วันออกพรรษา
วันออกพรรษา คือ วันสุดท้ายของการอยู่จาพรรษาของพระภิกษุสงฆ์ เรียกอีก
อย่างหนึ่งว่า วันปวารณา เป็นวันพระสงฆ์ทาสังฆปวารณา ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่า เดือน ๑๑
อยู่ระหว่างเดือนตุลาคม ส่วนวันออกพรรษาหลัง ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่า เดือน ๑๒
พิธีปวารณาออกพรรษา เป็นสังฆกรรมประเภทหนึ่ง กาหนดโดยพระวินัยบัญญัติ
เพื่อให้โอกาสพระสงฆ์ที่อยู่จาพรรษาร่วมกันตลอดไตรมาส หรือ ๓ เดือน สามารถว่ากล่าว
ตักเตือนและชี้บอกข้อผิดพลาดแก่กันและกันได้ โดยความเสมอภาค ด้วยจิตตั้งอยู่บนพื้นฐาน
แห่งความเมตตาปรารถนาดีต่อกัน เป็นสิ่งแสดงให้เห็นว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่ง
ประชาธิปไตยมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ซึ่งการปวารณาออกพรรษาของพระสงฆ์ดังกล่าว
พุทธศาสนิกชนสามารถนามาประยุกต์ใช้ได้เป็นอย่างดี ในการที่อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว
หมู่บ้าน หรือสังคม เพราะถ้ากลุ่มชนที่อยู่ร่วมกัน สามารถว่ากล่าวตักเตือนแนะนากันได้
เมื่อผู้ใดผู้หนึ่งทาผิด ก็จะช่วยแก้ไขความผิดพลาดนั้นได้ทันท่วงที ไม่กลายเป็นเรื่องเสียหาย
ใหญ่โต จนยากจะแก้ไข
หนังสือนักธรรมชั้นตรี,นักธรรมตรีpdf,นักธรรมตรี,สรุปนักธรรมตรี,ข้อสอบนักธรรมตรี,เก็งข้อสอบนักธรรมตรี
- หน้าแรก
- พุทธประวัติ
- ธรรมวิภาค
- เบญจศีล-เบญจธรรม
- แบบกระทู้ธรรมชั้นตรี
- แบบกระทู้ธรรมชั้นโท
- แบบกระทู้ธรรมชั้นเอก
- หมวด พุทธศาสนสุภาษิต
- อนุพุทธประวัติชั้นโท
- ดาวโหลดหนังสือธรรมศึกษาชั้นตรี โท เอก
- Download ข้อสอบนักธรรมและธรรมศึกษา ปี 2559-2563
- ประวัตินักธรรม-ธรรมศึกษา โดยสังเขป
- ขอบข่ายการเรียนการสอนธรรมศึกษา 2561
- ขอบข่ายธรรมศึกษา ระดับอุดมศึกษาและประชาชนทั่วไป
- ข้อสอบนักธรรมตรี-โท-เอก[ย้อนหลัง]
วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
ประโยชน์ของวันเข้าพรรษา
ประโยชน์ของวันเข้าพรรษา
๑. ในสมัยพุทธกาล ป้องกันไม่ให้พระภิกษุจาริกไปเหยียบย่าข้าวกล้าพืชพันธุ์ของ
ชาวบ้าน เป็นเหตุให้ได้รับการติเตียน
๒. พระภิกษุได้หยุดพักผ่อน บรรเทาความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการจาริกไป
เผยแผ่พระพุทธศาสนา เพราะในสมัยก่อน ใช้วิธีเดินเท้าไปยังสถานที่ต่าง ๆ เนื่องจากยังไม่มี
ถนนหนทางและพาหนะที่สะดวกเหมือนปัจจุบัน
๓. พระภิกษุได้อยู่ประจา เพื่อศึกษาปฏิบัติธรรมเพิ่มเติม และเตรียมความพร้อมจะ
จาริกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาหลังออกพรรษาแล้ว
๔. พุทธศาสนิกชนได้มีโอกาสบาเพ็ญกุศลเป็นการพิเศษ เช่น ทาบุญตักบาตร
รักษาศีล เจริญภาวนา ถวายจตุปัจจัยไทยธรรม งดเว้นอบายมุข เช่น คนเคยดื่มสุราเป็นประจา
ก็อธิษฐานจิตงดเว้นการดื่มตลอดพรรษา
๕. ทาให้มีพิธีทาบุญอื่น ๆ เกิดขึ้น คือ พิธีถวายเทียนพรรษาและพิธีถวายผ้าอาบน้าฝน
พิธีถวายดอกไม้ธูปเทียนวันเข้าพรรษา
การถวายดอกไม้ธูปเทียนแก่พระภิกษุในวันเข้าพรรษา เพื่อให้พระภิกษุนาไปบูชา
พระรัตนตรัย ได้มีมาแต่โบราณ แต่เป็นเพียงการปฏิบัติเฉพาะบุคคล เฉพาะที่ โดยพุทธศาสนิกชน
ที่อยู่ใกล้วัดจะนาธูปเทียนและดอกไม้ตามที่หาได้ในชุมชนไปถวายพระภิกษุในวัดใกล้บ้าน
ของตนพระราชพิธีทรงบาเพ็ญพระราชกุศลในวันเข้าพรรษา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
ให้ผู้แทนพระองค์ไปถวายพุ่มเทียนพรรษาในพระอารามหลวงสาคัญ เช่น วัดเบญจมบพิตร
ดุสิตวนาราม เมื่อผู้แทนพระองค์ถวายพุ่มเทียนพรรษาแล้ว ก็มีพิธีถวายดอกไม้ (ดอกบัว)
ธูปเทียน แด่พระภิกษุทั้งวัด เพื่อให้นาไปบูชาพระรัตนตรัยอีกด้วย
สาหรับพิธีตักบาตรดอกไม้ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในปัจจุบัน คือ พิธีตักบาตร
ดอกไม้ที่วัดพระพุทธบาท อาเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี เดิมนั้นชาวบ้านจะนาดอกไม้
ที่เรียกกันว่า ดอกเข้าพรรษาไปถวายพระสงฆ์ ดอกไม้ชนิดนี้จะออกดอกเฉพาะช่วงเข้าพรรษา
ปีหนึ่งเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และเกิดอยู่ตามธรรมชาติบริเวณพื้นที่ใกล้ ๆ วัด โดยมารอถวาย
พระสงฆ์ที่จะไปยังพระอุโบสถเพื่อประกอบพิธีอธิษฐานเข้าพรรษา และได้ปฏิบัติเช่นนี้มาเป็น
เวลานาน จนเป็นที่ทราบไปยังหมู่บ้านอื่น ๆ จึงได้เริ่มมีพิธีตักบาตรดอกไม้ขึ้น ต่อมาภาครัฐ
และเอกชนได้สนับสนุนให้มีการจัดพิธีตักบาตรดอกไม้ขึ้น เป็นงานประเพณีประจาจังหวัด
สระบุรี มีประชาชนจากจังหวัดอื่น ไปร่วมพิธีจานวนมาก ต้องเพิ่มการตักบาตรดอกไม้เป็น
๒ วัน คือ วันขึ้น ๑๕ ค่า และแรม ๑ ค่า เดือน ๘ โดยจัดพิธีตักบาตรวันละ ๒ รอบ เพื่อรองรับ
ศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั่วไป
ปัจจุบันมีวัดหลายแห่ง ได้เห็นความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่สนใจพิธีตักบาตร
ดอกไม้ จึงได้จัดพิธีตักบาตรดอกไม้ขึ้นในวัดของตนบ้าง โดยจาลองแบบพิธีกรรมมาจากวัด
พระพุทธบาท เพื่ออานวยความสะดวกแก่พุทธศาสนิกชนในพื้นที่ใกล้เคียง
๑. ในสมัยพุทธกาล ป้องกันไม่ให้พระภิกษุจาริกไปเหยียบย่าข้าวกล้าพืชพันธุ์ของ
ชาวบ้าน เป็นเหตุให้ได้รับการติเตียน
๒. พระภิกษุได้หยุดพักผ่อน บรรเทาความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการจาริกไป
เผยแผ่พระพุทธศาสนา เพราะในสมัยก่อน ใช้วิธีเดินเท้าไปยังสถานที่ต่าง ๆ เนื่องจากยังไม่มี
ถนนหนทางและพาหนะที่สะดวกเหมือนปัจจุบัน
๓. พระภิกษุได้อยู่ประจา เพื่อศึกษาปฏิบัติธรรมเพิ่มเติม และเตรียมความพร้อมจะ
จาริกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาหลังออกพรรษาแล้ว
๔. พุทธศาสนิกชนได้มีโอกาสบาเพ็ญกุศลเป็นการพิเศษ เช่น ทาบุญตักบาตร
รักษาศีล เจริญภาวนา ถวายจตุปัจจัยไทยธรรม งดเว้นอบายมุข เช่น คนเคยดื่มสุราเป็นประจา
ก็อธิษฐานจิตงดเว้นการดื่มตลอดพรรษา
๕. ทาให้มีพิธีทาบุญอื่น ๆ เกิดขึ้น คือ พิธีถวายเทียนพรรษาและพิธีถวายผ้าอาบน้าฝน
พิธีถวายดอกไม้ธูปเทียนวันเข้าพรรษา
การถวายดอกไม้ธูปเทียนแก่พระภิกษุในวันเข้าพรรษา เพื่อให้พระภิกษุนาไปบูชา
พระรัตนตรัย ได้มีมาแต่โบราณ แต่เป็นเพียงการปฏิบัติเฉพาะบุคคล เฉพาะที่ โดยพุทธศาสนิกชน
ที่อยู่ใกล้วัดจะนาธูปเทียนและดอกไม้ตามที่หาได้ในชุมชนไปถวายพระภิกษุในวัดใกล้บ้าน
ของตนพระราชพิธีทรงบาเพ็ญพระราชกุศลในวันเข้าพรรษา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
ให้ผู้แทนพระองค์ไปถวายพุ่มเทียนพรรษาในพระอารามหลวงสาคัญ เช่น วัดเบญจมบพิตร
ดุสิตวนาราม เมื่อผู้แทนพระองค์ถวายพุ่มเทียนพรรษาแล้ว ก็มีพิธีถวายดอกไม้ (ดอกบัว)
ธูปเทียน แด่พระภิกษุทั้งวัด เพื่อให้นาไปบูชาพระรัตนตรัยอีกด้วย
สาหรับพิธีตักบาตรดอกไม้ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในปัจจุบัน คือ พิธีตักบาตร
ดอกไม้ที่วัดพระพุทธบาท อาเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี เดิมนั้นชาวบ้านจะนาดอกไม้
ที่เรียกกันว่า ดอกเข้าพรรษาไปถวายพระสงฆ์ ดอกไม้ชนิดนี้จะออกดอกเฉพาะช่วงเข้าพรรษา
ปีหนึ่งเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และเกิดอยู่ตามธรรมชาติบริเวณพื้นที่ใกล้ ๆ วัด โดยมารอถวาย
พระสงฆ์ที่จะไปยังพระอุโบสถเพื่อประกอบพิธีอธิษฐานเข้าพรรษา และได้ปฏิบัติเช่นนี้มาเป็น
เวลานาน จนเป็นที่ทราบไปยังหมู่บ้านอื่น ๆ จึงได้เริ่มมีพิธีตักบาตรดอกไม้ขึ้น ต่อมาภาครัฐ
และเอกชนได้สนับสนุนให้มีการจัดพิธีตักบาตรดอกไม้ขึ้น เป็นงานประเพณีประจาจังหวัด
สระบุรี มีประชาชนจากจังหวัดอื่น ไปร่วมพิธีจานวนมาก ต้องเพิ่มการตักบาตรดอกไม้เป็น
๒ วัน คือ วันขึ้น ๑๕ ค่า และแรม ๑ ค่า เดือน ๘ โดยจัดพิธีตักบาตรวันละ ๒ รอบ เพื่อรองรับ
ศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั่วไป
ปัจจุบันมีวัดหลายแห่ง ได้เห็นความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่สนใจพิธีตักบาตร
ดอกไม้ จึงได้จัดพิธีตักบาตรดอกไม้ขึ้นในวัดของตนบ้าง โดยจาลองแบบพิธีกรรมมาจากวัด
พระพุทธบาท เพื่ออานวยความสะดวกแก่พุทธศาสนิกชนในพื้นที่ใกล้เคียง
ความเป็นมาของวันเข้าพรรษา
ความเป็นมาของวันเข้าพรรษา
การเข้าพรรษา เป็นพุทธานุญาตกาหนดให้พระภิกษุอธิษฐานอยู่ประจาสถานที่
ไม่จาริกไปค้างแรมในสถานที่อื่น เว้นแต่มีเหตุจาเป็น ตลอดระยะเวลา ๓ เดือน ช่วงฤดูฝน
คือ ตั้งแต่แรม ๑ ค่า เดือน ๘ ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่า เดือน ๑๑
ก่อนพุทธกาล การอยู่จาพรรษา เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของนักบวชนอกพระพุทธศาสนา
ในชมพูทวีปถือปฏิบัติกันมาก่อนแล้ว แต่คงไม่ได้ปฏิบัติกันเคร่งครัดนัก จึงเป็นเรื่องคุ้นชิน
ของคนในยุคนั้น สมัยต้นพุทธกาล ขณะพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์
เมื่อถึงฤดูฝน ภิกษุส่วนมากอยู่ประจาสถานที่เช่นเดียวกับนักบวชนอกศาสนา แต่มีกลุ่มพระภิกษุฉัพพัคคีย์ คือ พระภิกษุ ๖ รูป ได้แก่ พระมัณฑุกะ พระโลหิตกะ พระเมตติยะ
พระกุมมชกะ พระอัสสชิ และ พระปุนัพพสุกะ พร้อมทั้งพระภิกษุที่เป็นสานุศิษย์ประมาณ
๑,๕๐๐ รูป เที่ยวจาริกไปตามสถานที่ต่าง ๆ เนื่องจากขณะนั้น ยังมิได้มีพุทธานุญาตให้ภิกษุ
อยู่จาพรรษา การจาริกของท่านเหล่านั้น มีผลกระทบต่อการทาเกษตรกรรมของชาวบ้าน
ทาให้ข้าวกล้าและพืชผักเสียหาย พวกชาวบ้าน จึงพากันตาหนิติเตียนถึงการไม่หยุดจาริก
ในฤดูฝนของภิกษุเหล่านั้น เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบ จึงให้ประชุมสงฆ์และทรงบัญญัติ
ให้พระภิกษุอยู่จาพรรษาเป็นเวลา ๓ เดือนในฤดูฝน
ชาวพุทธในประเทศไทย ได้มีการบาเพ็ญกุศลเนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา ตั้งแต่สมัย
สุโขทัย ดังความในศิลาจารึก หลักที่ ๑ ว่า “พ่อขุนรามคาแหงพ่อเมืองสุโขทัยนี้ ทั้งชาว
แม่ชาวเจ้า ท่วยปั่วท่วยนางลูกเจ้าลูกขุนทั้งสิ้นทั้งหลาย ทั้งผู้ชายผู้หญิง ฝูงท่วยมีศรัทธา
ในพระพุทธศาสน์ ทรงศีลเมื่อพรรษาทุกคน” และได้มีการบาเพ็ญกุศลเนื่องในวันเข้าพรรษา
สืบทอดมาถึงปัจจุบัน แม้จะปฏิบัติแตกต่างกันบ้างตามยุคสมัย แต่หลักการใหญ่ที่ไม่แตกต่าง
กันคือ การทาบุญ ตักบาตร รักษาศีล ฟังพระธรรมเทศนา การปฏิบัติธรรม และการทา
ความดีอื่น ๆ
การอยู่จาพรรษามี ๒ อย่าง
๑. การจาพรรษาต้น เรียก ปุริมิกาวัสสูปนายิกา เริ่มตั้งแต่วันแรม ๑ ค่า เดือน ๘
ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่า เดือน ๑๑ ในปีที่มีอธิกมาส คือ เดือน ๘ สองหน ให้เลื่อนการจาพรรษาไป
เป็นวันแรม ๑ ค่าเดือน ๘ หลัง
๒. การจาพรรษาหลัง เรียก ปัจฉิมิกาวัสสูปนายิกา เริ่มตั้งแต่วันแรม ๑ ค่าเดือน ๙
ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่า เดือน ๑๒ ปัจจุบันไม่ค่อยมีปฏิบัติ จึงไม่เป็นที่รู้จักกัน
สัตตาหกรณียะ
การอยู่จาพรรษา มิใช่เป็นข้อห้ามเด็ดขาดว่า ให้พระภิกษุต้องอยู่ประจาตลอด
๓ เดือน โดยไม่สามารถเดินทางไปไหนได้เลย มีพระบรมพุทธานุญาตให้พระภิกษุไปค้างคืน
ในสถานที่อื่นได้คราวละไม่เกิน ๗ วัน เรียกว่า สัตตาหกรณียะ หรือเหตุพิเศษ ๔ ประการ คือ
๑. เพื่อนสหธรรมิกทั้ง ๕ คือ ภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร และสามเณรีป่วย
หรือบิดามารดาป่วย ไปเพื่อดูแลพยาบาลได้
๒. ไปเพื่อจะยับยั้งเพื่อนสหธรรมิกที่อยากสึก มิให้สึกได้
๓. ไปเพื่อกิจของสงฆ์ เช่น กุฏีวิหารชารุดเสียหาย ไปเพื่อหาอุปกรณ์มาสร้างซ่อมแซมได้
๔. ไปเพื่อฉลองศรัทธาพุทธศาสนิกชน นิมนต์ไปในพิธีบาเพ็ญบุญได้ หรือไปด้วย
เหตุอื่น ๆ อนุโลมเข้ากับทั้ง ๔ ข้อข้างต้นข้อใดข้อหนึ่งก็ได้
พระภิกษุผู้มีกิจธุระ ประสงค์จะสัตตาหะไปกระทากิจนั้น พึงบอกลาพระภิกษุที่มีอยู่
และเปล่งวาจาแสดงเจตนาเป็นภาษามคธว่า อัตถิ เม กิจจัง อิมัสมิง สัตตาหัพภันตะเร
นิวัตติสสามิ แปลว่า ข้าพเจ้ามีกิจต้องไป จะกลับมาภายใน ๗ วัน หรือเพียงผูกใจอธิษฐาน
ด้วยตนเองก็ได้
การเข้าพรรษา เป็นพุทธานุญาตกาหนดให้พระภิกษุอธิษฐานอยู่ประจาสถานที่
ไม่จาริกไปค้างแรมในสถานที่อื่น เว้นแต่มีเหตุจาเป็น ตลอดระยะเวลา ๓ เดือน ช่วงฤดูฝน
คือ ตั้งแต่แรม ๑ ค่า เดือน ๘ ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่า เดือน ๑๑
ก่อนพุทธกาล การอยู่จาพรรษา เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของนักบวชนอกพระพุทธศาสนา
ในชมพูทวีปถือปฏิบัติกันมาก่อนแล้ว แต่คงไม่ได้ปฏิบัติกันเคร่งครัดนัก จึงเป็นเรื่องคุ้นชิน
ของคนในยุคนั้น สมัยต้นพุทธกาล ขณะพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์
เมื่อถึงฤดูฝน ภิกษุส่วนมากอยู่ประจาสถานที่เช่นเดียวกับนักบวชนอกศาสนา แต่มีกลุ่มพระภิกษุฉัพพัคคีย์ คือ พระภิกษุ ๖ รูป ได้แก่ พระมัณฑุกะ พระโลหิตกะ พระเมตติยะ
พระกุมมชกะ พระอัสสชิ และ พระปุนัพพสุกะ พร้อมทั้งพระภิกษุที่เป็นสานุศิษย์ประมาณ
๑,๕๐๐ รูป เที่ยวจาริกไปตามสถานที่ต่าง ๆ เนื่องจากขณะนั้น ยังมิได้มีพุทธานุญาตให้ภิกษุ
อยู่จาพรรษา การจาริกของท่านเหล่านั้น มีผลกระทบต่อการทาเกษตรกรรมของชาวบ้าน
ทาให้ข้าวกล้าและพืชผักเสียหาย พวกชาวบ้าน จึงพากันตาหนิติเตียนถึงการไม่หยุดจาริก
ในฤดูฝนของภิกษุเหล่านั้น เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบ จึงให้ประชุมสงฆ์และทรงบัญญัติ
ให้พระภิกษุอยู่จาพรรษาเป็นเวลา ๓ เดือนในฤดูฝน
ชาวพุทธในประเทศไทย ได้มีการบาเพ็ญกุศลเนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา ตั้งแต่สมัย
สุโขทัย ดังความในศิลาจารึก หลักที่ ๑ ว่า “พ่อขุนรามคาแหงพ่อเมืองสุโขทัยนี้ ทั้งชาว
แม่ชาวเจ้า ท่วยปั่วท่วยนางลูกเจ้าลูกขุนทั้งสิ้นทั้งหลาย ทั้งผู้ชายผู้หญิง ฝูงท่วยมีศรัทธา
ในพระพุทธศาสน์ ทรงศีลเมื่อพรรษาทุกคน” และได้มีการบาเพ็ญกุศลเนื่องในวันเข้าพรรษา
สืบทอดมาถึงปัจจุบัน แม้จะปฏิบัติแตกต่างกันบ้างตามยุคสมัย แต่หลักการใหญ่ที่ไม่แตกต่าง
กันคือ การทาบุญ ตักบาตร รักษาศีล ฟังพระธรรมเทศนา การปฏิบัติธรรม และการทา
ความดีอื่น ๆ
การอยู่จาพรรษามี ๒ อย่าง
๑. การจาพรรษาต้น เรียก ปุริมิกาวัสสูปนายิกา เริ่มตั้งแต่วันแรม ๑ ค่า เดือน ๘
ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่า เดือน ๑๑ ในปีที่มีอธิกมาส คือ เดือน ๘ สองหน ให้เลื่อนการจาพรรษาไป
เป็นวันแรม ๑ ค่าเดือน ๘ หลัง
๒. การจาพรรษาหลัง เรียก ปัจฉิมิกาวัสสูปนายิกา เริ่มตั้งแต่วันแรม ๑ ค่าเดือน ๙
ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่า เดือน ๑๒ ปัจจุบันไม่ค่อยมีปฏิบัติ จึงไม่เป็นที่รู้จักกัน
สัตตาหกรณียะ
การอยู่จาพรรษา มิใช่เป็นข้อห้ามเด็ดขาดว่า ให้พระภิกษุต้องอยู่ประจาตลอด
๓ เดือน โดยไม่สามารถเดินทางไปไหนได้เลย มีพระบรมพุทธานุญาตให้พระภิกษุไปค้างคืน
ในสถานที่อื่นได้คราวละไม่เกิน ๗ วัน เรียกว่า สัตตาหกรณียะ หรือเหตุพิเศษ ๔ ประการ คือ
๑. เพื่อนสหธรรมิกทั้ง ๕ คือ ภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร และสามเณรีป่วย
หรือบิดามารดาป่วย ไปเพื่อดูแลพยาบาลได้
๒. ไปเพื่อจะยับยั้งเพื่อนสหธรรมิกที่อยากสึก มิให้สึกได้
๓. ไปเพื่อกิจของสงฆ์ เช่น กุฏีวิหารชารุดเสียหาย ไปเพื่อหาอุปกรณ์มาสร้างซ่อมแซมได้
๔. ไปเพื่อฉลองศรัทธาพุทธศาสนิกชน นิมนต์ไปในพิธีบาเพ็ญบุญได้ หรือไปด้วย
เหตุอื่น ๆ อนุโลมเข้ากับทั้ง ๔ ข้อข้างต้นข้อใดข้อหนึ่งก็ได้
พระภิกษุผู้มีกิจธุระ ประสงค์จะสัตตาหะไปกระทากิจนั้น พึงบอกลาพระภิกษุที่มีอยู่
และเปล่งวาจาแสดงเจตนาเป็นภาษามคธว่า อัตถิ เม กิจจัง อิมัสมิง สัตตาหัพภันตะเร
นิวัตติสสามิ แปลว่า ข้าพเจ้ามีกิจต้องไป จะกลับมาภายใน ๗ วัน หรือเพียงผูกใจอธิษฐาน
ด้วยตนเองก็ได้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)