคนผู้จะบวชอันภิกษุจะทำเอง

           ๔) พรหมทัณฑ์  ประกาศไม่ว่ากล่าวภิกษุหัวดื้อว่ายาก

           ๕) กัมมลักขณะ  อปโลกน์แจกอาหารในโรงฉันเป็นต้น


๑.๒

มีกำหนดจำนวนไว้ดังนี้

           จตุวรรค  สงฆ์มีจำนวน  ๔  รูป

           ปัญจวรรค  สงฆ์มีจำนวน  ๕  รูป

           ทสวรรค  สงฆ์มีจำนวน  ๑๐  รูป

           วีสติวรรค  สงฆ์มีจำนวน  ๒๐  รูป

๒.

๒.๑

วัตถุที่ใช้เป็นนิมิตกำหนดเขตสีมามีกี่อย่าง ?  อะไรบ้าง ?


๒.๒

ปัจจุบันนิยมใช้วัตถุอะไรเป็นนิมิต ? และวัตถุที่จะใช้เป็นนิมิตนั้นได้มีกำหนดไว้อย่างไร ?

๒.

๒.๑

มี  ๘  อย่างคือ

           ๑) ภูเขา 

           ๒) ศิลา        

           ๓) ป่าไม้         

           ๔) ต้นไม้

           ๕) จอมปลวก     

           ๖) หนทาง               

           ๗) แม่น้ำ                  

           ๘) น้ำ


๒.๒

ใช้ศิลาเป็นนิมิต มีกำหนดไว้ดังนี้

           ๑) เป็นศิลาหินแท้  หินปนแร่  ใช้ได้ทั้งหมด

           ๒) เป็นศิลามีก้อนโตไม่ถึงตัวช้าง  ขนาดเท่าศีรษะโคหรือ

               กระบือเขื่อง ๆ

           ๓) เป็นศิลาแท่งเดียว

           ๔) อย่างเล็กขนาดเท่าก้อนน้ำอ้อยหนัก ๓๒ ปะละ ราว ๕ ชั่ง 

               ก็ใช้ได้

๓.

๓.๑

สมานสังวาสสีมา  และติจีวราวิปปวาสสีมา  ได้แก่สีมาเช่นไร ?


๓.๒

ในการถอน  และสมมติ  สีมาทั้ง  ๒ นี้  มีวิธีปฏิบัติก่อนหลังอย่างไร ?

๓.

๓.๑

สีมาที่ทรงพระอนุญาตให้สงฆ์สมมติเป็นแดนมีสังวาสเสมอกัน  ภิกษุ

ผู้อยู่ในเขตนี้มีสิทธิในอันจะเข้าอุโบสถ ปวารณา และสังฆกรรมร่วมกัน

เรียกว่าสมานสังวาสสีมา  สมานสังวาสสีมานี้  ทรงพระอนุญาต

ให้สมมติติจีวราวิปปวาส  ซ้ำลงได้อีก  เว้นบ้าน  และอุปจารบ้าน

อันตั้งอยู่ในสีมานั้น  เมื่อได้สมมติอย่างนี้แล้ว  แม้ภิกษุอยู่ห่างจาก

ไตรจีวรในสีมานั้น  ก็ไม่เป็นอันอยู่ปราศ  เรียกว่าติจีวราวิปปวาสสีมา



๓.๒

ในการถอน ให้ถอนติจีวราวิปปวาสสีมาก่อน ถอนสมานสังวาสสีมาภายหลังในการสมมติ  ให้สมมติสมานสังวาสสีมาก่อน สมมติติจีวราวิปปวาสสีมาภายหลัง

๔.

๔.๑

ภิกษุผู้ควรได้รับสมมติให้เป็นภัตตุทเทสกะ ต้องประกอบด้วยคุณสมบัติเช่นไร ?


๔.๒

ภัตรที่ควรแจกเฉพาะมีกี่อย่าง ?  อะไรบ้าง ?

๔.

๔.๑

ต้องประกอบด้วยคุณสมบัติดังนี้คือ

           ๑) เว้นอคติ  ๔  คือฉันทาคติ  โทสาคติ  โมหาคติ  ภยาคติ

           ๒) รู้จักภัตรที่ควรแจกหรือมิควรแจก

           ๓) รู้จักลำดับที่พึงแจก


๔.๒

มี  ๕  อย่างคือ

           ๑) อาคันตุกภัตร  อาหารที่เขาถวายเฉพาะภิกษุอาคันตุกะ

           ๒) คมิยภัตร  อาหารที่เขาถวายเฉพาะภิกษุผู้จะไปอยู่ที่อื่น

           ๓) คิลานภัตร  อาหารที่เขาถวายเฉพาะภิกษุอาพาธ

           ๔) คิลานุปัฏฐากภัตร  อาหารที่เขาถวายเฉพาะภิกษุผู้พยาบาลไข้

           ๕) กุฏิภัตร  อาหารที่เขาถวายแก่ภิกษุผู้อยู่ในกุฏิที่เขาสร้าง

๕.

๕.๑

อภัพบุคคลในอุปสมบทกรรมได้แก่บุคคลเช่นไร ?  โดยวัตถุมีกี่อย่าง ?  อะไรบ้าง ?


๕.๒

ปัจฉิมกิจแห่งการอุปสมบทมีอะไรบ้าง ?  ตอบเพียง ๒ ข้อ

๕.

๕.๑

ได้แก่บุคคลที่ไม่สมควรแก่การอุปสมบท อุปสมบทไม่ขึ้น ถูกห้ามอุปสมบทตลอดชีวิต  โดยวัตถุมี  ๓  คือ

           ๑) พวกที่มีเพศบกพร่อง  ไม่รู้ว่าเป็นชายหรือเป็นหญิง

           ๒) พวกประพฤติผิดพระธรรมวินัย เช่น ฆ่าพระอรหันต์ เป็นต้น

           ๓) พวกประพฤติผิดต่อกำเนิดของตน  คือฆ่ามารดาบิดา


๕.๒

มี  ๖  ข้อ  (ตอบเพียง ๒ ข้อ) คือ

           ๑) วัดเงาแดดในทันที                          

           ๒) บอกประมาณแห่งฤดู

           ๓) บอกส่วนแห่งวัน                           

           ๔) บอกสังคีติ

           ๕) บอกนิสสัย  ๔                   

           ๖) บอกอกรณียกิจ  ๔

๖.

๖.๑

วิวาทาธิกรณ์คืออะไร ?


๖.๒

วิวาทาธิกรณ์นั้น  ระงับด้วยอธิกรณสมถะกี่อย่าง ?  อะไรบ้าง ?

๖.

๖.๑

คืออธิกรณ์ที่เกิดจากการทะเลาะกัน โต้เถียงกัน โดยปรารภพระธรรมวินัย        


๖.๒

ด้วยอธิกรณสมถะ  ๒  อย่างคือ

           ๑) สัมมุขาวินัย 

           ๒) เยภุยยสิกา 

๗.

๗.๑

วุฏฐานวิธี  แปลว่าอะไร ?  ประกอบด้วยอะไรบ้าง ?


๗.๒

ในการทำวุฏฐานวิธีแต่ละอย่างนั้น  ต้องการสงฆ์จำนวนเท่าไร ?

๗.

๗.๑

แปลว่าระเบียบเป็นเครื่องออกจากอาบัติ ประกอบด้วย ปริวาส มานัต  ปฏิกัสสนา  และอัพภาน


๗.๒

การให้ปริวาส  ให้มานัต  และทำปฏิกัสสนาต้องการสงฆ์จตุวรรค 

การให้อัพภาน  ต้องการสงฆ์วีสติวรรค

พระราชบัญญัติคณะสงฆ์  พ.ศ. ๒๕๐๕, (ฉบับที่ ๒)  พ.ศ. ๒๕๓๕

๘.

๘.๑

ตามมาตรา ๑๒  แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์  กำหนดองค์ประกอบของมหาเถรสมาคมไว้อย่างไร ?


๘.๒

มหาเถรสมาคมมีอำนาจหน้าที่อย่างไร ?  ตอบเพียง ๒ ข้อ

๘.

๘.๑

กำหนดไว้ดังนี้

           สมเด็จพระสังฆราช ทรงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการโดยตำแหน่ง

           สมเด็จพระราชาคณะทุกรูป  เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง  และ

           พระราชาคณะซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้ง มีจำนวน

ไม่เกิน  ๑๒  รูป  เป็นกรรมการ


๘.๒

มีอำนาจหน้าที่อย่างนี้   (ตอบเพียง  ๒  ข้อ)    

           ๑) ปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปโดยเรียบร้อยดีงาม

           ๒) ปกครองและกำหนดการบรรพชาสามเณร

           ๓) ควบคุมและส่งเสริมการศาสนศึกษา  การศึกษาสงเคราะห์

             การสาธารณูปการ และการสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์

          ๔) รักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา

           ๕) ปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้หรือ

               กฎหมายอื่น

๙.

๙.๑

ตามมาตรา ๒๑  แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์  ให้จัดแบ่งเขตปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาคไว้อย่างไร ?


๙.๒

พระภิกษุจะต้องรับนิคหกรรมเมื่อทำผิดเช่นไร ? และได้รับนิคหกรรม

ให้สึก  ต้องสึกภายในเวลาเท่าไร ?

๙.

๙.๑

แบ่งดังนี้คือ     ๑) ภาค

                ๒) จังหวัด

                ๓) อำเภอ

                ๔) ตำบล

           ส่วนจำนวนและเขตปกครองดังกล่าวให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎมหาเถรสมาคม


๙.๒

เมื่อกระทำการล่วงละเมิดพระธรรมวินัย  และนิคหกรรมที่จะลงโทษ

แก่ภิกษุจะต้องเป็นนิคหกรรมตามพระธรรมวินัย

ต้องสึกภายใน ๒๔  ชั่วโมง  นับแต่เวลาที่ได้ทราบคำวินิจฉัยนั้น

๑๐.

๑๐.๑

พระภิกษุจะไม่สังกัดอยู่ในวัดใดวัดหนึ่งเลยได้หรือไม่ อ้างมาตราประกอบด้วย ?


๑๐.๒

เจ้าพนักงาน ตามความในประมวลกฎหมายอาญา ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์  ได้แก่ใคร ?

๑๐.

๑๐.๑

ไม่ได้,  ตามมาตรา  ๒๗ (๓)  แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์  ๒๕๐๕, 

(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕


๑๐.๒

ได้แก่พระภิกษุซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์  และไวยาวัจกร เป็นเจ้าพนักงานตามความในประมวลกฎหมายอาญา (มาตรา  ๔๕)


วิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก 2545

ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ  นักธรรมชั้นเอก

สอบในสนามหลวง

วันอาทิตย์ ที่  ๒๔  พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕

 ๑.    ๑.๑ คำว่า ญัตติ  อนุสาวนา  อปโลกนะ อุปสัมปทาเปกขะ ได้แก่อะไร ? จงชี้แจง

        ๑.๒  ภิกษุผู้สามารถสวดกรรมวาจาได้แม่นยำและสละสลวย ต้องพร้อมด้วยคุณสมบัติ

             อย่างไรบ้าง ?

 ๑.    ๑.๑ ญัตติ ได้แก่คำเผดียงสงฆ์

             อนุสาวนา ได้แก่คำประกาศปรึกษาและตกลงของสงฆ์

             อปโลกนะ ได้แก่การบอกกันในที่ประชุมสงฆ์ ไม่ต้องตั้งญัตติ

                          ไม่ต้องสวดอนุสาวนา

             อุปสัมปทาเปกขะ ได้แก่กุลบุตรผู้มุ่งอุปสมบท ฯ

        ๑.๒ อย่างนี้ คือ

                   ๑) รู้จักประเภทของอักขระ 

                   ๒) รู้จักฐานกรณ์ของอักขระ 

                   ๓) ว่าเป็น ฯ

 ๒.    ๒.๑ ภิกษุผู้นับเข้าในจำนวนสงฆ์ผู้ทำกรรมนั้นๆ ต้องเป็นภิกษุเช่นไร ?

        ๒.๒ เวลาทำสังฆกรรม ภิกษุที่อยู่ในสีมาเดียวกัน นับเข้าในจำนวนสงฆ์ผู้ทำกรรม

             ทั้งหมดใช่หรือไม่ ?  จงอธิบาย

 ๒.    ๒.๑ ต้องเป็นภิกษุปกติ ไม่ถูกสงฆ์ยกเสียจากหมู่ด้วยอุกเขปนียกรรม มีสังวาส

             เสมอด้วยสงฆ์ และเป็นสมานสังวาสของกันและกัน ฯ

        ๒.๒ ไม่ใช่ เพราะภิกษุที่เหลือจากจำนวนผู้ไม่มาเข้ากรรม เป็นผู้ควรให้ฉันทะ สงฆ์

             ทำกรรมเพื่อภิกษุใด ภิกษุนั้นก็ไม่นับเข้าในจำนวนสงฆ์ และไม่ใช่ผู้ควรให้ฉันทะ

             แต่เป็นผู้ควรเข้ากรรมนั้น ฯ

 ๓.    ๓.๑ วิสุงคามสีมา พัทธสีมา  ได้แก่สีมาเช่นไร ?

        ๓.๒ กฐิน เป็นสังฆกรรมอะไร ? การรับกฐิน ตลอดจนถึงกราน ต้องทำในสีมา

             อย่างเดียว หรือทำนอกสีมาก็ได้ ?

 ๓.    ๓.๑ วิสุงคามสีมา ได้แก่เขตที่สงฆ์ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตยกให้เป็น

             แผนกหนึ่งจากบ้าน ฯ  

             พัทธสีมา ได้แก่วิสุงคามสีมานั้นเองอันสงฆ์ผูกแล้ว คือสมมติเป็นสมานสังวาส

             สีมาแล้ว ฯ

        ๓.๒ เป็นญัตติทุติยกรรม ฯ การรับกฐิน การอปโลกน์เพื่อให้ผ้ากฐิน และการกรานกฐิน

             ทำในสีมาหรือนอกสีมาก็ได้ การสวดญัตติทุติยกรรมวาจาให้ผ้ากฐิน ต้องทำในสีมา

             อย่างเดียว ฯ

 ๔.    ๔.๑ กฐินจะเดาะหรือไม่เดาะ กำหนดรู้ได้อย่างไร ?

        ๔.๒ ผ้าที่ทรงห้ามใช้เป็นผ้ากฐินได้แก่ผ้าเช่นไรบ้าง ?

 ๔.    ๔.๑  กฐินเดาะ กำหนดรู้ได้ด้วยอาวาสปลิโพธและจีวรปลิโพธขาด หรือสิ้นเขตจีวรกาลที่

             ขยายออกไปอีก ๔ เดือน กฐินไม่เดาะ กำหนดรู้ได้ด้วยอาวาสปลิโพธหรือ จีวร

             ปลิโพธอย่างใดอย่างหนึ่งยังไม่ขาด และยังอยู่ในเขตจีวรกาลที่ขยายออกไปอีก ๔

             เดือน ฯ

        ๔.๒ เช่นนี้ คือ

                   ๑) ผ้าที่ไม่ได้เป็นสิทธิ เช่น ผ้าที่ขอยืมเขามา

                   ๒) ผ้าที่ได้มาโดยอาการอันมิชอบ คือทำนิมิตได้มา

                   ๓) ผ้าที่ได้มาโดยการพูดเลียบเคียง

                   ๔) ผ้าเป็นนิสสัคคีย์

                   ๕) ผ้าที่ได้มาโดยทางบริสุทธิ์ แต่เก็บไว้ค้างคืน ฯ

 ๕.    ๕.๑ ผู้ที่ถูกห้ามอุปสมบท เพราะทำผิดต่อพระศาสนา ได้แก่คนเช่นไร ?

        ๕.๒  ในเวลาสวดกรรมวาจานั้น กำหนดด้วยสงฆ์นิ่งอยู่จนถึงบาลีคำใด อุปสมบทกรรม

             จึงจะนับว่าเป็นการสำเร็จ ?

 ๕.    ๕.๑ ได้แก่

                   ๑) คนฆ่าพระอรหันต์      

                   ๒) คนทำร้ายภิกษุณี     

                   ๓) คนลักเพศ

                   ๔) ภิกษุไปเข้ารีตเดียรถีย์ 

                   ๕) ภิกษุต้องปาราชิกละเพศไปแล้ว

                   ๖) ภิกษุผู้ทำสังฆเภท                                    

                   ๗) คนทำร้ายพระศาสดาจนถึงห้อพระโลหิต ฯ

        ๕.๒ กำหนดด้วยสงฆ์นิ่งอยู่จนถึงคำว่า โส ภาเสยฺย ที่แปลว่า ท่านผู้นั้นพึงพูดท้ายอนุสาวนาที่ ๓ จึงนับว่าเป็นการสำเร็จ ฯ

 ๖.    ๖.๑ อนุวาทาธิกรณ์ที่เกิดขึ้นแล้วไม่รีบระงับ  มีผลเสียอย่างไร ?

        ๖.๒ ภิกษุผู้ต้องอนุวาทาธิกรณ์ พึงปฏิบัติอย่างไร ?

 ๖.    ๖.๑ มีผลเสีย คือทำให้เสียสีลสามัญญตาและเสียสามัคคี เป็นทางแตก เป็นนานา-

             สังวาส จนถึงเป็นนานานิกาย ฯ

        ๖.๒ พึงปฏิบัติอย่างนี้ คือ

                   ๑) เคารพในผู้พิจารณา

                   ๒) ให้การตามความเป็นจริง

                   ๓) พึงเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของสงฆ์

                   ๔) ไม่ขุ่นเคือง ฯ

 ๗.    ๗.๑  ลักษณะปกปิดอาบัตินั้น พระอรรถกถาจารย์ แสดงไว้กี่ประการ ?  อะไรบ้าง ?

        ๗.๒ ภิกษุผู้เป็นโจทก์ จงใจหาความเท็จใส่ภิกษุอื่น และภิกษุผู้เป็นจำเลย จงใจปกปิด

             ความประพฤติเสียของตนด้วยให้การเท็จ  สงฆ์พึงนิคคหะด้วยกรรมอะไร ?

 ๗.    ๗.๑ แสดงไว้ ๑๐ ประการ จัดเป็น ๕ คู่ คือ

                   ๑) เป็นอาบัติ และรู้ว่าเป็นอาบัติ

                   ๒) เป็นปกตัตตะ และรู้ว่าเป็นปกตัตตะ

                   ๓) ไม่มีอันตราย และรู้ว่าไม่มีอันตราย

                   ๔) อาจอยู่ และรู้ว่าอาจอยู่

                   ๕) ใคร่จะปิด และปิดไว้ ฯ

        ๗.๒ สงฆ์พึงทำ ตัชชนียกรรม แก่ภิกษุผู้เป็นโจทก์  และตัสสปาปิยสิกากรรม แก่

             ภิกษุผู้เป็นจำเลย ฯ

พระราชบัญญัติคณะสงฆ์  พ.ศ.  ๒๕๐๕,  (ฉบับที่  ๒)  พ.ศ.  ๒๕๓๕

 ๘.    ๘.๑ ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ใครเป็นผู้สถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ?

             ตอบโดยอ้างมาตรา

        ๘.๒ คำว่า คณะสงฆ์ และคณะสงฆ์อื่น แห่งมาตรา ๕ ทวิ ในพระราชบัญญัติ

             คณะสงฆ์หมายถึงใคร ?

 ๘.    ๘.๑ มาตรา ๗  พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่ง ฯ

        ๘.๒ คณะสงฆ์ หมายถึงบรรดาพระภิกษุที่ได้รับบรรพชาอุปสมบทจากพระ

             อุปัชฌาย์ ตามพระราชบัญญัตินี้ หรือตามกฎหมายที่ใช้บังคับก่อนพระราช-

             บัญญัตินี้ ไม่ว่าจะปฏิบัติศาสนกิจในหรือนอกราชอาณาจักร ฯ

             คณะสงฆ์อื่น  หมายถึงบรรดาบรรพชิตจีนนิกายหรืออนัมนิกาย ฯ

 ๙.    ๙.๑  คณะสงฆ์จะตั้งเป็นอิสระ ไม่อยู่ภายใต้การปกครองของมหาเถรสมาคมได้หรือไม่?

             จงอ้างมาตรา

        ๙.๒ จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้

ก)   ที่วัด             

ข) ที่ธรณีสงฆ์      

ค) ที่กัลปนา

 ๙.    ๙.๑  ไม่ได้ ต้องปฏิบัติตามมาตรา ๒๐ ความว่า คณะสงฆ์ต้องอยู่ภายใต้การปกครอง

             ของมหาเถรสมาคม ฯ

        ๙.๒       ก) ที่วัด         คือที่ซึ่งตั้งวัดตลอดจนเขตของวัดนั้น

                   ข) ที่ธรณีสงฆ์  คือที่ซึ่งเป็นสมบัติของวัด

                   ค) ที่กัลปนา    คือที่ซึ่งมีผู้อุทิศแต่ผลประโยชน์ให้วัดหรือพระศาสนา ฯ

๑๐. ๑๐.๑ ผู้มิได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ หรือถูกถอดถอนจากความเป็นพระอุปัชฌาย์

             กระทำการบรรพชาอุปสมบทแก่บุคคลอื่น ต้องระวางโทษอย่างไร ?

      ๑๐.๒  ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการมหาเถรสมาคมคือใคร?

๑๐. ๑๐.๑ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี ฯ

      ๑๐.๒ คืออธิบดีกรมการศาสนาโดยตำแหน่ง  ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ มาตรา ๑๓ ความว่า ให้อธิบดีกรมการศาสนาเป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง ฯ