๒๑. อนาถบิณฑิกเศรษฐี
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เกิดในตระกูลมหาเศรษฐี ในเมืองสาวัตถี บิดาชื่อว่า สุมนะมี
ทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาล เมื่อเกิดมาแล้วบรรดาหมู่ญาติได้ตั้งชื่อให้ว่า สุทัตตะ เป็นคน
มีจิตเมตตาชอบทาบุญให้ทานแก่คนยากจนอนาถา
เมื่อบิดามารดาของท่านล่วงลับไปแล้ว ได้ดารงตาแหน่งเศรษฐีแทน ให้ตั้งโรงทาน
ที่หน้าบ้านแจกอาหารแก่คนยากจนทุกวัน จนกระทั่งประชาชนทั่วไปเรียกท่านตามลักษณะ
นิสัยว่า อนาถบิณฑิกะ ซึ่งหมายถึง ผู้มีก้อนข้าวเพื่อคนอนาถา และได้เรียกกันต่อมา จนบางคน
ก็ลืมชื่อเดิมของท่านไป ท่านอนาถบิณฑิกะ ทาการค้าขายระหว่างเมืองสาวัตถีกับเมืองราชคฤห์
เป็นประจา จนมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับเศรษฐีเมืองราชคฤห์ นามว่า ราชคหกะ และต่อมา
เศรษฐีทั้งสองก็มีความเกี่ยวดองกันมากขึ้น โดยต่างฝ่ายก็ได้น้องสาวของกันและกันมาเป็น
ภรรยา ดังนั้น เมื่ออนาถบิณฑิกะ นาสินค้ามาขายยังเมืองราชคฤห์ จึงได้มาพักอาศัยที่บ้าน
ของราชคฤหเศรษฐีผู้ซึ่งมีฐานะเป็นทั้งน้องเขยและพี่เมียอยู่เป็นประจา
อนาถบิณฑิกเศรษฐี ดารงชีวิตอยู่ในเมืองสาวัตถี โดยมิได้ทราบข่าวเกี่ยวกับการเกิดขึ้น
แห่งพระพุทธศาสนาเลย จวบจนวันหนึ่ง ท่านได้นาสินค้ามาขายในเมืองราชคฤห์ และได้เข้า
พักในบ้านของราชคหกเศรษฐีตามปกติ แต่ในวันนั้น เป็นวันที่ราชคหกเศรษฐี ได้กราบทูล
อาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์เป็นจานวนมากมาฉันภัตตาหารที่เรือนของตน
ในวันรุ่งขึ้น
ราชคหกเศรษฐีมัวยุ่งอยู่กับการสั่งงานแก่ข้าทาสบริวาร จึงไม่มีเวลามาปฏิสันถาร
ต้อนรับ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเหมือนเช่นเคย เพียงแต่ได้ทักทายปราศัยเล็กน้อยเท่านั้น
แล้วก็สั่งงานต่อไป แม้ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ก็เกิดความสงสัยขึ้นเช่นกัน จึงคิดอยู่ในใจว่า
ราชคหกเศรษฐี คงจะมีงานบูชายัญหรือไม่ก็คงจะกราบทูลเชิญพระเจ้าพิมพิสาร
เสด็จมายังเรือนของตนในวันพรุ่งนี้
เมื่อสั่งงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ราชคหกเศรษฐี จึงได้มีเวลามาต้อนรับพูดคุยกับ
อนาถบิณฑิกเศรษฐี และท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ได้ไต่ถามข้อข้องใจสงสัยนั้น ซึ่งได้รับ
คาตอบว่าที่มัวยุ่งอยู่กับการสั่งงานนั้นก็เพราะได้กราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมด้วย
พระภิกษุสงฆ์มาฉันภัตตาหารที่เรือนของตนในวันพรุ่งนี้
อนาถบิณฑิกเศรษฐี พอได้ฟังคาว่า พระพุทธเจ้าเท่านั้นเอง ก็รู้สึกแปลกประหลาด
ใจ จึงย้อนถามถึงสามครั้งเพื่อให้แน่ใจ เพราะคาว่า พระพุทธเจ้า นี้เป็นการยากยิ่งนักที่จะได้ยินในโลกนี้ เมื่อราชคหกเศรษฐีกล่าวยืนยันว่า ขณะนี้ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์
เกิดขึ้นแล้วในโลก จึงเกิดปีติและศรัทธาเลื่อมใสอย่างแรงกล้า ปรารถนาจะไปเข้าเฝ้า
พระพุทธองค์ในทันที แต่ราชคหกเศรษฐียับยั้งไว้ว่ามิใช่เวลาแห่งการเข้าเฝ้า จึงรอจนรุ่งเช้า
ก็รีบไปเข้าเฝ้าก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จไปยังบ้านราชคหกเศรษฐี ได้ฟังอนุบุพพิกถาและ
อริยสัจ ๔ จากพระพุทธเจ้าแล้ว ได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคลในพระพุทธศาสนา
ประกาศตนเป็นอุบาสก ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต
อนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้ช่วยอังคาสถวายภัตตาหารแด่พระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์
ครั้นเสร็จภัตกิจแล้ว ก็ได้กราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าเพื่อเสด็จไปประกาศ พระศาสนาใน
เมืองสาวัตถี พร้อมทั้งกราบทูลว่า จะสร้างพระอารามถวายในเมืองสาวัตถีนั้น พระพุทธเจ้า
ทรงรับอาราธนาตามคากราบทูล
อนาถบิณฑิกเศรษฐี รู้สึกปลาบปลื้มปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง รีบเดินทางกลับสู่เมือง
สาวัตถีโดยด่วน ในระหว่างทางจากเมืองราชคฤห์ถึงเมืองสาวัตถี ระยะทาง ๕๔ โยชน์
ได้บริจาคทรัพย์จานวนมาก ให้สร้างวิหารที่ประทับเป็นที่พักทุก ๆ ระยะหนึ่งโยชน์ เมื่อถึง
เมืองสาวัตถีแล้ว ได้ติดต่อขอซื้อที่ดินจากเจ้าชายเชตราชกุมาร โดยได้ตกลงราคาด้วยการนาเงิน
ปูลาดให้เต็มพื้นที่ตามที่ต้องการ ปรากฏว่าเศรษฐีใช้เงินถึง ๒๗ โกฏิ เป็นค่าที่ดินและอีก
๒๗ โกฏิ เป็นค่าก่อสร้างพระคันธกุฏีที่ประทับของพระพุทธเจ้า และเสนาสนะสงฆ์ รวมเป็น
เงินทั้งสิ้น ๕๔ โกฏิ แต่ยังขาดพื้นที่สร้างซุ้มประตูพระอาราม ขณะนั้น เจ้าชายเชตราชกุมาร
ได้แสดงความประสงค์ขอเป็นผู้จัดสร้างถวาย โดยขอให้จารึกพระนามของพระองค์ที่ซุ้ม
ประตูพระอาราม ดังนั้น พระอารามนี้จึงได้ชื่อว่า เชตวนาราม
เมื่อการก่อสร้างพระอารามเสร็จแล้ว ได้กราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมด้วย
พระภิกษุสงฆ์เสด็จเข้าประทับจัดพิธีฉลองพระอารามอย่างมโหฬารนานถึง ๙ เดือนได้จัด
ถวายอาหารบิณฑบาตอันประณีตแก่พระพุทะเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ เมื่อพิธีฉลองพระอาราม
เสร็จสิ้นลงแล้วได้ กราบอาราธนาพระภิกษุจานวนประมาณ ๒,๐๐๐ รูป ไปฉันภัตตาหาร
ที่บ้านของตนทุกวันตลอดกาล
สมัยหนึ่ง ท่านได้สิ้นเนื้อประดาตัว เพราะต้องเสียทรัพย์ไปครั้งใหญ่ถึง ๒ ครั้ง คือ
พวกพ่อค้าผู้เป็นสหายได้ขอยืมเงินไป ๑๘ โกฏิแล้วไม่ใช้คืน ทรัพย์อีกส่วนหนึ่งซึ่งฝังไว้ที่ริมฝั่ง
แม่น้า จานวน ๑๘ โกฏิ ได้ถูกน้าเซาะตลิ่งพัง ทรัพย์ก็ถูกน้าพัดไปในมหาสมุทร แม้ท่านจะตก
อับอย่างนี้ก็ตาม ท่านก็ยังคงให้ทานอยู่เสมอวันละ ๕๐๐ รูป เพียงแต่ภัตตาหารที่จัดถวายพระภิกษุสงฆ์ลดลงทั้งคุณภาพและปริมาณ จนที่สุดข้าวที่หุงถวายพระก็จาเป็นต้องใช้ข้าว
ปลายเกวียนกับข้าวก็เหลือเพียงน้าผักเสี้ยนดอง ตนเองก็พลอยอดอยากลาบากไปด้วย
ถึงกระนั้น เศรษฐีก็ยังไม่ลดละการทาบุญถวายภัตตาหารแก่พระภิกษุสงฆ์ ได้แต่กราบเรียน
ให้พระภิกษุสงฆ์ทราบว่า ตนเองไม่สามารถจะจัดถวายอาหารอันประณีตมีรสเลิศเหมือน
เมื่อก่อนได้ เพราะขาดปัจจัยที่จะจัดหา พระภิกษุสงฆ์ที่เป็นปุถุชนก็พากันไปรับอาหาร
บิณฑบาตที่ตระกูลอื่นที่ถวายอาหารมีรสเลิศกว่า
ในคราวที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ตกอับลงนั้น พระพุทธองค์ได้เสด็จไปยังนครสาวัตถี
อีกครั้งหนึ่ง เสด็จประทับ ณ วัดพระเชตวัน เมื่อท่านเศรษฐีเข้าเฝ้าก็ตรัสถามว่า ในตระกูล
ของท่าน ยังมีการให้ทานอยู่หรือคฤหบดี ท่านทูลตอบว่า ยังให้ทานอยู่ พระเจ้าข้า แต่ทานนั้น
เป็นของเศร้าหมอง เป็นปลายข้าว มีน้าผักดองเป็นที่สอง
พระพุทธองค์ตรัสว่า วัตถุที่ให้นั้น จะเศร้าหมอง หรือประณีตก็ตาม แต่ถ้าผู้ให้เทให้
ไม่เชื่อกรรมและผลของกรรม ทานนั้นย่อมให้ผลไม่ดี แต่ถ้าผู้ให้ทาน ให้ด้วยความเคารพ
ให้ด้วยความนอบน้อม ให้ด้วยมือของตนเอง ไม่ทิ้งให้เทให้ ให้เพราะเชื่อกรรมและผลของกรรม
ทานนั้นย่อมให้ผลดี
ขณะนั้น เทวดาตนหนึ่งผู้เป็นมิจฉาทิฎฐิ ซึ่งสิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูบ้านของท่านอนาถ
บิณฑิกเศรษฐี ไม่เลื่อมใสพุทธศาสนา เบื่อระอาที่พระภิกษุสงฆ์เดินรอดซุ้มประตูเข้าออกทุกวัน
เพราะในขณะที่ภิกษุสงฆ์เดินรอดซุ้มประตูนั้นตนไม่สามารถจะอยู่บนซุ้มประตูได้ เมื่อเห็น
เศรษฐีกลับกลายมีฐานะยากจนลงเพราะทาบุญแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จึงปรากฎ
กายต่อหน้าท่านเศรษฐีกล่าวห้ามปรามให้เศรษฐีเลิกทาบุญเสียเถิด แล้วทรัพย์สินเงินทอง
ก็จะเพิ่มพูนขึ้นเหมือนเดิม ท่านเศรษฐีจึงถามว่า ท่านเป็นใคร
เทวดาตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นเทวดาผู้สิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูเรือนของท่าน เศรษฐีจึง
กล่าวว่า ดูก่อนเทวดาอันธพาล เราไม่ต้องการเห็น ไม่ต้องการฟังคาพูดของท่าน ขอท่าน
จงออกไปจากซุ่มประตูเรือนของเรา อย่ามาให้ข้าพเจ้าเห็นอีกเป็นอันขาด
เทวดาตกใจ ไม่สามารถจะอยู่ที่ซุ่มประตูเรือนของเศรษฐีได้อีกต่อไป กลายเป็น
เทวดาไร้ที่สิงสถิต ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เข้าไปหาเทวดาผู้มีศักดิ์สูงกว่าตนให้
ช่วยเหลือแต่ไม่มีเทวดาองค์ใดจะสามารถช่วยได้ เพียงแต่บอกอุบายให้ว่า ทรัพย์เก่าของ
เศรษฐีทั้งหมดมีจานวน ๕๔ โกฏิ ซึ่งรวมทั้งทรัพย์ที่ใส่ภาชนะฝังไว้ที่ริมฝั่งแม่น้าถูกน้าเซาะ
ตลิ่งพังจมหายไปในสายน้า ท่านจงไปนาทรัพย์เหล่านั้นกลับคืนมามอบให้ท่านเศรษฐี
แล้วท่านเศรษฐีก็จะหายโกรธยกโทษให้ และอนุญาตให้อยู่อาศัยที่ซุ้มประตูบ้านดังเดิมได้เทวดาทาตามนั้น ได้นาทรัพย์เหล่านั้นมามอบให้เศรษฐีด้วยอานาจฤทธิ์เทวดา
เมื่อเศรษฐียกโทษให้แล้วได้อยู่ ณ สถานที่เดิมของตนสืบไป
อนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นต้นแบบการทาบุญอุทิศให้ผู้ตาย โดยปรารภเหตุเล็ก ๆ
น้อย ๆ ขึ้นมาเป็นเรื่องทาบุญได้เสมอ เช่น วันหนึ่งหลานของท่านเล่นตุ๊กตาที่ทาจากแป้งแล้ว
หล่นลงแตก หลานร้องไห้ด้วยความเสียดายตุ๊กตา เพราะไม่มีตุ๊กตาจะเล่น ท่านเศรษฐีได้
ปลอบโยนหลานว่า ไม่เป็นไร เราช่วยกันทาบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ตุ๊กตากันเถิด ปรากฏว่า
หลานหยุดร้องไห้ รุ่งเช้า ท่านจึงพาหลายช่วยกันทาบุญเลี้ยงพระแล้วกรวดน้าอุทิศส่วนกุศล
ไปให้ตุ๊กตาข่าวการทาบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ตุ๊กตาของท่านเศรษฐี แพร่ขยายไปอย่างรวดเร็ว
ประชาชนชาวพุทธบริษัททั้งหลาย เห็นเป็นเรื่องแปลกและเป็นสิ่งที่ดีที่ควรกระทา ดังนั้น
เมื่อญาติผู้เป็นที่รักของตนตายลงก็พากันทาบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เหมือนอย่างที่ท่านเศรษฐี
กระทานั้น และถือปฏิบัติกันอย่างแพร่หลายสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
ตามปกติทุก ๆ วัน ภิกษุทั้งหมดผู้อยู่ในเมืองสาวัตถีจะรับนิมนต์เพื่อฉันภัตตาหาร
ในบ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐี และในบ้านของนางวิสาขา ดังนั้น บุคคลอื่น ๆ ผู้ประสงค์จะ
ถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์ ก็ต้องมาขอโอกาสจากท่านทั้งสองนี้ เมื่อนิมนต์พระได้แล้วก็ต้องเชิญ
ท่านทั้งสองนี้ไปเป็นประธานที่ปรึกษาด้วย ทั้งนี้ก็เพราะท่านทั้งสองทราบดีว่า ควรประกอบ
ควรปรุงอาหารอย่างไรให้ต้องกับอัธยาศัยและวินัยของพระ ควรจัดสถานที่อย่างไรจึงจะ
เหมาะสม นอกจากนี้ก็เพื่อเป็นสิริมงคลแก่เจ้าของบ้านเรือนที่จัดงานอีกด้วย ดังนั้น ท่านทั้ง
สองจึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่ปฏิบัติเลี้ยงดูพระภิกษุที่นิมนต์มาฉันที่บ้านของตน นางวิสาขาจึงได้
มอบหมายภารกิจหน้าที่นี้แก่หลานสาวส่วนอนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้มอบให้แก่ลูกสาวคนโต
ชื่อว่า มหาสุภัททา นางได้ทาหน้าที่นี้อยู่ระยะหนึ่ง ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วได้บรรลุ
เป็นพระโสดาบัน ต่อมาได้แต่งงานแล้วก็ติดตามไปอยู่ในสกุลของสามีจากนั้นอนาถบิณฑิก
เศรษฐีก็ได้มอบหมายให้ลูกสาวคนที่สองชื่อว่า จุลสุภัททา นางก็ทาหน้าที่แทนบิดาด้วยดี
โดยตลอด และก็ได้สาเร็จเป็นพระโสดาบันเช่นกันต่อจากนั้นไม่นาน นางก็ได้แยกไปอยู่กับ
ครอบครัวของสกุลสามี อนาถบิณฑิกเศรษฐี จึงได้มอบหน้าที่ให้ลูกสาวคนเล็กชื่อว่า สุมนาเทวี
กระทาแทนสืบมา
สุมนาเทวี ทาหน้าที่ด้วยความขยันเข้มแข็ง งานสาเร็จลงด้วยความเรียบร้อยทุกวัน
ทั้ง ๆ ที่นางอายุยังน้อย จากการที่นางได้ทาบุญถวายภัตตาหาร แด่พระภิกษุสงฆ์และได้ฟัง
ธรรมเป็นประจา นางก็ได้บรรลุเป็นพระสกทาคามี แต่ต่อมานางได้ล้มป่วยลงมีอาการหนัก
ใคร่อยากจะพบบิดา จึงให้คนไปเชิญบิดามาท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี พอได้ทราบว่าลูกสาวป่วยหนักก็รีบมาเยี่ยมโดยเร็ว พอมาถึง
ได้ถามลูกสาวว่า แม่สุมนา เจ้าเป็นอะไร
อะไรเล่า น้องชาย ลูกสาวตอบ
เจ้าเพ้อหรือ แม่สุมนา บิดาถาม
ไม่เพ้อหรอก น้องชาย ลูกสาวตอบ
แม่สุมนา ถ้าอย่างนั้น เจ้ากลัวหรือ บิดาถาม
ไม่กลัวหรอก น้องชาย
นางสุมนาเทวี พูดโต้ตอบกับบิดาได้เพียงเท่านั้นก็ถึงแก่กรรม
อนาถปิณฑิกเศรษฐี แม้จะเป็นพระโสดาบัน ก็ไม่อาจจะกลั้นความเศร้าโศกเสียใจ
เพราะการจากไปของธิดาได้ เมื่อเสร็จงานศพได้ร้องไห้น้าตานองหน้าไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
พระพุทธองค์ตรัสปลอบว่า
อนาถปิณฑิกเศรษฐี ก็ความตายเป็นสิ่งเที่ยงแท้ของสรรพสัตว์มิใช่หรือ เหตุไฉนท่าน
จึงร้องไห้อย่างนี้
อนาถปิณฑิกเศรษฐี กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อนั้นข้าพระองค์ทราบดี
แต่นางสุมนาเทวีธิดาของข้าพระองค์ เมื่อใกล้เวลาจวนจะตาย นางไม่สามารถคุมสติได้เลย
นางบ่นเพ้อจนกระทั่งตาย ข้าพระองค์โทมนัสร้องไห้เพราะเหตุนี้ พระเจ้าข้าพร้อมทั้งได้
กราบทูลถ้อยคาที่นางสุมนาเทวีเรียนตนเองว่าน้องชาย ถวายให้พระพุทธองค์ทรงทราบ
พระพุทธเจ้าได้สดับแล้วตรัสว่า
ดูก่อนมหาเศรษฐี บุตรของท่านมิได้เพ้อหลงสติอย่างที่ท่านเข้าใจ แต่ที่นางเรียก
ท่านว่าน้องชายนั้น ก็เพราะท่านเป็นน้องของนางจริง ๆ นางเป็นใหญ่กว่าท่านโดยมรรคและผล
เพราะท่านเป็นเพียงพระโสดาบัน แต่ธิดาของท่านเป็นพระสกทาคามี เป็นอริยบุคคลสูงกว่าท่าน
และบัดนี้ นางได้ไปเกิดเสวยสุขอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว นี่แหละคฤหบดี ธรรมดาบุคคล
ไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิตก็ตาม ถ้าอยู่ด้วยความไม่ประมาท ประพฤติดีปฏิบัติชอบ
ก็ย่อมเสวยสุขเพลินทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
อนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้ฟังพระพุทธดารัสแล้วหายจากความเศร้าโศกเสียใจกลับ
ได้รับความปีติเอิบอิ่มใจขึ้นมาแทน เมื่อควรแก่เวลาแล้ว ก็กราบทูลลากลับสู่เคหสถานของ
ตน เพราะความที่อนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นผู้มีศรัทธามั่นคงไม่หวั่นไหว ฝักใฝ่ในการทาบุญให้ทาน ไม่มีผู้ใดจะเปรียบเทียบได้ พระพุทธองค์ยกย่องท่านในตาแหน่ง เอตทัคคะ เป็นผู้เลิศ
กว่าอุบาสกทั้งหลาย ในฝ่ายผู้เป็นทายก
หนังสือนักธรรมชั้นตรี,นักธรรมตรีpdf,นักธรรมตรี,สรุปนักธรรมตรี,ข้อสอบนักธรรมตรี,เก็งข้อสอบนักธรรมตรี
- หน้าแรก
- พุทธประวัติ
- ธรรมวิภาค
- เบญจศีล-เบญจธรรม
- แบบกระทู้ธรรมชั้นตรี
- แบบกระทู้ธรรมชั้นโท
- แบบกระทู้ธรรมชั้นเอก
- หมวด พุทธศาสนสุภาษิต
- อนุพุทธประวัติชั้นโท
- ดาวโหลดหนังสือธรรมศึกษาชั้นตรี โท เอก
- Download ข้อสอบนักธรรมและธรรมศึกษา ปี 2559-2563
- ประวัตินักธรรม-ธรรมศึกษา โดยสังเขป
- ขอบข่ายการเรียนการสอนธรรมศึกษา 2561
- ขอบข่ายธรรมศึกษา ระดับอุดมศึกษาและประชาชนทั่วไป
- ข้อสอบนักธรรมตรี-โท-เอก[ย้อนหลัง]
วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
๒๐. สุมนสามเณร
๒๐. สุมนสามเณร
พระอนุรุทธเถระ เป็น ๑ ใน ๘๐ พระอัครสาวกผู้ใหญ่ ที่ได้รับการยกย่องจาก
พระพุทธเจ้าว่าเป็นเอตทัคคะ ผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้มีทิพยจักษุญาณ เป็นโอรสที่พระบิดา
ถวายให้เป็นบริวารแด่เจ้าชายสิทธัตถะ ในคราวที่เจ้าชายสิทธัตถะประสูติ
ครั้นเมื่อพระบรมโพธิสัตว์ เสด็จออกทรงผนวชและตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว
อนุรุทธะพร้อมกับพระโอรสของเจ้าศากยะห้าพระองค์ มีเจ้าภัททิยะเป็นประมุข เข้าไปเฝ้า
พระศาสดาที่ อนุปิยอัมพวัน ทรงผนวชแล้ว
ก็ครั้นผนวชแล้ว พระอนุรุทธะเป็นผู้ปฏิบัติชอบ ทาให้แจ้งวิชชา ๓ โดยลาดับ นั่งอยู่
บนอาสนะเดียว สามารถเล็งดูโลกธาตุพันหนึ่งได้ด้วยทิพยจักษุ ดุจผลมะขามป้อมที่บุคคลวาง
ไว้บนฝ่ามือฉะนั้น จึงเปล่งอุทานขึ้นว่า
เราย่อมระลึกได้ซึ่งบุพเพนิวาส ทิพยจักษุ เราก็ชาระแล้ว
เราเป็นผู้ได้วิชชา ๓ เป็นผู้ถึงฤทธิ์ คาสอนของพระพุทธเจ้า อันเราทาแล้ว
พิจารณาดูว่า เราทากรรมอะไรหนอ จึงได้สมบัตินี้ ทราบได้ว่า เราได้ตั้งความปรารถนา
ไว้แทบบาทมูลของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตระ ทราบต่อไปอีกว่า เราท่องเที่ยวอยู่
ในสงสาร ในกาลชื่อโน้น ได้อาศัยสุมนเศรษฐี ในเมืองพาราณสีเลี้ยงชีพ เป็นผู้ชื่อว่าอันนภาระ
ดังนี้แล้ว กล่าวว่า
ในกาลก่อน เราเป็นผู้ชื่อว่าอันนภาระ เป็นคนเข็ญใจ ขนหญ้า
เราถวายบิณฑบาตแก่พระอุปริฏฐปัจเจกพุทธะ ผู้มียศ
ครั้งนั้น ท่านได้มีความปริวิตกว่า สุมนเศรษฐีผู้เป็นสหายของเรา ได้กหาปณะแล้ว
รับเอาส่วนบุญจากบิณฑบาตซึ่งเราถวายแก่พระอุปริฏฐปัจเจกพุทธะในกาลนั้น บัดนี้ เกิดใน
ที่ไหนหนอแล
ทีนั้น ท่านได้เล็งเห็นเศรษฐีนั้นว่า บ้านชื่อว่ามุณฑนิคม มีอยู่ที่เชิงเขาใกล้ดงไฟไหม้
อุบาสกชื่อมหามุณฑะ ในมุณฑนิคมนั้น มีบุตรสองคน คือมหาสุมนะและจูฬสุมนะ ในบุตร
สองคนนั้น สุมนเศรษฐีเกิดเป็นจูฬสุมนะ ก็ครั้นเห็นแล้ว คิดว่า เมื่อเราไปในที่นั้น อุปการะ
จะมีหรือไม่มีหนอ ท่านใคร่ครวญอยู่ได้เห็นเหตุนี้ว่า เมื่อเราไปในที่นั้น จูฬสุมนะนั้นมีอายุ
๗ ขวบเท่านั้นจะขอออกบวช และจะบรรลุอรหัตผลในเวลาปลงผมเสร็จนั่นเองก็แลท่านครั้นเห็นแล้ว เมื่อกาลฝนใกล้เข้ามา จึงไปทางอากาศลงที่ประตูบ้าน
ส่วนมหามุณฑอุบาสกเป็นผู้คุ้นเคยของพระเถระแม้ในกาลก่อนเหมือนกัน เขาเห็นพระเถระ
ครองจีวรในเวลาบิณฑบาต จึงกล่าวกับมหาสุมนะผู้บุตรว่า พ่อ พระผู้เป็นเจ้าอนุรุทธเถระ
ของเรามาแล้ว เจ้าจงไปรับบาตรของท่านให้ทันเวลาที่ใคร ๆ คนอื่นยังไม่รับบาตรของท่านไป
พ่อจะให้เขาปูอาสนะไว้
มหาสุมนะได้ทาอย่างนั้นแล้ว อุบาสกอังคาสพระเถระภายในเรือนโดยเคารพแล้ว
รับปฏิญญาเพื่อต้องการแก่การอยู่จาพรรษาตลอดไตรมาส พระเถระรับนิมนต์แล้ว
ครั้งนั้น อุบาสกปฏิบัติพระเถระตลอดไตรมาส เป็นเหมือนปฏิบัติอยู่วันเดียว ในวัน
มหาปวารณา จึงนาไตรจีวรและอาหารวัตถุมีน้าอ้อย น้ามัน และข้าวสารเป็นต้นมาแล้ว
วางไว้ใกล้เท้าของพระเถระ เรียนว่า ขอพระผู้เป็นเจ้าจงรับเถิด ขอรับ
พระเถระกล่าวว่า อย่าเลยอุบาสก ความต้องการด้วยวัตถุนี้ของฉัน ไม่มี
อุบาสกเรียนว่า ท่านผู้เจริญ นี่ชื่อว่า วัสสาวาสิกลาภ (คือลาภอันเกิดแก่ผู้อยู่จาพรรษา)
ขอพระผู้เป็นเจ้าจงรับวัตถุนั้นไว้เถิด
พระเถระกล่าวว่า ช่างเถิด อุบาสก
อุบาสกถามว่า ท่านย่อมไม่รับเพื่ออะไร ขอรับ
พระเถระตอบว่า แม้สามเณรผู้เป็นกับปิยการก ในสานักของฉันก็ไม่มี
อุบาสกเรียนว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น มหาสุมนะผู้เป็นบุตรของกระผมจักเป็น
สามเณร
พระเถระกล่าวว่า อุบาสก ความต้องการด้วยมหาสุมนะของฉัน ก็ไม่มี
อุบาสกเรียนว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้าจงให้จูฬสุมนะ บวชเถิด
พระเถระกล่าวว่า ดีละ แล้วให้จูฬสุมนะบวช จูฬสุมนะนั้นบรรลุอรหัตในเวลาปลงผม
เสร็จนั่นเอง
พระเถระอยู่ในที่นั้นกับจูฬสุมนสามเณรนั้นประมาณกึ่งเดือนแล้ว ลาพวกญาติ
ของเธอว่า พวกฉันจะเฝ้าพระพุทธเจ้า ดังนี้แล้วไปทางอากาศ ลงที่กระท่อมอันตั้งอยู่ในป่า
ในหิมวันตประเทศ
ดึกคืนนั้น ท่านพระอนุรุทธเถระเกิดปวดท้องด้วยกาลังลมเสียดท้อง สามเณรจึงถาม
ว่ากระผมควรจะทายาเช่นไรดีขอรับพระเถระกล่าวว่า เอาเนยใสผสมกับน้าจากสระอโนดาตจึงจะหาย เธอถือเอาขวด
น้านี้ไปใส่มาเถิด พญานาคที่อยู่ที่สระนั้นเป็นเพื่อนกับเรา เธอบอกเขาว่าฉันใช้ให้มาเอา
เขาก็ถวาย ขอรับ
สามเณรรับคาแล้วเหาะไป พอดีวันนั้นเป็นวันจัดงานเลี้ยงของพญานาคพอดี และ
นาคก็กาลังดูนางราฟ้อนราอย่างสบายอารมณ์ พอเห็นสามเณรเหาะข้ามหัวตัวเองไปก็โกรธ
เพราะปกติพวกพญานาคนั้นขี้โกรธอยู่แล้ว จึงอยากลองฤทธิ์สามเณร จึงแผ่ขยายพังพานเจ็ด
หัวของตัวเองปิดสระอโนดาตกว้าง ๑๕๐ โยชน์จนหมด (๑ โยชน์ เท่ากับ ๑๖ กิโลเมตร)
สามเณรรู้ว่านาคโกรธจึงกล่าวว่า
ดูก่อนท่านพญานาค อาตมา มาตักน้าตามคาสั่งของอุปัชฌาย์ ขอท่านจงให้น้าแก่
อาตมาเถิด พญานาคกล่าวว่า แม่น้าใหญ่มีตั้งห้าสาย ทาไมท่านไม่ไปเอา ทาไมต้องมาเอาที่นี่
สามเณรตอบว่า อาตมาต้องนาน้าจากที่นี่ไปผสมยา อาการของอุปัชฌาย์จึงจะหาย
ขอท่านจงให้น้าเถิด พญานาคกล่าวว่า ถ้าท่านมีปัญญาท่านก็เอาไปสิ
สามเณรรู้ว่าพญานาคโกรธและกลั่นแกล้ง จึงเข้าฌานแยกร่างไปหาท้าวมหาพรหม
ชั้นต่าง ๆ ๑๖ ชั้น ยกเว้นพรหมที่ไม่มีสัญญี (รูปร่าง) จากนั้นก็เชิญพรหมทั้งหมดมาดูศึกของ
ตนเองและพญานาคที่หลังสระน้า สามเณรถามพญานาคอีกว่า
ท่านจะให้น้าแก่อาตมาได้หรือไม่
พญานาคตอบว่า ถ้าท่านมีปัญญาก็เอาไป
สามเณรเณรถามสามครั้งเพื่อยืนยันตามธรรมเนียม จึงเนรมิตร่างให้ใหญ่กว่าพรหม
ที่มาประชุมกันทั้งหมดแล้วเอาเท้าเหยียบหัวพญานาคจากขนาด ๑๕๐ โยชน์ พญานาคถูกกด
จนเหลือเท่าฝาทัพพี จมลงไปในน้า เกลียวน้าพุ่งขึ้นสูงจนเท่าลาตาลเจ็ดต้น สามเณรเอาขวด
รองรับน้าที่ตกลงมา เหล่าพรหมทั้งหลายสาธุการจนดังก้องไปทั่วบริเวณ พญานาคเห็นพรหม
ก็รู้ว่าเรื่องของตนกระจายแน่ๆ จึงโกรธสามเณรยิ่งกว่าเดิมและเหาะตามสามเณรไป แต่เหาะ
อย่างไรก็เหาะไม่ทัน สามเณรเหาะมาถึงและถวายน้าแก่พระเถระ พญานาคร้องห้ามว่า
อย่าฉันนะท่าน น้านี่ไม่สมควรจะฉัน สามเณรเรียนว่า ฉันเถอะขอรับ พญานาค
อนุญาตแล้ว พระเถระรู้ว่าสามเณรใช้ฤทธิ์ปราบนาค จึงฉันน้าผสมเนยใส อาพาธก็ระงับ
แล้วถามพญานาคว่า ท่านมาทาไม
พญานาคตอบว่า กระผมจะฆ่าเณรนี่ ฉีกอก ควักหัวใจแล้วโยนไปภูเขาหิมาลัยโน่นพระเถระกล่าวว่า มหาราช สามเณรมีอานุภาพมาก ท่านไม่สามารถสู้รบกับสามเณรได้
ควรให้สามเณรนั้นอดโทษแล้วกลับไปเสียเถิด พญานาคนั้นย่อมรู้อานุภาพของสามเณรได้ดี
แต่ติดตามมาเพราะความละอาย
ลาดับนั้น พญานาคให้สามเณรนั้นอดโทษตามคาของพระเถระ ทาความชอบพอกัน
ฉันมิตรกับเธอ จึงกล่าวว่า จาเดิมแต่กาลนี้ เมื่อความต้องการด้วยน้าในสระอโนดาตมีอยู่
กิจด้วยการมาแห่งพระผู้เป็นเจ้าย่อมไม่มี พระผู้เป็นเจ้าพึงส่งข่าวไปถึงข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเอง
จะนาน้ามาถวาย ดังนี้แล้วหลีกไป แม้พระเถระก็พาสามเณรไปแล้ว
พระพุทธเจ้าทรงทราบการมาแห่งพระเถระ ประทับนั่งทอดพระเนตรอยู่บนปราสาท
ของมิคารมารดา ถึงพวกภิกษุก็เห็นพระเถระซึ่งกาลังมา ลุกขึ้นต้อนรับ รับบาตรและจีวร
ครั้งนั้น ภิกษุบางพวกจับสามเณรที่ศีรษะบ้าง ที่หูทั้ง ๒ บ้าง ที่แขนบ้าง พลางเขย่า
กล่าวว่า ไม่กระสันหรือ สามเณร
พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นกิริยาของภิกษุเหล่านั้นแล้ว ทรงดาริว่า กรรมของ
ภิกษุเหล่านี้หยาบจริง ภิกษุเหล่านี้จับสามเณรเป็นดุจจับอสรพิษที่คอ พวกเธอหารู้อานุภาพ
ของสามเณรไม่ วันนี้ การที่เราทาคุณของสุมนสามเณรให้ปรากฏ สมควรอยู่
แม้พระเถระก็มาถวายบังคมพระพุทธเจ้า แล้วนั่ง
พระพุทธเจ้าทรงทาปฏิสันถารกับท่านแล้ว ตรัสเรียกพระอานนทเถระมาว่า อานนท์
เรามีความประสงค์จะล้างเท้าทั้งสองด้วยน้าในสระอโนดาต เธอจงให้หม้อแก่พวกสามเณร
แล้วให้นาน้ามาเถิด พระเถระให้สามเณรประมาณ ๕๐๐ ในวิหารประชุมกันแล้ว
บรรดาสามเณรเหล่านั้น สุมนสามเณรได้เป็นผู้ใหม่กว่าสามเณรทั้งหมด พระเถระ
กล่าวกะสามเณรผู้แก่กว่าสามเณรทั้งหมดว่า สามเณร พระพุทธเจ้ามีพระประสงค์จะทรงล้าง
พระบาททั้งสองด้วยน้าในสระอโนดาต เธอจงถือหม้อน้าไปนาน้ามาเถิด สามเณรนั้น
ไม่ปรารถนา ด้วยกล่าวว่า กระผมไม่สามารถ ขอรับ พระเถระถามสามเณรทั้งหลายแม้ที่เหลือ
โดยลาดับ แม้สามเณรเหล่านั้น ก็พูดปลีกตัวทานองเดียวกัน
ในที่สุด เมื่อวาระถึงแก่สุมนสามเณรเข้า พระเถระกล่าวว่า สามเณร พระพุทธเจ้า
มีพระประสงค์จะทรงล้างพระบาททั้งสองด้วยน้าในสระอโนดาต ได้ยินว่า เธอจงถือเอาหม้อ
ไปตักน้ามาสุมนสามเณรเรียนว่า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงให้นามา กระผมจะนามา ดังนี้แล้ว
ถวายบังคมพระพุทธเจ้าแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ได้ยินว่า พระองค์ให้
ข้าพระองค์นาน้ามาจากสระอโนดาตหรือ พระเจ้าข้า
พระพุทธเจ้าตรัสว่า อย่างนั้น สุมนะ
สุมนสามเณรเอามือจับหม้อใหญ่ใบหนึ่ง ซึ่งจุน้าได้ตั้ง ๖๐ หม้อ ในบรรดาหม้อ
สาหรับเสนาสนะ ซึ่งเลี่ยมดาดด้วยทองแท่ง อันนางวิสาขาให้สร้างไว้ หิ้วไปด้วยคิดว่า ความ
ต้องการของเราด้วยหม้อ อันเรายกขึ้นตั้งไว้บนจะงอยบ่านี้ ย่อมไม่มี เหาะขึ้นสู่เวหาส บ่ายหน้า
ต่อหิมวันตประเทศ รีบไปแล้ว
นาคราชเห็นสามเณรซึ่งกาลังมาแต่ไกล จึงต้อนรับ แบกหม้อด้วยจะงอยบ่า กล่าวว่า
ท่านเจ้าข้า เมื่อผู้รับใช้เช่นข้าพเจ้ามีอยู่ เพราะอะไร พระคุณเจ้าจึงมาเสียเอง เมื่อความ
ต้องการน้ามีอยู่ เหตุไร พระคุณเจ้าจึงไม่ส่งเพียงข่าวสาสน์มา ดังนี้แล้ว เอาหม้อ ตักน้า
แบกเองกล่าวว่า นิมนต์พระผู้เป็นเจ้าล่วงหน้าไปก่อนเถิดขอรับ ข้าพเจ้าเองจะนาไป
สามเณรกล่าวว่า มหาราช ท่านจงหยุด ข้าพเจ้าเองเป็นผู้อันพระพุทธเจ้าใช้มา ดังนี้
ให้พญานาคกลับแล้ว เอามือจับที่ขอบปากหม้อ เหาะมาทางอากาศ
ลาดับนั้น พระพุทธเจ้าทรงแลดูเธอซึ่งกาลังมา ตรัสเรียกพวกภิกษุมาแล้ว ตรัสว่า
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงดูการเยื้องกรายของสามเณร เธอย่อมงดงามดุจพระยาหงส์
ในอากาศฉะนั้น แม้สามเณรนั้นวางหม้อน้าแล้ว ได้ถวายบังคมพระพุทธเจ้าแล้วยืนอยู่
ลาดับนั้น พระพุทธเจ้าตรัสถามเธอว่า สุมนะ เธอมีอายุได้เท่าไร สามเณรกราบทูลว่า
มีอายุ ๗ ขวบ พระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า สุมนะ ถ้ากระนั้น ตั้งแต่วันนี้ เธอจงเป็นภิกษุ
เถิด ดังนี้แล้ว ได้ประทานทายัชชอุปสมบท
ได้ยินว่า สามเณรผู้มีอายุ ๗ ปี ๒ รูปเท่านั้น ได้อุปสมบท คือสุมนสามเณรนี้รูปหนึ่ง
โสปากสามเณร อีกรูปหนึ่ง
เมื่อสุมนสามเณรนั้นอุปสมบทแล้วอย่างนั้น พวกภิกษุสนทนากันในโรงธรรมว่า
ผู้มีอายุทั้งหลาย กรรมนี้น่าอัศจรรย์ อานุภาพของสามเณรน้อย แม้เห็นปานนี้ก็มีได้ อานุภาพ
เห็นปานนี้ พวกเราไม่เคยเห็นแล้ว ในกาลก่อนแต่กาลนี้
พระพุทธเจ้าเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วย
เรื่องอะไรหนอ เมื่อพวกเธอกราบทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้ พระเจ้าข้า ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย
ในศาสนาของเรา บุคคลแม้เป็นเด็ก ปฏิบัติชอบแล้ว ย่อมได้สมบัติเห็นปานนี้เหมือนกัน
พระอนุรุทธเถระ เป็น ๑ ใน ๘๐ พระอัครสาวกผู้ใหญ่ ที่ได้รับการยกย่องจาก
พระพุทธเจ้าว่าเป็นเอตทัคคะ ผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้มีทิพยจักษุญาณ เป็นโอรสที่พระบิดา
ถวายให้เป็นบริวารแด่เจ้าชายสิทธัตถะ ในคราวที่เจ้าชายสิทธัตถะประสูติ
ครั้นเมื่อพระบรมโพธิสัตว์ เสด็จออกทรงผนวชและตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว
อนุรุทธะพร้อมกับพระโอรสของเจ้าศากยะห้าพระองค์ มีเจ้าภัททิยะเป็นประมุข เข้าไปเฝ้า
พระศาสดาที่ อนุปิยอัมพวัน ทรงผนวชแล้ว
ก็ครั้นผนวชแล้ว พระอนุรุทธะเป็นผู้ปฏิบัติชอบ ทาให้แจ้งวิชชา ๓ โดยลาดับ นั่งอยู่
บนอาสนะเดียว สามารถเล็งดูโลกธาตุพันหนึ่งได้ด้วยทิพยจักษุ ดุจผลมะขามป้อมที่บุคคลวาง
ไว้บนฝ่ามือฉะนั้น จึงเปล่งอุทานขึ้นว่า
เราย่อมระลึกได้ซึ่งบุพเพนิวาส ทิพยจักษุ เราก็ชาระแล้ว
เราเป็นผู้ได้วิชชา ๓ เป็นผู้ถึงฤทธิ์ คาสอนของพระพุทธเจ้า อันเราทาแล้ว
พิจารณาดูว่า เราทากรรมอะไรหนอ จึงได้สมบัตินี้ ทราบได้ว่า เราได้ตั้งความปรารถนา
ไว้แทบบาทมูลของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตระ ทราบต่อไปอีกว่า เราท่องเที่ยวอยู่
ในสงสาร ในกาลชื่อโน้น ได้อาศัยสุมนเศรษฐี ในเมืองพาราณสีเลี้ยงชีพ เป็นผู้ชื่อว่าอันนภาระ
ดังนี้แล้ว กล่าวว่า
ในกาลก่อน เราเป็นผู้ชื่อว่าอันนภาระ เป็นคนเข็ญใจ ขนหญ้า
เราถวายบิณฑบาตแก่พระอุปริฏฐปัจเจกพุทธะ ผู้มียศ
ครั้งนั้น ท่านได้มีความปริวิตกว่า สุมนเศรษฐีผู้เป็นสหายของเรา ได้กหาปณะแล้ว
รับเอาส่วนบุญจากบิณฑบาตซึ่งเราถวายแก่พระอุปริฏฐปัจเจกพุทธะในกาลนั้น บัดนี้ เกิดใน
ที่ไหนหนอแล
ทีนั้น ท่านได้เล็งเห็นเศรษฐีนั้นว่า บ้านชื่อว่ามุณฑนิคม มีอยู่ที่เชิงเขาใกล้ดงไฟไหม้
อุบาสกชื่อมหามุณฑะ ในมุณฑนิคมนั้น มีบุตรสองคน คือมหาสุมนะและจูฬสุมนะ ในบุตร
สองคนนั้น สุมนเศรษฐีเกิดเป็นจูฬสุมนะ ก็ครั้นเห็นแล้ว คิดว่า เมื่อเราไปในที่นั้น อุปการะ
จะมีหรือไม่มีหนอ ท่านใคร่ครวญอยู่ได้เห็นเหตุนี้ว่า เมื่อเราไปในที่นั้น จูฬสุมนะนั้นมีอายุ
๗ ขวบเท่านั้นจะขอออกบวช และจะบรรลุอรหัตผลในเวลาปลงผมเสร็จนั่นเองก็แลท่านครั้นเห็นแล้ว เมื่อกาลฝนใกล้เข้ามา จึงไปทางอากาศลงที่ประตูบ้าน
ส่วนมหามุณฑอุบาสกเป็นผู้คุ้นเคยของพระเถระแม้ในกาลก่อนเหมือนกัน เขาเห็นพระเถระ
ครองจีวรในเวลาบิณฑบาต จึงกล่าวกับมหาสุมนะผู้บุตรว่า พ่อ พระผู้เป็นเจ้าอนุรุทธเถระ
ของเรามาแล้ว เจ้าจงไปรับบาตรของท่านให้ทันเวลาที่ใคร ๆ คนอื่นยังไม่รับบาตรของท่านไป
พ่อจะให้เขาปูอาสนะไว้
มหาสุมนะได้ทาอย่างนั้นแล้ว อุบาสกอังคาสพระเถระภายในเรือนโดยเคารพแล้ว
รับปฏิญญาเพื่อต้องการแก่การอยู่จาพรรษาตลอดไตรมาส พระเถระรับนิมนต์แล้ว
ครั้งนั้น อุบาสกปฏิบัติพระเถระตลอดไตรมาส เป็นเหมือนปฏิบัติอยู่วันเดียว ในวัน
มหาปวารณา จึงนาไตรจีวรและอาหารวัตถุมีน้าอ้อย น้ามัน และข้าวสารเป็นต้นมาแล้ว
วางไว้ใกล้เท้าของพระเถระ เรียนว่า ขอพระผู้เป็นเจ้าจงรับเถิด ขอรับ
พระเถระกล่าวว่า อย่าเลยอุบาสก ความต้องการด้วยวัตถุนี้ของฉัน ไม่มี
อุบาสกเรียนว่า ท่านผู้เจริญ นี่ชื่อว่า วัสสาวาสิกลาภ (คือลาภอันเกิดแก่ผู้อยู่จาพรรษา)
ขอพระผู้เป็นเจ้าจงรับวัตถุนั้นไว้เถิด
พระเถระกล่าวว่า ช่างเถิด อุบาสก
อุบาสกถามว่า ท่านย่อมไม่รับเพื่ออะไร ขอรับ
พระเถระตอบว่า แม้สามเณรผู้เป็นกับปิยการก ในสานักของฉันก็ไม่มี
อุบาสกเรียนว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น มหาสุมนะผู้เป็นบุตรของกระผมจักเป็น
สามเณร
พระเถระกล่าวว่า อุบาสก ความต้องการด้วยมหาสุมนะของฉัน ก็ไม่มี
อุบาสกเรียนว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้าจงให้จูฬสุมนะ บวชเถิด
พระเถระกล่าวว่า ดีละ แล้วให้จูฬสุมนะบวช จูฬสุมนะนั้นบรรลุอรหัตในเวลาปลงผม
เสร็จนั่นเอง
พระเถระอยู่ในที่นั้นกับจูฬสุมนสามเณรนั้นประมาณกึ่งเดือนแล้ว ลาพวกญาติ
ของเธอว่า พวกฉันจะเฝ้าพระพุทธเจ้า ดังนี้แล้วไปทางอากาศ ลงที่กระท่อมอันตั้งอยู่ในป่า
ในหิมวันตประเทศ
ดึกคืนนั้น ท่านพระอนุรุทธเถระเกิดปวดท้องด้วยกาลังลมเสียดท้อง สามเณรจึงถาม
ว่ากระผมควรจะทายาเช่นไรดีขอรับพระเถระกล่าวว่า เอาเนยใสผสมกับน้าจากสระอโนดาตจึงจะหาย เธอถือเอาขวด
น้านี้ไปใส่มาเถิด พญานาคที่อยู่ที่สระนั้นเป็นเพื่อนกับเรา เธอบอกเขาว่าฉันใช้ให้มาเอา
เขาก็ถวาย ขอรับ
สามเณรรับคาแล้วเหาะไป พอดีวันนั้นเป็นวันจัดงานเลี้ยงของพญานาคพอดี และ
นาคก็กาลังดูนางราฟ้อนราอย่างสบายอารมณ์ พอเห็นสามเณรเหาะข้ามหัวตัวเองไปก็โกรธ
เพราะปกติพวกพญานาคนั้นขี้โกรธอยู่แล้ว จึงอยากลองฤทธิ์สามเณร จึงแผ่ขยายพังพานเจ็ด
หัวของตัวเองปิดสระอโนดาตกว้าง ๑๕๐ โยชน์จนหมด (๑ โยชน์ เท่ากับ ๑๖ กิโลเมตร)
สามเณรรู้ว่านาคโกรธจึงกล่าวว่า
ดูก่อนท่านพญานาค อาตมา มาตักน้าตามคาสั่งของอุปัชฌาย์ ขอท่านจงให้น้าแก่
อาตมาเถิด พญานาคกล่าวว่า แม่น้าใหญ่มีตั้งห้าสาย ทาไมท่านไม่ไปเอา ทาไมต้องมาเอาที่นี่
สามเณรตอบว่า อาตมาต้องนาน้าจากที่นี่ไปผสมยา อาการของอุปัชฌาย์จึงจะหาย
ขอท่านจงให้น้าเถิด พญานาคกล่าวว่า ถ้าท่านมีปัญญาท่านก็เอาไปสิ
สามเณรรู้ว่าพญานาคโกรธและกลั่นแกล้ง จึงเข้าฌานแยกร่างไปหาท้าวมหาพรหม
ชั้นต่าง ๆ ๑๖ ชั้น ยกเว้นพรหมที่ไม่มีสัญญี (รูปร่าง) จากนั้นก็เชิญพรหมทั้งหมดมาดูศึกของ
ตนเองและพญานาคที่หลังสระน้า สามเณรถามพญานาคอีกว่า
ท่านจะให้น้าแก่อาตมาได้หรือไม่
พญานาคตอบว่า ถ้าท่านมีปัญญาก็เอาไป
สามเณรเณรถามสามครั้งเพื่อยืนยันตามธรรมเนียม จึงเนรมิตร่างให้ใหญ่กว่าพรหม
ที่มาประชุมกันทั้งหมดแล้วเอาเท้าเหยียบหัวพญานาคจากขนาด ๑๕๐ โยชน์ พญานาคถูกกด
จนเหลือเท่าฝาทัพพี จมลงไปในน้า เกลียวน้าพุ่งขึ้นสูงจนเท่าลาตาลเจ็ดต้น สามเณรเอาขวด
รองรับน้าที่ตกลงมา เหล่าพรหมทั้งหลายสาธุการจนดังก้องไปทั่วบริเวณ พญานาคเห็นพรหม
ก็รู้ว่าเรื่องของตนกระจายแน่ๆ จึงโกรธสามเณรยิ่งกว่าเดิมและเหาะตามสามเณรไป แต่เหาะ
อย่างไรก็เหาะไม่ทัน สามเณรเหาะมาถึงและถวายน้าแก่พระเถระ พญานาคร้องห้ามว่า
อย่าฉันนะท่าน น้านี่ไม่สมควรจะฉัน สามเณรเรียนว่า ฉันเถอะขอรับ พญานาค
อนุญาตแล้ว พระเถระรู้ว่าสามเณรใช้ฤทธิ์ปราบนาค จึงฉันน้าผสมเนยใส อาพาธก็ระงับ
แล้วถามพญานาคว่า ท่านมาทาไม
พญานาคตอบว่า กระผมจะฆ่าเณรนี่ ฉีกอก ควักหัวใจแล้วโยนไปภูเขาหิมาลัยโน่นพระเถระกล่าวว่า มหาราช สามเณรมีอานุภาพมาก ท่านไม่สามารถสู้รบกับสามเณรได้
ควรให้สามเณรนั้นอดโทษแล้วกลับไปเสียเถิด พญานาคนั้นย่อมรู้อานุภาพของสามเณรได้ดี
แต่ติดตามมาเพราะความละอาย
ลาดับนั้น พญานาคให้สามเณรนั้นอดโทษตามคาของพระเถระ ทาความชอบพอกัน
ฉันมิตรกับเธอ จึงกล่าวว่า จาเดิมแต่กาลนี้ เมื่อความต้องการด้วยน้าในสระอโนดาตมีอยู่
กิจด้วยการมาแห่งพระผู้เป็นเจ้าย่อมไม่มี พระผู้เป็นเจ้าพึงส่งข่าวไปถึงข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเอง
จะนาน้ามาถวาย ดังนี้แล้วหลีกไป แม้พระเถระก็พาสามเณรไปแล้ว
พระพุทธเจ้าทรงทราบการมาแห่งพระเถระ ประทับนั่งทอดพระเนตรอยู่บนปราสาท
ของมิคารมารดา ถึงพวกภิกษุก็เห็นพระเถระซึ่งกาลังมา ลุกขึ้นต้อนรับ รับบาตรและจีวร
ครั้งนั้น ภิกษุบางพวกจับสามเณรที่ศีรษะบ้าง ที่หูทั้ง ๒ บ้าง ที่แขนบ้าง พลางเขย่า
กล่าวว่า ไม่กระสันหรือ สามเณร
พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นกิริยาของภิกษุเหล่านั้นแล้ว ทรงดาริว่า กรรมของ
ภิกษุเหล่านี้หยาบจริง ภิกษุเหล่านี้จับสามเณรเป็นดุจจับอสรพิษที่คอ พวกเธอหารู้อานุภาพ
ของสามเณรไม่ วันนี้ การที่เราทาคุณของสุมนสามเณรให้ปรากฏ สมควรอยู่
แม้พระเถระก็มาถวายบังคมพระพุทธเจ้า แล้วนั่ง
พระพุทธเจ้าทรงทาปฏิสันถารกับท่านแล้ว ตรัสเรียกพระอานนทเถระมาว่า อานนท์
เรามีความประสงค์จะล้างเท้าทั้งสองด้วยน้าในสระอโนดาต เธอจงให้หม้อแก่พวกสามเณร
แล้วให้นาน้ามาเถิด พระเถระให้สามเณรประมาณ ๕๐๐ ในวิหารประชุมกันแล้ว
บรรดาสามเณรเหล่านั้น สุมนสามเณรได้เป็นผู้ใหม่กว่าสามเณรทั้งหมด พระเถระ
กล่าวกะสามเณรผู้แก่กว่าสามเณรทั้งหมดว่า สามเณร พระพุทธเจ้ามีพระประสงค์จะทรงล้าง
พระบาททั้งสองด้วยน้าในสระอโนดาต เธอจงถือหม้อน้าไปนาน้ามาเถิด สามเณรนั้น
ไม่ปรารถนา ด้วยกล่าวว่า กระผมไม่สามารถ ขอรับ พระเถระถามสามเณรทั้งหลายแม้ที่เหลือ
โดยลาดับ แม้สามเณรเหล่านั้น ก็พูดปลีกตัวทานองเดียวกัน
ในที่สุด เมื่อวาระถึงแก่สุมนสามเณรเข้า พระเถระกล่าวว่า สามเณร พระพุทธเจ้า
มีพระประสงค์จะทรงล้างพระบาททั้งสองด้วยน้าในสระอโนดาต ได้ยินว่า เธอจงถือเอาหม้อ
ไปตักน้ามาสุมนสามเณรเรียนว่า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงให้นามา กระผมจะนามา ดังนี้แล้ว
ถวายบังคมพระพุทธเจ้าแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ได้ยินว่า พระองค์ให้
ข้าพระองค์นาน้ามาจากสระอโนดาตหรือ พระเจ้าข้า
พระพุทธเจ้าตรัสว่า อย่างนั้น สุมนะ
สุมนสามเณรเอามือจับหม้อใหญ่ใบหนึ่ง ซึ่งจุน้าได้ตั้ง ๖๐ หม้อ ในบรรดาหม้อ
สาหรับเสนาสนะ ซึ่งเลี่ยมดาดด้วยทองแท่ง อันนางวิสาขาให้สร้างไว้ หิ้วไปด้วยคิดว่า ความ
ต้องการของเราด้วยหม้อ อันเรายกขึ้นตั้งไว้บนจะงอยบ่านี้ ย่อมไม่มี เหาะขึ้นสู่เวหาส บ่ายหน้า
ต่อหิมวันตประเทศ รีบไปแล้ว
นาคราชเห็นสามเณรซึ่งกาลังมาแต่ไกล จึงต้อนรับ แบกหม้อด้วยจะงอยบ่า กล่าวว่า
ท่านเจ้าข้า เมื่อผู้รับใช้เช่นข้าพเจ้ามีอยู่ เพราะอะไร พระคุณเจ้าจึงมาเสียเอง เมื่อความ
ต้องการน้ามีอยู่ เหตุไร พระคุณเจ้าจึงไม่ส่งเพียงข่าวสาสน์มา ดังนี้แล้ว เอาหม้อ ตักน้า
แบกเองกล่าวว่า นิมนต์พระผู้เป็นเจ้าล่วงหน้าไปก่อนเถิดขอรับ ข้าพเจ้าเองจะนาไป
สามเณรกล่าวว่า มหาราช ท่านจงหยุด ข้าพเจ้าเองเป็นผู้อันพระพุทธเจ้าใช้มา ดังนี้
ให้พญานาคกลับแล้ว เอามือจับที่ขอบปากหม้อ เหาะมาทางอากาศ
ลาดับนั้น พระพุทธเจ้าทรงแลดูเธอซึ่งกาลังมา ตรัสเรียกพวกภิกษุมาแล้ว ตรัสว่า
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงดูการเยื้องกรายของสามเณร เธอย่อมงดงามดุจพระยาหงส์
ในอากาศฉะนั้น แม้สามเณรนั้นวางหม้อน้าแล้ว ได้ถวายบังคมพระพุทธเจ้าแล้วยืนอยู่
ลาดับนั้น พระพุทธเจ้าตรัสถามเธอว่า สุมนะ เธอมีอายุได้เท่าไร สามเณรกราบทูลว่า
มีอายุ ๗ ขวบ พระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า สุมนะ ถ้ากระนั้น ตั้งแต่วันนี้ เธอจงเป็นภิกษุ
เถิด ดังนี้แล้ว ได้ประทานทายัชชอุปสมบท
ได้ยินว่า สามเณรผู้มีอายุ ๗ ปี ๒ รูปเท่านั้น ได้อุปสมบท คือสุมนสามเณรนี้รูปหนึ่ง
โสปากสามเณร อีกรูปหนึ่ง
เมื่อสุมนสามเณรนั้นอุปสมบทแล้วอย่างนั้น พวกภิกษุสนทนากันในโรงธรรมว่า
ผู้มีอายุทั้งหลาย กรรมนี้น่าอัศจรรย์ อานุภาพของสามเณรน้อย แม้เห็นปานนี้ก็มีได้ อานุภาพ
เห็นปานนี้ พวกเราไม่เคยเห็นแล้ว ในกาลก่อนแต่กาลนี้
พระพุทธเจ้าเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วย
เรื่องอะไรหนอ เมื่อพวกเธอกราบทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้ พระเจ้าข้า ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย
ในศาสนาของเรา บุคคลแม้เป็นเด็ก ปฏิบัติชอบแล้ว ย่อมได้สมบัติเห็นปานนี้เหมือนกัน
๑๙. วนวาสีติสสสามเณร
๑๙. วนวาสีติสสสามเณร
ในอดีตกาล วนวาสีติสสสามเณร เกิดเป็น สหายของวังคันตพราหมณ์ ผู้บิดาของ
พระสารีบุตรเถระ ชื่อ มหาเสนพราหมณ์ อยู่ในเมืองราชคฤห์ วันหนึ่ง พระสารีบุตรเถระ
เที่ยวบิณฑบาต ได้ไปยังประตูเรือนของพราหมณ์นั้น เพื่ออนุเคราะห์เขา
แต่พราหมณ์นั้นมีสมบัติหมดเสียแล้ว กลับเป็นคนยากจน เขาคิดว่า บุตรของเรามา
เพื่อเที่ยวบิณฑบาตที่ประตูเรือนของเรา แต่เราเป็นคนยากจน บุตรของเราเห็นจะไม่ทราบ
ความที่เราเป็นคนยากจน ไทยธรรมอะไร ๆ ของเราก็ไม่มี เมื่อไม่อาจจะเผชิญหน้าพระเถระ
นั้นได้จึงหลบเสีย ถึงในวันอื่น แม้พระเถระได้ไปอีก พราหมณ์ก็ได้หลบเสียอย่างนั้นเหมือนกัน
เขาคิดอยู่ว่า เราได้อะไร ๆ แล้วนั่นแหละจะถวาย แต่ก็ไม่ได้อะไร ๆ
ภายหลังวันหนึ่ง เขาได้ถาดเต็มด้วยข้าวปายาสพร้อมกับผ้าสาฎกเนื้อหยาบ ในที่
บอกลัทธิของพราหมณ์แห่งหนึ่ง ถือไปถึงเรือน นึกถึงพระเถระขึ้นได้ว่า การที่เราถวาย
บิณฑบาตนี้แก่พระเถระ ควร
ในขณะนั้นนั่นเอง แม้พระเถระเข้าฌาน ออกจากสมาบัติแล้ว เห็นพราหมณ์นั้น
คิดว่า พราหมณ์ได้ไทยธรรมแล้ว หวังอยู่ซึ่งการมาของเรา การที่เราไปในที่นั้น ควร ดังนี้แล้ว
จึงห่มผ้าสังฆาฏิ ถือบาตร แสดงตนยืนอยู่ที่ประตูเรือนของพราหมณ์นั้น พอเห็นพระเถระ
เท่านั้น จิตของพราหมณ์เลื่อมใสแล้ว
ลาดับนั้น เขาเข้าไปหาพระเถระ ไหว้แล้ว ทาปฏิสันถาร นิมนต์ให้นั่งภายในเรือน
ถือถาดอันเต็มด้วยข้าวปายาส เกลี่ยลงในบาตรของพระเถระ พระเถระรับกึ่งหนึ่งแล้วจึงเอา
มือปิดบาตร
ทีนั้น พราหมณ์กล่าวกับพระเถระว่า ท่านผู้เจริญ ข้าวปายาสนี้สักว่าเป็นส่วนของ
คนเดียวเท่านั้น ขอท่านจงทาความสงเคราะห์ในปรโลกแก่กระผมเถิด อย่าทาความสงเคราะห์
ในโลกนี้เลย กระผมปรารถนาถวายไม่ให้เหลือทีเดียว ดังนี้แล้ว จึงเกลี่ยลงทั้งหมด พระเถระ
ฉันในที่นั้นนั่นเอง ครั้นในเวลาเสร็จภัตกิจ เขาถวายผ้าสาฎกแม้นั้นแก่พระเถระ ไหว้แล้ว
กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ขอให้กระผมพึงบรรลุธรรมที่ท่านเห็นแล้วเหมือนกันพระเถระทาอนุโมทนาแก่พราหมณ์นั้นว่า จงสาเร็จอย่างนั้น พราหมณ์ ลุกขึ้นจาก
อาสนะหลีกไป เที่ยวจาริกโดยลาดับ ได้ถึงวัดพระเชตวันแล้ว
ก็ทานที่บุคคลถวายแล้วในคราวที่ตนตกยาก ย่อมทาผู้ถวายให้ร่าเริงอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้น แม้พราหมณ์ถวายทานนั้นแล้ว มีจิตเลื่อมใส เกิดโสมนัสแล้ว ได้ทาความสิเนหา
มีประมาณยิ่งในพระเถระ ด้วยความสิเนหาในพระเถระ พราหมณ์นั้นทากาละแล้ว ถือปฏิสนธิ
ในสกุลอุปัฏฐากของพระเถระในเมืองสาวัตถี
ก็ในขณะนั้น มารดาของเขาบอกแก่สามีว่า สัตว์เกิดในครรภ์ตั้งขึ้นในท้องของฉัน
สามีได้ให้เครื่องบริหารครรภ์แก่มารดาของทารกนั้นแล้ว เมื่อนางเว้นการบริโภคอาหารวัตถุ
มีของร้อนจัด เย็นนัก และเปรี้ยวนัก เป็นต้น รักษาครรภ์อยู่โดยสบาย ความแพ้ท้องเห็น
ปานนี้เกิดขึ้นว่า ไฉนหนอ เราพึงนิมนต์ภิกษุ ๕๐๐ รูป มีพระสารีบุตรเถระเป็นประธานให้นั่ง
ในเรือน ถวายข้าวปายาสเจือด้วยน้านมล้วน แม้ตนเองนุ่งห่มผ้ากาสาวะ ถือขันทอง นั่งใน
ที่สุดแห่งอาสนะ แล้วบริโภคข้าวปายาสอันเป็นเดนของภิกษุประมาณเท่านี้
ได้ยินว่า ความแพ้ท้องในเพราะการนุ่งห่มผ้ากาสาวะนั้นของนาง ได้เป็นบุรพนิมิต
แห่งการบรรพชาในพระพุทธศาสนาของบุตรในท้อง
ลาดับนั้น พวกญาติของนางคิดว่า ความแพ้ท้องของธิดาพวกเราประกอบด้วยธรรม
ดังนี้แล้ว จึงถวายข้าวปายาสเจือด้วยน้านมล้วน แก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป มีพระสารีบุตรเถระเป็น
ประธาน แม้นางก็นุ่งผ้ากาสาวะผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง ถือขันทองนั่งในที่สุดแห่งอาสนะ บริโภค
ข้าวปายาสอันเป็นเดนของภิกษุความแพ้ท้องสงบแล้ว
ในมงคลที่เขากระทาแล้วในระหว่าง ๆ แก่นางนั้น ตลอดเวลาสัตว์เกิดในครรภ์
คลอดก็ดี ในมงคลที่เขากระทาแก่นางผู้คลอดบุตร โดยล่วงไป ๑๐ เดือนก็ดี พวกญาติก็ได้
ถวายข้าวมธุปายาสมีน้าน้อยแก่ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป มีพระสารีบุตรเถระเป็นประธาน
เหมือนกัน
ได้ยินว่า นี่เป็นผลแห่งข้าวปายาสที่ทารกถวายแล้วในเวลาที่ตนเป็นพราหมณ์
ในกาลก่อน
ก็ในวันมงคลที่พวกญาติกระทาในวันที่ทารกเกิด พวกญาติให้ทารกนั้นอาบน้าแต่
เช้าตรู่ ประดับแล้วให้นอนเบื้องบนผ้ากัมพลมีค่าแสนหนึ่ง บนที่นอนอันมีสิริทารกนั้นนอนอยู่บนผ้ากัมพล แลดูพระเถระแล้ว คิดว่า พระเถระนี้เป็นบุรพาจารย์
ของเรา เราได้สมบัตินี้เพราะอาศัยพระเถระนี้ การที่เราทาการบริจาคอย่างหนึ่งแก่ท่านผู้นี้
ควร อันญาตินาไปเพื่อประโยชน์แก่การรับสิกขาบท ได้เอานิ้วก้อยเกี่ยวผ้ากัมพลนั้นยึดไว้
ครั้งนั้น ญาติทั้งหลายของทารกนั้นคิดว่า ผ้ากัมพลคล้องที่นิ้วมือแล้ว จึงปรารภจะ
นาออก ทารกนั้นร้องไห้ พวกญาติกล่าวว่า ขอพวกท่านจงหลีกไปเถิด ท่านทั้งหลายอย่ายัง
ทารกให้ร้องไห้เลย ดังนี้แล้ว จึงนาไปพร้อมกับผ้ากัมพล ในเวลาไหว้พระเถระ ทารกนั้น
ชักนิ้วมือออกจากผ้ากัมพล ให้ผ้ากัมพลตกลง ณ ที่ใกล้เท้าของพระเถระ
ลาดับนั้น พวกญาติไม่กล่าวว่า เด็กเล็กไม่รู้กระทาแล้ว กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ผ้าอัน
บุตรของพวกข้าพเจ้าถวายแล้ว จงเป็นอันบริจาคแล้วเถิด ดังนี้แล้ว กล่าวต่อไปว่า ท่านเจ้าข้า
ขอพระผู้เป็นเจ้าจงให้สิกขาบทแก่ทาสของท่าน ผู้ทาการบูชาด้วยผ้ากัมพลนั่นแหละ อันมี
ราคาแสนหนึ่ง
พระเถระถามว่า เด็กนี้ชื่ออะไร พวกญาติตอบว่า ชื่อเหมือนกับพระคุณเจ้า ขอรับ
พระเถระอุทานว่า นี่ชื่อ ติสสะ ได้ยินว่า พระเถระ ในเวลาเป็นคฤหัสถ์ ได้มีชื่อว่า
อุปติสสมาณพ แม้มารดาของเด็กนั้น ก็คิดว่า เราไม่ควรทาลายอัธยาศัยของบุตร พวกญาติ
ครั้นกระทามงคลต่าง ๆ มีการตั้งชื่อ การบริโภคอาหาร การเจาะหู การนุ่งผ้าการโกนจุกของ
เด็กนั้นก็ได้ถวายข้าวมธุปายาสมีน้าน้อยแก่ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป มีพระสารีบุตรเถระเป็น
ประธาน
เด็กน้อยเจริญวัยแล้ว ในเวลามีอายุ ๗ ขวบ กล่าวกับมารดาว่า แม่ ฉันขอบวชใน
สานักของพระเถระ มารดารับว่า ดีละ ลูก เมื่อก่อนแม่ก็ได้หมายใจไว้ว่า เราไม่ควรทาลาย
อัธยาศัยของลูก เจ้าจงบวชเถิดลูก ดังนี้แล้ว ให้คนนิมนต์พระเถระมา ถวายภิกษาแก่
พระเถระแล้วกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ทาสของท่านกล่าวว่า ขอบวช พวกดิฉันจะพาทาสของ
ท่านนี้ไปสู่วิหารในเวลาเย็นแล้วส่งพระเถระกลับไป ในเวลาเย็นพาบุตรไปสู่วิหารด้วย
สักการะและสัมมานะเป็นอันมากแล้วก็มอบถวายพระเถระ
พระเถระกล่าวกับเด็กนั้นว่า ติสสะ ชื่อว่าการบวชเป็นของที่ทาได้ยาก เมื่อความ
ต้องการด้วยของร้อนมีอยู่ ย่อมได้ของเย็น เมื่อความต้องการด้วยของเย็นมีอยู่ ย่อมได้ของร้อน
ชื่อว่า นักบวชทั้งหลายย่อมเป็นอยู่โดยลาบาก ก็เธอเสวยความสุขมาแล้ว
ติสสะเรียนว่า ท่านขอรับ ผมสามารถทาได้ทุกอย่าง ตามที่ท่านบอกแล้ว พระเถระ
กล่าวว่า ดีละ แล้วบอกตจปัญจกกัมมัฏฐาน ด้วยสามารถแห่งการกระทาไว้ในใจโดยความเป็นของปฏิกูลแก่เด็กนั้น ให้บวชแล้ว มารดาบิดาทาสักการะแก่บุตรผู้บวชแล้ว ได้ถวายข้าว
มธุปายาสมีน้าน้อยแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ในวิหารนั่นเองสิ้น ๗ วัน ฝ่าย
ภิกษุทั้งหลายโพนทะนาว่า เราทั้งหลายไม่สามารถจะฉันข้าวมธุปายาสมีน้าน้อยเป็นนิตย์ได้
มารดาบิดาแม้ของสามเณรนั้น ได้ไปสู่เรือนในเวลาเย็นในวันที่ ๗ ในวันที่ ๘ สามเณรเข้าไป
บิณฑบาตกับภิกษุทั้งหลาย
เมื่อสามเณรนั้นอยู่ในวัดพระเชตวัน พวกเด็กที่เป็นญาติมาสู่สานักพูดจาปราศรัย
เนือง ๆ สามเณรคิดว่า เราเมื่ออยู่ในที่นี้ เด็กที่เป็นญาติมาพูดอยู่ ไม่อาจที่จะไม่พูดได้ ด้วยการ
เนิ่นช้า คือ การสนทนากับเด็กเหล่านี้ เราไม่อาจทาที่พึ่งแก่ตนได้ ไฉนหนอ เราเรียนกัมมัฏฐาน
ในสานักของพระพุทธเจ้าแล้ว พึงเข้าไปสู่ป่า
ติสสสามเณรเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ถวายบังคมแล้ว ทูลขอให้พระองค์ตรัสบอก
กัมมัฏฐานจนถึงอรหัตผล ไหว้พระอุปัชฌายะแล้ว ถือบาตรและจีวรออกไปจากวิหาร คิดว่า
ถ้าเราอยู่ในที่ใกล้ไซร้ พวกญาติจะร้องเรียกเราไป จึงได้ไปสิ้นทางประมาณ ๑๒๐ โยชน์ ครั้งนั้น
สามเณรเดินไปทางประตูบ้านแห่งหนึ่ง เห็นชายแก่คนหนึ่ง จึงถามว่า อุบาสก วิหารในป่า
ของภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ในประเทศนี้มีไหม
อุบาสกตอบว่า มี ขอรับ สามเณรกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ขอท่านช่วยบอกทางแก่ฉัน
ก็ความรักเพียงดังบุตรเกิดขึ้นแล้วแก่อุบาสก เพราะเห็นสามเณรนั้น ลาดับนั้น อุบาสก
ยืนอยู่ในที่นั้นนั่นเอง ไม่บอกแก่สามเณร กล่าวว่า มาเถิดขอรับ ผมจะบอกแก่ท่าน ได้พา
สามเณรไปแล้ว สามเณร เมื่อไปกับอุบาสกแก่นั้น เห็นประเทศ ๖ แห่ง ๕ แห่ง อันประดับ
ด้วยดอกไม้และผลไม้ต่าง ๆ ในระหว่างทาง จึงถามว่า ประเทศนี้ชื่ออะไร อุบาสก
ฝ่ายอุบาสกนั้นบอกชื่อประเทศเหล่านั้นแก่สามเณร ถึงวิหารอันตั้งอยู่ในป่าแล้ว
กล่าวว่า ท่านขอรับ ที่นี่เป็นที่สบาย ขอท่านจงอยู่ในที่นี้เถิด แล้วถามชื่อว่า ท่านชื่ออะไร
ขอรับ เมื่อสามเณรบอกว่า ฉันชื่อวนวาสีติสสะ อุบาสก จึงกล่าวว่า พรุ่งนี้ ท่านควรไปเที่ยว
บิณฑบาตในบ้านของพวกกระผม แล้วกลับไปสู่บ้านของตน บอกแก่พวกมนุษย์ว่า สามเณร
ชื่อวนวาสีติสสะมาสู่วิหารแล้ว ขอท่านจงจัดแจงอาหารวัตถุมียาคูและภัตเป็นต้น เพื่อ
สามเณรนั้น
ครั้งแรกทีเดียว สามเณรเป็นผู้ชื่อว่า ติสสะ แต่นั้นได้ชื่อ ๓ ชื่อเหล่านี้คือ ปิณฑปาต
ทายกติสสะ กัมพลทายกติสสะ วนวาสีติสสะ ได้ชื่อ ๔ ชื่อภายในอายุ ๗ ปี รุ่งขึ้น สามเณร
เข้าไปบิณฑบาตยังบ้านนั้นแต่เช้าตรู่ พวกมนุษย์ถวายภิกษา ไหว้แล้ว สามเณรกล่าวว่าขอท่านทั้งหลายจงถึงซึ่งความสุข จงพ้นจากทุกข์เถิด แม้มนุษย์คนหนึ่งถวายภิกษาแก่
สามเณรแล้ว ก็ไม่สามารถจะกลับไปยังเรือนได้อีก ทุกคนได้ยืนแลดูอยู่ แม้สามเณรนั้นก็รับ
อาหารพอยังอัตภาพให้เป็นไปเพื่อตน ชาวบ้านทั้งสิ้นหมอบลง แทบเท้าของสามเณรแล้ว
กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า เมื่อท่านอยู่ในที่นี้ตลอดไตรมาสนี้ พวกกระผมขอรับสรณะ ๓ ตั้งอยู่
ในศีล ๕ จะทาอุโบสถกรรม ๘ ครั้งต่อเดือน ขอท่านจงให้ปฏิญญาแก่กระผมทั้งหลาย
เพื่อประโยชน์แห่งการอยู่ในที่นี้
สามเณรกาหนดอุปการะ จึงให้ปฏิญญาแก่มนุษย์เหล่านั้น เที่ยวบิณฑบาตในบ้านนั้น
เป็นประจา ก็ในขณะที่เขาไหว้แล้ว ๆ กล่าวเฉพาะ ๒ บทว่า ขอท่านทั้งหลายจงถึงซึ่งความสุข
จงพ้นจากทุกข์ ดังนี้แล้ว หลีกไป สามเณรให้เดือนที่ ๑ และเดือนที่ ๒ ล่วงไปแล้ว ณ ที่นั้น
เมื่อเดือนที่ ๓ ล่วงไป ก็บรรลุอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา
ครั้นเวลาปวารณาออกพรรษาแล้ว พระอุปัชฌายะของสามเณรเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
ถวายบังคมแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จะไปยังสานักติสสสามเณร
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไปเถิด สารีบุตร
พระสารีบุตรเถระ เมื่อพาภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป ซึ่งเป็นบริวารของตนหลีกไป
กล่าวว่า โมคคัลลานะผู้มีอายุ กระผมจะไปยังสานักติสสสามเณร พระโมคคัลลานเถระกล่าวว่า
ท่านผู้มีอายุ แม้กระผมก็จะไปด้วย ดังนี้แล้ว ก็ออกไปพร้อมกับภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป
พระมหาสาวกทั้งปวง คือพระมหากัสสปเถระ พระอนุรุทธเถระ พระอุบาลีเถระ
พระปุณณเถระเป็นต้น ออกไปพร้อมกับภิกษุประมาณรูปละ ๕๐๐ รูป โดยอุบายนั้นแล
บริวารของพระมหาสาวกแม้ทั้งหมด ได้เป็นภิกษุประมาณ ๔ หมื่นรูป
พระพุทธเจ้าเสด็จไปเหมือนกัน เมื่อถึงป่าที่สามเณรพานักอยู่ จึงเสด็จขึ้นบนยอด
ภูเขาแล้วตรัสถามสามเณรว่า เห็นอะไรบ้าง ได้รับคาตอบว่า เห็นมหาสมุทร ตรัสถามต่อว่า
คิดอย่างไร ได้รับคาตอบว่า น้าตาของคนเราที่ร้องไห้ในเมื่อถึงทุกข์ยังมากกว่าน้าในมหาสมุทร
ทั้ง ๔ จึงตรัสว่า ถูกต้องแล้ว ติสสะ พระพุทธองค์ตรัสถามถึงที่พักอาศัยของสามเณร
เมื่อทราบว่า อยู่ที่เงื้อมเขา จึงตรัสถามสามเณรว่า เมื่ออยู่ที่เงื้อมเขาคิดอย่างไร สามเณร
กราบทูลว่า สถานที่ที่สัตว์ไม่เคยตายไม่มีในโลก พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ถูกต้องแล้ว ติสสะ
ชื่อว่าสถานที่แห่งสัตว์เหล่านี้ผู้ที่ไม่นอนตายบนแผ่นดินไม่มี
ครั้นแล้ว พระพุทธเจ้าเสด็จหลีกไปพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ส่วนวนวาสีติสสสามเณร
ได้พานักอยู่ในป่านั้นต่อไป
ในอดีตกาล วนวาสีติสสสามเณร เกิดเป็น สหายของวังคันตพราหมณ์ ผู้บิดาของ
พระสารีบุตรเถระ ชื่อ มหาเสนพราหมณ์ อยู่ในเมืองราชคฤห์ วันหนึ่ง พระสารีบุตรเถระ
เที่ยวบิณฑบาต ได้ไปยังประตูเรือนของพราหมณ์นั้น เพื่ออนุเคราะห์เขา
แต่พราหมณ์นั้นมีสมบัติหมดเสียแล้ว กลับเป็นคนยากจน เขาคิดว่า บุตรของเรามา
เพื่อเที่ยวบิณฑบาตที่ประตูเรือนของเรา แต่เราเป็นคนยากจน บุตรของเราเห็นจะไม่ทราบ
ความที่เราเป็นคนยากจน ไทยธรรมอะไร ๆ ของเราก็ไม่มี เมื่อไม่อาจจะเผชิญหน้าพระเถระ
นั้นได้จึงหลบเสีย ถึงในวันอื่น แม้พระเถระได้ไปอีก พราหมณ์ก็ได้หลบเสียอย่างนั้นเหมือนกัน
เขาคิดอยู่ว่า เราได้อะไร ๆ แล้วนั่นแหละจะถวาย แต่ก็ไม่ได้อะไร ๆ
ภายหลังวันหนึ่ง เขาได้ถาดเต็มด้วยข้าวปายาสพร้อมกับผ้าสาฎกเนื้อหยาบ ในที่
บอกลัทธิของพราหมณ์แห่งหนึ่ง ถือไปถึงเรือน นึกถึงพระเถระขึ้นได้ว่า การที่เราถวาย
บิณฑบาตนี้แก่พระเถระ ควร
ในขณะนั้นนั่นเอง แม้พระเถระเข้าฌาน ออกจากสมาบัติแล้ว เห็นพราหมณ์นั้น
คิดว่า พราหมณ์ได้ไทยธรรมแล้ว หวังอยู่ซึ่งการมาของเรา การที่เราไปในที่นั้น ควร ดังนี้แล้ว
จึงห่มผ้าสังฆาฏิ ถือบาตร แสดงตนยืนอยู่ที่ประตูเรือนของพราหมณ์นั้น พอเห็นพระเถระ
เท่านั้น จิตของพราหมณ์เลื่อมใสแล้ว
ลาดับนั้น เขาเข้าไปหาพระเถระ ไหว้แล้ว ทาปฏิสันถาร นิมนต์ให้นั่งภายในเรือน
ถือถาดอันเต็มด้วยข้าวปายาส เกลี่ยลงในบาตรของพระเถระ พระเถระรับกึ่งหนึ่งแล้วจึงเอา
มือปิดบาตร
ทีนั้น พราหมณ์กล่าวกับพระเถระว่า ท่านผู้เจริญ ข้าวปายาสนี้สักว่าเป็นส่วนของ
คนเดียวเท่านั้น ขอท่านจงทาความสงเคราะห์ในปรโลกแก่กระผมเถิด อย่าทาความสงเคราะห์
ในโลกนี้เลย กระผมปรารถนาถวายไม่ให้เหลือทีเดียว ดังนี้แล้ว จึงเกลี่ยลงทั้งหมด พระเถระ
ฉันในที่นั้นนั่นเอง ครั้นในเวลาเสร็จภัตกิจ เขาถวายผ้าสาฎกแม้นั้นแก่พระเถระ ไหว้แล้ว
กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ขอให้กระผมพึงบรรลุธรรมที่ท่านเห็นแล้วเหมือนกันพระเถระทาอนุโมทนาแก่พราหมณ์นั้นว่า จงสาเร็จอย่างนั้น พราหมณ์ ลุกขึ้นจาก
อาสนะหลีกไป เที่ยวจาริกโดยลาดับ ได้ถึงวัดพระเชตวันแล้ว
ก็ทานที่บุคคลถวายแล้วในคราวที่ตนตกยาก ย่อมทาผู้ถวายให้ร่าเริงอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้น แม้พราหมณ์ถวายทานนั้นแล้ว มีจิตเลื่อมใส เกิดโสมนัสแล้ว ได้ทาความสิเนหา
มีประมาณยิ่งในพระเถระ ด้วยความสิเนหาในพระเถระ พราหมณ์นั้นทากาละแล้ว ถือปฏิสนธิ
ในสกุลอุปัฏฐากของพระเถระในเมืองสาวัตถี
ก็ในขณะนั้น มารดาของเขาบอกแก่สามีว่า สัตว์เกิดในครรภ์ตั้งขึ้นในท้องของฉัน
สามีได้ให้เครื่องบริหารครรภ์แก่มารดาของทารกนั้นแล้ว เมื่อนางเว้นการบริโภคอาหารวัตถุ
มีของร้อนจัด เย็นนัก และเปรี้ยวนัก เป็นต้น รักษาครรภ์อยู่โดยสบาย ความแพ้ท้องเห็น
ปานนี้เกิดขึ้นว่า ไฉนหนอ เราพึงนิมนต์ภิกษุ ๕๐๐ รูป มีพระสารีบุตรเถระเป็นประธานให้นั่ง
ในเรือน ถวายข้าวปายาสเจือด้วยน้านมล้วน แม้ตนเองนุ่งห่มผ้ากาสาวะ ถือขันทอง นั่งใน
ที่สุดแห่งอาสนะ แล้วบริโภคข้าวปายาสอันเป็นเดนของภิกษุประมาณเท่านี้
ได้ยินว่า ความแพ้ท้องในเพราะการนุ่งห่มผ้ากาสาวะนั้นของนาง ได้เป็นบุรพนิมิต
แห่งการบรรพชาในพระพุทธศาสนาของบุตรในท้อง
ลาดับนั้น พวกญาติของนางคิดว่า ความแพ้ท้องของธิดาพวกเราประกอบด้วยธรรม
ดังนี้แล้ว จึงถวายข้าวปายาสเจือด้วยน้านมล้วน แก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป มีพระสารีบุตรเถระเป็น
ประธาน แม้นางก็นุ่งผ้ากาสาวะผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง ถือขันทองนั่งในที่สุดแห่งอาสนะ บริโภค
ข้าวปายาสอันเป็นเดนของภิกษุความแพ้ท้องสงบแล้ว
ในมงคลที่เขากระทาแล้วในระหว่าง ๆ แก่นางนั้น ตลอดเวลาสัตว์เกิดในครรภ์
คลอดก็ดี ในมงคลที่เขากระทาแก่นางผู้คลอดบุตร โดยล่วงไป ๑๐ เดือนก็ดี พวกญาติก็ได้
ถวายข้าวมธุปายาสมีน้าน้อยแก่ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป มีพระสารีบุตรเถระเป็นประธาน
เหมือนกัน
ได้ยินว่า นี่เป็นผลแห่งข้าวปายาสที่ทารกถวายแล้วในเวลาที่ตนเป็นพราหมณ์
ในกาลก่อน
ก็ในวันมงคลที่พวกญาติกระทาในวันที่ทารกเกิด พวกญาติให้ทารกนั้นอาบน้าแต่
เช้าตรู่ ประดับแล้วให้นอนเบื้องบนผ้ากัมพลมีค่าแสนหนึ่ง บนที่นอนอันมีสิริทารกนั้นนอนอยู่บนผ้ากัมพล แลดูพระเถระแล้ว คิดว่า พระเถระนี้เป็นบุรพาจารย์
ของเรา เราได้สมบัตินี้เพราะอาศัยพระเถระนี้ การที่เราทาการบริจาคอย่างหนึ่งแก่ท่านผู้นี้
ควร อันญาตินาไปเพื่อประโยชน์แก่การรับสิกขาบท ได้เอานิ้วก้อยเกี่ยวผ้ากัมพลนั้นยึดไว้
ครั้งนั้น ญาติทั้งหลายของทารกนั้นคิดว่า ผ้ากัมพลคล้องที่นิ้วมือแล้ว จึงปรารภจะ
นาออก ทารกนั้นร้องไห้ พวกญาติกล่าวว่า ขอพวกท่านจงหลีกไปเถิด ท่านทั้งหลายอย่ายัง
ทารกให้ร้องไห้เลย ดังนี้แล้ว จึงนาไปพร้อมกับผ้ากัมพล ในเวลาไหว้พระเถระ ทารกนั้น
ชักนิ้วมือออกจากผ้ากัมพล ให้ผ้ากัมพลตกลง ณ ที่ใกล้เท้าของพระเถระ
ลาดับนั้น พวกญาติไม่กล่าวว่า เด็กเล็กไม่รู้กระทาแล้ว กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ผ้าอัน
บุตรของพวกข้าพเจ้าถวายแล้ว จงเป็นอันบริจาคแล้วเถิด ดังนี้แล้ว กล่าวต่อไปว่า ท่านเจ้าข้า
ขอพระผู้เป็นเจ้าจงให้สิกขาบทแก่ทาสของท่าน ผู้ทาการบูชาด้วยผ้ากัมพลนั่นแหละ อันมี
ราคาแสนหนึ่ง
พระเถระถามว่า เด็กนี้ชื่ออะไร พวกญาติตอบว่า ชื่อเหมือนกับพระคุณเจ้า ขอรับ
พระเถระอุทานว่า นี่ชื่อ ติสสะ ได้ยินว่า พระเถระ ในเวลาเป็นคฤหัสถ์ ได้มีชื่อว่า
อุปติสสมาณพ แม้มารดาของเด็กนั้น ก็คิดว่า เราไม่ควรทาลายอัธยาศัยของบุตร พวกญาติ
ครั้นกระทามงคลต่าง ๆ มีการตั้งชื่อ การบริโภคอาหาร การเจาะหู การนุ่งผ้าการโกนจุกของ
เด็กนั้นก็ได้ถวายข้าวมธุปายาสมีน้าน้อยแก่ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป มีพระสารีบุตรเถระเป็น
ประธาน
เด็กน้อยเจริญวัยแล้ว ในเวลามีอายุ ๗ ขวบ กล่าวกับมารดาว่า แม่ ฉันขอบวชใน
สานักของพระเถระ มารดารับว่า ดีละ ลูก เมื่อก่อนแม่ก็ได้หมายใจไว้ว่า เราไม่ควรทาลาย
อัธยาศัยของลูก เจ้าจงบวชเถิดลูก ดังนี้แล้ว ให้คนนิมนต์พระเถระมา ถวายภิกษาแก่
พระเถระแล้วกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ทาสของท่านกล่าวว่า ขอบวช พวกดิฉันจะพาทาสของ
ท่านนี้ไปสู่วิหารในเวลาเย็นแล้วส่งพระเถระกลับไป ในเวลาเย็นพาบุตรไปสู่วิหารด้วย
สักการะและสัมมานะเป็นอันมากแล้วก็มอบถวายพระเถระ
พระเถระกล่าวกับเด็กนั้นว่า ติสสะ ชื่อว่าการบวชเป็นของที่ทาได้ยาก เมื่อความ
ต้องการด้วยของร้อนมีอยู่ ย่อมได้ของเย็น เมื่อความต้องการด้วยของเย็นมีอยู่ ย่อมได้ของร้อน
ชื่อว่า นักบวชทั้งหลายย่อมเป็นอยู่โดยลาบาก ก็เธอเสวยความสุขมาแล้ว
ติสสะเรียนว่า ท่านขอรับ ผมสามารถทาได้ทุกอย่าง ตามที่ท่านบอกแล้ว พระเถระ
กล่าวว่า ดีละ แล้วบอกตจปัญจกกัมมัฏฐาน ด้วยสามารถแห่งการกระทาไว้ในใจโดยความเป็นของปฏิกูลแก่เด็กนั้น ให้บวชแล้ว มารดาบิดาทาสักการะแก่บุตรผู้บวชแล้ว ได้ถวายข้าว
มธุปายาสมีน้าน้อยแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ในวิหารนั่นเองสิ้น ๗ วัน ฝ่าย
ภิกษุทั้งหลายโพนทะนาว่า เราทั้งหลายไม่สามารถจะฉันข้าวมธุปายาสมีน้าน้อยเป็นนิตย์ได้
มารดาบิดาแม้ของสามเณรนั้น ได้ไปสู่เรือนในเวลาเย็นในวันที่ ๗ ในวันที่ ๘ สามเณรเข้าไป
บิณฑบาตกับภิกษุทั้งหลาย
เมื่อสามเณรนั้นอยู่ในวัดพระเชตวัน พวกเด็กที่เป็นญาติมาสู่สานักพูดจาปราศรัย
เนือง ๆ สามเณรคิดว่า เราเมื่ออยู่ในที่นี้ เด็กที่เป็นญาติมาพูดอยู่ ไม่อาจที่จะไม่พูดได้ ด้วยการ
เนิ่นช้า คือ การสนทนากับเด็กเหล่านี้ เราไม่อาจทาที่พึ่งแก่ตนได้ ไฉนหนอ เราเรียนกัมมัฏฐาน
ในสานักของพระพุทธเจ้าแล้ว พึงเข้าไปสู่ป่า
ติสสสามเณรเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ถวายบังคมแล้ว ทูลขอให้พระองค์ตรัสบอก
กัมมัฏฐานจนถึงอรหัตผล ไหว้พระอุปัชฌายะแล้ว ถือบาตรและจีวรออกไปจากวิหาร คิดว่า
ถ้าเราอยู่ในที่ใกล้ไซร้ พวกญาติจะร้องเรียกเราไป จึงได้ไปสิ้นทางประมาณ ๑๒๐ โยชน์ ครั้งนั้น
สามเณรเดินไปทางประตูบ้านแห่งหนึ่ง เห็นชายแก่คนหนึ่ง จึงถามว่า อุบาสก วิหารในป่า
ของภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ในประเทศนี้มีไหม
อุบาสกตอบว่า มี ขอรับ สามเณรกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ขอท่านช่วยบอกทางแก่ฉัน
ก็ความรักเพียงดังบุตรเกิดขึ้นแล้วแก่อุบาสก เพราะเห็นสามเณรนั้น ลาดับนั้น อุบาสก
ยืนอยู่ในที่นั้นนั่นเอง ไม่บอกแก่สามเณร กล่าวว่า มาเถิดขอรับ ผมจะบอกแก่ท่าน ได้พา
สามเณรไปแล้ว สามเณร เมื่อไปกับอุบาสกแก่นั้น เห็นประเทศ ๖ แห่ง ๕ แห่ง อันประดับ
ด้วยดอกไม้และผลไม้ต่าง ๆ ในระหว่างทาง จึงถามว่า ประเทศนี้ชื่ออะไร อุบาสก
ฝ่ายอุบาสกนั้นบอกชื่อประเทศเหล่านั้นแก่สามเณร ถึงวิหารอันตั้งอยู่ในป่าแล้ว
กล่าวว่า ท่านขอรับ ที่นี่เป็นที่สบาย ขอท่านจงอยู่ในที่นี้เถิด แล้วถามชื่อว่า ท่านชื่ออะไร
ขอรับ เมื่อสามเณรบอกว่า ฉันชื่อวนวาสีติสสะ อุบาสก จึงกล่าวว่า พรุ่งนี้ ท่านควรไปเที่ยว
บิณฑบาตในบ้านของพวกกระผม แล้วกลับไปสู่บ้านของตน บอกแก่พวกมนุษย์ว่า สามเณร
ชื่อวนวาสีติสสะมาสู่วิหารแล้ว ขอท่านจงจัดแจงอาหารวัตถุมียาคูและภัตเป็นต้น เพื่อ
สามเณรนั้น
ครั้งแรกทีเดียว สามเณรเป็นผู้ชื่อว่า ติสสะ แต่นั้นได้ชื่อ ๓ ชื่อเหล่านี้คือ ปิณฑปาต
ทายกติสสะ กัมพลทายกติสสะ วนวาสีติสสะ ได้ชื่อ ๔ ชื่อภายในอายุ ๗ ปี รุ่งขึ้น สามเณร
เข้าไปบิณฑบาตยังบ้านนั้นแต่เช้าตรู่ พวกมนุษย์ถวายภิกษา ไหว้แล้ว สามเณรกล่าวว่าขอท่านทั้งหลายจงถึงซึ่งความสุข จงพ้นจากทุกข์เถิด แม้มนุษย์คนหนึ่งถวายภิกษาแก่
สามเณรแล้ว ก็ไม่สามารถจะกลับไปยังเรือนได้อีก ทุกคนได้ยืนแลดูอยู่ แม้สามเณรนั้นก็รับ
อาหารพอยังอัตภาพให้เป็นไปเพื่อตน ชาวบ้านทั้งสิ้นหมอบลง แทบเท้าของสามเณรแล้ว
กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า เมื่อท่านอยู่ในที่นี้ตลอดไตรมาสนี้ พวกกระผมขอรับสรณะ ๓ ตั้งอยู่
ในศีล ๕ จะทาอุโบสถกรรม ๘ ครั้งต่อเดือน ขอท่านจงให้ปฏิญญาแก่กระผมทั้งหลาย
เพื่อประโยชน์แห่งการอยู่ในที่นี้
สามเณรกาหนดอุปการะ จึงให้ปฏิญญาแก่มนุษย์เหล่านั้น เที่ยวบิณฑบาตในบ้านนั้น
เป็นประจา ก็ในขณะที่เขาไหว้แล้ว ๆ กล่าวเฉพาะ ๒ บทว่า ขอท่านทั้งหลายจงถึงซึ่งความสุข
จงพ้นจากทุกข์ ดังนี้แล้ว หลีกไป สามเณรให้เดือนที่ ๑ และเดือนที่ ๒ ล่วงไปแล้ว ณ ที่นั้น
เมื่อเดือนที่ ๓ ล่วงไป ก็บรรลุอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา
ครั้นเวลาปวารณาออกพรรษาแล้ว พระอุปัชฌายะของสามเณรเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
ถวายบังคมแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จะไปยังสานักติสสสามเณร
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไปเถิด สารีบุตร
พระสารีบุตรเถระ เมื่อพาภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป ซึ่งเป็นบริวารของตนหลีกไป
กล่าวว่า โมคคัลลานะผู้มีอายุ กระผมจะไปยังสานักติสสสามเณร พระโมคคัลลานเถระกล่าวว่า
ท่านผู้มีอายุ แม้กระผมก็จะไปด้วย ดังนี้แล้ว ก็ออกไปพร้อมกับภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป
พระมหาสาวกทั้งปวง คือพระมหากัสสปเถระ พระอนุรุทธเถระ พระอุบาลีเถระ
พระปุณณเถระเป็นต้น ออกไปพร้อมกับภิกษุประมาณรูปละ ๕๐๐ รูป โดยอุบายนั้นแล
บริวารของพระมหาสาวกแม้ทั้งหมด ได้เป็นภิกษุประมาณ ๔ หมื่นรูป
พระพุทธเจ้าเสด็จไปเหมือนกัน เมื่อถึงป่าที่สามเณรพานักอยู่ จึงเสด็จขึ้นบนยอด
ภูเขาแล้วตรัสถามสามเณรว่า เห็นอะไรบ้าง ได้รับคาตอบว่า เห็นมหาสมุทร ตรัสถามต่อว่า
คิดอย่างไร ได้รับคาตอบว่า น้าตาของคนเราที่ร้องไห้ในเมื่อถึงทุกข์ยังมากกว่าน้าในมหาสมุทร
ทั้ง ๔ จึงตรัสว่า ถูกต้องแล้ว ติสสะ พระพุทธองค์ตรัสถามถึงที่พักอาศัยของสามเณร
เมื่อทราบว่า อยู่ที่เงื้อมเขา จึงตรัสถามสามเณรว่า เมื่ออยู่ที่เงื้อมเขาคิดอย่างไร สามเณร
กราบทูลว่า สถานที่ที่สัตว์ไม่เคยตายไม่มีในโลก พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ถูกต้องแล้ว ติสสะ
ชื่อว่าสถานที่แห่งสัตว์เหล่านี้ผู้ที่ไม่นอนตายบนแผ่นดินไม่มี
ครั้นแล้ว พระพุทธเจ้าเสด็จหลีกไปพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ส่วนวนวาสีติสสสามเณร
ได้พานักอยู่ในป่านั้นต่อไป
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)