วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

วิชาธรรม นักธรรมชั้นโท 2543

 วิชาธรรม นักธรรมชั้นโท 2543


ปัญหาและเฉลยธรรม  นักธรรมชั้นโท

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓

วันพฤหัสบดี ที่   ๑๖  พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓

------------------------------

๑.

๑.๑

ปริเยสนา ๒ อย่างตามความในพระสูตรท่านแสดงไว้อย่างไร ?


๑.๒

ภิกษุควรแสวงหาเลี้ยงชีพอย่างไรจึงเป็นการแสวงหาอย่างประเสริฐ ?

๑.

๑.๑

แสดงว่า แสวงหาสิ่งอันมิใช่ของมีชรา พยาธิ มรณะ โสกะและสังกิเลส เป็นธรรมดา คือธรรมอันเกษมมีพระนิพพานเป็นอย่างสูง จัดเป็นอริย  ปริเยสนา  แสวงหาสิ่งอันมีชรา พยาธิ มรณะ โสกะและสังกิเลสเป็นธรรมดา ทั้งที่สภาพเช่นนั้นก็มีในตนอยู่พร้อมแล้ว จัดเป็นอนริยปริเยสนา


๑.๒

ภิกษุแสวงหาเลี้ยงชีพโดยอุบายอันสมควร ทั้งไม่เป็นโลกวัชชะมีโทษทางโลกและไม่เป็นปัณณัตติวัชชะ มีโทษทางพระบัญญัติ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนและผู้อื่นจึงจะเป็นการแสวงหาอย่างประเสริฐ

๒.

๒.๑

ปรีชาหยั่งรู้อะไรจัดเป็นกิจจญาณ ?


๒.๒

สิกขาคืออะไร ?  มีเท่าไร ?  อะไรบ้าง ?

๒.

๒.๑

ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกข์เป็นธรรมชาติที่ควรกำหนดรู้ ทุกขสมุทัยเป็นสภาพที่ควรละเสีย ทุกขนิโรธเป็นสภาพที่ควรทำให้แจ้ง ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาเป็นธรรมชาติที่ควรทำให้เกิด จัดเป็นกิจจญาณ


๒.๒

ปฏิปทาที่ตั้งไว้เพื่อศึกษา คือฝึกหัดไตรทวารไปตาม ชื่อว่าสิกขา มี ๓ อย่างคือ อธิสีลสิกขา สิกขาคือศีลยิ่ง ๑  อธิจิตตสิกขา สิกขาคือจิตยิ่ง ๑

อธิปัญญาสิกขา สิกขาคือปัญญายิ่ง ๑

๓.

๓.๑

อัปปมัญญา ๔ กับพรหมวิหาร ๔ ต่างกันอย่างไร ?


๓.๒

อะไรเรียกว่า อริยวงศ์ ?  แจกออกเป็นเท่าไร ?  อะไรบ้าง ?

๓.

๓.๑

ต่างกันอย่างนี้คือ อัปปมัญญาได้แก่การแผ่โดยไม่เจาะจงตัว และไม่มีจำกัด ส่วนพรหมวิหารได้แก่การแผ่โดยเจาะจงตัว  หรือโดยไม่เจาะจงตัวแต่ยังจำกัดมุ่งเอาหมู่นี้หมู่นั้น


๓.๒

ปฏิปทาของพระอริยบุคคลผู้เป็นสมณะเรียกว่า อริยวงศ์  แจกออกเป็น ๔ คือ



     ๑) สันโดษด้วยจีวรตามมีตามเกิด

     ๒) สันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามเกิด

     ๓) สันโดษด้วยเสนาสนะตามมีตามเกิด

     ๔) ยินดีในการเจริญกุศลและในการละอกุศล

๔.

๔.๑

อุปาทานคืออะไร ?  มีกี่อย่าง ?  อะไรบ้าง ?


๔.๒

กำเนิด ๔ มีอะไรบ้าง ?

๔.

๔.๑

คือการถือมั่นข้างเลว ได้แก่การถือรั้น มี ๔ คือ 

     กามุปาทาน ถือมั่นในกาม ๑       ทิฏฐุปาทาน ถือมั่นทิฏฐิ ๑ 

     สีลัพพตุปาทาน ถือมั่นศีลพรต ๑  อัตตวาทุปาทาน  ถือมั่นวาทะ

     ว่าตน ๑


๔.๒

คือ  

     ชลาพุชะ เกิดในครรภ์ ๑             อัณฑชะ เกิดในไข่ ๑  

     สังเสทชะ เกิดในเถ้าไคล ๑          โอปปาติกะ เกิดผุดขึ้น ๑

๕.

๕.๑

การสำรวมระวังปิดกั้นอกุศลเรียกว่าอะไร ?  มีเท่าไร ?  อะไรบ้าง ?


๕.๒

สติสังวร สำรวมด้วยสตินั้น มีอธิบายอย่างไร ?

๕.

๕.๑

เรียกว่า สังวร มี ๕ คือ

     ๑) สีลสังวร สำรวมด้วยศีล

     ๒) สติสังวร สำรวมด้วยสติ

     ๓) ญาณสังวร สำรวมด้วยญาณ

     ๔) ขันติสังวร สำรวมด้วยขันติ

     ๕) วิริยสังวร สำรวมด้วยความเพียร


๕.๒

มีอธิบายว่า สำรวมอินทรีย์มีจักษุเป็นต้นระวังรักษามิให้อกุศลธรรมเข้า   ครอบงำ เมื่อเห็นรูปเป็นต้น ทั้งมีสติไม่ฟั่นเฟือนลืมหลง ระลึกได้ก่อนแต่ทำ พูด คิด ไม่ให้ผิดทางกาย วาจา ใจ ไม่ประมาทหลงทำกรรมชั่ว

๖.

๖.๑

ทำไมท่านจึงเปรียบวิสุทธิ ๗ เหมือนรถ ๗ ผลัด ?


๖.๒

อะไรจัดเป็นปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ?

๖.

๖.๑

เพราะวิสุทธิ ๗ นี้ เป็นปัจจัยส่งต่อกันขึ้นไปเพื่อบรรลุพระนิพพาน ท่านจึงเปรียบเหมือนรถ ๗ ผลัดต่างส่งต่อซึ่งคนผู้ไปให้ถึงสถานที่ปรารถนา


๖.๒

วิปัสสนาญาณ ๙ จัดเป็นปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ

๗.

  จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้



๗.๑

ภควา                      ๗.๒  โอปนยิโก


๗.

๗.๑

ภควา คือพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเป็นผู้มีโชค คือจะทรงทำการใด ก็     ลุล่วงปลอดภัยทุกประการ  อีกอย่างหนึ่งเป็นผู้จำแนกแจกธรรม                   


๗.๒ 

โอปนยิโก คือพระธรรมมีคุณควรน้อมเข้ามาในใจของตนหรือควรน้อมใจเข้าไปหาพระธรรมนั้นด้วยการปฏิบัติให้เกิดมีขึ้นในใจ

๘.

๘.๑

บารมีคืออะไร ? มีกี่อย่าง ?  อะไรบ้าง ?


๘.๒

สังโยชน์อะไรเรียกว่า โอรัมภาคิยสังโยชน์ ?  มีอะไรบ้าง ?

๘.

๘.๑

คือคุณสมบัติหรือปฏิปทาอันยวดยิ่ง

มี ๑๐ อย่าง คือ ทาน ๑  ศีล ๑  เนกขัมมะ ๑  ปัญญา ๑  วิริยะ ๑  

ขันติ ๑    สัจจะ ๑  อธิษฐาน ๑  เมตตา ๑  อุเบกขา ๑


๘.๒

สังโยชน์เบื้องต่ำคืออย่างหยาบเรียกว่า โอรัมภาคิยสังโยชน์   มี ๕ อย่างคือ สักกายทิฏฐิ ๑  วิจิกิจฉา ๑  สีลัพพตปรามาส ๑  กามราคะ ๑  ปฏิฆะ ๑

๙.

   จงอธิบายคำต่อไปนี้



๙.๑

มิจฉาสมาธิ                 ๙.๒  สัมมาสมาธิ

๙.

๙.๑

มิจฉาสมาธิ คือการตั้งจิตไว้ผิด โดยนำสมาธิที่ได้นั้นไปใช้ในผิดทาง เช่น สะกดจิตในทางหาลาภให้แก่ตนเอง ในทางหาผลประโยชน์  ทำให้ผู้อื่นหลงงมงายในวิชาความรู้ ในทางให้ร้ายผู้อื่นและในทางนำให้หลง           


๙.๒

สัมมาสมาธิ คือการตั้งจิตไว้ชอบในองค์ฌาน ๔ หรือมีนัยตรงกันข้ามกับ      มิจฉาสมาธิข้างต้น

๑๐.

๑๐.๑

ธุดงค์ ๑๓ ท่านกล่าวว่า เป็นวัตรจริยาพิเศษอย่างหนึ่งไม่ใช่ศีลนั้น

คืออย่างไร ?


๑๐.๒

ธุดงค์นั้น ท่านบัญญัติไว้เพื่ออะไร ?

๑๐.

๑๐.๑

คือการสมาทานหรือข้อที่ถือปฏิบัติจำเพาะผู้สมัครใจจะพึงสมาทานประพฤติไม่มีโทษ  มีแต่ให้คุณแก่ผู้ถือปฏิบัติ


๑๐.๒

เพื่อเป็นอุบายบรรเทาขัดเกลาและกำจัดกิเลส เป็นไปเพื่อความมักน้อยและสันโดษ เป็นต้น


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น