ประโยชน์ของวันธรรมสวนะ
๑. เป็นวันทาบุญ สมัยก่อนเมื่อถึงวันพระ พุทธศาสนิกชนชาวไทยจะหยุดการงาน
ของตนไว้ จัดเตรียมอาหารคาวหวาน เพื่อไปทาบุญร่วมกันที่วัด
๒. เป็นวันรักษาศีล พุทธศาสนิกชนในสมัยก่อนจะหยุดใช้แรงงานสัตว์ แม้ฆ่าสัตว์
นาไปประกอบอาหารก็จะหยุด ชาวประมงจะหยุดออกเรือจับปลา แม้แต่โรงฆ่าสัตว์ก็ห้ามฆ่าหมู โค กระบือ เพื่อเข้าวัดทาบุญสมาทานศีล ๕ ศีล ๘ หรือศีลอุโบสถ ตามศรัทธาของตน
อย่างเคร่งครัด
๓. เป็นวันฟังธรรม ทุกวัดที่ชาวบ้านไปทาบุญก็จะมีการแสดงธรรมหรือมีเทศน์
อย่างน้อย ๑ กัณฑ์ ถ้ามีผู้สมาทานรักษาศีลอุโบสถ ก็จะมีเทศน์ ๒ หรือ ๓ กัณฑ์ คือ รอบเช้า
หลังพระฉันเช้าและผู้ไปร่วมทาบุญรับประทานอาหารแล้ว ๑ กัณฑ์ ตอนบ่าย ๑ กัณฑ์ และ
ตอนหัวค่าอีก ๑ กัณฑ์
๔. เป็นวันปฏิบัติธรรม พุทธศาสนิกชนที่ไปทาบุญในวันธรรมสวนะ นอกจากได้
ถวายทาน รักษาศีล ฟังเทศน์ตามปกติแล้ว ยังมีโอกาสได้สวดมนต์ เจริญสมาธิ หรือปฏิบัติ
ธรรมอื่น ๆ ตามที่วัดหรือสานักนั้น ๆ กาหนดอีกด้วย
๕. เป็นวันสวดพระปาฏิโมกข์ ทาสังฆกรรมของพระภิกษุสงฆ์
การเข้าวัดทาบุญและการปฏิบัติตนของชาวพุทธในปัจจุบัน แม้จะไม่เคร่งครัด
เหมือนสมัยก่อน แต่เป็นการฝึกฝนอบรมจิตใจของตน ให้น้อมไปในพระรัตนตรัยได้เป็นอย่างดี
และมีผู้ถือปฏิบัติกันมากในชนบท แต่ในส่วนกลางกาลังลดน้อยถอยลง คนรู้ว่าวันนี้เป็น
วันพระมีจานวนน้อย จึงควรส่งเสริมให้คนเข้าใจถึงประโยชน์ของเข้าวัดฟังเทศน์ในวันพระ
จะทาให้ประชาชนเป็นคนดี มีศีลธรรมประจาใจ สังคมมีความร่มเย็นเป็นสุขตลอดกาล
หนังสือนักธรรมชั้นตรี,นักธรรมตรีpdf,นักธรรมตรี,สรุปนักธรรมตรี,ข้อสอบนักธรรมตรี,เก็งข้อสอบนักธรรมตรี
- หน้าแรก
- พุทธประวัติ
- ธรรมวิภาค
- เบญจศีล-เบญจธรรม
- แบบกระทู้ธรรมชั้นตรี
- แบบกระทู้ธรรมชั้นโท
- แบบกระทู้ธรรมชั้นเอก
- หมวด พุทธศาสนสุภาษิต
- อนุพุทธประวัติชั้นโท
- ดาวโหลดหนังสือธรรมศึกษาชั้นตรี โท เอก
- Download ข้อสอบนักธรรมและธรรมศึกษา ปี 2559-2563
- ประวัตินักธรรม-ธรรมศึกษา โดยสังเขป
- ขอบข่ายการเรียนการสอนธรรมศึกษา 2561
- ขอบข่ายธรรมศึกษา ระดับอุดมศึกษาและประชาชนทั่วไป
- ข้อสอบนักธรรมตรี-โท-เอก[ย้อนหลัง]
วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
ความเป็นมาของวันธรรมสวนะ
ความเป็นมาของวันธรรมสวนะ
วันธรรมสวนะ มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ในคัมภีร์วินัยปิฎก ตอนว่าด้วยอุโบสถขันธกะ
กล่าวว่า พวกปริพาชกและเดียรถีย์ นักบวชนอกพระพุทธศาสนา ประชุมกันทุกวัน ๘ ค่า ๑๔ ค่า
และ ๑๕ ค่า ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม เพื่อสนทนาเกี่ยวกับลัทธิคาสอนของตน ครั้นต่อมา
พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบเรื่องนั้นแล้ว จึงเสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ พระคันธกุฎี เขาคิชฌกูฏ
ใกล้เมืองราชคฤห์ กราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบพระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าเป็นเรื่องดี
มีประโยชน์ จึงทรงอนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์มาประชุมกันในวัน ๘ ค่า ๑๔ ค่า และ ๑๕ ค่า
ดังนั้น วันประชุมของพระสงฆ์ในยุคพุทธกาล จึงมีเดือนละ ๔ ครั้ง
เมื่อพระภิกษุสงฆ์มาประชุมในวันดังกล่าว ก็ไม่ได้ทาอะไร พากันนิ่งเฉย ไม่ได้
สนทนาธรรม ชาวบ้านที่พากันไปวัดเพื่อฟังธรรม จึงรู้สึกผิดหวัง และกล่าวติเตียนพระภิกษุสงฆ์
พระพุทธเจ้าทรงทราบ จึงทรงอนุญาตให้ภิกษุสนทนาธรรมและแสดงธรรมในวันดังกล่าว
ดังนั้น จึงเรียกว่า วันธรรมสวนะ ในสมัยพุทธกาลยังไม่มีการจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร
ได้สืบทอดต่อกันมาด้วยคาพูด การฟังและการท่องจา ที่เรียกว่า มุขปาฐะ ดังนั้น การแสดง
ธรรมและการฟังธรรม จึงเป็นเครื่องมือสาคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัยขึ้นแล้ว ทรงอนุญาตให้พระภิกษุทาอุโบสถ
สังฆกรรมสวดพระปาติโมกข์ในวันธรรมสวนะด้วย ยุคแรกพระภิกษุสงฆ์สวดพระปาติโมกข์
ทุกวันธรรมสวนะ แต่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ลดการสวดพระปาติโมกข์เหลือเดือนละ
๒ ครั้ง คือ วันขึ้น ๑๕ ค่าและแรม ๑๕ หรือ ๑๔ ค่า ในเดือนขาด เรียกว่า วันอุโบสถ หรือ
วันพระใหญ่สาหรับในประเทศไทย วันธรรมสวนะหรือวันพระ มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ตามหลักฐาน
ที่ปรากฏในศิลาจารึกพ่อขุนรามคาแหงหลักที่ ๑ ความว่า “พ่อขุนรามคาแหง เจ้าเมือง
ศรีสัชชนาลัย สุโขทัย ปลูกไม้ตาลนี้ได้สิบสี่เข้า จึงให้ช่างฟันขดานหิน ตั้งหว่างกลางไม้
ตาลนี้ วันเดือนดับ เดือนโอก แปดวัน วันเดือนเต็มเดือนบ้าง แปดวัน ฝูงปู่ครู มหาเถร
ขึ้นนั่งเหนือขดานหินสูดธรรมแก่อุบาสก ฝูงท่วยจาศีล” และยังถือปฏิบัติมาจนกระทั่ง
ปัจจุบัน คือ กาหนดวันธรรมสวนะ เดือนละ ๔ วัน เหมือนสมัยสุโขทัย คือ วันขึ้นและแรม ๘ ค่า
๑๕ ค่า หรือแรม ๑๔ ค่า ในเดือนขาด
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม เห็นความสาคัญของพระพุทธศาสนา
จึงได้ประกาศให้วันพระและวันอาทิตย์เป็นวันหยุดราชการ ซึ่งใช้ถือปฏิบัติอยู่ระยะหนึ่ง
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ประกาศให้วันเสาร์และวันอาทิตย์เป็นหยุดราชการตามหลักสากล
อย่างไรก็ตาม วันธรรมสวนะหรือวันพระ คงยังเป็นวันสาคัญสาหรับพุทธศาสนิกชนชาวไทย
จนถึงปัจจุบัน
วันโกน
วันโกน คือ วันพระภิกษุสงฆ์ปลงผม (โกนผม) รวมถึงโกนคิ้วด้วย (เฉพาะพระสงฆ์ไทย)
เป็นวันก่อนวันพระ ๑ วัน เดือนหนึ่งมี ๔ วัน คือ วันขึ้น ๗ ค่า ๑๔ ค่า และวันแรม ๗ ค่า
๑๔ ค่า หรือแรม ๑๓ ค่า ในเดือนขาด วันโกนดังกล่าวมานี้ ถือตามกาหนดวันโกนผมของ
พระสงฆ์ไทยในสมัยโบราณ บางท้องถิ่นยังถือปฏิบัติอยู่บ้าง แต่มีจานวนน้อย ปัจจุบันกาหนด
เพียงวันขึ้น ๑๔ ค่า เป็นวันโกนเพียงวันเดียว เดิมวันโกนเป็นสัญลักษณ์ให้รู้ว่า วันรุ่งขึ้นจะ
เป็นวันพระ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนจะได้เตรียมตัวไปทาบุญในวันรุ่งขึ้น เพราะสมัยโบราณ
ปฏิทินเป็นของหายาก
วันธรรมสวนะ มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ในคัมภีร์วินัยปิฎก ตอนว่าด้วยอุโบสถขันธกะ
กล่าวว่า พวกปริพาชกและเดียรถีย์ นักบวชนอกพระพุทธศาสนา ประชุมกันทุกวัน ๘ ค่า ๑๔ ค่า
และ ๑๕ ค่า ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม เพื่อสนทนาเกี่ยวกับลัทธิคาสอนของตน ครั้นต่อมา
พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบเรื่องนั้นแล้ว จึงเสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ พระคันธกุฎี เขาคิชฌกูฏ
ใกล้เมืองราชคฤห์ กราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบพระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าเป็นเรื่องดี
มีประโยชน์ จึงทรงอนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์มาประชุมกันในวัน ๘ ค่า ๑๔ ค่า และ ๑๕ ค่า
ดังนั้น วันประชุมของพระสงฆ์ในยุคพุทธกาล จึงมีเดือนละ ๔ ครั้ง
เมื่อพระภิกษุสงฆ์มาประชุมในวันดังกล่าว ก็ไม่ได้ทาอะไร พากันนิ่งเฉย ไม่ได้
สนทนาธรรม ชาวบ้านที่พากันไปวัดเพื่อฟังธรรม จึงรู้สึกผิดหวัง และกล่าวติเตียนพระภิกษุสงฆ์
พระพุทธเจ้าทรงทราบ จึงทรงอนุญาตให้ภิกษุสนทนาธรรมและแสดงธรรมในวันดังกล่าว
ดังนั้น จึงเรียกว่า วันธรรมสวนะ ในสมัยพุทธกาลยังไม่มีการจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร
ได้สืบทอดต่อกันมาด้วยคาพูด การฟังและการท่องจา ที่เรียกว่า มุขปาฐะ ดังนั้น การแสดง
ธรรมและการฟังธรรม จึงเป็นเครื่องมือสาคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัยขึ้นแล้ว ทรงอนุญาตให้พระภิกษุทาอุโบสถ
สังฆกรรมสวดพระปาติโมกข์ในวันธรรมสวนะด้วย ยุคแรกพระภิกษุสงฆ์สวดพระปาติโมกข์
ทุกวันธรรมสวนะ แต่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ลดการสวดพระปาติโมกข์เหลือเดือนละ
๒ ครั้ง คือ วันขึ้น ๑๕ ค่าและแรม ๑๕ หรือ ๑๔ ค่า ในเดือนขาด เรียกว่า วันอุโบสถ หรือ
วันพระใหญ่สาหรับในประเทศไทย วันธรรมสวนะหรือวันพระ มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ตามหลักฐาน
ที่ปรากฏในศิลาจารึกพ่อขุนรามคาแหงหลักที่ ๑ ความว่า “พ่อขุนรามคาแหง เจ้าเมือง
ศรีสัชชนาลัย สุโขทัย ปลูกไม้ตาลนี้ได้สิบสี่เข้า จึงให้ช่างฟันขดานหิน ตั้งหว่างกลางไม้
ตาลนี้ วันเดือนดับ เดือนโอก แปดวัน วันเดือนเต็มเดือนบ้าง แปดวัน ฝูงปู่ครู มหาเถร
ขึ้นนั่งเหนือขดานหินสูดธรรมแก่อุบาสก ฝูงท่วยจาศีล” และยังถือปฏิบัติมาจนกระทั่ง
ปัจจุบัน คือ กาหนดวันธรรมสวนะ เดือนละ ๔ วัน เหมือนสมัยสุโขทัย คือ วันขึ้นและแรม ๘ ค่า
๑๕ ค่า หรือแรม ๑๔ ค่า ในเดือนขาด
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม เห็นความสาคัญของพระพุทธศาสนา
จึงได้ประกาศให้วันพระและวันอาทิตย์เป็นวันหยุดราชการ ซึ่งใช้ถือปฏิบัติอยู่ระยะหนึ่ง
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ประกาศให้วันเสาร์และวันอาทิตย์เป็นหยุดราชการตามหลักสากล
อย่างไรก็ตาม วันธรรมสวนะหรือวันพระ คงยังเป็นวันสาคัญสาหรับพุทธศาสนิกชนชาวไทย
จนถึงปัจจุบัน
วันโกน
วันโกน คือ วันพระภิกษุสงฆ์ปลงผม (โกนผม) รวมถึงโกนคิ้วด้วย (เฉพาะพระสงฆ์ไทย)
เป็นวันก่อนวันพระ ๑ วัน เดือนหนึ่งมี ๔ วัน คือ วันขึ้น ๗ ค่า ๑๔ ค่า และวันแรม ๗ ค่า
๑๔ ค่า หรือแรม ๑๓ ค่า ในเดือนขาด วันโกนดังกล่าวมานี้ ถือตามกาหนดวันโกนผมของ
พระสงฆ์ไทยในสมัยโบราณ บางท้องถิ่นยังถือปฏิบัติอยู่บ้าง แต่มีจานวนน้อย ปัจจุบันกาหนด
เพียงวันขึ้น ๑๔ ค่า เป็นวันโกนเพียงวันเดียว เดิมวันโกนเป็นสัญลักษณ์ให้รู้ว่า วันรุ่งขึ้นจะ
เป็นวันพระ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนจะได้เตรียมตัวไปทาบุญในวันรุ่งขึ้น เพราะสมัยโบราณ
ปฏิทินเป็นของหายาก
วันธรรมสวนะ
วันธรรมสวนะ
วันธรรมสวนะ แปลว่า วันฟังธรรม หรือรู้จักกันโดยทั่วไปว่า วันพระ คือ วันประเสริฐ
พุทธศาสนิกชนกาหนดว่า เป็นวันประชุมทาบุญ สมาทานศีล ฟังพระธรรมเทศนา มักเรียกว่า
ไปวัดทาบุญฟังเทศน์ วันธรรมสวนะหรือวันพระ ตามประเพณีไทย คือ วันตรงกับวันขึ้น ๘ ค่า
ขึ้น ๑๕ ค่า แรม ๘ ค่า และแรม ๑๕ ค่า หรือแรม ๑๔ ค่า ในเดือนขาด (เดือนทางจันทรคติ)
ในเดือนหนึ่งจะมีวันพระ ๔ วัน
วันธรรมสวนะ แปลว่า วันฟังธรรม หรือรู้จักกันโดยทั่วไปว่า วันพระ คือ วันประเสริฐ
พุทธศาสนิกชนกาหนดว่า เป็นวันประชุมทาบุญ สมาทานศีล ฟังพระธรรมเทศนา มักเรียกว่า
ไปวัดทาบุญฟังเทศน์ วันธรรมสวนะหรือวันพระ ตามประเพณีไทย คือ วันตรงกับวันขึ้น ๘ ค่า
ขึ้น ๑๕ ค่า แรม ๘ ค่า และแรม ๑๕ ค่า หรือแรม ๑๔ ค่า ในเดือนขาด (เดือนทางจันทรคติ)
ในเดือนหนึ่งจะมีวันพระ ๔ วัน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)