วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

วิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท 2544

 วิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท 2544


ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ  นักธรรมชั้นโท

สอบในสนามหลวง

วันจันทร์ ที่  ๕  พฤศจิกายน  พ.ศ. ๒๕๔๔

๑.

๑.๑

พระวินัย  แบ่งออกเป็นกี่อย่าง ?  อะไรบ้าง ?


๑.๒

จะปฏิบัติพระวินัยอย่างไร  จึงจะเรียกได้ว่า  พอดีพองาม ?

๑.

๑.๑

แบ่งออกเป็น  ๒  อย่างคือ 

           อาทิพรหมจริยกาสิกขาบท ๑   อภิสมาจาร ๑


๑.๒

ต้องปฏิบัติพระวินัยโดยสายกลาง คือไม่ถือเคร่งครัดอย่างงมงาย

จนเป็นเหตุต้องทำตนให้เป็นคนลำบาก  เพราะเหตุธรรมเนียมเล็ก ๆ น้อย ๆ อันขัดต่อกาลเทศะ และไม่สะเพร่ามักง่าย ละเลยต่อ

ธรรมเนียมของภิกษุ จนถึงทำตนให้เป็นคนเลวทราม จึงจะเรียกได้ว่า  พอดีพองาม

๒.

๒.๑

ภิกษุผู้ไม่เอื้อเฟื้อในอภิสมาจารมีโทษอย่างไรบ้าง ?


๒.๒

ภิกษุเปลือยกายด้วยอาการอย่างไรบ้าง ที่เป็นเหตุให้ต้องอาบัติและ

ไม่ต้องอาบัติ ?

๒.

๒.๑

มีโทษปรับอาบัติถุลลัจจัยเป็นอย่างสูง  แต่มีน้อย  ส่วนมากปรับอาบัติทุกกฏเป็นพื้น


๒.๒

ถ้าเปลือยกายเป็นวัตรอย่างเดียรถีย์  ต้องอาบัติถุลลัจจัย 

ถ้าเปลือยกายทำกิจแก่กัน คือไหว้ รับไหว้ ทำบริกรรม ให้ของ รับของ 

เปลือยกายในเวลาฉันและดื่ม  ต้องอาบัติทุกกฏ 

แต่ในเรือนไฟและในน้ำ  ไม่ต้องอาบัติ

๓.

๓.๑

พระพุทธองค์ทรงอนุญาตผ้าสำหรับทำจีวรไว้กี่ชนิด ?  อะไรบ้าง ?


๓.๒

วัสสิกสาฎกได้แก่ผ้าเช่นไร ?  มีจำกัดประมาณ กว้าง ยาว ไว้อย่างไร ?

๓.

๓.๑

ทรงอนุญาตไว้  ๖  ชนิดคือ

           ๑) โขมะ  ผ้าทำด้วยเปลือกไม้

           ๒) กัปปาสิกะ  ผ้าทำด้วยฝ้าย

           ๓) โกเสยยะ  ผ้าทำด้วยไหม

           ๔) กัมพละ  ผ้าทำด้วยขนสัตว์

           ๕) สาณะ  ผ้าทำด้วยเปลือกป่าน

           ๖) ภังคะ  ผ้าทำด้วยของ ๕ อย่างนั้น แต่อย่างใดอย่างหนึ่งปนกัน


๓.๒

ได้แก่ผ้าอาบน้ำฝน มีจำกัดประมาณยาว ๖ คืบ  กว้าง ๒ คืบครึ่ง  แห่งคืบพระสุคต

๔.

๔.๑

อาจารย์ทางพระวินัยตามนัยอรรถกถามีเท่าไร ?  อะไรบ้าง ?


๔.๒

อาจารย์เหล่านั้นทำหน้าที่ต่างกันอย่างไร ?

๔.

๔.๑

มี  ๔  คือ 

           ปัพพชาจารย์ ๑  

           อุปสัมปทาจารย์ ๑  

           นิสสยาจารย์ ๑  

           อุทเทสาจารย์ ๑


๔.๒

ทำหน้าที่ต่างกัน  คือ

           ปัพพชาจารย์  ทำหน้าที่ให้สรณคมน์เมื่อบรรพชา

           อุปสัมปทาจารย์  ทำหน้าที่สวดกรรมวาจาเมื่ออุปสมบท

           นิสสยาจารย์  ทำหน้าที่ให้นิสัย

           อุทเทสาจารย์  ทำหน้าที่สอนธรรม


๕.

๕.๑

คำว่า  ถือนิสัย  หมายความว่าอะไร ?


๕.๒

จงเขียนคำขอนิสัยอาจารย์พร้อมทั้งคำแปล

๕.

๕.๑

หมายความว่า ยอมตนอยู่ในความปกครองของพระเถระผู้มีคุณสมบัติควรปกครองตนได้ ยอมตนให้ท่านปกครองพึ่งพิงพำนักอาศัยท่าน


๕.๒

คำขอนิสัยอาจารย์ว่าดังนี้  " อาจริโย  เม  ภนฺเต  โหหิ ,  อายสฺมโต  นิสฺสาย วจฺฉามิ " ซึ่งแปลว่า " ขอท่านจงเป็นอาจารย์ของข้าพเจ้า    ข้าพเจ้าจักอยู่อาศัยท่าน "

๖.

๖.๑

ภิกษุเช่นไร  ชื่อว่า  นวกะ  มัชฌิมะ  เถระ ?


๖.๒

วัตรอันภิกษุควรประพฤติในคำว่า  วตฺตสมฺปนฺโน  นั้นคืออะไรบ้าง ?

๖.

๖.๑

ภิกษุมีพรรษาไม่ถึง  ๕  เรียกว่า  นวกะ

ภิกษุมีพรรษาตั้งแต่  ๕  ขึ้นไป  แต่ยังไม่ถึง  ๑๐  เรียกว่า  มัชฌิมะ

ภิกษุมีพรรษาตั้งแต่  ๑๐  ขึ้นไป  เรียกว่า  เถระ


๖.๒

คือ        ๑) กิจวัตร  ว่าด้วยกิจอันควรทำ

           ๒) จริยาวัตร  ว่าด้วยมารยาทอันควรประพฤติ

           ๓) วิธิวัตร  ว่าด้วยแบบอย่าง

๗.

๗.๑

ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาไม่ขาดย่อมได้อานิสงส์เท่าไร ?  อะไรบ้าง ?


๗.๒

ภิกษุพึงประชุมกันสวดพระปาฏิโมกข์ในวันเช่นไรบ้าง ?

๗.

๗.๑

ได้อานิสงส์  ๕  คือ

           ๑) เที่ยวไปโดยไม่ต้องบอกลาตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรค

           ๒) เที่ยวจาริกไปไม่ต้องนำไตรจีวรไปครบสำรับ

           ๓) ฉันคณโภชน์  และปรัมปรโภชน์ได้

           ๔) เก็บอติเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา

           ๕) จีวรที่เกิดขึ้นในที่นั้น  จักเป็นของได้แก่พวกเธอ


๗.๒

ในวันพระจันทร์เพ็ญ (ดิถีขึ้น ๑๕ ค่ำ) วันพระจันทร์ดับ (ดิถีแรม ๑๕ ค่ำ หรือ ๑๔  ค่ำ)  และวันสามัคคี

๘.

๘.๑

ภิกษุจำพรรษา ๑ รูป ๒, ๓, ๔, ๕ รูป เมื่อถึงวันปวารณาพึงปฏิบัติอย่างไร ?


๘.๒

เหตุที่ทำให้เลื่อนปวารณาได้มีกี่อย่าง ?  อะไรบ้าง ?

๘.

๘.๑

พึงปฏิบัติอย่างนี้  ภิกษุ  ๑  รูป  พึงอธิษฐานเป็นการบุคคล, ภิกษุ ๒, ๓, ๔ รูป พึงทำคณะปวารณา, ภิกษุ ๕ รูปขึ้นไปพึงทำสังฆปวารณา


๘.๒

มี  ๒  อย่างคือ

           ๑) ภิกษุจะเข้ามาสมทบปวารณาด้วย ด้วยหมายจะคัดค้าน

                ผู้นั้นผู้นี้  ทำให้เกิดอธิกรณ์ขึ้น

           ๒) อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก  ปวารณาแล้วต่างจะจากกันจาริกไปเสีย

๙.

๙.๑

การทำนอกรีตนอกรอยของสมณะ เรียกว่าอะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?


๙.๒

จงบอกความหมายของแต่ละอย่างด้วย

๙.

๙.๑

เรียกว่า  อุปปถกิริยา,  มี  ๓  อย่างคือ 

           อนาจาร ๑  ปาปสมาจาร ๑   อเนสนา ๑


๙.๒

ความประพฤติไม่ดีไม่งาม และเล่นมีประการต่าง ๆ จัดเข้าในอนาจาร                       

ความประพฤติเลวทราม  จัดเข้าในปาปสมาจาร

ความเลี้ยงชีพไม่สมควร  จัดเข้าในอเนสนา

๑๐.

๑๐.๑

ลหุภัณฑ์ และครุภัณฑ์ที่เป็นของสงฆ์ คือของเช่นไร ? อย่างไหนแจกกันได้  และไม่ได้ ?


๑๐.๒

วินัยกรรม  กับสังฆกรรม  ต่างกันอย่างไร ?

๑๐.

๑๐.๑

ลหุภัณฑ์ คือของเบา มีบิณฑบาต เภสัช กับบริขารที่จะใช้สำหรับตัว  คือบาตร จีวร ประคดเอว  เข็ม  มีดพับ มีดโกน เป็นของที่แจกกันได้

ครุภัณฑ์ คือของหนัก ไม่ใช่ของสำหรับใช้สิ้นไป เป็นของควรรักษาไว้ได้นาน เป็นเครื่องใช้ในเสนาสนะ หรือเป็นตัวเสนาสนะเอง ตลอดถึงกุฎีและที่ดิน เป็นของที่แจกกันไม่ได้


๑๐.๒

ต่างกันอย่างนี้ กรรมที่ภิกษุแต่ละรูปหรือหลายรูปจะพึงกระทำตามพระวินัย เช่น การแสดงอาบัติ อธิษฐาน วิกัป เป็นต้น เรียกว่าวินัยกรรม

กรรมที่ภิกษุครบองค์สงฆ์จตุวรรคเป็นต้น พึงทำเป็นการสงฆ์ เช่น 

อปโลกนกรรม  ญัตติกรรม เป็นต้น  เรียกว่าสังฆกรรม

วินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท 2543

 วินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท 2543


ปัญหาและเฉลยวินัยบัญญัติ  นักธรรมชั้นโท

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓

วันเสาร์ ที่  ๑๘  พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓

------------------------------

๑.

๑.๑

สิกขาบทนอกพระปาฏิโมกข์เรียกว่าอะไร ?  ทรงบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ?


๑.๒

กายบริหาร ข้อที่ ๓ และข้อที่ ๗ มีความว่าอย่างไร ?

๑.

๑.๑

เรียกว่า อภิสมาจาร ทรงบัญญัติไว้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของภิกษุ และเพื่อความงามของพระศาสนา เช่นเดียวกับตระกูลใหญ่ จำต้องมีขนบธรรมเนียมและระเบียบไว้รักษาเกียรติและความเป็นผู้ดีของตระกูล


๑.๒

มีความว่าดังนี้



ข้อที่  ๓  อย่าพึงไว้เล็บยาว การขัดมลทินหรือแคะมูลเล็บเป็นกิจควรทำ



ข้อที่ ๗ อย่าพึงแต่งเครื่องประดับต่างๆ เช่น ตุ้มหู สายสร้อยและแหวน    เป็นต้น

๒.

๒.๑

บาตรที่ทรงอนุญาตมีกี่ชนิด ? อะไรบ้าง ?  บาตรแสตนเลสจัดเข้าในชนิดไหน ?


๒.๒

บาตรที่ทรงห้ามมีกี่ชนิด ?  อะไรบ้าง ?

๒.

๒.๑

มี ๒ ชนิด คือ ๑ บาตรดินเผา ๒ บาตรเหล็ก บาตรแสตนเลสจัดเข้าในบาตรเหล็ก


๒.๒

มี ๑๑ ชนิด คือ ๑ บาตรทอง  ๒ บาตรเงิน  ๓ บาตรแก้วมณี  ๔ บาตรแก้วไพฑูรย์ ๕ บาตรแก้วผลึก  ๖ บาตรแก้วหุง  ๗ บาตรทองแดง  ๘ บาตรทองเหลือง  ๙ บาตรดีบุก  ๑๐ บาตรสังกะสี  ๑๑ บาตรไม้

๓.

๓.๑

นิสัยคืออะไร ? เหตุให้นิสัยระงับมีเท่าไร ?  อะไรบ้าง ?


๓.๒

ภิกษุเช่นไรควรได้นิสัยมุตตกะ ?

๓.

๓.๑

นิสัย คือ กิริยาที่พึ่งพิงของสัทธิวิหาริกและอันเตวาสิก ต่อพระอุปัชฌาย์และพระอาจารย์

เหตุให้นิสัยระงับจากพระอุปัชฌาย์ มี ๕ คือ ๑ หลีกไปเสีย  ๒ สึกเสีย            ๓ ตายเสีย  ๔ ไปเข้ารีตเดียรถีย์  ๕ สั่งบังคับ


ส่วนเหตุให้นิสัยระงับจากพระอาจารย์ เพิ่มอีก ๑ ข้อ คือ อันเตวาสิกรวมเข้ากับพระอุปัชฌาย์ของเธอ


๓.๒

ภิกษุผู้ควรได้นิสัยมุตตกะ คือ

     ๑) เป็นผู้มีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ สติ

     ๒) เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล อาจาระ ความเห็นชอบ เคยได้ยินได้ฟัง

          มามาก มีปัญญา

     ๓) รู้จักอาบัติ มิใช่อาบัติ อาบัติเบา อาบัติหนัก จำพระปาฏิโมกข์ได้

         แม่นยำ ทั้งมีพรรษาพ้น ๕

๔.

๔.๑

วัตรคืออะไร ?  มีกี่อย่าง ?  อะไรบ้าง ?


๔.๒

วัตถุอนามาสคืออะไร ?  มีอะไรบ้าง ?

๔.

๔.๑

วัตรคือแบบอย่างอันภิกษุควรประพฤติในกาลนั้น ๆ ในที่นั้น ๆ ในกิจนั้น ๆ แก่บุคคลนั้น ๆ มี ๓ อย่าง คือ  ๑ กิจวัตร   ๒ จริยาวัตร   ๓ วิธิวัตร


๔.๒

วัตถุอนามาส คือวัตถุไม่ควรจับต้อง มีดังนี้



     ๑) ผู้หญิง รวมทั้งเครื่องแต่งกาย ทั้งรูปที่ทำมีสัณฐานเช่นนั้น และ

          ดิรัจฉานตัวเมีย

     ๒) ทอง เงิน และรัตนะ

     ๓) ศัสตราวุธ

     ๔) เครื่องดักสัตว์

     ๕) เครื่องประโคมทุกอย่าง

     ๖) ข้าวเปลือก และผลไม้อันเกิดอยู่ในที่

๕.

๕.๑

กิจอันสงฆ์จะพึงทำก่อนสวดปาฏิโมกข์มีกี่อย่าง ?  อะไรบ้าง ?


๕.๒

สงฆ์สวดปาฏิโมกข์อยู่ ภิกษุอื่นมาถึง หรือมาถึงเมื่อสวดจบแล้ว พึงปฏิบัติ

อย่างไร ?

๕.

๕.๑

มี ๙ อย่างคือ ๑ กวาดโรงอุโบสถ   ๒ ตามประทีป   ๓ ปูอาสนะ 

๔ ตั้งน้ำฉันน้ำใช้  ๕ นำปาริสุทธิของภิกษุผู้เจ็บไข้มา   ๖ นำฉันทะ

ของเธอมาด้วย    ๗ บอกฤดู   ๘ นับภิกษุ   ๙ สั่งสอนนางภิกษุณี


๕.๒

พึงปฏิบัติอย่างนี้ คือ ถ้าภิกษุมาใหม่มากกว่าภิกษุที่ประชุมกันอยู่ ต้องสวดตั้งต้นใหม่  ถ้าเท่ากันหรือน้อยกว่า ส่วนที่สวดไปแล้วก็แล้วกันไป ให้ภิกษุที่มาใหม่ฟังส่วนที่ยังเหลืออยู่ต่อไป ถ้ามาเมื่อสวดจบแล้ว แม้มากกว่า ก็ไม่ต้องสวดซ้ำอีก ให้ภิกษุที่มาใหม่บอกปาริสุทธิในสำนักภิกษุ     ผู้สวดผู้ฟังปาฏิโมกข์แล้ว

๖.

๖.๑

ความรู้อะไรบ้างที่จัดเป็นดิรัจฉานวิชา ?


๖.๒

ภิกษุประพฤติเช่นไรเรียกว่าทำศรัทธาไทยให้ตกไป ?

๖.

๖.๑

ความรู้ที่จัดเป็นดิรัจฉานวิชา คือ



     ๑) ความรู้ในทางทำเสน่ห์

     ๒) ความรู้ในทางทำให้ผู้นั้นผู้นี้ถึงความวิบัติ

     ๓) ความรู้ในทางใช้ภูตผีอวดฤทธิ์เดชต่าง ๆ

     ๔) ความรู้ในทางทำนายทายทัก

     ๕) ความรู้อันทำให้หลงงมงาย เช่น หุงปรอท


๖.๒

ภิกษุรับของที่เขาถวาย เพื่อเกื้อกูลแก่พระศาสนาแล้ว ไม่บริโภค แต่ กลับนำไปให้แก่คฤหัสถ์เสีย ทำให้ผู้บริจาคเสื่อมศรัทธา เช่นนี้เรียกว่า ทำศรัทธาไทยให้ตกไป (ยกเว้น อนามัฏฐบิณฑบาต ทรงอนุญาตพิเศษ ให้แก่มารดาบิดาได้)

๗.

๗.๑

อเนสนาได้แก่อะไร ?  มีอะไรบ้าง ?


๗.๒

การทำวิญญัติคือการทำอย่างไร ?  จัดเข้าในอุปปถกิริยาประเภทไหน ?

๗.

๗.๑

อเนสนาได้แก่ กิริยาแสวงหาเลี้ยงชีพในทางไม่สมควร แสดงโดยเค้ามี ๒ อย่างคือ



     ๑) การแสวงหาเป็นโลกวัชชะ มีโทษทางโลก

     ๒) การแสวงหาเป็นปัณณัตติวัชชะ มีโทษทางพระบัญญัติ


๗.๒

การทำวิญญัติ คือ การออกปากขอของต่อบุคคลที่ไม่ควรขอ หรือในเวลาที่ไม่ควรขอ  เช่น ขอต่อคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณา ขอในยามปกติที่มิได้ทรงอนุญาต เป็นต้น จัดเข้าในอุปปถกิริยาประเภทอเนสนา

๘.

๘.๑

จงให้ความหมายของคำว่า   กาลิก   ยาวกาลิก   ยามกาลิก   สัตตาหกาลิก ยาวชีวิก


๘.๒

น้ำอ้อยเป็นกาลิกอะไร ?

๘.

๘.๑

กาลิก คือของที่จะพึงกลืนให้ล่วงลำคอลงไป

ยาวกาลิก คือของที่ให้บริโภคได้ชั่วคราว ตั้งแต่เช้าชั่วเที่ยงวัน

ยามกาลิก คือของที่ให้บริโภคได้ชั่วคราว คือ ๑ วัน กับ ๑ คืน

สัตตาหกาลิก คือของที่ให้บริโภคได้ชั่วคราว ๗ วัน

ยาวชีวิก คือของที่ให้บริโภคได้เสมอ ไม่จำกัดกาล


๘.๒

ถ้าเป็นน้ำอ้อยสด จัดเป็นยามกาลิก

ถ้าเป็นน้ำอ้อยเคี่ยวจนแข้นแข็ง จัดเป็นสัตตาหกาลิก

๙.

๙.๑

อุกเขปนียกรรม สงฆ์ควรทำแก่ภิกษุผู้ประพฤติเช่นไร ?


๙.๒

อธิษฐาน (บริขาร) มีกี่อย่าง ?  อะไรบ้าง ?

๙.

๙.๑

ควรทำแก่ภิกษุผู้ต้องอาบัติแล้วไม่ยอมรับว่าเป็นอาบัติ ที่เรียกว่า ไม่เห็นอาบัติ หรือยอมรับว่าเป็นอาบัติแต่ไม่แสดง ที่เรียกว่า ไม่ทำคืนอาบัติ


๙.๒

มี ๒ อย่างคือ



     ๑) อธิษฐานด้วยกาย คือเอามือลูบบริขารที่จะอธิษฐานนั้นเข้า

          ทำความผูกใจตามคำอธิษฐาน

     ๒) อธิษฐานด้วยวาจา คือลั่นคำอธิษฐานนั้น ไม่ถูกของด้วยกายก็ได้

๑๐.

๑๐.๑

สมบัติของภิกษุในทางพระวินัยมีเท่าไร ?  อะไรบ้าง ?


๑๐.๒

ภิกษุประพฤติเช่นไร ได้ชื่อว่า โคจรวิบัติ ?

๑๐.

๑๐.๑

มี ๔ คือ

     ๑) สีลสมบัติ    

     ๒) อาจารสมบัติ    

     ๓) ทิฏฐิสมบัติ    

     ๔) อาชีวสมบัติ


๑๐.๒

ภิกษุไปสู่บุคคลก็ดี สถานที่ก็ดี อันภิกษุไม่ควรไป คือ  หญิงแพศยา ๑     หญิงหม้าย ๑   สาวเทื้อ ๑   ภิกษุณี ๑  บัณเฑาะก์ ๑ ร้านสุรา ๑ ได้ชื่อว่า โคจรวิบัติ


วิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท 2545

 วิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท 2545


ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ  นักธรรมชั้นโท

สอบในสนามหลวง

วันอาทิตย์ ที่  ๒๔  พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕

 ๑.    ๑.๑ อภิสมาจารคืออะไร ?  แบ่งเป็นกี่ประเภท ?  อะไรบ้าง ?

        ๑.๒ ขันธ์แห่งจีวรประกอบด้วยอะไรบ้าง ?  ทรงมีพระพุทธานุญาตไว้อย่างไร ?

 ๑.    ๑.๑ คือธรรมเนียมของภิกษุ แบ่งเป็น ๒ ประเภทคือ

             เป็นข้อห้าม ๑ เป็นข้ออนุญาต ๑ ฯ

        ๑.๒ ประกอบด้วยมณฑล อัฑฒมณฑล และอัฑฒกุสิ ฯ ทรงมีพระพุทธานุญาตไว้

             ว่า จีวรผืนหนึ่งให้มีขันธ์ไม่น้อยกว่า ๕ เกินกว่านั้นใช้ได้ แต่ให้เป็นขันธ์ที่เป็นคี่

             คือ  ๗, ๙, ๑๑ เป็นต้น ฯ

 ๒.    ๒.๑ ในบาลีแสดงเหตุนิสัยจะระงับจากอุปัชฌาย์ไว้เท่าไร ?  อะไรบ้าง ?

        ๒.๒ ภิกษุผู้ควรจะได้นิสัยมุตตกะต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง ?

 ๒.    ๒.๑ แสดงไว้ ๕ ประการคือ อุปัชฌาย์หลีกไปเสีย ๑  สึกเสีย ๑  ตายเสีย ๑

             ไปเข้ารีตเดียรถีย์ ๑   สั่งบังคับ ๑ ฯ

        ๒.๒ มีคุณสมบัติ คือ

                   ๑) เป็นผู้มีศรัทธา  มีหิริ  มีโอตตัปปะ  มีวิริยะ  มีสติ

                   ๒) เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล อาจาระ ความเห็นชอบ เคยได้ยินได้ฟังมาก

                       มีปัญญา

                   ๓) รู้จักอาบัติ มิใช่อาบัติ อาบัติเบา อาบัติหนัก จำปาฏิโมกข์ได้แม่นยำ

             ทั้งมีพรรษาได้ ๕ หรือยิ่งกว่า ฯ

 ๓.    ๓.๑ อุปัชฌาย์ประณามสัทธิวิหาริกผู้ประพฤติมิชอบด้วยเหตุอะไรบ้าง ?

        ๓.๒ อาการที่อุปัชฌาย์ประณามสัทธิวิหาริกพึงทำอย่างไร ?

 ๓.    ๓.๑ ด้วยเหตุดังนี้ คือ

             หาความรักใคร่ในอุปัชฌาย์มิได้ ๑ หาความเลื่อมใสมิได้ ๑ หาความละอาย

             มิได้ ๑  หาความเคารพมิได้ ๑ หาความหวังดีต่อมิได้ ๑ ฯ

        ๓.๒ พึงพูดให้รู้ว่าตนไล่เธอเสีย ในบาลีแสดงไว้ว่า เราประณามเธอ เธออย่าเข้ามา

             ณ ที่นี้ จงขนบาตรจีวรของเธอออกไปเสีย หรือเธอไม่ต้องอุปัฏฐากเราดังนี้

             หรือแสดงอาการทางกายให้รู้อย่างนั้นก็ได้ ฯ

 ๔.    ๔.๑ ภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะ  ไปสู่อาวาสอื่น พึงประพฤติให้ถูกธรรมเนียมอย่างไร ?

        ๔.๒  ภิกษุผู้เข้าไปรับบิณฑบาตในละแวกบ้าน พึงประพฤติให้ถูกธรรมเนียมอย่างไร ?

 ๔.    ๔.๑ พึงประพฤติดังนี้

                   ๑) ทำความเคารพในท่าน

                   ๒) แสดงความเกรงใจเจ้าของถิ่น

                   ๓) แสดงอาการสุภาพ

                   ๔) แสดงอาการสนิทสนมกับเจ้าของถิ่น

                   ๕) ถ้าจะอยู่ที่นั่น ควรประพฤติให้ถูกธรรมเนียมของเจ้าของถิ่น

                   ๖) ถือเสนาสนะแล้วอย่าดูดาย เอาใจใส่ชำระปัดกวาดให้หมดจด จัดตั้ง

                       เครื่องเสนาสนะให้เป็นระเบียบ ฯ

        ๔.๒ พึงประพฤติอย่างนี้

                   ๑) นุ่งห่มให้เรียบร้อย                                           

                   ๒) ถือบาตรในภายในจีวร

                   ๓) สำรวมกิริยาให้เรียบร้อย                             

                   ๔) กำหนดทางเข้าทางออกแห่งบ้าน

                   ๕) รับบิณฑบาตด้วยอาการสำรวม ฯ

 ๕.    ๕.๑ ภิกษุผู้เข้าไปในเจติยสถาน ควรปฏิบัติอย่างไร ?

        ๕.๒ ภิกษุได้ชื่อว่า "กุลปสาทโก ผู้ยังตระกูลให้เลื่อมใส" เพราะมีปฏิปทาอย่างไร ?

 ๕.    ๕.๑ ควรปฏิบัติอย่างนี้ คือไม่กั้นร่ม ไม่สวมรองเท้า ไม่ห่มคลุมเข้าไป ไม่แสดง

             อาการดูหมิ่นต่างๆ เช่นพูดเสียงดัง และนั่งเหยียดเท้าเป็นต้น ไม่ถ่ายอุจจาระ

             ปัสสาวะ และไม่ถ่มเขฬะในลานพระเจดีย์ ฯ

        ๕.๒ เพราะมีปฏิปทาอย่างนี้ คือเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอาจาระ ไม่ทอดตนเป็นคนสนิท

             ของสกุล โดยฐานเป็นคนเลว และอีกอย่างหนึ่ง ไม่รุกรานตัดรอนเขา แสดง

             เมตตาจิตต่อเขา ประพฤติพอดีพองาม ยังความเลื่อมใสนับถือของเขาให้เกิด

             ในตน ฯ

 ๖.    ๖.๑ ดิถีที่กำหนดให้เข้าจำพรรษาในบาลีกล่าวไว้เท่าไร ?  อะไรบ้าง ?

        ๖.๒ สัตตาหกรณียะ และ สัตตาหกาลิก มีอธิบายอย่างไร ?

 ๖.    ๖.๑ กล่าวไว้ ๒ คือ

             ๑) ปุริมิกา วัสสูปนายิกา วันเข้าพรรษาต้น คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘

             ๒) ปัจฉิมิกา วัสสูปนายิกา  วันเข้าพรรษาหลัง คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ ฯ

        ๖.๒ สัตตาหกรณียะ คือภิกษุผู้อยู่จำพรรษาไปแรมคืนที่อื่นด้วยกิจจำเป็นบางอย่าง

             แต่กลับมาภายใน ๗ วัน เรียกว่าไปด้วยสัตตาหกรณียะ หรือสัตตาหะ ฯ

             สัตตาหกาลิก คือของที่รับประเคนแล้วเก็บไว้บริโภคได้ ๗ วัน ฯ

 ๗.    ๗.๑ ผู้ทำและอาการที่ทำ  ในการทำอุโบสถ มีอะไรบ้าง ?

        ๗.๒ การทำอุโบสถต้องพร้อมด้วยองค์อย่างไรบ้าง ?

 ๗.    ๗.๑ ผู้ทำมี ๓  คือสงฆ์ คณะ และบุคคล ฯ อาการที่ทำมี ๓ คือสวดปาฏิโมกข์

             บอกความบริสุทธิ์ และอธิษฐาน ฯ

        ๗.๒ พร้อมด้วยองค์ ๔ คือ

                   ๑) วันนั้นเป็นวันอุโบสถที่ ๑๔ หรือ ๑๕ หรือวันสามัคคี วันใดวันหนึ่ง

                   ๒) ภิกษุผู้เข้าประชุมครบองค์ประชุม คือตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป

                   ๓) พวกเธอไม่ต้องสภาคาบัติ

                   ๔) บุคคลที่จำต้องเว้น ไม่มีในที่ประชุมนั้น ฯ

 ๘.    ๘.๑ วันปวารณา และอาการที่กระทำ คืออะไรบ้าง ?

        ๘.๒ การตั้งญัตติในสังฆปวารณามีกี่อย่าง ?  อะไรบ้าง ?

 ๘.    ๘.๑ วันปวารณามี ๓  คือ จาตุททสี ที่ ๑๔ ค่ำ ๑  ปัณณรสี ที่ ๑๕ ค่ำ ๑ สามัคคี

             วันที่ภิกษุสงฆ์พร้อมเพรียงกัน ๑ ฯ อาการที่กระทำมี ๓ คือปวารณาต่อ

             ที่ประชุม ๑ ปวารณากันเอง ๑ อธิษฐานใจ ๑ ฯ

        ๘.๒ มี ๕ อย่าง คือ เตวาจิกาญัตติ ๑   เทววาจิกาญัตติ ๑   เอกวาจิกาญัตติ ๑  

             สมานวัสสิกาญัตติ ๑   สัพพสังคาหิกาญัตติ ๑ ฯ

 ๙.    ๙.๑ ภิกษุไม่สังวรในอุปปถกิริยา จะพึงได้รับโทษอย่างไรบ้าง ?

        ๙.๒  การแสวงหาเช่นไรจัดเป็นโลกวัชชะ มีโทษทางโลก ? เช่นไรจัดเป็นปัณณัตติวัชชะ

             มีโทษทางพระบัญญัติ ?

 ๙.    ๙.๑  ปรับเป็นอาบัติทุกกฏ  และเป็นฐานที่สงฆ์จะพึงลงโทษ ๔ สถาน อย่างใดอย่างหนึ่ง

             ตามโทษานุโทษ คือ

                   ๑) ตัชชนียกรรม      ตำหนิโทษ

                   ๒) นิยสกรรม         ถอดยศ คือถอดความเป็นผู้ใหญ่

                   ๓) ปัพพาชนียกรรม  ขับไล่จากวัด

                   ๔) ปฏิสารณียกรรม   ให้หวนระลึกถึงความผิด ฯ

        ๙.๒ การแสวงหาในทางบาป เช่นทำโจรกรรมและหลอกลวงให้เขาเชื่อถือ และใน

             ทางที่โลกเขาดูหมิ่น จัดเป็นโลกวัชชะ ฯ การแสวงหาในทางผิดธรรมเนียมของ

             ภิกษุ แม้ไม่มีโทษแก่คนพวกอื่น จัดเป็นปัณณัตติวัชชะ ฯ

๑๐. ๑๐.๑ ในบาลีแสดงลักษณะการถือวิสาสะไว้อย่างไรบ้าง ?

      ๑๐.๒ เหตุที่ควรถือเป็นประมาณ ๕ ประการให้บริขารขาดอธิษฐาน มีอะไรบ้าง ?



๑๐. ๑๐.๑ แสดงไว้อย่างนี้ คือ

                   ๑) เป็นผู้เคยได้เห็นกันมา         

                   ๒) เป็นผู้เคยคบกันมา

                   ๓) ได้พูดกันไว้                    

                   ๔) ยังมีชีวิตอยู่

                   ๕) รู้ว่าของนั้น เราถือเอาแล้ว เจ้าของจักพอใจ ฯ

      ๑๐.๒ มีดังนี้ คือ

                   ๑) ให้แก่ผู้อื่น                      

                   ๒) ถูกโจรชิงเอาไปหรือลักเอาไป

                   ๓) มิตรถือเอาด้วยวิสาสะ         

                   ๔) ถอนเสียจากอธิษฐาน

                   ๕) เป็นช่องทะลุ ฯ