วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

วินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก 2543

ปัญหาและเฉลยวินัยบัญญัติ  นักธรรมชั้นเอก

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓

วันเสาร์ ที่  ๑๘  พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓

------------------------------

๑.

๑.๑

การตั้งญัตติและสวดอนุสาวนามีอยู่ในกรรมอะไรบ้าง ในสังฆกรรม

ทั้ง ๔ ?


๑.๒

สังฆกรรม ๔ นั้น อย่างไหนต้องทำในสีมา อย่างไหนทำนอกสีมาก็ได้ ?

๑.

๑.๑

การตั้งญัตติ มีในญัตติกรรม ญัตติทุติยกรรม และญัตติจตุตถกรรม

ส่วนการสวดอนุสาวนา มีในญัตติทุติยกรรม และญัตติจตุตถกรรม


๑.๒

ญัตติกรรม ญัตติทุติยกรรม และญัตติจตุตถกรรม ต้องทำในสีมาเท่านั้น              ทำนอกสีมาไม่ได้ เพราะต้องตั้งญัตติ ส่วนอปโลกนกรรม ทำนอกสีมา

ก็ได้ เพราะไม่ต้องตั้งญัตติ

๒.

๒.๑

พัทธสีมามีกำหนดขนาดพื้นที่ไว้หรือไม่ ?  ถ้ามี กำหนดไว้อย่างไร ?


๒.๒

สถานที่ที่เป็นสีมาตามพระวินัยไม่ได้ มีหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ?

๒.

๒.๑

มีกำหนดไว้ คือกำหนดไม่ให้สมมติสีมาเล็กเกินไปจนจุภิกษุ ๒๑ รูป นั่งไม่ได้และไม่ให้สมมติสีมาใหญ่เกินไปกว่า ๓ โยชน์   สีมาเล็กเกินไปใหญ่เกินไป เป็นสีมาวิบัติ ใช้ไม่ได้


๒.๒

ไม่มี  เพราะในป่าที่ไม่มีบ้าน ก็จัดเป็นสัตตัพภันตรสีมา ในน่านน้ำที่ได้ขนาด ก็จัดเป็นอุทกุกเขปสีมา ผืนแผ่นดินที่มีหมู่บ้านก็จัดเป็นคามสีมา แม้สีมันตริกซึ่งคั่นระหว่างมหาสีมากับขัณฑสีมาก็จัดเป็นคามสีมา

๓.

๓.๑

คำว่า “เจ้าอธิการ” ในพระวินัยหมายถึงใคร ?  มีกี่แผนก ?  อะไรบ้าง ?


๓.๒

การให้ภิกษุถือเสนาสนะเป็นหน้าที่ของใคร ?  ผู้นั้นพึงปฏิบัติอย่างไร ?

๓.

๓.๑

หมายถึงภิกษุที่สงฆ์สมมติให้เป็นเจ้าหน้าที่ทำกิจการของสงฆ์

มี ๕ แผนก คือ



     ๑) เจ้าอธิการแห่งจีวร

     ๒) เจ้าอธิการแห่งอาหาร

     ๓) เจ้าอธิการแห่งเสนาสนะ

     ๔) เจ้าอธิการแห่งอาราม

     ๕) เจ้าอธิการแห่งคลัง



๓.๒

เป็นหน้าที่ของเจ้าอธิการแห่งเสนาสนะ พึงปฏิบัติอย่างนี้ คือ เจ้าอธิการแห่งเสนาสนะพึงกำหนดฐานะของภิกษุผู้ถือเสนาสนะว่า เป็นผู้ใหญ่หรือผู้น้อย เป็นผู้มีอุปการะแก่สงฆ์หรือหามิได้ เป็นผู้เล่าเรียนหรือประกอบกิจในทางใดบ้าง เป็นต้น แล้วพึงให้ถือเสนาสนะ

๔.

๔.๑

วัดมีพระจำพรรษาวัดละ ๒ รูปบ้าง ๓ รูปบ้าง ทายกประสงค์จะถวายกฐิน  นิมนต์พระมารวมในวัดเดียวกันเพื่อรับกฐิน  เป็นกฐินหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ?


๔.๒

ในคัมภีร์บริวาร ภิกษุผู้ควรกรานกฐินประกอบด้วยองค์เท่าไร  ?  บอกมา  ๓  ข้อ

๔.

๔.๑

ไม่เป็นกฐิน เพราะองค์กำหนดสิทธิของภิกษุผู้จะกรานกฐินมี ๓ คือ



     ๑) เป็นผู้จำพรรษาถ้วนไตรมาสไม่ขาด

     ๒) อยู่ในอาวาสเดียวกัน

     ๓) ภิกษุมีจำนวนตั้งแต่ ๕ รูปขึ้นไป


๔.๒

ประกอบด้วยองค์ ๘  (เลือกตอบเพียง ๓ ข้อ)



     ๑) รู้จักบุพพกรณ์

     ๒) รู้จักถอนไตรจีวร

     ๓) รู้จักอธิษฐานไตรจีวร

     ๔) รู้จักการกราน

     ๕) รู้จักมาติกาคือหัวข้อแห่งการเดาะกฐิน

     ๖) รู้จักปลิโพธกังวลเป็นเหตุยังไม่เดาะกฐิน

     ๗) รู้จักการเดาะกฐิน

     ๘) รู้จักอานิสงส์กฐิน

๕.

๕.๑

จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้   ๑. ปฏิจฉันนาบัติ   ๒. อันตราบัติ


๕.๒

สัมมุขาวินัยมีองค์เท่าไร ?  อะไรบ้าง ?

๕.

๕.๑

๑) ปฏิจฉันนาบัติ หมายถึง อาบัติที่ภิกษุต้องแล้วปกปิดไว้

๒) อันตราบัติ หมายถึง อาบัติสังฆาทิเสสที่ภิกษุต้องเข้าอีกระหว่าง

     ประพฤติวุฏฐานวิธี


๕.๒

มีองค์ ๔ คือ



     ๑) ในที่พร้อมหน้าสงฆ์

     ๒) ในที่พร้อมหน้าธรรม


     ๓) ในที่พร้อมหน้าวินัย

     ๔) ในที่พร้อมหน้าบุคคล

๖.

๖.๑

การคว่ำบาตรในทางพระวินัยมีความหมายว่าอย่างไร ?


๖.๒

การคว่ำบาตรนี้ สงฆ์ทำแก่ผู้ประพฤติเช่นไร ?  บอกมา ๓ ข้อ

๖.

๖.๑

มีความหมายว่าไม่ให้คบค้าสมาคมด้วยลักษณะ ๓ ประการคือ



     ๑) ไม่รับบิณฑบาตของเขา

     ๒) ไม่รับนิมนต์ของเขา

     ๓) ไม่รับไทยธรรมของเขา


๖.๒

ทำแก่คฤหัสถ์  (เลือกตอบเพียง ๓ ข้อ)



     ๑) ขวนขวายเพื่อไม่ใช่ลาภแห่งภิกษุทั้งหลาย

     ๒) ขวนขวายเพื่อไม่ใช่ประโยชน์แห่งภิกษุทั้งหลาย

     ๓) ขวนขวายเพื่ออยู่ไม่ได้แห่งภิกษุทั้งหลาย

     ๔) ด่าว่าเปรียบเปรยภิกษุทั้งหลาย

     ๕) ยุยงภิกษุทั้งหลายให้แตกกัน

     ๖) กล่าวติเตียนพระพุทธ

     ๗) กล่าวติเตียนพระธรรม

     ๘) กล่าวติเตียนพระสงฆ์

๗.

๗.๑

ใครเป็นผู้ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน หรือเป็นผู้ขวนขวายเพื่อทำลายสงฆ์ได้ ?


๗.๒

เหตุที่สงฆ์จะแตกกันมีอะไรบ้าง ?   จะป้องกันได้ด้วยวิธีอย่างไร  ?

๗.

๗.๑

ภิกษุผู้ปกตัตตะเป็นสมานสังวาส อยู่ในสีมาเดียวกันเท่านั้น ย่อมอาจทำลายสงฆ์ให้แตกกันเป็นก๊กเป็นพวกได้ นางภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกา หาอาจทำลายสงฆ์ให้แตกกันได้ไม่ เป็นได้เพียงขวนขวายเพื่อทำลายสงฆ์เท่านั้น


๗.๒

มี ๒ อย่างคือ



     ๑) มีความเห็นปรารภพระธรรมวินัยแตกต่างกันจนเกิดเป็นอธิกรณ์

     ๒) ความประพฤติปฏิบัติไม่เสมอกัน ยิ่งหย่อนกว่ากันแล้วเกิดความ

          รังเกียจกันขึ้น



จะป้องกันได้ด้วย ๒ วิธีคือ



     ๑) ต้องส่งเสริมและกวดขันการศึกษาพระธรรมวินัย ให้มีความ

          เห็นชอบเหมือนกัน


     ๒) ต้องส่งเสริมและกวดขันความประพฤติของภิกษุทั้งหลาย

         ให้เสมอกัน ไม่ให้เป็นทางรังเกียจกัน






    พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕, (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕

๘.

๘.๑

กรรมการมหาเถรสมาคมดำรงอยู่ในตำแหน่งคราวละกี่ปี ?


๘.๒

ผู้จะดำรงตำแหน่งเลขาธิการมหาเถรสมาคม มีกำหนดไว้อย่างไร ?

๘.

๘.๑

กรรมการมหาเถรสมาคมที่เป็นสมเด็จพระราชาคณะ ไม่มีกำหนดเวลา ส่วนกรรมการมหาเถรสมาคมที่สมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้ง ดำรงอยู่ในตำแหน่งคราวละ ๒ ปี


๘.๒

มีกำหนดไว้ว่าต้องเป็นอธิบดีกรมการศาสนา (โดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕, (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๓ ความว่า  ให้อธิบดีกรมการศาสนาเป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง)

๙.

๙.๑

ในกรณียุบเลิกวัด ทรัพย์สินของวัดนั้นจะพึงตกแก่ใคร  ?


๙.๒

การดูแลและจัดการศาสนสมบัติ กำหนดให้เป็นหน้าที่ของใคร ?

๙.

๙.๑

ให้ตกเป็นของศาสนสมบัติกลาง จะแบ่งให้ใครไม่ได้ (มาตรา ๓๒ วรรค ๒ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕, (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕)


๙.๒

การดูแลและจัดการศาสนสมบัติกลาง    กำหนดให้เป็นหน้าที่ของกรมการศาสนา

การดูแลและจัดการศาสนสมบัติของวัด กำหนดให้เป็นหน้าที่ของ      เจ้าอาวาส

(การดูแลและจัดการศาสนสมบัติกลาง บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๐ ว่า ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกรมการศาสนา เพื่อการนี้ให้ถือว่ากรมการศาสนาเป็นเจ้าของศาสนสมบัติกลางนั้นด้วย และมาตรา ๔๑ ว่า ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำงบประมาณประจำปีของศาสนสมบัติกลาง ด้วยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม และเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้งบประมาณนั้นได้ ส่วนการดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติของวัดมีในมาตรา ๓๗ (๑) ว่า เจ้าอาวาสมีหน้าที่บำรุงรักษาวัด จัด    กิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดีและใน  มาตรา ๔๐ ว่า การดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติของวัด ให้เป็นไปตามวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง)

๑๐.

๑๐.๑

เจ้าอาวาส ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๔ ใครเป็นผู้แต่งตั้ง ?


๑๐.๒

เจ้าอาวาสผู้ได้รับแต่งตั้งมีหน้าที่อย่างไร ?

๑๐.

๑๐.๑

สมเด็จพระสังฆราช ทรงแต่งตั้งเจ้าอาวาสพระอารามหลวง

เจ้าคณะจังหวัด แต่งตั้งเจ้าอาวาสวัดราษฎร์


๑๐.๒

เจ้าอาวาสมีหน้าที่ตามมาตรา ๓๗ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕, (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ดังนี้



     ๑) บำรุงรักษาวัด จัดกิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี

     ๒) ปกครองและสอดส่องให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ที่มีที่อยู่หรือพำนัก

          อาศัยอยู่ในวัดนั้น ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย กฎมหาเถรสมาคม

          ข้อบังคับ ระเบียบ หรือคำสั่งของมหาเถรสมาคม

     ๓) เป็นธุระในการศึกษาอบรม และสั่งสอนพระธรรมวินัยแก่บรรพชิต

          และคฤหัสถ์

     ๔) ให้ความสะดวกตามสมควรในการบำเพ็ญกุศล


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น