วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ความเป็นมาของพิธีเจริญพระพุทธมนต์

ความเป็นมาของพิธีเจริญพระพุทธมนต์
      การเจริญหรือการสวดพระพุทธมนต์ มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เพื่อป้องกันอันตราย
และให้เกิดความสุขสวัสดีแก่ผู้ประกอบพิธี การเจริญพระพุทธมนต์นั้น เมื่อเจริญหรือสวดด้วย
จิตเมตตาว่า ขออานุภาพพระปริตร จงคุ้มครองปกปักรักษาทุกเมื่อ มีจิตเป็นสมาธิแน่วแน่
ย่อมทาให้พระปริตรมีพลังและอานุภาพยิ่งขึ้น ดังเช่นการสวดพระปริตรในสมัยพุทธกาล
สมัยหนึ่ง ได้เกิดภัย คือความแห้งแล้งขึ้นในเมืองเวสาลี ทาให้พืชพันธุ์ธัญญาหาร
เสียหายมาก เป็นเหตุให้ข้าวยากหมากแพง เกิดโรคระบาดอย่างร้ายแรง ชาวเมืองเวสาลี
ล้มตายจานวนมาก ซ้าวิญญาณที่ยังไม่ได้ไปเกิดใหม่ ก็มาทาร้ายชาวเมืองให้ล้มตายมากยิ่งขึ้น
ชาวเมืองจึงไปกราบทูลกษัตริย์ลิจฉวี ให้หาผู้วิเศษมาช่วยขจัดปัดเป่าภัยพิบัติ กษัตริย์ลิจฉวี
ทรงระลึกถึงพระพุทธเจ้าว่า ทรงช่วยขจัดปัดเป่าภัยพิบัตินั้นได้ ทรงทราบว่าพระพุทธเจ้า
ประทับอยู่ที่เมืองราชคฤห์ จึงแต่งตั้งเจ้าลิจฉวี ๒ องค์ พร้อมเครื่องบรรณาการไปถวาย
พระเจ้าพิมพิสารที่เมืองราชคฤห์ทันที
เจ้าลิจฉวีทั้ง ๒ องค์ เสด็จถึงเมืองราชคฤห์ ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร กราบทูล
เรื่องราวความเดือดร้อนของชาวเมืองเวสาลี และมีความประสงค์จะกราบทูลนิมนต์
พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดชาวเมืองเวสาลี จึงพากันเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อกราบทูล
อาราธนา พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาว่า ถ้าพระองค์เสด็จไป ภัยทั้งปวงจะสงบลง เป็นประโยชน์
แก่ชาวเมืองเวสาลี จึงทรงรับการอาราธนาของเจ้าลิจฉวี กษัตริย์ลิจฉวีทรงทราบว่าพระพุทธเจ้า
ทรงรับนิมนต์แล้ว ทรงประกาศให้ชาวเมืองทราบ และให้จัดเตรียมการรับเสด็จพระพุทธดาเนิน
โปรดชาวเมืองเวสาลีอย่างยิ่งใหญ่ตลอดระยะทาง ๓ โยชน์
         เมื่อพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก ๕๐๐ รูป เสด็จถึงเมืองเวสาลี ด้วยเรือแพ
ที่พระเจ้าพิมพิสารรับสั่งให้ต่อถวาย เพื่อเสด็จข้ามแม่น้าคงคา กษัตริย์ลิจฉวีทรงลุยน้า
ไปรับเสด็จพระพุทธเจ้าด้วยความปลื้มปีติ กราบทูลอาราธนาให้เสด็จเข้าเมืองเวสาลี
ด้วยพระพุทธานุภาพบันดาลให้ฝนตกกระหน่าอย่างหนัก น้าท่วมทั่วเมืองเวสาลี เพื่อล้างสิ่งสกปรกและซากศพทั่วเมืองให้หมดไป ทาให้เมืองเวสาลีกลับมาสะอาดสงบดังเดิม
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จพระพุทธดาเนินถึงประตูเมืองเวสาลี ท้าวสักกเทวราชพร้อมด้วย
เทพบริวารเสด็จมาชุมนุมอยู่ ณ ที่นั้นด้วย ทาให้อมนุษย์เป็นอันมากพากันหลบหนีไป แต่ยังมี
หลงเหลืออยู่บ้าง
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ประตูเมืองเวสาลี ได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์
เธอจงเรียนเอารตนสูตรนี้ จาริกไปภายในกาแพงเมือง ๓ ชั้นกับพวกกุมารลิจฉวี ทาพระปริตร
ให้ทั่วเมืองเถิด แล้วตรัสรตนสูตรแก่พระอานนท์
           พระอานนท์เถระ เรียนพระพุทธมนต์บทรตนสูตรที่พระพุทธองค์ทรงประทาน
ให้แล้ว นาบาตรศิลาของพระพุทธเจ้ามาใส่น้า ถือไปยืนที่หน้าประตูเมือง น้อมราลึกถึง
พระคุณของพระพุทธเจ้า จากนั้นเข้าไปภายในพระนคร เดินประพรมน้าพระพุทธมนต์ไป
ทั่วเมืองเวสาลี ภัยทั้งหลายและอมนุษย์ที่ยังหลงเหลืออยู่ ก็หายไปหมดสิ้น โรคภัยไข้เจ็บ
ของชาวเมือง ก็สงบลง ชาวเมืองเวสาลีต่างพากันออกมาจากบ้านเรือน นาดอกไม้ของหอม
เดินตามบูชาพระอานนท์เถระซึ่งเดินประพรมน้าพระพุทธมนต์ไปทั่วเมืองตลอดคืน
พระโบราณาจารย์พิจารณาเห็นความศักดิ์สิทธ์แห่งพระพุทธมนต์ จึงได้รวบรวม
พระพุทธมนต์บทรตนสูตรและบทอื่น ๆ มาเป็นพระปริตร เรียกว่า เจ็ดตานานบ้าง สิบสอง
ตานานบ้าง หรือเรียกชื่อตามพระสูตรนั้น ๆ บ้าง เพื่อให้พุทธศาสนิกชนสวดหรือเจริญ เป็น
เครื่องป้องกันภัยอันตราย และเกิดความสุขสวัสดีแก่ชีวิต
อนึ่ง พระอานนท์เถระนาบาตรศิลาของพระพุทธเจ้า บรรจุน้าพระพุทธมนต์จนเต็ม
บาตร เดินประพรมทั่วเมืองเวสาลีในคราวนั้น ถือเป็นแบบอย่างในการทาน้าพระพุทธมนต์
และประพรมน้าพระพุทธมนต์ปัจจุบันนี้


วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ประโยชน์ของวันธรรมสวนะ

ประโยชน์ของวันธรรมสวนะ
๑. เป็นวันทาบุญ สมัยก่อนเมื่อถึงวันพระ พุทธศาสนิกชนชาวไทยจะหยุดการงาน
ของตนไว้ จัดเตรียมอาหารคาวหวาน เพื่อไปทาบุญร่วมกันที่วัด
๒. เป็นวันรักษาศีล พุทธศาสนิกชนในสมัยก่อนจะหยุดใช้แรงงานสัตว์ แม้ฆ่าสัตว์
นาไปประกอบอาหารก็จะหยุด ชาวประมงจะหยุดออกเรือจับปลา แม้แต่โรงฆ่าสัตว์ก็ห้ามฆ่าหมู โค กระบือ เพื่อเข้าวัดทาบุญสมาทานศีล ๕ ศีล ๘ หรือศีลอุโบสถ ตามศรัทธาของตน
อย่างเคร่งครัด
๓. เป็นวันฟังธรรม ทุกวัดที่ชาวบ้านไปทาบุญก็จะมีการแสดงธรรมหรือมีเทศน์
อย่างน้อย ๑ กัณฑ์ ถ้ามีผู้สมาทานรักษาศีลอุโบสถ ก็จะมีเทศน์ ๒ หรือ ๓ กัณฑ์ คือ รอบเช้า
หลังพระฉันเช้าและผู้ไปร่วมทาบุญรับประทานอาหารแล้ว ๑ กัณฑ์ ตอนบ่าย ๑ กัณฑ์ และ
ตอนหัวค่าอีก ๑ กัณฑ์
๔. เป็นวันปฏิบัติธรรม พุทธศาสนิกชนที่ไปทาบุญในวันธรรมสวนะ นอกจากได้
ถวายทาน รักษาศีล ฟังเทศน์ตามปกติแล้ว ยังมีโอกาสได้สวดมนต์ เจริญสมาธิ หรือปฏิบัติ
ธรรมอื่น ๆ ตามที่วัดหรือสานักนั้น ๆ กาหนดอีกด้วย
๕. เป็นวันสวดพระปาฏิโมกข์ ทาสังฆกรรมของพระภิกษุสงฆ์
การเข้าวัดทาบุญและการปฏิบัติตนของชาวพุทธในปัจจุบัน แม้จะไม่เคร่งครัด
เหมือนสมัยก่อน แต่เป็นการฝึกฝนอบรมจิตใจของตน ให้น้อมไปในพระรัตนตรัยได้เป็นอย่างดี
และมีผู้ถือปฏิบัติกันมากในชนบท แต่ในส่วนกลางกาลังลดน้อยถอยลง คนรู้ว่าวันนี้เป็น
วันพระมีจานวนน้อย จึงควรส่งเสริมให้คนเข้าใจถึงประโยชน์ของเข้าวัดฟังเทศน์ในวันพระ
จะทาให้ประชาชนเป็นคนดี มีศีลธรรมประจาใจ สังคมมีความร่มเย็นเป็นสุขตลอดกาล

ความเป็นมาของวันธรรมสวนะ

ความเป็นมาของวันธรรมสวนะ
วันธรรมสวนะ มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ในคัมภีร์วินัยปิฎก ตอนว่าด้วยอุโบสถขันธกะ
กล่าวว่า พวกปริพาชกและเดียรถีย์ นักบวชนอกพระพุทธศาสนา ประชุมกันทุกวัน ๘ ค่า ๑๔ ค่า
และ ๑๕ ค่า ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม เพื่อสนทนาเกี่ยวกับลัทธิคาสอนของตน ครั้นต่อมา
พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบเรื่องนั้นแล้ว จึงเสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ พระคันธกุฎี เขาคิชฌกูฏ
ใกล้เมืองราชคฤห์ กราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบพระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าเป็นเรื่องดี
มีประโยชน์ จึงทรงอนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์มาประชุมกันในวัน ๘ ค่า ๑๔ ค่า และ ๑๕ ค่า
ดังนั้น วันประชุมของพระสงฆ์ในยุคพุทธกาล จึงมีเดือนละ ๔ ครั้ง
เมื่อพระภิกษุสงฆ์มาประชุมในวันดังกล่าว ก็ไม่ได้ทาอะไร พากันนิ่งเฉย ไม่ได้
สนทนาธรรม ชาวบ้านที่พากันไปวัดเพื่อฟังธรรม จึงรู้สึกผิดหวัง และกล่าวติเตียนพระภิกษุสงฆ์
พระพุทธเจ้าทรงทราบ จึงทรงอนุญาตให้ภิกษุสนทนาธรรมและแสดงธรรมในวันดังกล่าว
ดังนั้น จึงเรียกว่า วันธรรมสวนะ ในสมัยพุทธกาลยังไม่มีการจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร
ได้สืบทอดต่อกันมาด้วยคาพูด การฟังและการท่องจา ที่เรียกว่า มุขปาฐะ ดังนั้น การแสดง
ธรรมและการฟังธรรม จึงเป็นเครื่องมือสาคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัยขึ้นแล้ว ทรงอนุญาตให้พระภิกษุทาอุโบสถ
สังฆกรรมสวดพระปาติโมกข์ในวันธรรมสวนะด้วย ยุคแรกพระภิกษุสงฆ์สวดพระปาติโมกข์
ทุกวันธรรมสวนะ แต่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ลดการสวดพระปาติโมกข์เหลือเดือนละ
๒ ครั้ง คือ วันขึ้น ๑๕ ค่าและแรม ๑๕ หรือ ๑๔ ค่า ในเดือนขาด เรียกว่า วันอุโบสถ หรือ
วันพระใหญ่สาหรับในประเทศไทย วันธรรมสวนะหรือวันพระ มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ตามหลักฐาน
ที่ปรากฏในศิลาจารึกพ่อขุนรามคาแหงหลักที่ ๑ ความว่า “พ่อขุนรามคาแหง เจ้าเมือง
ศรีสัชชนาลัย สุโขทัย ปลูกไม้ตาลนี้ได้สิบสี่เข้า จึงให้ช่างฟันขดานหิน ตั้งหว่างกลางไม้
ตาลนี้ วันเดือนดับ เดือนโอก แปดวัน วันเดือนเต็มเดือนบ้าง แปดวัน ฝูงปู่ครู มหาเถร
ขึ้นนั่งเหนือขดานหินสูดธรรมแก่อุบาสก ฝูงท่วยจาศีล” และยังถือปฏิบัติมาจนกระทั่ง
ปัจจุบัน คือ กาหนดวันธรรมสวนะ เดือนละ ๔ วัน เหมือนสมัยสุโขทัย คือ วันขึ้นและแรม ๘ ค่า
๑๕ ค่า หรือแรม ๑๔ ค่า ในเดือนขาด
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม เห็นความสาคัญของพระพุทธศาสนา
จึงได้ประกาศให้วันพระและวันอาทิตย์เป็นวันหยุดราชการ ซึ่งใช้ถือปฏิบัติอยู่ระยะหนึ่ง
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ประกาศให้วันเสาร์และวันอาทิตย์เป็นหยุดราชการตามหลักสากล
อย่างไรก็ตาม วันธรรมสวนะหรือวันพระ คงยังเป็นวันสาคัญสาหรับพุทธศาสนิกชนชาวไทย
จนถึงปัจจุบัน
วันโกน
วันโกน คือ วันพระภิกษุสงฆ์ปลงผม (โกนผม) รวมถึงโกนคิ้วด้วย (เฉพาะพระสงฆ์ไทย)
เป็นวันก่อนวันพระ ๑ วัน เดือนหนึ่งมี ๔ วัน คือ วันขึ้น ๗ ค่า ๑๔ ค่า และวันแรม ๗ ค่า
๑๔ ค่า หรือแรม ๑๓ ค่า ในเดือนขาด วันโกนดังกล่าวมานี้ ถือตามกาหนดวันโกนผมของ
พระสงฆ์ไทยในสมัยโบราณ บางท้องถิ่นยังถือปฏิบัติอยู่บ้าง แต่มีจานวนน้อย ปัจจุบันกาหนด
เพียงวันขึ้น ๑๔ ค่า เป็นวันโกนเพียงวันเดียว เดิมวันโกนเป็นสัญลักษณ์ให้รู้ว่า วันรุ่งขึ้นจะ
เป็นวันพระ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนจะได้เตรียมตัวไปทาบุญในวันรุ่งขึ้น เพราะสมัยโบราณ
ปฏิทินเป็นของหายาก