วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2560

บทที่ ๑๐- ๑๑ เสด็จโปรดพุทธบิดา

บทที่ ๑๐- ๑๑  เสด็จโปรดพุทธบิดา
•   พระเจ้าสุทโธทนะส่งอำมาตย์ไปทูตเชิญพระพุทธองค์  ๑๐ คณะด้วยกัน 
•   กาฬุทายีอำมาตย์  เป็นคณะสุดท้ายและทูตเชิญพระพุทธองค์หลังจากตนบรรลุธรรม  และบวชแล้ว ๘ วัน
•   ระยะทางจากราชคฤห์สู่กรุงกบิลพัสดุ์ ๖๐ โยชน์  (๙๖๐ กิโลเมตร)
•   เดินทางวันละโยชน์ (๑๖ กิโลเมตร)  เป็นเวลา  ๖๐  วันพอดี
•   ชาวกบิลพัสดุ์สร้างนิโครธาราม ถวาย
•   ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเรื่อง  มหาเวสสันดรชาดกแก่ประยูรญาติ
•   พระเจ้าสุทโธทนะทรงบรรลุโสดาบันด้วยคาถาเครื่องเตือนใจสมณะว่า  ไม่ควรประมาทในก้อนข้าวอันจะพึงลุกขึ้นยืนรับ  ควรประพฤติธรรมให้สุจริตผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุขทั้งในโลกนี้ทั้งในโลกอื่น
•   ทรงแสดงธรรมโปรดพระนางมหาปชาบดี  และเจ้าสุทโธทนะ  เมื่อจบพระธรรมเทศนา  พระนางตั้งอยู่ในโสดาบันส่วนพระพุทธบิดา ได้บรรลุสกทาคสมิผล  ในวันที่สอง
•   ในวันที่สามพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมมหาธรรมปาลชาดก  โปรดพระบิดาให้ดำรงอยู่ในพระอนาคามิผล
•   พระนางพิมพาเทวีบรรลุโสดาบันด้วยธรรมเทศนาชื่อว่าจันทกินนรีชาดก
•   พระสารีบุตรทรงบรรพชาราหุลสามเณรที่นิโครธาราม
•   พระราหุลเป็นสามเณรองค์แรกในพระพุทธศาสนา  ด้วยไตรสรณคมน์
•   พระเจ้าสุทโธทนะทูลขอประทานพระพุทธานุญาตว่า แต่นี้ต่อไป  กุลบุตรผู้ใดประสงค์จะบรรพชา  หากมารดาบิดายังไม่ยอมพร้อมใจอนุญาตให้บวชแล้วก็ของดไว้  อย่าได้รีบให้บรรพชาอุปสมบทแก่กุลบุตรเป็นอันขาด
•   บรรลุพระอรหันต์ด้วยพระธรรมเทศนาชื่อว่า ราหุโลวาทสูตรหลังจากอุปสมบทแล้ว

•   ท่านได้รับยกย่องว่าเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้ง ในทางใคร่ต่อการศึกษา

บทที่ ๙ บำเพ็ญพุทธกิจในมคธและเสด็จสักกะ

บทที่ ๙  บำเพ็ญพุทธกิจในมคธและเสด็จสักกะ
•   พระมหากัสสปะมีชื่อเดิมว่า ปิปผลิมาณพ  เป็นบุตรกบิลพราหมณ์กัสสปโคตร  ในบ้านมหาติฏฐะ  จังหวัดมคธรัฐ  แต่งงานกับนางภัททกาปิลานี  บุตรีพราหมณ์โกสิยโครต  แห่งสาคลนคร  จังหวัดมคธรัฐ
•   ปิปผลิมาณพได้เดินทางไปพบพระพุทธเจ้าที่ใต้ต้นไทร มีชื่อว่าพหุปุตตกนิโครธ  กึ่งทางระหว่างกรุงราชคฤห์กับเมืองนาลันทา
•   พระพุทธเจ้าทรงบวชให้พระกัสสปะด้วยการประทานโอวาท  ๓  ข้อ
๑. กัสสปะ ท่านพึงศึกษาว่า  เราจักเข้าไปตั้งความละอายและความยำเกรงไว้ในภิกษุทั้งที่เป็นผู้เฒ่า-ผู้ใหม่-ปานกลาง
๒. ธรรมอันใดที่ประกอบด้วยกุศล เราจะตั้งใจฟังและพิจารณาเนื้อความแห่งธรรมนั้น
๓. เราจักไม่ละสติออกจากกาย  คือพิจารณากายเป็นอารมณ์
•   เมื่อพระกัสสปะบวชแล้ว ภิกษุสหธรรมิกนิยมเรียกท่านว่า  พระมหากัสสปะ
•   การอุปสมบทด้วยการรับโอวาท ๓ ข้อ เรียกว่า  โอวาทปฏิคคหณูปสัมปทา
•   พระมหากัสสปะได้ฟังพระพุทธโอวาท  ๓  ข้อแล้วบำเพ็ญเพียรบรรลุธรรมในวันที่ ๘  แห่งการอุปสมบท
•   พระมหากัสสปะ  ถือธุดงค์คุณ  ๓  อย่างคือ 
๑. ถือการนุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตร  
๒. ถือการเที่ยวบิณฑบาตรเป็นวัตร   
๓. ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร
•   ได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่า  เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้ทรงธุดงค์
•   จาตุรงคสันนิบาต แปลว่าการประชุมพร้อมด้วยองค์  ๔  คือ
๑.   พระอรหันต์ขีณาสพ  อยู่จบพรหมจรรย์  ๑๒๕๐  องค์  มาประชุมกัน
๒. พระสาวกเหล่านั้น  ล้วนเป็นเอหิภิกขุ ผู้ได้อภิญญา ๖
๓.   พระสาวกเหล่านั้น  ต่างมากันเองโดยมิได้นัดหมายกันมาก่อน
๔. เป็นวันเพ็ญ  พระจันทร์เต็มดวง  เสวยมาฆฤกษ์   พระบรมศาสดาทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ในท่ามกลางสาวกเหล่านั้น
 พระศาสดาทรงอนุญาตเสนาสนะ( ที่นอนและที่นั่ง) ๕ ชนิด คือ
๑.วิหาร คือกุฏิมีหลังคา 
๒.  อัฑฒโยค คือกระท่อม 
๓.ปราสาท คือเรือนชั้น(กุฏิหลาย ๆ ชั้น)
๔. หัมมิยะ  ได้แก่  เรือนหรือกุฏิหลังคาตัด      
๕.  คูหา  ได้แก่ ถ้ำ 
•   ราชคหกเศรษฐี เป็นผู้ถวายเสนาสนะ  ๖๐  หลังเป็นคนแรก
 ทรงแสดงวิธีทำปุพพเปตพลี
•   พระเจ้าพิมพิสารทรงกระปุพพเปตพลีทำเป็นครั้งแรก   
•   ทักษิณาอุทิศคนตายทั่วไป  เรียกว่า  ทักษิณานุปทาน
•   มตกทาน  แปลว่า  การอุทิศให้ผู้ตาย
•   ทักษิณาอุทิศเฉพาะบุรพบิดา  เรียกว่าปุพพเปตพลี
•   การอุปสมบทแบบญัตติจตุตถกรรมอุปสัมปทา  พระราธะบวชเป็นองค์แรก  มีพระสารีบุตรเป็นอุปัชฌาย์  ที่เวฬุวันมหาวิหาร  กรุงราชคฤห์
•   พระราธได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทางปฏิภาณ
•   การบวชหรืออุปสมบทกรรมมี  ๓  วิธี คือ
๑. เอหิภิกขุอุปสัมปทา   ๒.  ติสรณคมนูปสัมปทา   
๓.  ญัตติจตุตถกรรม 

 พระพุทธองค์ ทรงแสดงทิศ  ๖  แก่สิงคาละมาณพ

บทที่ ๘ เสด็จกรุงราชคฤห์

บทที่ ๘  เสด็จกรุงราชคฤห์
•   อุปติสสะเป็นบุตรแห่งตระกูลหัวหน้าหมู่บ้าน บิดาชื่อ วันคันตพราหมณ์  มารดาชื่อว่า สารีพราหมนี จึงได้นามว่า  สารีบุตร
•   โกลิตเป็นบุตรแห่งตระกูลหัวหน้าหมู่บ้านโกลิตคาม  มารดาชื่อว่าโมคคัลลี  จึงได้นามว่า โมคคัลลานะ      ทั้งสองท่าน ศึกษาในสำนักสัญชัยปริพาชก
•   ฟังธรรมจากพระอัสสชิได้ดวงตาเห็นธรรมด้วยหัวข้อธรรม  (สรุปอริยสัจ ๔)
ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ  พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งธรรมนั้น และความดับเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น  พระมหาสมณะตรัสสอนอย่างนี้
•   ติสสะและโกลิตะพร้อมด้วยสหาย ๒๕๐ คน เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
•   พระพุทธองค์ตรัสอุบายแก่ง่วงแก่โมคคัลลานะ ๙ ข้อพร้อมกับข้อเตือนใจ ๓ ข้อ
ซึ่งปฏิบัติธรรมใกล้บ้าน กัลลวาลมุตตคาม
•   พระโมคคัลละสำเร็จพระอรหันต์ในวันที่ ๗  หลังจากการบวชด้วยอุบายแก้ง่วง และ ตัณหักขยธรรม
•   อุบายแก้ง่วง ๘ ข้อ
๑. เมื่อมีสัญญาอข่างไร ให้ใส่ใจถึงสัญญาอย่างนั้นให้มากๆ
๒.   ให้พิจารณาธรรมที่ได้ฟังมาแล้ว
๓.   ให้ท่องบ่นธรรมนั้นซึ่งได้เรียนได้ฟังมาแล้ว
๔.   ให้ยอน (แยง)หูทั้ง ๒ ข้างและเอามือลูบตัว
๕.   ให้ยืนขึ้น  เอาน้ำลูบตัวเหลียวมองดูทิศต่างๆ และแหงนหน้ามองดูท้องฟ้า
๖.   ให้ใส่ใจถึงแสงสว่างกลางวัน
๗.   ให้เดินจงกรม  สำรวมอินทรีย์  ทำจิตให้เป็นสมาธิ ไม่ฟุ้งซ่าน
๘.   ให้สำเร็จสีหไสยาสน์  คือ นอนตะแคงข้างขวาซ้อนเท้า มีสติตั้งใจว่าจะลุกขึ้น และเมื่อตื่นแล้วจงลุกขึ้นทันที
•   พระสารีบุตรบรรลุธรรมด้วยการฟังธรรมชื่อว่าเวทนาปริคคหสูตร หลังบวช ๑๕  วัน
•   ตรัสแก่ทีฆนขะ  เป็นหลานของพระสารีบุตร  ที่ถ่ำสุกรขาตา ที่เขาคิชกูฏ ใกล้กรุงราชคฤห์
•   พระพุทธเจ้าทรงแต่งตั้งพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะในตำแหน่งคู่พระอัครสาวก
•   สารีบุตร ได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะว่ามีปัญญาเลิศ  เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา
•   พระโมคคัลลานะ ได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะว่า มีฤทธิ์ล้ำเลิศ เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย

•   พระศาสดาเปรียบพระสารีบุตรเหมือนมารดาผู้ให้กำเนิดบุตร  เปรียบพระโมคคัลลานะเหมือนนางนมผู้เลียงบุตรที่เกิดแล้ว