พิธีลอยกระทงตามประทีป
การลอยกระทงตามประทีป เป็นประเพณีมีมาแต่โบราณ สาหรับประเทศไทย
มีหลักฐานการจัดพิธีลอยกระทงตั้งแต่สมัยสุโขทัย วัตถุประสงค์เพื่อบูชารอยพระพุทธบาท
ของพระพุทธเจ้า ซึ่งประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่น้านัมมทาในชมพูทวีป อีกนัยหนึ่ง เพื่อขอขมา
พระแม่คงคา ซึ่งพวกเราอาศัยใช้สอยในการดารงชีพ เป็นการแสดงว่า คนไทยเป็นผู้มีความ
กตัญญูต่อสิ่งให้ประโยชน์ตน แม้เป็นสิ่งไม่มีชีวิตก็ตาม
หนังสือนักธรรมชั้นตรี,นักธรรมตรีpdf,นักธรรมตรี,สรุปนักธรรมตรี,ข้อสอบนักธรรมตรี,เก็งข้อสอบนักธรรมตรี
- หน้าแรก
- พุทธประวัติ
- ธรรมวิภาค
- เบญจศีล-เบญจธรรม
- แบบกระทู้ธรรมชั้นตรี
- แบบกระทู้ธรรมชั้นโท
- แบบกระทู้ธรรมชั้นเอก
- หมวด พุทธศาสนสุภาษิต
- อนุพุทธประวัติชั้นโท
- ดาวโหลดหนังสือธรรมศึกษาชั้นตรี โท เอก
- Download ข้อสอบนักธรรมและธรรมศึกษา ปี 2559-2563
- ประวัตินักธรรม-ธรรมศึกษา โดยสังเขป
- ขอบข่ายการเรียนการสอนธรรมศึกษา 2561
- ขอบข่ายธรรมศึกษา ระดับอุดมศึกษาและประชาชนทั่วไป
- ข้อสอบนักธรรมตรี-โท-เอก[ย้อนหลัง]
วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
พิธีทำบุญฉลองอัฐิ
พิธีทำบุญฉลองอัฐิ
เจ้าภาพบางรายจัดพิธีบาเพ็ญกุศลฉลองอัฐิ หลังจากเก็บอัฐิเรียบร้อยแล้ว โดยนิมนต์
พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เหมือนพิธีทาบุญทั่วไป แต่ตั้งโกศบรรจุอัฐิ รูปถ่ายของผู้ตายและ
ขันน้ามนต์ไว้ด้วย ไม่วงสายสิญจน์ ตามความเชื่อว่า ถ้าวงสายสิญจน์ วิญญาณผู้ตายไม่
สามารถเข้าร่วมพิธีได้ น้ามนต์ใช้ประพรมให้แก่ญาติผู้ตาย นัยว่าเป็นการปลดทุกข์โศกต้อง
พลัดพรากจากบุคคลที่รัก สร้างขวัญกาลังใจในการดารงชีวิตสืบไป และเจ้าภาพถือเป็นวัน
ในการออกทุกข์ด้วย พิธีนี้จะจัดที่บ้านหรือวัดก็ได้ ตามความสะดวกของเจ้าภาพ
พิธีเก็บอัฐิและพิธีสามหาบ
วันรุ่งขึ้นต่อจากวันฌาปนกิจศพหรือพระราชทานเพลิงศพ จะมีพิธีเก็บอัฐิและ
พิธีสามหาบ คาว่า สามหาบ เป็นชื่อภัตตาหารสาหรับถวายพระสงฆ์ในพิธีเก็บอัฐิ โดยจัด
อาหารคาวหวานใส่สารับอย่างละ ๑ สารับ จานวน ๓ ชุด สาหรับพระสงฆ์ ๓ รูป ใส่หาบเดิน
ร้องกู่รอบฌาปนสถาน เพื่อเรียกวิญญาณผู้ตายมาร่วมพิธีทาบุญ นาถวายพระสงฆ์หลังเสร็จ
พิธีเก็บอัฐิ ปัจจุบันอาจจัดอาหารใส่ปิ่นโตแทนหรือไม่จัดเลยก็ได้ ถวายแต่ดอกไม้ธูปเทียน
และไทยธรรมเท่านั้น
เจ้าภาพจัดเตรียมเครื่องประกอบพิธีให้พร้อม คือ โกศบรรจุอัฐิ ลุ้งบรรจุเถ้ากระดูก
ที่เหลือ ผ้าขาว ควรเตรียม ๒ ผืน สาหรับห่อลุ้งและเถ้ากระดูกที่เหลือ ผ้าทอดบังสุกุลก่อน
เก็บอัฐิ ๓ ชุด อาหารคาวหวาน ๓ ชุด เครื่องทองน้อยหรือกระถางธูปเชิงเทียน ดอกไม้
สาหรับโปรยลงบนอัฐิ น้าอบน้าหอมสาหรับพรมกระดูก เงินเหรียญสาหรับโปรยอัฐิและ
บริจาคทาน สิ่งของเหล่านี้จะมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ฌาปนสถานจัดเตรียมก็ได้
ก่อนประกอบพิธีเก็บอัฐิ เจ้าหน้าที่ฌาปนสถานจะทาการแปรรูปอัฐิ โดยนาอัฐิของ
ผู้ตายออกมาจากเตาเผา จัดเป็นโครงร่างของคน หันศีรษะไปทางทิศตะวันตก เมื่อถึงเวลา
ตามกาหนด เจ้าภาพจุดเครื่องทองน้อย ทาความเคารพอัฐิ เจ้าหน้าที่นาผ้าขาวคลุมอัฐิ
ให้เจ้าภาพทอดผ้าบังสุกุล นิมนต์พระสงฆ์พิจารณาผ้าบังสุกุล ๓ รูป เสร็จแล้วนิมนต์กลับไป
นั่งในศาลาบาเพ็ญกุศล เจ้าภาพพรมน้าอบน้าหอม โปรยดอกไม้ลงบนอัฐิและเถ้ากระดูก
โปรยทาน เก็บอัฐิบรรจุลงโกศ โดยเลือกส่วนต่าง ๆ ของร่างกายตามความต้องการ คือ
กะโหลกศีรษะ กระดูกซี่โครง กระดูกหน้าอก กระดูกแขนสองข้าง กระดูกขาสองข้าง สาหรับ
อัฐิที่เหลือและเถ้ากระดูกห่อด้วยผ้าขาวบรรจุลงในลุ้ง หีบหรือกล่อง ห่อด้วยผ้าขาวให้เรียบร้อย
เชิญเครื่องทองน้อย โกศอัฐิ และลุ้งไปยังศาลาบาเพ็ญกุศล ประเคนภัตตาหารสามหาบแด่
พระสงฆ์ กรวดน้าอุทิศกุศลให้ผู้ตาย กราบลาพระรัตนตรัย เป็นอันเสร็จพิธี
เจ้าภาพบางรายจัดพิธีบาเพ็ญกุศลฉลองอัฐิ หลังจากเก็บอัฐิเรียบร้อยแล้ว โดยนิมนต์
พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เหมือนพิธีทาบุญทั่วไป แต่ตั้งโกศบรรจุอัฐิ รูปถ่ายของผู้ตายและ
ขันน้ามนต์ไว้ด้วย ไม่วงสายสิญจน์ ตามความเชื่อว่า ถ้าวงสายสิญจน์ วิญญาณผู้ตายไม่
สามารถเข้าร่วมพิธีได้ น้ามนต์ใช้ประพรมให้แก่ญาติผู้ตาย นัยว่าเป็นการปลดทุกข์โศกต้อง
พลัดพรากจากบุคคลที่รัก สร้างขวัญกาลังใจในการดารงชีวิตสืบไป และเจ้าภาพถือเป็นวัน
ในการออกทุกข์ด้วย พิธีนี้จะจัดที่บ้านหรือวัดก็ได้ ตามความสะดวกของเจ้าภาพ
พิธีเก็บอัฐิและพิธีสามหาบ
วันรุ่งขึ้นต่อจากวันฌาปนกิจศพหรือพระราชทานเพลิงศพ จะมีพิธีเก็บอัฐิและ
พิธีสามหาบ คาว่า สามหาบ เป็นชื่อภัตตาหารสาหรับถวายพระสงฆ์ในพิธีเก็บอัฐิ โดยจัด
อาหารคาวหวานใส่สารับอย่างละ ๑ สารับ จานวน ๓ ชุด สาหรับพระสงฆ์ ๓ รูป ใส่หาบเดิน
ร้องกู่รอบฌาปนสถาน เพื่อเรียกวิญญาณผู้ตายมาร่วมพิธีทาบุญ นาถวายพระสงฆ์หลังเสร็จ
พิธีเก็บอัฐิ ปัจจุบันอาจจัดอาหารใส่ปิ่นโตแทนหรือไม่จัดเลยก็ได้ ถวายแต่ดอกไม้ธูปเทียน
และไทยธรรมเท่านั้น
เจ้าภาพจัดเตรียมเครื่องประกอบพิธีให้พร้อม คือ โกศบรรจุอัฐิ ลุ้งบรรจุเถ้ากระดูก
ที่เหลือ ผ้าขาว ควรเตรียม ๒ ผืน สาหรับห่อลุ้งและเถ้ากระดูกที่เหลือ ผ้าทอดบังสุกุลก่อน
เก็บอัฐิ ๓ ชุด อาหารคาวหวาน ๓ ชุด เครื่องทองน้อยหรือกระถางธูปเชิงเทียน ดอกไม้
สาหรับโปรยลงบนอัฐิ น้าอบน้าหอมสาหรับพรมกระดูก เงินเหรียญสาหรับโปรยอัฐิและ
บริจาคทาน สิ่งของเหล่านี้จะมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ฌาปนสถานจัดเตรียมก็ได้
ก่อนประกอบพิธีเก็บอัฐิ เจ้าหน้าที่ฌาปนสถานจะทาการแปรรูปอัฐิ โดยนาอัฐิของ
ผู้ตายออกมาจากเตาเผา จัดเป็นโครงร่างของคน หันศีรษะไปทางทิศตะวันตก เมื่อถึงเวลา
ตามกาหนด เจ้าภาพจุดเครื่องทองน้อย ทาความเคารพอัฐิ เจ้าหน้าที่นาผ้าขาวคลุมอัฐิ
ให้เจ้าภาพทอดผ้าบังสุกุล นิมนต์พระสงฆ์พิจารณาผ้าบังสุกุล ๓ รูป เสร็จแล้วนิมนต์กลับไป
นั่งในศาลาบาเพ็ญกุศล เจ้าภาพพรมน้าอบน้าหอม โปรยดอกไม้ลงบนอัฐิและเถ้ากระดูก
โปรยทาน เก็บอัฐิบรรจุลงโกศ โดยเลือกส่วนต่าง ๆ ของร่างกายตามความต้องการ คือ
กะโหลกศีรษะ กระดูกซี่โครง กระดูกหน้าอก กระดูกแขนสองข้าง กระดูกขาสองข้าง สาหรับ
อัฐิที่เหลือและเถ้ากระดูกห่อด้วยผ้าขาวบรรจุลงในลุ้ง หีบหรือกล่อง ห่อด้วยผ้าขาวให้เรียบร้อย
เชิญเครื่องทองน้อย โกศอัฐิ และลุ้งไปยังศาลาบาเพ็ญกุศล ประเคนภัตตาหารสามหาบแด่
พระสงฆ์ กรวดน้าอุทิศกุศลให้ผู้ตาย กราบลาพระรัตนตรัย เป็นอันเสร็จพิธี
พิธีสวดแจง
พิธีสวดแจง
พิธีฌาปนกิจศพช่วง ๓๐ ถึง ๕๐ ปีที่ผ่านมา เจ้าภาพนิยมจัดให้มีการเทศน์สังคีติกถา
คือจาลองการปฐมสังคายนามาเป็นรูปแบบการเทศน์ เรียกว่า เทศน์แจง แต่ปัจจุบันเริ่ม
เลือนหายไป ยังพอมีให้เห็นอยู่ในส่วนภูมิภาค เช่น จังหวัดเพชรบุรี คนรุ่นใหม่จึงไม่ค่อยรู้จัก
เทศน์แจง
การเทศน์แจง เป็นธรรมเนียมเฉพาะงานฌาปนกิจศพบิดามารดา ญาติผู้ใหญ่
พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ดารงตาแหน่งเจ้าอาวาสเป็นต้น ไม่นิยมจัดในพิธีฌาปนกิจศพผู้น้อย
เช่น บุตรธิดาของเจ้าภาพ การเทศน์แจงธรรมาสน์เดียวก็มี ๒ ธรรมาสน์ก็มี ๓ ธรรมาสน์ก็มี
แต่นิยมเทศน์ ๓ ธรรมาสน์ การนิมนต์พระสงฆ์มาสวดแจง เจ้าภาพมีศรัทธามาก จะนิมนต์
พระสงฆ์สวดแจงเต็มจานวน ๕๐๐ รูป เท่ากับพระอรหันต์เข้าร่วมทาปฐมสังคายนา หรือ
นิมนต์พระสงฆ์เหลือเพียง ๕๐ รูป ๒๕ รูป ตามความต้องการของเจ้าภาพก็ได้
การเทศน์แจงหรือสังคีติกถา นิยมจัดตอนบ่าย ก่อนพิธีฌาปนกิจศพ ถือเป็นการ
ทาบุญมีอานิสงส์มากและเป็นการตอบแทนพระคุณบิดามารดาอย่างสูงยิ่ง เช่นเดียวกับ
พระเจ้าอชาตศัตรู ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์การทาปฐมสังคายนา การเทศน์แจงรูปเดียว เบื้องต้น
พระเทศน์ให้ศีลและบอกศักราช แสดงอานิสงส์การฟังเทศน์แจง แสดงปฐมสังคายนาโดยย่อ
ทั้งส่วนพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก จบแล้วเผดียงพระสงฆ์ขึ้นนั่ง
ประจาอาสนะ สวดแจงตามลาดับ คือ บทนมัสการ นะโม ตัสสะ ต่อด้วยบทสวดพระวินัย
ปิฎก พระสุตตันตะปิฎก และพระอภิธรรมปิฎกตามลาดับ จบแล้วทอดผ้าบังสุกุล พระสงฆ์พิจารณาผ้าบังสุกุล พระเทศน์ ยถา อนุโมทนาบนธรรมาสน์ พระสงฆ์ทั้งหมดรับสัพพี
ต่อด้วยบท อะทาสิ เม จบด้วยบท ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง กราบลาพระรัตนตรัย เป็นอัน
เสร็จพิธี
การเทศน์แจง ๒ ธรรมาสน์ เป็นการเทศน์แบบถามตอบ นิยมเรียกว่า เทศน์ปุจฉา
วิสัชนา โดยสมมุติพระรูปหนึ่งเป็นผู้ถาม อีกรูปหนึ่งเป็นผู้ตอบ จะถามตอบกันเรื่องการทา
ปฐมสังคายนา เริ่มต้นด้วยพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก เมื่อจบ
แต่ละปิฎก องค์เทศน์จะเผดียงให้พระสงฆ์นั่งแจงสวดบทบาลีแต่ละปิฎก สลับกับการเทศน์
ปุจฉาวิสัชนา จนครบ ๓ ปิฎก จบแล้วทอดผ้าบังสุกุล พระสงฆ์ทั้งนั้นพิจารณาผ้าบังสุกุล
พระเทศน์ ยะถา อนุโมทนาบนธรรมาสน์ พระสงฆ์ทั้งหมดรับสัพพี ต่อด้วยบท อะทาสิ เม
จบด้วยบท ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง ต่อจากนั้น กราบลาพระรัตนตรัย เป็นอันเสร็จพิธี
การเทศน์แจง ๓ ธรรมาสน์ เป็นการเทศน์ถามตอบหรือปุจฉาวิสัชนาเหมือน
๒ ธรรมาสน์แต่มีการสมมุติตนเป็นพระมหากัสสปะ พระอุบาลี และพระอานนท์โดยพระ
มหากัสสปะมีหน้าที่ปุจฉา คือถามสาเหตุการทาสังคายนาปิฎกทั้ง ๓ พระอุบาลีมีหน้าที่วิสัชนา
คือตอบพระวินัยปิฎก พระอานนท์มีหน้าที่วิสัชนาทั้งพระสุตตันตปิฎกและพระอภิธรรมปิฎก
ส่วนการสวดบทบาลีของปิฎกทั้ง ๓ พระสงฆ์รับนิมนต์มานั่งแจง จะสวดตามพระเทศน์เผดียง
ให้สวด หลังจากเทศน์จบ ปิฎกนั้น ๆ ก็ได้ หรือรวมสวดครั้งเดียว ๓ ปิฎก ตอนเทศน์จบก็ได้
พิธีกรรมที่เหลือปฏิบัติเช่นเดียวกับการเทศน์แจง ๒ ธรรมาสน์ข้างต้น
พิธีฌาปนกิจศพช่วง ๓๐ ถึง ๕๐ ปีที่ผ่านมา เจ้าภาพนิยมจัดให้มีการเทศน์สังคีติกถา
คือจาลองการปฐมสังคายนามาเป็นรูปแบบการเทศน์ เรียกว่า เทศน์แจง แต่ปัจจุบันเริ่ม
เลือนหายไป ยังพอมีให้เห็นอยู่ในส่วนภูมิภาค เช่น จังหวัดเพชรบุรี คนรุ่นใหม่จึงไม่ค่อยรู้จัก
เทศน์แจง
การเทศน์แจง เป็นธรรมเนียมเฉพาะงานฌาปนกิจศพบิดามารดา ญาติผู้ใหญ่
พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ดารงตาแหน่งเจ้าอาวาสเป็นต้น ไม่นิยมจัดในพิธีฌาปนกิจศพผู้น้อย
เช่น บุตรธิดาของเจ้าภาพ การเทศน์แจงธรรมาสน์เดียวก็มี ๒ ธรรมาสน์ก็มี ๓ ธรรมาสน์ก็มี
แต่นิยมเทศน์ ๓ ธรรมาสน์ การนิมนต์พระสงฆ์มาสวดแจง เจ้าภาพมีศรัทธามาก จะนิมนต์
พระสงฆ์สวดแจงเต็มจานวน ๕๐๐ รูป เท่ากับพระอรหันต์เข้าร่วมทาปฐมสังคายนา หรือ
นิมนต์พระสงฆ์เหลือเพียง ๕๐ รูป ๒๕ รูป ตามความต้องการของเจ้าภาพก็ได้
การเทศน์แจงหรือสังคีติกถา นิยมจัดตอนบ่าย ก่อนพิธีฌาปนกิจศพ ถือเป็นการ
ทาบุญมีอานิสงส์มากและเป็นการตอบแทนพระคุณบิดามารดาอย่างสูงยิ่ง เช่นเดียวกับ
พระเจ้าอชาตศัตรู ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์การทาปฐมสังคายนา การเทศน์แจงรูปเดียว เบื้องต้น
พระเทศน์ให้ศีลและบอกศักราช แสดงอานิสงส์การฟังเทศน์แจง แสดงปฐมสังคายนาโดยย่อ
ทั้งส่วนพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก จบแล้วเผดียงพระสงฆ์ขึ้นนั่ง
ประจาอาสนะ สวดแจงตามลาดับ คือ บทนมัสการ นะโม ตัสสะ ต่อด้วยบทสวดพระวินัย
ปิฎก พระสุตตันตะปิฎก และพระอภิธรรมปิฎกตามลาดับ จบแล้วทอดผ้าบังสุกุล พระสงฆ์พิจารณาผ้าบังสุกุล พระเทศน์ ยถา อนุโมทนาบนธรรมาสน์ พระสงฆ์ทั้งหมดรับสัพพี
ต่อด้วยบท อะทาสิ เม จบด้วยบท ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง กราบลาพระรัตนตรัย เป็นอัน
เสร็จพิธี
การเทศน์แจง ๒ ธรรมาสน์ เป็นการเทศน์แบบถามตอบ นิยมเรียกว่า เทศน์ปุจฉา
วิสัชนา โดยสมมุติพระรูปหนึ่งเป็นผู้ถาม อีกรูปหนึ่งเป็นผู้ตอบ จะถามตอบกันเรื่องการทา
ปฐมสังคายนา เริ่มต้นด้วยพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก เมื่อจบ
แต่ละปิฎก องค์เทศน์จะเผดียงให้พระสงฆ์นั่งแจงสวดบทบาลีแต่ละปิฎก สลับกับการเทศน์
ปุจฉาวิสัชนา จนครบ ๓ ปิฎก จบแล้วทอดผ้าบังสุกุล พระสงฆ์ทั้งนั้นพิจารณาผ้าบังสุกุล
พระเทศน์ ยะถา อนุโมทนาบนธรรมาสน์ พระสงฆ์ทั้งหมดรับสัพพี ต่อด้วยบท อะทาสิ เม
จบด้วยบท ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง ต่อจากนั้น กราบลาพระรัตนตรัย เป็นอันเสร็จพิธี
การเทศน์แจง ๓ ธรรมาสน์ เป็นการเทศน์ถามตอบหรือปุจฉาวิสัชนาเหมือน
๒ ธรรมาสน์แต่มีการสมมุติตนเป็นพระมหากัสสปะ พระอุบาลี และพระอานนท์โดยพระ
มหากัสสปะมีหน้าที่ปุจฉา คือถามสาเหตุการทาสังคายนาปิฎกทั้ง ๓ พระอุบาลีมีหน้าที่วิสัชนา
คือตอบพระวินัยปิฎก พระอานนท์มีหน้าที่วิสัชนาทั้งพระสุตตันตปิฎกและพระอภิธรรมปิฎก
ส่วนการสวดบทบาลีของปิฎกทั้ง ๓ พระสงฆ์รับนิมนต์มานั่งแจง จะสวดตามพระเทศน์เผดียง
ให้สวด หลังจากเทศน์จบ ปิฎกนั้น ๆ ก็ได้ หรือรวมสวดครั้งเดียว ๓ ปิฎก ตอนเทศน์จบก็ได้
พิธีกรรมที่เหลือปฏิบัติเช่นเดียวกับการเทศน์แจง ๒ ธรรมาสน์ข้างต้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)