วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

๒๒. จิตตคฤหบดี

๒๒. จิตตคฤหบดี
จิตตคฤหบดี เป็นบุตรใครไม่ปรากฏ แต่ท่านมีบุญได้ทาไว้ดีในปางก่อน ส่งผลให้
ท่านหลายชาติ ตลอดถึงชาตินี้ ในวันท่านเกิด มีฝนดอกไม้ทิพย์ตกลงจากฟากฟ้ากองที่พื้นดิน
หนาขึ้นเพียงเข่าในเมืองมัจฉิกาสณฑ์
วันหนึ่งได้พบพระมหานามะ หนึ่งในหมู่ปัญจวัคคีย์ภิกษุ เที่ยวบิณฑบาตอยู่ในเมือง
มัจฉิกาสณฑ์ เกิดความเลื่อมใสในอิริยาบถ จึงนิมนต์ให้ฉันในบ้าน ได้ฟังธรรมกถาจาก
พระเถระแล้ว ได้บรรลุโสดาปัตติผล มีศรัทธามั่นคงไม่หวั่นไหว ได้หลั่งน้าในมือพระเถระอุทิศ
ถวายอัมพาฏกวันของตนให้เป็นสังฆาราม และต่อมาก็สร้างวิหารใหญ่มีประตูเปิดไว้รับพระสงฆ์
มาจากทิศทั้ง ๔ มี พระสุธรรมเถระเป็นเจ้าอาวาส
โดยสมัยอื่น พระอัครสาวกทั้งสอง สดับกถาพรรณนาคุณของจิตตคฤหบดีแล้ว
ใคร่จะทาความสงเคราะห์แก่คฤหบดีนั้น จึงได้ไปสู่มัจฉิกาสณฑนคร จิตตคฤหบดีทราบ
การมาของพระอัครสาวกทั้งสองนั้น จึงไปต้อนรับสิ้นทางประมาณกึ่งโยชน์ พาพระอัครสาวก
ทั้งสองนั้นมาแล้ว นิมนต์ให้เข้าไปสู่วิหารของตน ทาอาคันตุกวัตรแล้วอ้อนวอนพระธรรม
เสนาบดีว่า ท่านผู้เจริญ กระผมปรารถนาฟังธรรมกถาสักหน่อย
ครั้งนั้น พระเถระกล่าวกับเขาว่า อุบาสก อาตมะทั้งหลายเหน็ดเหนื่อยแล้วโดยทางไกล
อนึ่ง ท่านจงฟังเพียงนิดหน่อยเถิด ดังนี้แล้ว ก็กล่าวธรรมกถาแก่เขา
คฤหบดีฟังธรรมกถาของพระเถระอยู่แล บรรลุอนาคามิผลแล้ว เขาไหว้พระอัครสาวก
ทั้งสองแล้วนิมนต์ว่า ท่านผู้เจริญ พรุ่งนี้ ขอท่านทั้งสองกับภิกษุ ๑,๐๐๐ รูป รับภิกษาที่เรือน
กระผม แล้วจึงมานิมนต์พระสุธรรมเถระเจ้าอาวาสภายหลังว่า ท่านขอรับพรุ่งนี้ แม้ท่านก็พึง
มากับพระเถระทั้งหลาย
พระสุธรรมเถระนั้นก็โกรธว่า อุบาสกนี้ มานิมนต์เราภายหลัง จึงปฏิเสธ แม้อัน
คฤหบดีอ้อนวอนอยู่บ่อย ๆ ก็ปฏิเสธแล้วนั่นแหละ
ในวันรุ่งขึ้น จิตตคฤหบดีได้จัดแจงทานใหญ่ไว้ในที่อยู่ของตน ในเวลาใกล้รุ่ง
ฝ่ายพระสุธรรมเถระก็คิดจะไปดูว่า พรุ่งนี้คฤหบดีจะจัดแจงสักการะ เพื่อพระอัครสาวก
ทั้งสองไว้เช่นไร รุ่งขึ้นจึงได้ถือบาตรและจีวรไปสู่เรือนของคฤหบดีนั้นแต่เช้าตรู่เมื่อไปถึงเรือนคฤหบดีแล้ว แม้คฤหบดีจะกล่าวนิมนต์ให้นั่ง พระสุธรรมเถระนั้น
ก็ปฏิเสธว่า เราไม่นั่ง เราจะเที่ยวบิณฑบาต แล้วก็เที่ยวตรวจดูสักการะที่คฤหบดีเตรียมไว้
เพื่อพระอัครสาวกทั้งสอง เมื่อเห็นแล้วก็ใคร่จะเสียดสีคฤหบดีโดยชาติ จึงกล่าวว่า คฤหบดี
สักการะของท่านล้นเหลือ แต่ก็ขาดอยู่อย่างเดียวเท่านั้น
คฤหบดี อะไร ขอรับ
พระเถระ ตอบว่า "ขนมแดกงา คฤหบดี
ครั้นพระเถระรุกรานคฤหบดีด้วยอุปมาต่าง ๆ แล้วกล่าวว่า คฤหบดี อาวาสนี้เป็น
ของท่าน เราจักหลีกไป คฤหบดีจะห้ามถึง ๓ ครั้ง แต่พระเถระก็ไม่ฟัง หลีกไปสู่สานัก
พระพุทธเจ้ากราบทูลคาที่จิตตคฤหบดีและตนโต้เถียงกัน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า อุบาสกถูกเธอด่าด้วยคาเลว เป็นคนมีศรัทธาเลื่อมใส ดังนี้แล้ว
ทรงปรับโทษแก่พระสุธรรมเถระนั้น แล้วรับสั่งให้สงฆ์ลงปฏิสารณียกรรม (กรรมอันให้ระลึก
ถึงความผิด) แล้วส่งไปว่า เธอจงไป แล้วให้จิตตคฤหบดียกโทษเสีย
พระเถระไปในที่นั้นแล้ว กล่าวแสดงโทษของตน พร้อมกับขอให้คฤหบดียกโทษให้
แต่คฤหบดีนั้นปฏิเสธการยกโทษแก่พระเถระ ครั้นเมื่อไม่อาจให้คฤหบดีนั้นยกโทษให้ตนได้
พระเถระจึงกลับมาสู่สานักพระพุทธเจ้า
แม้พระพุทธเจ้าก็ทรงทราบว่าอุบาสกจักไม่ยกโทษแก่พระสุธรรมนั้น ทรงดาริว่า
ภิกษุนี้ กระด้างเพราะมานะ จึงไม่ทรงบอกอุบายเพื่อให้คฤหบดียกโทษให้เลย ทรงส่งให้กลับ
ไปใหม่ โดยประทานภิกษุผู้อนุทูตแก่เธอผู้นามานะออกแล้วตรัสว่า เธอจงไปเถิดไปกับภิกษุนี้
จงให้อุบาสกยกโทษ ดังนี้แล้ว ตรัสว่า ธรรมดาสมณะไม่ควรทามานะหรือริษยาว่า วิหาร
ของเรา ที่อยู่ของเรา อุบาสกของเรา อุบาสิกาของเรา เพราะเมื่อสมณะทาอย่างนั้น เหล่ากิเลส
มีริษยาและมานะเป็นต้น ย่อมเจริญ
เมื่อจะทรงแสดงธรรมต่อไป จึงตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า ภิกษุผู้พาล พึงปรารถนา
ความยกย่องอันไม่มีอยู่ ความแวดล้อมในภิกษุทั้งหลาย ความเป็นใหญ่ในอาวาส และการบูชา
ในตระกูลแห่งชนอื่น ความดาริ ย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้พาลว่า คฤหัสถ์และบรรพชิตทั้งสอง
จงสาคัญกรรม อันเขาทาเสร็จแล้วเพราะอาศัยเราผู้เดียว จงเป็นไปในอานาจของเราเท่านั้น
ในกิจน้อยใหญ่ กิจไร ๆ ริษยาและมานะย่อมเจริญแก่เธอ ดังนี้แม้พระสุธรรมเถระฟังพระโอวาทนี้แล้ว ถวายบังคมพระพุทธเจ้าลุกขึ้นจากอาสนะ
กระทาประทักษิณแล้ว ไปกับภิกษุผู้เป็นอนุทูตนั้น แสดงอาบัติต่อหน้าอุบาสก ขออุบาสกให้
ยกโทษแล้ว พระสุธรรมเถระนั้นเมื่ออุบาสกยกโทษให้ด้วยการกล่าวว่า กระผมยกโทษให้ขอรับ
ถ้าโทษของกระผมมี ขอท่านจงยกโทษแก่กระผม แล้วพระสุธรรมเถระก็ตั้งอยู่ในพระโอวาท
ที่พระพุทธเจ้าประทานแล้ว ๒-๓ วันเท่านั้น ก็บรรลุพระอรหัตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา
ฝ่ายอุบาสกคิดว่า เรายังไม่ได้เฝ้าพระพุทธเจ้าเลย เมื่อบรรลุโสดาปัตติผลแล้ว
ยังไม่ได้เฝ้าพระศาสดาเหมือนกัน เมื่อดารงอยู่ในอนาคามิผล เราควรเฝ้าพระพุทธองค์
โดยแท้ แล้วให้เทียมเกวียน ๕๐๐ เล่มเต็มด้วยวัตถุ มีงา ข้าวสาร เนยใส น้าอ้อย และผ้านุ่งห่ม
เป็นต้น แล้วให้แจ้งแก่หมู่ภิกษุว่า พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย รูปใด ประสงค์จะเฝ้าพระศาสดา
เราก็จะไปเฝ้าพร้อมกัน จักไม่ลาบากด้วยบิณฑบาตเป็นต้น ดังนี้แล้ว ก็ให้แจ้งทั้งแก่หมู่
ภิกษุณี ทั้งแก่พวกอุบาสก ทั้งแก่พวกอุบาสิกา ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป ภิกษุณีประมาณ
๕๐๐ รูป อุบาสกประมาน ๕๐๐ คน อุบาสิกาประมาณ ๕๐๐ คน ออกไปกับคฤหบดีนั้น
เขาตระเตรียมแล้วโดยประการที่จะไม่มีความบกพร่องสักน้อยหนึ่ง ด้วยข้าวยาคูและภัตเป็น
ต้นในหนทาง ๓๐ โยชน์ เพื่อชนสามพันคน คือ เพื่อภิกษุเป็นต้นเหล่านั้น และเพื่อบริษัท
ของตน
ฝ่ายเทวดาทั้งหลาย เมื่อทราบความที่อุบาสกนั้นออกเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้ว
ก็ไปเนรมิตค่ายที่พักไว้ตามระยะทางทุก ๆ โยชน์ (๑๖ กิโลเมตร) แล้วบารุงชนเหล่านั้นด้วย
อาหารวัตถุ มีข้าวยาคู ของควรเคี้ยว ภัตและน้าดื่มเป็นต้น อันเป็นทิพย์ ความบกพร่องด้วย
วัตถุอะไร ๆ มิได้เกิดขึ้นแก่ใคร ๆ
มหาชนอันเทวดาทั้งหลายบารุงอยู่อย่างนั้น เดินทางได้วันละโยชน์ ๆ โดยเดือนหนึ่ง
ก็ถึงเมืองสาวัตถี เกวียนทั้ง ๕๐๐ เล่ม ก็ยังเต็มบริบูรณ์เช่นเดิมนั้นแหละ คฤหบดีได้สละ
บรรณาการที่พวกเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายนามา
พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนทเถระว่า อานนท์ ในเวลาบ่ายวันนี้ จิตตคฤหบดี
พร้อมด้วยอุบาสก ๕๐๐ ผู้แวดล้อมอยู่ จักมาไหว้เรา
พระอานนท์ พระเจ้าข้า ก็ในกาลที่จิตตคฤหบดีนั้นถวายบังคมพระองค์ ปาฏิหาริย์
ไร ๆ จักมีหรือ
พระศาสดาตรัสว่า จักมี อานนท์อานนท์ทูลถามว่า ปาฏิหาริย์อะไร พระเจ้าข้า
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ในกาลที่จิตตคฤหบดีมาไหว้เรา ฝนดอกไม้ทิพย์ ๕ สี จะตก
โดยประมาณเพียงเข่า ในบริเวณประมาณ ๘ กรีส (ประมาณ ๕๐๐ เมตร)
ชาวเมือง เมื่อได้ฟังข่าวนั้นแล้วก็คิดว่า ได้ยินว่า จิตตคฤหบดีผู้มีบุญมากถึงอย่างนั้น
จะมาถวายบังคม พระพุทธเจ้าในวันนี้ เขาว่าปาฏิหาริย์อย่างนี้จะเกิดขึ้น พวกเราจะได้เห็น
ผู้มีบุญมากนั้น ดังนี้แล้วได้ถือเอาเครื่องบรรณาการไปยืนอยู่สองข้างทาง
ในกาลที่จิตตคฤหบดีมาใกล้วิหาร ภิกษุ ๕๐๐ รูป มาถึงก่อน จิตตคฤหบดีกล่าวกับ
พวกอุบาสิกาว่า ท่านทั้งหลาย จงตามมาข้างหลัง ส่วนตนกับอุบาสก ๕๐๐ ก็ได้ไปสู่สานัก
ของพระพุทธเจ้า ท่ามกลางสายตาของมหาชนทั้งหลาย ผู้เข้าเฝ้าอยู่ในที่เฉพาะพระพักตร์
ของพระพุทธเจ้า
จิตตคฤหบดีนั้นเข้าไปภายในพระพุทธรัศมี มีวรรณะ ๖ จับพระบาทพระพุทธเจ้าที่
ข้อถวายบังคมแล้วในขณะนั้น ฝนดอกไม้ทิพย์ก็ตกลงมา มหาชนเปล่งเสียงสาธุการขึ้นพร้อมกัน
พระพุทธเจ้าจึงตรัสสฬายตนวิภังค์ โปรดคนเหล่านั้น
จิตตคฤหบดี อยู่ในสานักพระพุทธเจ้าสิ้นเดือนหนึ่ง ได้นิมนต์ภิกษุสงฆ์ทั้งสิ้น
มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ให้นั่งในวิหารนั่นแหละ ถวายทานใหญ่แล้ว นิมนต์ภิกษุแม้ที่มา
พร้อมกับตนให้อยู่ภายในอารามนั้นแหละบารุงแล้วไม่ต้องหยิบอะไร ๆ ในเกวียนของตนแม้
สักวันหนึ่ง ได้ทากิจทุกอย่างด้วยบรรณาการที่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายนามาเท่านั้น
จิตตคฤหบดีนั้น ถวายบังคมพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าพระองค์
มาด้วยตั้งใจว่า จะถวายทานแด่พระองค์ ได้พักอยู่ในระหว่างทางเดือนหนึ่ง และในที่นี้เวลา
เดือนหนึ่งของข้าพระองค์ก็ได้ล่วงไปแล้ว สิ่งของที่ข้าพระองค์ตั้งใจจะนามาถวายนั้น ข้าพระองค์
ยังมิได้ต้องนาออกมาถวายทานเลย ด้วยว่าของอะไร ๆ ที่ได้ถวายทานตลอดเวลาที่ผ่านมานี้
เป็นสิ่งของที่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายนามาทั้งนั้น ข้าพระองค์นั้น แม้ถ้าจะอยู่ในที่นี้ไปอีก
ตลอดปีหนึ่ง ก็จะไม่ได้โอกาสเพื่อจะถวายไทยธรรมของข้าพระองค์แน่แท้ ข้าพระองค์
ปรารถนาจักนาของในเกวียนออกถวายเป็นทานแล้วกลับไป ขอพระองค์ จงโปรดให้บอกที่
สาหรับเก็บของนั้นแก่ข้าพระองค์เถิด
พระพุทธเจ้า ตรัสกับพระอานนทเถระว่า อานนท์ เธอจงให้จัดที่แห่งหนึ่งให้ว่าง
ให้แก่อุบาสกพระเถระ ได้กระทาอย่างนั้นแล้ว ได้ยินว่า พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตกัปปิยภูมิ
แก่จิตตคฤหบดีแล้ว
ฝ่ายอุบาสกกับชนทั้งสามพันคน ซึ่งมาพร้อมกับตน ก็เดินทางกลับด้วยเกวียนเปล่าแล้ว
พวกเทวดาก็ได้เนรมิตรัตนะ ๗ ประการบรรจุไว้เต็มเกวียนนั้น
ในครั้งนั้น พระอานนทเถระ ถวายบังคมพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลถามว่า สักการะ
ที่เกิดขึ้นแก่คฤหบดีนั้น จะเกิดเฉพาะเมื่อคฤหบดีนั้นมาเฝ้าพระองค์เท่านั้น หรือแม้ไปในที่อื่น
ก็เกิดขึ้นเหมือนกัน
พระพุทธเจ้า ตรัสว่า อานนท์ จิตตคฤหบดีนั้นมาสู่สานักของเราก็ดี ไป ณ ที่อื่นก็ดี
สักการะย่อมเกิดขึ้นทั้งนั้น เพราะอุบาสกนี้เป็นผู้มีศรัทธา เลื่อมใส มีศีลสมบูรณ์ อุบาสก
เช่นนี้ ไปประเทศใด ๆ ลาภสักการะ ย่อมเกิดแก่เขาในประเทศนั้น ๆ ทีเดียว ดังนี้แล้ว
ตรัสพระคาถาว่า ผู้มีศรัทธา สมบูรณ์ด้วยศีล เพียบพร้อมด้วยยศ และโภคะ ย่อมคบ
ประเทศใด ๆ ย่อมเป็นผู้อันเขาบูชาแล้ว ในประเทศนั้น ๆ ทีเดียว
จิตตคฤหบดีได้เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในเรื่องการแสดงธรรม โดยมีเรื่องที่เป็นเค้ามูล
ที่แสดงให้เห็นว่าท่านเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นอยู่หลายเรื่อง เช่น
ท่านได้แสดงธรรมแก้ปัญหาที่เหล่าภิกษุที่อัมพาฏการามได้สงสัยในเรื่อง ธรรมเหล่านี้
คือ สังโยชน์ก็ดี สังโยชนียธรรมก็ดี มีอรรถต่างกัน มีพยัญชนะต่างกันหรือว่ามีอรรถหมือนกัน
พยัญชนะเท่านั้นต่างกัน ซึ่งท่านก็ได้แสดงธรรมแก้ข้อสงสัยนั้นจนเป็นที่พอใจของพระสงฆ์
เหล่านั้น
อีกครั้งหนึ่งท่านได้แสดงธรรมโดยละเอียดในเรื่องที่พระกามภูอยู่ที่อัมพาฏกวัน
ใกล้ราวมัจฉิกาสณฑ์ ได้ขอให้ท่านขยายความภาษิตที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้โดยย่อว่า
เธอจงดูรถอันไม่มีโทษ มีหลังคาขาว มีเพลาเดียว ไม่มีทุกข์ แล่นไปถึงที่หมาย
ตัดกระแสตัณหาขาด ไม่มีกิเลสเครื่องผูกพัน ซึ่งคฤหบดีก็ได้ขยายให้พระกามภูฟังจน
พระกามภูได้ชมเชย
ท่านได้แสดงธรรมแก้ปัญหาที่ท่านพระโคทัตตะได้สงสัยในเรื่องธรรมเหล่านี้ คือ
อัปปมาณาเจโตวิมุติ อากิญจัญญาเจโตวิมุติ สุญญตาเจโตวิมุติ และอนิมิตตาเจโตวิมุติ
มีอรรถต่างกัน มีพยัญชนะต่างกัน หรือว่า มีอรรถเหมือนกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น
ซึ่งท่านก็ได้แสดงธรรมแก้ข้อสงสัยนั้นจนเป็นที่พอใจแก่ท่านพระโคทัตตะท่านคฤหบดีได้แสดงธรรมให้อเจลกัสสปผู้สหายให้เลื่อมใสพระพุทธศาสนา จนขอบวช
และต่อมาได้เป็นพระอรหันต์
ท่านคฤหบดีได้มีหนังสือพรรณนาพระพุทธคุณส่งไปให้อิสิทัตตะผู้เป็นสหาย
ที่ไม่เคยเห็นกันของตน จนอิสิทัตตะเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า บวชในสานักของ
พระมหากัจจายนเถระ ได้บาเพ็ญวิปัสสนาแล้ว ต่อกาลไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหันต์
ต่อมาภายหลัง พระพุทธเจ้า เมื่อทรงสถาปนาเหล่าอุบาสกไว้ในตาแหน่งต่าง ๆ
ตามลาดับ ทรงทากถาชื่อจิตตสังยุตให้เป็นอัตถุปปัตติ เหตุเกิดเรื่อง จึงทรงสถาปนาท่านไว้ใน
ตาแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสก ผู้เป็นธรรมกถึก

๒๑. อนาถบิณฑิกเศรษฐี

๒๑. อนาถบิณฑิกเศรษฐี
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เกิดในตระกูลมหาเศรษฐี ในเมืองสาวัตถี บิดาชื่อว่า สุมนะมี
ทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาล เมื่อเกิดมาแล้วบรรดาหมู่ญาติได้ตั้งชื่อให้ว่า สุทัตตะ เป็นคน
มีจิตเมตตาชอบทาบุญให้ทานแก่คนยากจนอนาถา
เมื่อบิดามารดาของท่านล่วงลับไปแล้ว ได้ดารงตาแหน่งเศรษฐีแทน ให้ตั้งโรงทาน
ที่หน้าบ้านแจกอาหารแก่คนยากจนทุกวัน จนกระทั่งประชาชนทั่วไปเรียกท่านตามลักษณะ
นิสัยว่า อนาถบิณฑิกะ ซึ่งหมายถึง ผู้มีก้อนข้าวเพื่อคนอนาถา และได้เรียกกันต่อมา จนบางคน
ก็ลืมชื่อเดิมของท่านไป ท่านอนาถบิณฑิกะ ทาการค้าขายระหว่างเมืองสาวัตถีกับเมืองราชคฤห์
เป็นประจา จนมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับเศรษฐีเมืองราชคฤห์ นามว่า ราชคหกะ และต่อมา
เศรษฐีทั้งสองก็มีความเกี่ยวดองกันมากขึ้น โดยต่างฝ่ายก็ได้น้องสาวของกันและกันมาเป็น
ภรรยา ดังนั้น เมื่ออนาถบิณฑิกะ นาสินค้ามาขายยังเมืองราชคฤห์ จึงได้มาพักอาศัยที่บ้าน
ของราชคฤหเศรษฐีผู้ซึ่งมีฐานะเป็นทั้งน้องเขยและพี่เมียอยู่เป็นประจา
อนาถบิณฑิกเศรษฐี ดารงชีวิตอยู่ในเมืองสาวัตถี โดยมิได้ทราบข่าวเกี่ยวกับการเกิดขึ้น
แห่งพระพุทธศาสนาเลย จวบจนวันหนึ่ง ท่านได้นาสินค้ามาขายในเมืองราชคฤห์ และได้เข้า
พักในบ้านของราชคหกเศรษฐีตามปกติ แต่ในวันนั้น เป็นวันที่ราชคหกเศรษฐี ได้กราบทูล
อาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์เป็นจานวนมากมาฉันภัตตาหารที่เรือนของตน
ในวันรุ่งขึ้น
ราชคหกเศรษฐีมัวยุ่งอยู่กับการสั่งงานแก่ข้าทาสบริวาร จึงไม่มีเวลามาปฏิสันถาร
ต้อนรับ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเหมือนเช่นเคย เพียงแต่ได้ทักทายปราศัยเล็กน้อยเท่านั้น
แล้วก็สั่งงานต่อไป แม้ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ก็เกิดความสงสัยขึ้นเช่นกัน จึงคิดอยู่ในใจว่า
ราชคหกเศรษฐี คงจะมีงานบูชายัญหรือไม่ก็คงจะกราบทูลเชิญพระเจ้าพิมพิสาร
เสด็จมายังเรือนของตนในวันพรุ่งนี้
เมื่อสั่งงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ราชคหกเศรษฐี จึงได้มีเวลามาต้อนรับพูดคุยกับ
อนาถบิณฑิกเศรษฐี และท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ได้ไต่ถามข้อข้องใจสงสัยนั้น ซึ่งได้รับ
คาตอบว่าที่มัวยุ่งอยู่กับการสั่งงานนั้นก็เพราะได้กราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมด้วย
พระภิกษุสงฆ์มาฉันภัตตาหารที่เรือนของตนในวันพรุ่งนี้
อนาถบิณฑิกเศรษฐี พอได้ฟังคาว่า พระพุทธเจ้าเท่านั้นเอง ก็รู้สึกแปลกประหลาด
ใจ จึงย้อนถามถึงสามครั้งเพื่อให้แน่ใจ เพราะคาว่า พระพุทธเจ้า นี้เป็นการยากยิ่งนักที่จะได้ยินในโลกนี้ เมื่อราชคหกเศรษฐีกล่าวยืนยันว่า ขณะนี้ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์
เกิดขึ้นแล้วในโลก จึงเกิดปีติและศรัทธาเลื่อมใสอย่างแรงกล้า ปรารถนาจะไปเข้าเฝ้า
พระพุทธองค์ในทันที แต่ราชคหกเศรษฐียับยั้งไว้ว่ามิใช่เวลาแห่งการเข้าเฝ้า จึงรอจนรุ่งเช้า
ก็รีบไปเข้าเฝ้าก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จไปยังบ้านราชคหกเศรษฐี ได้ฟังอนุบุพพิกถาและ
อริยสัจ ๔ จากพระพุทธเจ้าแล้ว ได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคลในพระพุทธศาสนา
ประกาศตนเป็นอุบาสก ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต
อนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้ช่วยอังคาสถวายภัตตาหารแด่พระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์
ครั้นเสร็จภัตกิจแล้ว ก็ได้กราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าเพื่อเสด็จไปประกาศ พระศาสนาใน
เมืองสาวัตถี พร้อมทั้งกราบทูลว่า จะสร้างพระอารามถวายในเมืองสาวัตถีนั้น พระพุทธเจ้า
ทรงรับอาราธนาตามคากราบทูล
อนาถบิณฑิกเศรษฐี รู้สึกปลาบปลื้มปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง รีบเดินทางกลับสู่เมือง
สาวัตถีโดยด่วน ในระหว่างทางจากเมืองราชคฤห์ถึงเมืองสาวัตถี ระยะทาง ๕๔ โยชน์
ได้บริจาคทรัพย์จานวนมาก ให้สร้างวิหารที่ประทับเป็นที่พักทุก ๆ ระยะหนึ่งโยชน์ เมื่อถึง
เมืองสาวัตถีแล้ว ได้ติดต่อขอซื้อที่ดินจากเจ้าชายเชตราชกุมาร โดยได้ตกลงราคาด้วยการนาเงิน
ปูลาดให้เต็มพื้นที่ตามที่ต้องการ ปรากฏว่าเศรษฐีใช้เงินถึง ๒๗ โกฏิ เป็นค่าที่ดินและอีก
๒๗ โกฏิ เป็นค่าก่อสร้างพระคันธกุฏีที่ประทับของพระพุทธเจ้า และเสนาสนะสงฆ์ รวมเป็น
เงินทั้งสิ้น ๕๔ โกฏิ แต่ยังขาดพื้นที่สร้างซุ้มประตูพระอาราม ขณะนั้น เจ้าชายเชตราชกุมาร
ได้แสดงความประสงค์ขอเป็นผู้จัดสร้างถวาย โดยขอให้จารึกพระนามของพระองค์ที่ซุ้ม
ประตูพระอาราม ดังนั้น พระอารามนี้จึงได้ชื่อว่า เชตวนาราม
เมื่อการก่อสร้างพระอารามเสร็จแล้ว ได้กราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมด้วย
พระภิกษุสงฆ์เสด็จเข้าประทับจัดพิธีฉลองพระอารามอย่างมโหฬารนานถึง ๙ เดือนได้จัด
ถวายอาหารบิณฑบาตอันประณีตแก่พระพุทะเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ เมื่อพิธีฉลองพระอาราม
เสร็จสิ้นลงแล้วได้ กราบอาราธนาพระภิกษุจานวนประมาณ ๒,๐๐๐ รูป ไปฉันภัตตาหาร
ที่บ้านของตนทุกวันตลอดกาล
สมัยหนึ่ง ท่านได้สิ้นเนื้อประดาตัว เพราะต้องเสียทรัพย์ไปครั้งใหญ่ถึง ๒ ครั้ง คือ
พวกพ่อค้าผู้เป็นสหายได้ขอยืมเงินไป ๑๘ โกฏิแล้วไม่ใช้คืน ทรัพย์อีกส่วนหนึ่งซึ่งฝังไว้ที่ริมฝั่ง
แม่น้า จานวน ๑๘ โกฏิ ได้ถูกน้าเซาะตลิ่งพัง ทรัพย์ก็ถูกน้าพัดไปในมหาสมุทร แม้ท่านจะตก
อับอย่างนี้ก็ตาม ท่านก็ยังคงให้ทานอยู่เสมอวันละ ๕๐๐ รูป เพียงแต่ภัตตาหารที่จัดถวายพระภิกษุสงฆ์ลดลงทั้งคุณภาพและปริมาณ จนที่สุดข้าวที่หุงถวายพระก็จาเป็นต้องใช้ข้าว
ปลายเกวียนกับข้าวก็เหลือเพียงน้าผักเสี้ยนดอง ตนเองก็พลอยอดอยากลาบากไปด้วย
ถึงกระนั้น เศรษฐีก็ยังไม่ลดละการทาบุญถวายภัตตาหารแก่พระภิกษุสงฆ์ ได้แต่กราบเรียน
ให้พระภิกษุสงฆ์ทราบว่า ตนเองไม่สามารถจะจัดถวายอาหารอันประณีตมีรสเลิศเหมือน
เมื่อก่อนได้ เพราะขาดปัจจัยที่จะจัดหา พระภิกษุสงฆ์ที่เป็นปุถุชนก็พากันไปรับอาหาร
บิณฑบาตที่ตระกูลอื่นที่ถวายอาหารมีรสเลิศกว่า
ในคราวที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ตกอับลงนั้น พระพุทธองค์ได้เสด็จไปยังนครสาวัตถี
อีกครั้งหนึ่ง เสด็จประทับ ณ วัดพระเชตวัน เมื่อท่านเศรษฐีเข้าเฝ้าก็ตรัสถามว่า ในตระกูล
ของท่าน ยังมีการให้ทานอยู่หรือคฤหบดี ท่านทูลตอบว่า ยังให้ทานอยู่ พระเจ้าข้า แต่ทานนั้น
เป็นของเศร้าหมอง เป็นปลายข้าว มีน้าผักดองเป็นที่สอง
พระพุทธองค์ตรัสว่า วัตถุที่ให้นั้น จะเศร้าหมอง หรือประณีตก็ตาม แต่ถ้าผู้ให้เทให้
ไม่เชื่อกรรมและผลของกรรม ทานนั้นย่อมให้ผลไม่ดี แต่ถ้าผู้ให้ทาน ให้ด้วยความเคารพ
ให้ด้วยความนอบน้อม ให้ด้วยมือของตนเอง ไม่ทิ้งให้เทให้ ให้เพราะเชื่อกรรมและผลของกรรม
ทานนั้นย่อมให้ผลดี
ขณะนั้น เทวดาตนหนึ่งผู้เป็นมิจฉาทิฎฐิ ซึ่งสิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูบ้านของท่านอนาถ
บิณฑิกเศรษฐี ไม่เลื่อมใสพุทธศาสนา เบื่อระอาที่พระภิกษุสงฆ์เดินรอดซุ้มประตูเข้าออกทุกวัน
เพราะในขณะที่ภิกษุสงฆ์เดินรอดซุ้มประตูนั้นตนไม่สามารถจะอยู่บนซุ้มประตูได้ เมื่อเห็น
เศรษฐีกลับกลายมีฐานะยากจนลงเพราะทาบุญแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จึงปรากฎ
กายต่อหน้าท่านเศรษฐีกล่าวห้ามปรามให้เศรษฐีเลิกทาบุญเสียเถิด แล้วทรัพย์สินเงินทอง
ก็จะเพิ่มพูนขึ้นเหมือนเดิม ท่านเศรษฐีจึงถามว่า ท่านเป็นใคร
เทวดาตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นเทวดาผู้สิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูเรือนของท่าน เศรษฐีจึง
กล่าวว่า ดูก่อนเทวดาอันธพาล เราไม่ต้องการเห็น ไม่ต้องการฟังคาพูดของท่าน ขอท่าน
จงออกไปจากซุ่มประตูเรือนของเรา อย่ามาให้ข้าพเจ้าเห็นอีกเป็นอันขาด
เทวดาตกใจ ไม่สามารถจะอยู่ที่ซุ่มประตูเรือนของเศรษฐีได้อีกต่อไป กลายเป็น
เทวดาไร้ที่สิงสถิต ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เข้าไปหาเทวดาผู้มีศักดิ์สูงกว่าตนให้
ช่วยเหลือแต่ไม่มีเทวดาองค์ใดจะสามารถช่วยได้ เพียงแต่บอกอุบายให้ว่า ทรัพย์เก่าของ
เศรษฐีทั้งหมดมีจานวน ๕๔ โกฏิ ซึ่งรวมทั้งทรัพย์ที่ใส่ภาชนะฝังไว้ที่ริมฝั่งแม่น้าถูกน้าเซาะ
ตลิ่งพังจมหายไปในสายน้า ท่านจงไปนาทรัพย์เหล่านั้นกลับคืนมามอบให้ท่านเศรษฐี
แล้วท่านเศรษฐีก็จะหายโกรธยกโทษให้ และอนุญาตให้อยู่อาศัยที่ซุ้มประตูบ้านดังเดิมได้เทวดาทาตามนั้น ได้นาทรัพย์เหล่านั้นมามอบให้เศรษฐีด้วยอานาจฤทธิ์เทวดา
เมื่อเศรษฐียกโทษให้แล้วได้อยู่ ณ สถานที่เดิมของตนสืบไป
อนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นต้นแบบการทาบุญอุทิศให้ผู้ตาย โดยปรารภเหตุเล็ก ๆ
น้อย ๆ ขึ้นมาเป็นเรื่องทาบุญได้เสมอ เช่น วันหนึ่งหลานของท่านเล่นตุ๊กตาที่ทาจากแป้งแล้ว
หล่นลงแตก หลานร้องไห้ด้วยความเสียดายตุ๊กตา เพราะไม่มีตุ๊กตาจะเล่น ท่านเศรษฐีได้
ปลอบโยนหลานว่า ไม่เป็นไร เราช่วยกันทาบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ตุ๊กตากันเถิด ปรากฏว่า
หลานหยุดร้องไห้ รุ่งเช้า ท่านจึงพาหลายช่วยกันทาบุญเลี้ยงพระแล้วกรวดน้าอุทิศส่วนกุศล
ไปให้ตุ๊กตาข่าวการทาบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ตุ๊กตาของท่านเศรษฐี แพร่ขยายไปอย่างรวดเร็ว
ประชาชนชาวพุทธบริษัททั้งหลาย เห็นเป็นเรื่องแปลกและเป็นสิ่งที่ดีที่ควรกระทา ดังนั้น
เมื่อญาติผู้เป็นที่รักของตนตายลงก็พากันทาบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เหมือนอย่างที่ท่านเศรษฐี
กระทานั้น และถือปฏิบัติกันอย่างแพร่หลายสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
ตามปกติทุก ๆ วัน ภิกษุทั้งหมดผู้อยู่ในเมืองสาวัตถีจะรับนิมนต์เพื่อฉันภัตตาหาร
ในบ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐี และในบ้านของนางวิสาขา ดังนั้น บุคคลอื่น ๆ ผู้ประสงค์จะ
ถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์ ก็ต้องมาขอโอกาสจากท่านทั้งสองนี้ เมื่อนิมนต์พระได้แล้วก็ต้องเชิญ
ท่านทั้งสองนี้ไปเป็นประธานที่ปรึกษาด้วย ทั้งนี้ก็เพราะท่านทั้งสองทราบดีว่า ควรประกอบ
ควรปรุงอาหารอย่างไรให้ต้องกับอัธยาศัยและวินัยของพระ ควรจัดสถานที่อย่างไรจึงจะ
เหมาะสม นอกจากนี้ก็เพื่อเป็นสิริมงคลแก่เจ้าของบ้านเรือนที่จัดงานอีกด้วย ดังนั้น ท่านทั้ง
สองจึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่ปฏิบัติเลี้ยงดูพระภิกษุที่นิมนต์มาฉันที่บ้านของตน นางวิสาขาจึงได้
มอบหมายภารกิจหน้าที่นี้แก่หลานสาวส่วนอนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้มอบให้แก่ลูกสาวคนโต
ชื่อว่า มหาสุภัททา นางได้ทาหน้าที่นี้อยู่ระยะหนึ่ง ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วได้บรรลุ
เป็นพระโสดาบัน ต่อมาได้แต่งงานแล้วก็ติดตามไปอยู่ในสกุลของสามีจากนั้นอนาถบิณฑิก
เศรษฐีก็ได้มอบหมายให้ลูกสาวคนที่สองชื่อว่า จุลสุภัททา นางก็ทาหน้าที่แทนบิดาด้วยดี
โดยตลอด และก็ได้สาเร็จเป็นพระโสดาบันเช่นกันต่อจากนั้นไม่นาน นางก็ได้แยกไปอยู่กับ
ครอบครัวของสกุลสามี อนาถบิณฑิกเศรษฐี จึงได้มอบหน้าที่ให้ลูกสาวคนเล็กชื่อว่า สุมนาเทวี
กระทาแทนสืบมา
สุมนาเทวี ทาหน้าที่ด้วยความขยันเข้มแข็ง งานสาเร็จลงด้วยความเรียบร้อยทุกวัน
ทั้ง ๆ ที่นางอายุยังน้อย จากการที่นางได้ทาบุญถวายภัตตาหาร แด่พระภิกษุสงฆ์และได้ฟัง
ธรรมเป็นประจา นางก็ได้บรรลุเป็นพระสกทาคามี แต่ต่อมานางได้ล้มป่วยลงมีอาการหนัก
ใคร่อยากจะพบบิดา จึงให้คนไปเชิญบิดามาท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี พอได้ทราบว่าลูกสาวป่วยหนักก็รีบมาเยี่ยมโดยเร็ว พอมาถึง
ได้ถามลูกสาวว่า แม่สุมนา เจ้าเป็นอะไร
อะไรเล่า น้องชาย ลูกสาวตอบ
เจ้าเพ้อหรือ แม่สุมนา บิดาถาม
ไม่เพ้อหรอก น้องชาย ลูกสาวตอบ
แม่สุมนา ถ้าอย่างนั้น เจ้ากลัวหรือ บิดาถาม
ไม่กลัวหรอก น้องชาย
นางสุมนาเทวี พูดโต้ตอบกับบิดาได้เพียงเท่านั้นก็ถึงแก่กรรม
อนาถปิณฑิกเศรษฐี แม้จะเป็นพระโสดาบัน ก็ไม่อาจจะกลั้นความเศร้าโศกเสียใจ
เพราะการจากไปของธิดาได้ เมื่อเสร็จงานศพได้ร้องไห้น้าตานองหน้าไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
พระพุทธองค์ตรัสปลอบว่า
อนาถปิณฑิกเศรษฐี ก็ความตายเป็นสิ่งเที่ยงแท้ของสรรพสัตว์มิใช่หรือ เหตุไฉนท่าน
จึงร้องไห้อย่างนี้
อนาถปิณฑิกเศรษฐี กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อนั้นข้าพระองค์ทราบดี
แต่นางสุมนาเทวีธิดาของข้าพระองค์ เมื่อใกล้เวลาจวนจะตาย นางไม่สามารถคุมสติได้เลย
นางบ่นเพ้อจนกระทั่งตาย ข้าพระองค์โทมนัสร้องไห้เพราะเหตุนี้ พระเจ้าข้าพร้อมทั้งได้
กราบทูลถ้อยคาที่นางสุมนาเทวีเรียนตนเองว่าน้องชาย ถวายให้พระพุทธองค์ทรงทราบ
พระพุทธเจ้าได้สดับแล้วตรัสว่า
ดูก่อนมหาเศรษฐี บุตรของท่านมิได้เพ้อหลงสติอย่างที่ท่านเข้าใจ แต่ที่นางเรียก
ท่านว่าน้องชายนั้น ก็เพราะท่านเป็นน้องของนางจริง ๆ นางเป็นใหญ่กว่าท่านโดยมรรคและผล
เพราะท่านเป็นเพียงพระโสดาบัน แต่ธิดาของท่านเป็นพระสกทาคามี เป็นอริยบุคคลสูงกว่าท่าน
และบัดนี้ นางได้ไปเกิดเสวยสุขอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว นี่แหละคฤหบดี ธรรมดาบุคคล
ไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิตก็ตาม ถ้าอยู่ด้วยความไม่ประมาท ประพฤติดีปฏิบัติชอบ
ก็ย่อมเสวยสุขเพลินทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
อนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้ฟังพระพุทธดารัสแล้วหายจากความเศร้าโศกเสียใจกลับ
ได้รับความปีติเอิบอิ่มใจขึ้นมาแทน เมื่อควรแก่เวลาแล้ว ก็กราบทูลลากลับสู่เคหสถานของ
ตน เพราะความที่อนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นผู้มีศรัทธามั่นคงไม่หวั่นไหว ฝักใฝ่ในการทาบุญให้ทาน ไม่มีผู้ใดจะเปรียบเทียบได้ พระพุทธองค์ยกย่องท่านในตาแหน่ง เอตทัคคะ เป็นผู้เลิศ
กว่าอุบาสกทั้งหลาย ในฝ่ายผู้เป็นทายก

๒๐. สุมนสามเณร

๒๐. สุมนสามเณร
พระอนุรุทธเถระ เป็น ๑ ใน ๘๐ พระอัครสาวกผู้ใหญ่ ที่ได้รับการยกย่องจาก
พระพุทธเจ้าว่าเป็นเอตทัคคะ ผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้มีทิพยจักษุญาณ เป็นโอรสที่พระบิดา
ถวายให้เป็นบริวารแด่เจ้าชายสิทธัตถะ ในคราวที่เจ้าชายสิทธัตถะประสูติ
ครั้นเมื่อพระบรมโพธิสัตว์ เสด็จออกทรงผนวชและตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว
อนุรุทธะพร้อมกับพระโอรสของเจ้าศากยะห้าพระองค์ มีเจ้าภัททิยะเป็นประมุข เข้าไปเฝ้า
พระศาสดาที่ อนุปิยอัมพวัน ทรงผนวชแล้ว
ก็ครั้นผนวชแล้ว พระอนุรุทธะเป็นผู้ปฏิบัติชอบ ทาให้แจ้งวิชชา ๓ โดยลาดับ นั่งอยู่
บนอาสนะเดียว สามารถเล็งดูโลกธาตุพันหนึ่งได้ด้วยทิพยจักษุ ดุจผลมะขามป้อมที่บุคคลวาง
ไว้บนฝ่ามือฉะนั้น จึงเปล่งอุทานขึ้นว่า
เราย่อมระลึกได้ซึ่งบุพเพนิวาส ทิพยจักษุ เราก็ชาระแล้ว
เราเป็นผู้ได้วิชชา ๓ เป็นผู้ถึงฤทธิ์ คาสอนของพระพุทธเจ้า อันเราทาแล้ว
พิจารณาดูว่า เราทากรรมอะไรหนอ จึงได้สมบัตินี้ ทราบได้ว่า เราได้ตั้งความปรารถนา
ไว้แทบบาทมูลของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตระ ทราบต่อไปอีกว่า เราท่องเที่ยวอยู่
ในสงสาร ในกาลชื่อโน้น ได้อาศัยสุมนเศรษฐี ในเมืองพาราณสีเลี้ยงชีพ เป็นผู้ชื่อว่าอันนภาระ
ดังนี้แล้ว กล่าวว่า
ในกาลก่อน เราเป็นผู้ชื่อว่าอันนภาระ เป็นคนเข็ญใจ ขนหญ้า
เราถวายบิณฑบาตแก่พระอุปริฏฐปัจเจกพุทธะ ผู้มียศ
ครั้งนั้น ท่านได้มีความปริวิตกว่า สุมนเศรษฐีผู้เป็นสหายของเรา ได้กหาปณะแล้ว
รับเอาส่วนบุญจากบิณฑบาตซึ่งเราถวายแก่พระอุปริฏฐปัจเจกพุทธะในกาลนั้น บัดนี้ เกิดใน
ที่ไหนหนอแล
ทีนั้น ท่านได้เล็งเห็นเศรษฐีนั้นว่า บ้านชื่อว่ามุณฑนิคม มีอยู่ที่เชิงเขาใกล้ดงไฟไหม้
อุบาสกชื่อมหามุณฑะ ในมุณฑนิคมนั้น มีบุตรสองคน คือมหาสุมนะและจูฬสุมนะ ในบุตร
สองคนนั้น สุมนเศรษฐีเกิดเป็นจูฬสุมนะ ก็ครั้นเห็นแล้ว คิดว่า เมื่อเราไปในที่นั้น อุปการะ
จะมีหรือไม่มีหนอ ท่านใคร่ครวญอยู่ได้เห็นเหตุนี้ว่า เมื่อเราไปในที่นั้น จูฬสุมนะนั้นมีอายุ
๗ ขวบเท่านั้นจะขอออกบวช และจะบรรลุอรหัตผลในเวลาปลงผมเสร็จนั่นเองก็แลท่านครั้นเห็นแล้ว เมื่อกาลฝนใกล้เข้ามา จึงไปทางอากาศลงที่ประตูบ้าน
ส่วนมหามุณฑอุบาสกเป็นผู้คุ้นเคยของพระเถระแม้ในกาลก่อนเหมือนกัน เขาเห็นพระเถระ
ครองจีวรในเวลาบิณฑบาต จึงกล่าวกับมหาสุมนะผู้บุตรว่า พ่อ พระผู้เป็นเจ้าอนุรุทธเถระ
ของเรามาแล้ว เจ้าจงไปรับบาตรของท่านให้ทันเวลาที่ใคร ๆ คนอื่นยังไม่รับบาตรของท่านไป
พ่อจะให้เขาปูอาสนะไว้
มหาสุมนะได้ทาอย่างนั้นแล้ว อุบาสกอังคาสพระเถระภายในเรือนโดยเคารพแล้ว
รับปฏิญญาเพื่อต้องการแก่การอยู่จาพรรษาตลอดไตรมาส พระเถระรับนิมนต์แล้ว
ครั้งนั้น อุบาสกปฏิบัติพระเถระตลอดไตรมาส เป็นเหมือนปฏิบัติอยู่วันเดียว ในวัน
มหาปวารณา จึงนาไตรจีวรและอาหารวัตถุมีน้าอ้อย น้ามัน และข้าวสารเป็นต้นมาแล้ว
วางไว้ใกล้เท้าของพระเถระ เรียนว่า ขอพระผู้เป็นเจ้าจงรับเถิด ขอรับ
พระเถระกล่าวว่า อย่าเลยอุบาสก ความต้องการด้วยวัตถุนี้ของฉัน ไม่มี
อุบาสกเรียนว่า ท่านผู้เจริญ นี่ชื่อว่า วัสสาวาสิกลาภ (คือลาภอันเกิดแก่ผู้อยู่จาพรรษา)
ขอพระผู้เป็นเจ้าจงรับวัตถุนั้นไว้เถิด
พระเถระกล่าวว่า ช่างเถิด อุบาสก
อุบาสกถามว่า ท่านย่อมไม่รับเพื่ออะไร ขอรับ
พระเถระตอบว่า แม้สามเณรผู้เป็นกับปิยการก ในสานักของฉันก็ไม่มี
อุบาสกเรียนว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น มหาสุมนะผู้เป็นบุตรของกระผมจักเป็น
สามเณร
พระเถระกล่าวว่า อุบาสก ความต้องการด้วยมหาสุมนะของฉัน ก็ไม่มี
อุบาสกเรียนว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้าจงให้จูฬสุมนะ บวชเถิด
พระเถระกล่าวว่า ดีละ แล้วให้จูฬสุมนะบวช จูฬสุมนะนั้นบรรลุอรหัตในเวลาปลงผม
เสร็จนั่นเอง
พระเถระอยู่ในที่นั้นกับจูฬสุมนสามเณรนั้นประมาณกึ่งเดือนแล้ว ลาพวกญาติ
ของเธอว่า พวกฉันจะเฝ้าพระพุทธเจ้า ดังนี้แล้วไปทางอากาศ ลงที่กระท่อมอันตั้งอยู่ในป่า
ในหิมวันตประเทศ
ดึกคืนนั้น ท่านพระอนุรุทธเถระเกิดปวดท้องด้วยกาลังลมเสียดท้อง สามเณรจึงถาม
ว่ากระผมควรจะทายาเช่นไรดีขอรับพระเถระกล่าวว่า เอาเนยใสผสมกับน้าจากสระอโนดาตจึงจะหาย เธอถือเอาขวด
น้านี้ไปใส่มาเถิด พญานาคที่อยู่ที่สระนั้นเป็นเพื่อนกับเรา เธอบอกเขาว่าฉันใช้ให้มาเอา
เขาก็ถวาย ขอรับ
สามเณรรับคาแล้วเหาะไป พอดีวันนั้นเป็นวันจัดงานเลี้ยงของพญานาคพอดี และ
นาคก็กาลังดูนางราฟ้อนราอย่างสบายอารมณ์ พอเห็นสามเณรเหาะข้ามหัวตัวเองไปก็โกรธ
เพราะปกติพวกพญานาคนั้นขี้โกรธอยู่แล้ว จึงอยากลองฤทธิ์สามเณร จึงแผ่ขยายพังพานเจ็ด
หัวของตัวเองปิดสระอโนดาตกว้าง ๑๕๐ โยชน์จนหมด (๑ โยชน์ เท่ากับ ๑๖ กิโลเมตร)
สามเณรรู้ว่านาคโกรธจึงกล่าวว่า
ดูก่อนท่านพญานาค อาตมา มาตักน้าตามคาสั่งของอุปัชฌาย์ ขอท่านจงให้น้าแก่
อาตมาเถิด พญานาคกล่าวว่า แม่น้าใหญ่มีตั้งห้าสาย ทาไมท่านไม่ไปเอา ทาไมต้องมาเอาที่นี่
สามเณรตอบว่า อาตมาต้องนาน้าจากที่นี่ไปผสมยา อาการของอุปัชฌาย์จึงจะหาย
ขอท่านจงให้น้าเถิด พญานาคกล่าวว่า ถ้าท่านมีปัญญาท่านก็เอาไปสิ
สามเณรรู้ว่าพญานาคโกรธและกลั่นแกล้ง จึงเข้าฌานแยกร่างไปหาท้าวมหาพรหม
ชั้นต่าง ๆ ๑๖ ชั้น ยกเว้นพรหมที่ไม่มีสัญญี (รูปร่าง) จากนั้นก็เชิญพรหมทั้งหมดมาดูศึกของ
ตนเองและพญานาคที่หลังสระน้า สามเณรถามพญานาคอีกว่า
ท่านจะให้น้าแก่อาตมาได้หรือไม่
พญานาคตอบว่า ถ้าท่านมีปัญญาก็เอาไป
สามเณรเณรถามสามครั้งเพื่อยืนยันตามธรรมเนียม จึงเนรมิตร่างให้ใหญ่กว่าพรหม
ที่มาประชุมกันทั้งหมดแล้วเอาเท้าเหยียบหัวพญานาคจากขนาด ๑๕๐ โยชน์ พญานาคถูกกด
จนเหลือเท่าฝาทัพพี จมลงไปในน้า เกลียวน้าพุ่งขึ้นสูงจนเท่าลาตาลเจ็ดต้น สามเณรเอาขวด
รองรับน้าที่ตกลงมา เหล่าพรหมทั้งหลายสาธุการจนดังก้องไปทั่วบริเวณ พญานาคเห็นพรหม
ก็รู้ว่าเรื่องของตนกระจายแน่ๆ จึงโกรธสามเณรยิ่งกว่าเดิมและเหาะตามสามเณรไป แต่เหาะ
อย่างไรก็เหาะไม่ทัน สามเณรเหาะมาถึงและถวายน้าแก่พระเถระ พญานาคร้องห้ามว่า
อย่าฉันนะท่าน น้านี่ไม่สมควรจะฉัน สามเณรเรียนว่า ฉันเถอะขอรับ พญานาค
อนุญาตแล้ว พระเถระรู้ว่าสามเณรใช้ฤทธิ์ปราบนาค จึงฉันน้าผสมเนยใส อาพาธก็ระงับ
แล้วถามพญานาคว่า ท่านมาทาไม
พญานาคตอบว่า กระผมจะฆ่าเณรนี่ ฉีกอก ควักหัวใจแล้วโยนไปภูเขาหิมาลัยโน่นพระเถระกล่าวว่า มหาราช สามเณรมีอานุภาพมาก ท่านไม่สามารถสู้รบกับสามเณรได้
ควรให้สามเณรนั้นอดโทษแล้วกลับไปเสียเถิด พญานาคนั้นย่อมรู้อานุภาพของสามเณรได้ดี
แต่ติดตามมาเพราะความละอาย
ลาดับนั้น พญานาคให้สามเณรนั้นอดโทษตามคาของพระเถระ ทาความชอบพอกัน
ฉันมิตรกับเธอ จึงกล่าวว่า จาเดิมแต่กาลนี้ เมื่อความต้องการด้วยน้าในสระอโนดาตมีอยู่
กิจด้วยการมาแห่งพระผู้เป็นเจ้าย่อมไม่มี พระผู้เป็นเจ้าพึงส่งข่าวไปถึงข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเอง
จะนาน้ามาถวาย ดังนี้แล้วหลีกไป แม้พระเถระก็พาสามเณรไปแล้ว
พระพุทธเจ้าทรงทราบการมาแห่งพระเถระ ประทับนั่งทอดพระเนตรอยู่บนปราสาท
ของมิคารมารดา ถึงพวกภิกษุก็เห็นพระเถระซึ่งกาลังมา ลุกขึ้นต้อนรับ รับบาตรและจีวร
ครั้งนั้น ภิกษุบางพวกจับสามเณรที่ศีรษะบ้าง ที่หูทั้ง ๒ บ้าง ที่แขนบ้าง พลางเขย่า
กล่าวว่า ไม่กระสันหรือ สามเณร
พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นกิริยาของภิกษุเหล่านั้นแล้ว ทรงดาริว่า กรรมของ
ภิกษุเหล่านี้หยาบจริง ภิกษุเหล่านี้จับสามเณรเป็นดุจจับอสรพิษที่คอ พวกเธอหารู้อานุภาพ
ของสามเณรไม่ วันนี้ การที่เราทาคุณของสุมนสามเณรให้ปรากฏ สมควรอยู่
แม้พระเถระก็มาถวายบังคมพระพุทธเจ้า แล้วนั่ง
พระพุทธเจ้าทรงทาปฏิสันถารกับท่านแล้ว ตรัสเรียกพระอานนทเถระมาว่า อานนท์
เรามีความประสงค์จะล้างเท้าทั้งสองด้วยน้าในสระอโนดาต เธอจงให้หม้อแก่พวกสามเณร
แล้วให้นาน้ามาเถิด พระเถระให้สามเณรประมาณ ๕๐๐ ในวิหารประชุมกันแล้ว
บรรดาสามเณรเหล่านั้น สุมนสามเณรได้เป็นผู้ใหม่กว่าสามเณรทั้งหมด พระเถระ
กล่าวกะสามเณรผู้แก่กว่าสามเณรทั้งหมดว่า สามเณร พระพุทธเจ้ามีพระประสงค์จะทรงล้าง
พระบาททั้งสองด้วยน้าในสระอโนดาต เธอจงถือหม้อน้าไปนาน้ามาเถิด สามเณรนั้น
ไม่ปรารถนา ด้วยกล่าวว่า กระผมไม่สามารถ ขอรับ พระเถระถามสามเณรทั้งหลายแม้ที่เหลือ
โดยลาดับ แม้สามเณรเหล่านั้น ก็พูดปลีกตัวทานองเดียวกัน
ในที่สุด เมื่อวาระถึงแก่สุมนสามเณรเข้า พระเถระกล่าวว่า สามเณร พระพุทธเจ้า
มีพระประสงค์จะทรงล้างพระบาททั้งสองด้วยน้าในสระอโนดาต ได้ยินว่า เธอจงถือเอาหม้อ
ไปตักน้ามาสุมนสามเณรเรียนว่า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงให้นามา กระผมจะนามา ดังนี้แล้ว
ถวายบังคมพระพุทธเจ้าแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ได้ยินว่า พระองค์ให้
ข้าพระองค์นาน้ามาจากสระอโนดาตหรือ พระเจ้าข้า
พระพุทธเจ้าตรัสว่า อย่างนั้น สุมนะ
สุมนสามเณรเอามือจับหม้อใหญ่ใบหนึ่ง ซึ่งจุน้าได้ตั้ง ๖๐ หม้อ ในบรรดาหม้อ
สาหรับเสนาสนะ ซึ่งเลี่ยมดาดด้วยทองแท่ง อันนางวิสาขาให้สร้างไว้ หิ้วไปด้วยคิดว่า ความ
ต้องการของเราด้วยหม้อ อันเรายกขึ้นตั้งไว้บนจะงอยบ่านี้ ย่อมไม่มี เหาะขึ้นสู่เวหาส บ่ายหน้า
ต่อหิมวันตประเทศ รีบไปแล้ว
นาคราชเห็นสามเณรซึ่งกาลังมาแต่ไกล จึงต้อนรับ แบกหม้อด้วยจะงอยบ่า กล่าวว่า
ท่านเจ้าข้า เมื่อผู้รับใช้เช่นข้าพเจ้ามีอยู่ เพราะอะไร พระคุณเจ้าจึงมาเสียเอง เมื่อความ
ต้องการน้ามีอยู่ เหตุไร พระคุณเจ้าจึงไม่ส่งเพียงข่าวสาสน์มา ดังนี้แล้ว เอาหม้อ ตักน้า
แบกเองกล่าวว่า นิมนต์พระผู้เป็นเจ้าล่วงหน้าไปก่อนเถิดขอรับ ข้าพเจ้าเองจะนาไป
สามเณรกล่าวว่า มหาราช ท่านจงหยุด ข้าพเจ้าเองเป็นผู้อันพระพุทธเจ้าใช้มา ดังนี้
ให้พญานาคกลับแล้ว เอามือจับที่ขอบปากหม้อ เหาะมาทางอากาศ
ลาดับนั้น พระพุทธเจ้าทรงแลดูเธอซึ่งกาลังมา ตรัสเรียกพวกภิกษุมาแล้ว ตรัสว่า
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงดูการเยื้องกรายของสามเณร เธอย่อมงดงามดุจพระยาหงส์
ในอากาศฉะนั้น แม้สามเณรนั้นวางหม้อน้าแล้ว ได้ถวายบังคมพระพุทธเจ้าแล้วยืนอยู่
ลาดับนั้น พระพุทธเจ้าตรัสถามเธอว่า สุมนะ เธอมีอายุได้เท่าไร สามเณรกราบทูลว่า
มีอายุ ๗ ขวบ พระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า สุมนะ ถ้ากระนั้น ตั้งแต่วันนี้ เธอจงเป็นภิกษุ
เถิด ดังนี้แล้ว ได้ประทานทายัชชอุปสมบท
ได้ยินว่า สามเณรผู้มีอายุ ๗ ปี ๒ รูปเท่านั้น ได้อุปสมบท คือสุมนสามเณรนี้รูปหนึ่ง
โสปากสามเณร อีกรูปหนึ่ง
เมื่อสุมนสามเณรนั้นอุปสมบทแล้วอย่างนั้น พวกภิกษุสนทนากันในโรงธรรมว่า
ผู้มีอายุทั้งหลาย กรรมนี้น่าอัศจรรย์ อานุภาพของสามเณรน้อย แม้เห็นปานนี้ก็มีได้ อานุภาพ
เห็นปานนี้ พวกเราไม่เคยเห็นแล้ว ในกาลก่อนแต่กาลนี้
พระพุทธเจ้าเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วย
เรื่องอะไรหนอ เมื่อพวกเธอกราบทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้ พระเจ้าข้า ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย
ในศาสนาของเรา บุคคลแม้เป็นเด็ก ปฏิบัติชอบแล้ว ย่อมได้สมบัติเห็นปานนี้เหมือนกัน