วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

๑๘. สุขสามเณร

๑๘. สุขสามเณร
ในอดีตกาล สุขสามเณร เกิดเป็นคนบ้านนอก มีฐานะยากจน ครั้งหนึ่งได้เห็น
เศรษฐีคนหนึ่ง ชื่อ คันธะ กาลังบริโภคอาหารอันมีรสเลิศ แวดล้อมด้วยหญิงนักฟ้อนรา
ก็อยากจะบริโภคและแวดล้อมด้วยหญิงนักฟ้อนราอย่างนั้นบ้าง เมื่อได้โอกาสจึงเล่าความคิด
ของตนให้เศรษฐีฟัง เศรษฐีได้ฟังดังนั้นก็ยินดีและจัดการให้ แต่มีข้อแม้ว่าเขาจะต้องรับจ้าง
ทางานในเรือนเศรษฐีเป็นเวลา ๓ ปี จึงจะได้อาหารอันมีรสเลิศอย่างนั้นหนึ่งถาด พร้อมทั้ง
แวดล้อมด้วยหญิงนักฟ้อนรา เขาตกลงตามเงื่อนไขที่เศรษฐียื่นเสนอ จึงไปสู่เรือนของเศรษฐี
ด้วยหมายใจว่า จะทาการรับจ้างตลอด ๓ ปี เพื่อประโยชน์แก่ถาดอาหารถาดหนึ่ง เขาเมื่อ
ทาการรับจ้างได้ทากิจทุกอย่างโดยเรียบร้อย การงานที่ควรทาในบ้าน ในป่า กลางวัน กลางคืน
ได้ปรากฏว่า เขาทาเสร็จเรียบร้อย
เมื่อมหาชนเรียกเขาว่า นายภัตตภติกะ คานั้นได้ปรากฏไปทั่วพระนคร กาลต่อมา
เมื่อวันรับจ้างของนายภัตตภติกะครบบริบูรณ์แล้ว พ่อครัวเรียนให้เศรษฐีทราบว่า นาย วัน
รับจ้างของนายภัตตภติกะครบบริบูรณ์แล้ว เขาทาการรับจ้างอยู่ตลอด ๓ ปี ทากรรมยาก
ที่คนอื่นจะทาได้แล้ว การงานแม้สักอย่างหนึ่งก็ไม่เคยเสียหาย
ครั้งนั้น ท่านเศรษฐีได้สั่งจ่ายทรัพย์ ๓ พัน แก่พ่อครัวนั้น คือ สองพันเพื่อประโยชน์
แก่อาหารเย็นและอาหารเช้าของตน พันหนึ่งเพื่อประโยชน์แก่อาหารเช้าของนายภัตตภติกะ
นั้น แล้วสั่งคนใช้ว่า วันนี้ พวกเจ้าจงทาการบริหารที่พึงทาแก่เรา แก่นายภัตตภติกะนั้นเถิด
เมื่อได้เวลาอาหารเช้า พวกนักฟ้อนได้ยืนล้อมนายภัตตภติกะนั้น พวกคนใช้ยกถาดอาหาร
ถาดหนึ่งตั้งไว้ข้างหน้าของนายภัตตภติกะนั้นแล้ว
ครั้งนั้น ในขณะที่นายภัตตภติกะล้างมือ พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งที่ภูเขาคันธมาทน์
ออกจากสมาบัติในวันที่ ๗ แล้ว ใคร่ครวญอยู่ว่า วันนี้ เราจะไปเพื่อประโยชน์แก่ภิกขาจารใน
ที่ไหนหนอ ก็ได้เห็นนายภัตตภติกะแล้ว ครั้งนั้น ท่านพิจารณาต่อไปอีกว่า นายภัตตภติกะนี้
ทาการรับจ้างถึง ๓ ปี จึงได้ถาดอาหาร ศรัทธาของเขามีหรือไม่หนอ ใคร่ครวญไปก็ทราบได้
ว่า ศรัทธาของเขามีอยู่ คิดไปอีกว่า คนบางพวกถึงมีศรัทธาก็ไม่อาจเพื่อทาการสงเคราะห์ได้
นายภัตตภติกะนี้อาจหรือไม่หนอเพื่อจะทาการสงเคราะห์เรา ก็รู้ว่า นายภัตตภติกะอาจ
ทีเดียว ทั้งจะได้มหาสมบัติเพราะอาศัยเหตุคือการสงเคราะห์แก่เราด้วย ดังนี้แล้ว จึงห่มจีวร
ถือบาตร เหาะขึ้นสู่เวหาสไปโดยระหว่างบริษัท แสดงตนยืนอยู่ข้างหน้าแห่งนายภัตตภติกะนั้นนายภัตตภติกะเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า คิดว่า เราได้ทาการรับจ้างในเรือนคนอื่นถึง
๓ ปี ก็เพื่อประโยชน์แก่ถาดอาหารถาดเดียว เพราะความที่เราไม่ได้ให้ทานในกาลก่อน บัดนี้
อาหารนี้ของเราพึงรักษาเราก็เพียงวันหนึ่งคืนหนึ่ง ถ้าเราถวายอาหารนั้นแก่พระคุณเจ้า
อาหารจะรักษาเราไว้มิใช่พันโกฏิกัลป์เดียว เราจะถวายอาหารนั้นแก่พระคุณเจ้า
นายภัตตภติกะนั้นทาการรับจ้างตลอด ๓ ปี ได้ถาดอาหารแล้ว ไม่ทันวางอาหาร
แม้ก้อนเดียวในปากเพื่อบรรเทาความอยากได้ ยกถาดอาหารขึ้นเดินไปสู่สานักของ
พระปัจเจกพุทธเจ้า ให้ถาดในมือของคนอื่นแล้ว ไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ เอามือซ้ายจับ
ถาดอาหาร เอามือขวาเกลี่ยอาหารลงในบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า
พระปัจเจกพุทธเจ้าได้เอามือปิดบาตรเสียในเวลาที่อาหารยังเหลืออยู่กึ่งหนึ่ง
ครั้งนั้น นายภัตตภติกะนั้นเรียนท่านว่า ท่านขอรับ อาหารส่วนเดียวเท่านั้นผมไม่
อาจเพื่อจะแบ่งเป็น ๒ ส่วนได้ ท่านอย่าสงเคราะห์ผมในโลกนี้เลย ขอจงทาการสงเคราะห์
ในปรโลกเถิด ผมจะถวายทั้งหมดทีเดียว ไม่ให้เหลือ
จริงอยู่ ทานที่บุคคลถวายไม่เหลือไว้เพื่อตนแม้แต่น้อยหนึ่ง ชื่อว่าทานไม่มีส่วนเหลือ
ทานนั้นย่อมมีผลมาก นายภัตตภติกะนั้น เมื่อทาอย่างนั้นจึงได้ถวายหมด ไหว้อีกแล้ว เรียนว่า
ท่านขอรับ ผมอาศัยถาดอาหารถาดเดียว ต้องทาการรับจ้างในเรือนของคนอื่นถึง ๓ ปี
ได้เสวยทุกข์แล้ว บัดนี้ ขอความสุขจงมีแก่กระผมในที่ที่บังเกิดแล้วเถิด ขอกระผมพึงมีส่วน
แห่งธรรมที่ท่านเห็นแล้วเถิด
พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า ขอจงสมคิดเหมือนแก้วสารพัดนึก ความดาริอันให้
ความใคร่ทุกอย่างจงบริบูรณ์แก่ท่าน เหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญฉะนั้น
เมื่อจะทาอนุโมทนา จึงกล่าวว่า
สิ่งที่ท่านมุ่งหมายแล้ว จงสาเร็จพลันทีเดียว ความดาริทั้งปวง จงเต็มเหมือน
พระจันทร์เพ็ญ สิ่งที่ท่านมุ่งหมายแล้ว จงสาเร็จพลันทีเดียว ความดาริทั้งปวง จงเต็ม
เหมือนแก้วมณีโชติรส ฉะนั้น
ในกาลต่อมา แม้พระราชาทรงสดับกรรมที่นายภัตตภติกะนี้ทาแล้ว จึงได้รับสั่งให้เรียก
เข้ามาเฝ้า แล้วพระราชทานทรัพย์ให้พันหนึ่ง ทรงรับส่วนบุญ ทรงพอพระทัย พระราชทาน
โภคะเป็นอันมาก แล้วก็ได้พระราชทานตาแหน่งเศรษฐีให้ เขาได้มีชื่อว่า ภัตตภติกเศรษฐี
ภัตตภติกเศรษฐีนั้นเป็นสหายกับคันธเศรษฐี กินดื่มร่วมกัน ดารงอยู่ตลอดอายุแล้ว จุติจาก
อัตภาพนั้นแล้ว ได้บังเกิดในเทวโลก เสวยสมบัติอันเป็นทิพย์ ๑ พุทธันดรในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้ถือปฏิสนธิในตระกูลอุปัฏฐากของพระสารีบุตรเถระ ในเมือง
สาวัตถี ครั้งนั้น มารดาของทารกนั้นได้ครรภบริหารแล้ว โดยล่วงไป ๒-๓ วัน ก็เกิดแพ้ท้องว่า
โอหนอ เราถวายโภชนะมีรส ๑๐๐ ชนิดแก่พระสารีบุตรเถระพร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป นุ่งผ้า
ย้อมฝาดแล้ว ถือขันทองนั่งอยู่ ณ ท้ายอาสนะ พึงบริโภคอาหารที่เหลือเดนของภิกษุทั้งหลาย
นั้น ดังนี้แล้ว ทาตามความคิดนั้น บรรเทาความแพ้ท้องแล้ว
นางแม้ในกาลมงคลอื่น ๆ ถวายทานอย่างนั้นเหมือนกัน คลอดบุตรแล้ว ในวันตั้งชื่อ
จึงเรียนพระเถระว่า จงให้สิกขาบทแก่ลูกชายของฉันเถิด ท่านผู้เจริญ
พระเถระถามว่า เด็กนั้นชื่อไร
เมื่อมารดาของเด็กเรียนว่า ท่านผู้เจริญ จาเดิมแต่ลูกชายของฉันถือปฏิสนธิ ขึ้นชื่อ
ว่าทุกข์ ไม่เคยมีแก่ใครในเรือนนี้ เพราะฉะนั้น คาว่า สุขกุมาร นั่นแล ควรเป็นชื่อของเด็กนั้น
จึงถือเอาคานั้น เป็นชื่อของเด็กนั้น ได้ให้สิกขาบทแล้ว
ในกาลนั้น ความคิดได้เกิดแก่มารดาของเด็กนั้นอย่างนี้ว่า เราจะไม่ทาลายอัธยาศัย
ของลูกชายเรา แม้ในกาลมงคลทั้งหลาย มีมงคลเจาะหูเป็นต้น นางก็ได้ถวายทานอย่างนั้น
เหมือนกัน
ฝ่ายกุมาร ในเวลามีอายุ ๗ ขวบ ก็พูดว่า คุณแม่ ผมอยากออกบวชในสานักของ
พระเถระ นางตอบว่า ดีละ พ่อแม่จะไม่ทาลายอัธยาศัยของเจ้า ดังนี้แล้ว จึงนิมนต์พระเถระ
ให้ท่านฉันแล้ว ก็เรียนว่า ท่านผู้เจริญ ลูกชายของฉันอยากบวช ในเวลาเย็น จะนาเด็กนี้ไปสู่
วิหาร ส่งพระเถระไปแล้ว ให้ประชุมพวกญาติ กล่าวว่า ในเวลาที่ลูกชายของฉันเป็นคฤหัสถ์
พวกเราทากิจที่ควรทาในวันนี้แหละ ดังนี้แล้ว จึงแต่งตัวลูกชายนาไปวิหาร ด้วยสิริโสภาค
อันใหญ่ แล้วมอบถวายแก่พระเถระ
ฝ่ายพระเถระกล่าวกับสุขกุมารนั้นว่า พ่อ ธรรมดาการบวช ทาได้โดยยาก เจ้าอาจ
เพื่ออภิรมย์หรือ เมื่อสุขกุมารตอบว่า ผมทาตามโอวาทของท่าน ขอรับ จึงให้กัมมัฏฐาน
ให้บวชแล้ว
แม้มารดาบิดาของสุขกุมารนั้น เมื่อทาสักการะในการบวช ก็ถวายโภชนะมีรส
๑๐๐ ชนิดแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานในภายในวิหารนั่นเองตลอด ๗ วัน
ในเวลาเย็นจึงได้ไปสู่เรือนของตน
ในวันที่ ๘ พระสารีบุตรเถระ เมื่อภิกษุสงฆ์เข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต ทากิจที่ควร
ทาในวิหารแล้ว จึงให้สามเณรถือบาตรและจีวร เข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาตขณะเดินไปนั้น ทั้งสองพระเถระและสามเณรก็ได้ไปพบชาวนากาลังไขน้าเข้านา
ไปพบช่างสรกาลังดัดลูกศร และไปพบช่างถากกาลังถากไม้เพื่อทาล้อเกวียนเป็นต้น เมื่อเห็น
บุคคลทาสิ่งเหล่านี้ สุขสามเณรได้เรียนถามพระสารีบุตรว่า สิ่งของที่ไม่มีชีวิตทั้งหลาย
คนสามารถทาให้เป็นไปตามปรารถนาได้ใช่หรือไม่ เมื่อพระเถระตอบว่าใช่ สุขสามเณรก็เกิด
ความคิดว่า หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่คนเราถึงจะไม่สามารถฝึกจิตจนได้สมาธิ
และปัญญา สุขสามเณรจึงลาพระสารีบุตรเดินทางกลับวัดก่อน
ครั้งนั้น พระเถระให้ลูกกุญแจแก่สามเณรแล้ว ก็เข้าบ้านเพื่อบิณฑบาต สามเณรนั้น
ไปวิหารแล้ว เปิดห้องของพระเถระเข้าไป ปิดประตู นั่งหยั่งญาณลงในกายของตน
ด้วยเดชแห่งคุณของสามเณรนั้น อาสนะของท้าวสักกะแสดงอาการร้อน ท้าวสักกะ
พิจารณาดูว่า นี้เหตุอะไรหนอ เห็นสามเณรแล้ว ทรงดาริว่า สุขสามเณรถวายจีวรแก่
อุปัชฌาย์แล้ว กลับวิหารด้วยคิดว่า จะทาสมณธรรม ควรที่เราจะไปในที่นั้น จึงรับสั่งให้เรียก
ท้าวมหาราชทั้ง ๔ แล้วทรงส่งไปด้วยดารัสสั่งว่า พ่อทั้งหลาย พวกท่านจงไป จงไล่นกที่มี
เสียงเป็นโทษใกล้ป่าแห่งวิหารให้หนีไป
ท้าวมหาราชทั้งหลาย กระทาตามนั้นแล้ว ก็พากันรักษาอยู่โดยรอบ
ท้าวสักกะทรงบังคับพระจันทร์และพระอาทิตย์ว่า พวกท่านจงยึดวิมานของตนๆ
หยุดก่อน แม้พระจันทร์และพระอาทิตย์ก็กระทาตามนั้น
แม้ท้าวสักกะเอง ก็ทรงรักษาอยู่ที่สายยู วิหารสงบเงียบ ปราศจากเสียง
สามเณรเจริญวิปัสสนาด้วยจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง บรรลุมรรคและผล ๓ แล้ว
พระเถระอันสามเณรกล่าวว่า ท่านพึงนาโภชนะมีรส ๑๐๐ ชนิดมา ดังนี้แล้ว ก็คิดว่า
อันเราอาจเพื่อได้ในตระกูลของใครหนอ พิจารณาดูอยู่ ก็เห็นตระกูลอุปัฏฐากผู้สมบูรณ์ด้วย
อัธยาศัยตระกูลหนึ่ง จึงไปในตระกูลนั้น อันชนเหล่านั้นมีใจยินดีว่า ท่านผู้เจริญ ความดีอัน
ท่านผู้มาในที่นี้ในวันนี้กระทาแล้ว รับบาตรนิมนต์ให้นั่ง ถวายยาคูและของขบฉัน อันเขาเชิญ
กล่าวธรรมชั่วเวลาภัต จึงกล่าวสาราณียธรรมกถาแก่ชนเหล่านั้น กาหนดกาล ยังเทศนา
ให้จบแล้ว
คราวนั้น ชนทั้งหลายจึงถวายโภชนะมีรส ๑๐๐ ชนิดแก่พระเถระ เห็นพระเถระรับ
โภชนะแล้วประสงค์จะกลับ จึงเรียนว่า ฉันเถิดขอรับ พวกผมถวายโภชนะแม้อื่นอีก ให้พระเถระ
ฉันแล้ว ก็ถวายจนเต็มบาตรอีกพระเถระรับโภชนะแล้วก็รีบไปวิหาร ด้วยคิดว่า สามเณรของเราคงหิว
วันนั้น พระพุทธเจ้าเสด็จออกประทับนั่งในพระคันธกุฎีแต่เช้าตรู่ ทรงราพึงว่า วันนี้
สุขสามเณรส่งบาตรและจีวรของอุปัชฌาย์แล้ว กลับไปแล้วตั้งใจว่า จะทาสมณธรรม กิจของ
เธอสาเร็จแล้วหรือ พระองค์ทรงเห็นความที่มรรคผลทั้ง ๓ อันสามเณรบรรลุแล้ว จึงทรง
พิจารณาแม้ยิ่งขึ้นไปว่า สุขสามเณรนี้อาจไหมหนอ เพื่อบรรลุพระอรหัตผลในวันนี้ ส่วนพระ
สารีบุตรรับภัตแล้ว ก็รีบออกด้วยคิดว่า สามเณรของเราคงหิว ถ้าเมื่อสามเณรยังไม่บรรลุ
อรหัตผล พระสารีบุตรนาภัตมาก่อน อันตรายก็จะมีแก่สามเณรนี้ ควรเราไปยึดอารักขาอยู่ที่
ซุ้มประตู
ครั้นทรงดาริแล้ว จึงเสด็จออกจากคันธกุฎี ประทับยืนยึดอารักขาอยู่ที่ซุ้มประตู
ฝ่ายพระเถระก็นาภัตมา ครั้งนั้น พระพุทธองค์ตรัสถามปัญหา ๔ ข้อกับพระเถระนั้น
ในที่สุดแห่งการวิสัชนาปัญหา สามเณรก็บรรลุอรหัตผล
พระพุทธเจ้าตรัสเรียกพระเถระมาแล้ว ตรัสว่า สารีบุตรจงไปเถิด จงให้ภัตแก่สามเณร
ของเธอ พระเถระไปถึงแล้วจึงเคาะประตู สามเณรออกมาทาวัตรแก่อุปัชฌาย์แล้ว
เมื่อพระเถระบอกว่า จงทาภัตกิจ ก็รู้ว่าพระเถระไม่มีความต้องการด้วยภัต เป็นเด็ก
มีอายุ ๗ ขวบ บรรลุพระอรหัตผลในขณะนั้นนั่นเอง ตรวจตราดูที่นั่งอันต่า ทาภัตกิจแล้ว
ก็ล้างบาตร
ในกาลนั้น ท้าวมหาราช ๔ องค์ ก็พากันเลิกการรักษา ถึงพระจันทร์พระอาทิตย์
ก็ปล่อยวิมาน แม้ท้าวสักกะก็ทรงเลิกอารักขาที่สายยู พระอาทิตย์ปรากฏคล้อยเลยท่ามกลาง
ฟ้าไปแล้ว
ภิกษุทั้งหลายพากันพูดว่า กาลเย็นปรากฏ สามเณรเพิ่งทาภัตกิจเสร็จเดี๋ยวนี้เอง
ทาไมหนอ วันนี้เวลาเช้าจึงมาก เวลาเย็นจึงน้อย
พระพุทธเจ้าเสด็จมาตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เธอทั้งหลายนั่งประชุมกันด้วย
เรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลว่า พระเจ้าข้า วันนี้ เวลาเช้ามาก เวลาเย็นน้อย สามเณร
เพิ่งฉันภัตเสร็จเดี๋ยวนี้เอง ก็แลเป็นไฉน พระอาทิตย์จึงปรากฏคล้อยเคลื่อนท่ามกลางฟ้าไป
จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ในเวลาทาสมณธรรมของผู้มีบุญทั้งหลาย ย่อมเป็นเช่นนั้น ก็ในวันนี้
ท้าวมหาราช ๔ องค์ยึดอารักขาไว้โดยรอบ พระจันทร์และพระอาทิตย์ได้ยึดวิมานหยุดอยู่
ท้าวสักกะทรงยึดอารักขาที่สายยู ถึงเราก็ยึดอารักขาอยู่ที่ซุ้มประตูวันนี้ สุขสามเณรเห็นคนไขน้าเข้าเหมือง ช่างศรดัดศรให้ตรง ช่างถาก ถากทัพ
สัมภาระทั้งหลาย มีล้อเป็นต้นแล้ว ฝึกตน บรรลุอรหัตผลแล้ว ดังนี้

๑๗. สังกิจจสามเณร

๑๗. สังกิจจสามเณร
สังกิจจสามเณร เป็นบุตรของเศรษฐีชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง ในขณะที่อยู่ในท้อง
มารดานั่นเอง มารดาได้เสียชีวิตลง ญาติพี่น้องจึงนานางไปเผา ในขณะที่ไฟกาลังไหม้ร่างกาย
ของนางอยู่นั้น เป็นอัศจรรย์ที่ไฟไม่ไหม้ส่วนท้อง พวกสัปเหร่อได้ใช้หลาวเหล็กแทงส่วน
ท้องที่ไฟไหม้นั้นเสร็จแล้วก็กลบด้วยถ่านเพลิง ปลายหลาวเหล็กได้ไปกระทบที่หางตาของทารกนั้นพอดี พอกลบถ่านเพลิงเข้ากับส่วนที่ยังไม่ไหม้แล้วก็พากันกลับบ้านด้วยหวังว่าพรุ่งนี้
ค่อยมาดับไฟเก็บอัฐิ ไฟได้ไหม้ร่างกายของมารดาจนหมดสิ้น เว้นไว้เฉพาะทารกน้อยเท่านั้น
ที่รอดชีวิตอยู่ได้อย่างปาฏิหาริย์เหมือนกับนอนอยู่ในกลีบบัว ไฟไม่ได้ทาอันตรายใด ๆ เลย
ที่เป็นเช่นนั้น เพราะผู้ที่เกิดในภพสุดท้าย ถ้ายังไม่บรรลุพระอรหันต์แล้ว อะไรก็ไม่สามารถ
ทาให้เสียชีวิตได้
เช้าวันรุ่งขึ้น พวกสัปเหร่อมาดับไฟเห็นเด็กเพศชายนอนอยู่โดยปราศจากอันตราย
ก็อัศจรรย์ใจ อุ้มกลับบ้านไปให้พวกหมอทานายชีวิตดู หมอทานายไว้ ๒ ด้านคือ ถ้าเด็กอยู่
ครองเรือน พวกเครือญาติ ๗ ชั่วโคตรจะไม่ยากจน ถ้าออกบวชจะมีพระ ๕๐๐ รูป เป็นบริวาร
แวดล้อม พวกญาติจึงตั้งชื่อให้ว่าสังกิจจะ เพราะหางตาเป็นแผลเนื่องจากถูกหลาวเหล็ก
สังกิจจกุมารมีอายุได้ ๗ ขวบ เมื่อทราบประวัติของตนเองจากปากของเด็กเพื่อนบ้าน
ก็ปรารถนาจะบวช พวกญาติจึงพาไปขอบวชในสานักพระสารีบุตร ในวันบวช พระเถระ
ให้ตจปัญจกกัมมัฏฐานแล้วให้บวช สามเณรได้บรรลุอรหัตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ในขณะ
ที่ปลงผมเสร็จนั้นเอง
สมัยนั้น มีกุลบุตรชาวเมืองสาวัตถีประมาณ ๓๐ คน ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้ว
มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาจึงขอบวช เมื่อบวชได้ ๕ พรรษา เรียนวิปัสสนากัมมัฏฐาน
จากพระพุทธเจ้าแล้ว มีความประสงค์จะพากันไปปฏิบัติธรรม ณ ป่าแห่งหนึ่ง จึงพากันมาทูลลา
พระพุทธเจ้า พระพุทธองค์เห็นภัยอย่างหนึ่งจะเกิดแก่ภิกษุเหล่านี้ เกรงว่าจะไม่บรรลุธรรม
มีสังกิจจสามเณรเท่านั้นที่จะช่วยเหลือพระเหล่านี้ได้ พระองค์จึงรับสั่งให้ภิกษุเหล่านั้นไป
อาลาพระสารีบุตรก่อนแล้วค่อยไป
พวกภิกษุได้ไปลาพระสารีบุตร พระเถระทราบความนัยจึงเอ่ยปากมอบสังกิจจ
สามเณรให้ไปด้วย พวกภิกษุปฏิเสธเกรงว่าจะเป็นภาระไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม พระเถระจึงบอกให้
ทราบว่า สามเณรนี้จะไม่เป็นภาระแก่พวกเธอ พวกเธอต่างหากจะเป็นภาระแก่สามเณร
พระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องนี้ดีจึงส่งพวกเธอมาลาเรา เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกภิกษุจึงจาเป็นต้อง
พาสามเณรไปด้วย รวมกันเป็น ๓๑ รูป อาลาพระเถระแล้วก็ออกเดินทางไป
เดินทางถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง พวกชาวบ้านมีความเลื่อมใสศรัทธา จึงนิมนต์ให้อยู่
จาพรรษาพร้อมรับปากจะพากันอุปถัมภ์บารุงตลอดพรรษา พวกภิกษุเหล่านั้นจึงรับนิมนต์
ในวันเข้าพรรษา พวกภิกษุได้ตั้งกติกากันไว้ว่า ยกเว้นเวลาเช้าบิณฑบาตและเวลา
เย็นบารุงพระเถระเท่านั้น เวลาที่เหลือให้ปฏิบัติธรรมห้ามอยู่ด้วยกัน ๒ รูป ต้องบรรลุธรรมให้ได้ภายในพรรษานี้ ถ้ารูปใดไม่สบายพึงตีระฆังบอก พวกเราจะมาปรุงยาถวาย เมื่อทา
กติกาตกลงกันอย่างนี้แล้ว ก็แยกย้ายกันไปปฏิบัติธรรม
ต่อมาวันหนึ่ง มีชายยากไร้คนหนึ่ง หนีภัยแล้งมาจากต่างเมืองหวังจะไปขอพึ่งพา
ลูกสาวอีกเมืองหนึ่ง เดินผ่านมาถึงหมู่บ้านนั้นด้วยอาการอิดโรย ขณะนั้นพวกพระภิกษุได้
กลับมาจากบิณฑบาตกาลังจะฉันเช้า พอดีพบเข้าจึงสอบถาม เมื่อทราบเรื่องแล้วเกิดความ
สงสารเขาที่ไม่ได้กินข้าวมาหลายวันแล้ว จึงบอกให้ไปหาใบไม้มาจะแบ่งอาหารให้
ธรรมเนียมของพระสงฆ์อย่างหนึ่งก็คือ ภิกษุเมื่อจะให้อาหารแก่ผู้มาในเวลาฉัน
ไม่ให้อาหารที่เป็นยอด พึงให้มากบ้างน้อยบ้าง เท่ากับส่วนที่จะฉันเอง
ชายยากไร้หลังกินข้าวอิ่มแล้วก็สอบถามพวกท่านว่า
มีกิจนิมนต์หรือไร พระคุณเจ้าจึงได้อาหารมากมายขนาดนี้
ไม่มีหรอกโยม เป็นเรื่องปกติของที่นี่ พวกภิกษุตอบ
เขาคิดว่า เราทางานแทบตายก็ไม่ได้กินอาหารดีเช่นนี้ จะไปอยู่ทาไมที่อื่น อยู่อาศัย
กับพระพวกนี้ สบายดีกว่า จึงขออาศัยอยู่ทาวัตรปฏิบัติอุปัฏฐากพระสงฆ์ด้วย พวกพระภิกษุ
ก็อนุญาต เขาขยันทางานช่วยเหลือพระภิกษุเหล่านั้นเป็นอย่างดี
เวลาผ่านไป ๒ เดือน ชายยากไร้นั้นอยู่สุขสบายดีตลอดมา ต่อมาคิดถึงลูกสาว
จึงแอบหนีออกจากที่พักสงฆ์ไปโดยไม่บอกกล่าวอาลาแก่ผู้ใด เพราะเกรงว่าพระสงฆ์จะไม่
อนุญาต
หนทางที่ชายยากไร้นั้นไปจะต้องผ่านดงใหญ่แห่งหนึ่ง ในดงนั้นมีโจร ๕๐๐ คน
ได้บนบานเทวดาว่าจะถวายพลีกรรมในวันที่ ๗ พอดี เมื่อชายยากไร้นั้นเดินผ่านเข้าไป
กลางดงก็ถูกพวกโจรจับตัวมัดไว้เตรียมที่จะทาพิธีพลีกรรมแก่เทวดา
เขาตกใจกลัวตาย ได้ร้องขอชีวิตไว้และเสนอว่า เขาเป็นคนยากไร้ เทวดาอาจจะไม่
ชอบใจ พวกภิกษุเป็นผู้มีศีลสกุลสูง เทวดาท่านคงจะชอบใจ ไปจับพวกภิกษุมาทาพลีกรรม
จะดีกว่า พวกโจรเห็นดีด้วยจึงให้เขาพาไปที่พักสงฆ์
เขาได้พาพวกโจรไปที่สานักสงฆ์แล้วตีระฆัง พวกภิกษุเมื่อได้ยินเสียงระฆังเข้าใจว่า
มีภิกษุไม่สบายก็มารวมกันที่ศาลา หัวหน้าโจรจึงประกาศให้ทราบว่าต้องการภิกษุ ๑ รูป
เพื่อไปทาพลีกรรมพระทั้ง ๓๐ รูป ต่างอาสาไปตายทั้งสิ้น ตกลงกันไม่ได้ สังกิจจสามเณรจึงขออาสา
ไปเอง พวกภิกษุไม่ยอม เพราะสามเณรเป็นลูกศิษย์ของพระสารีบุตรฝากมา เกรงว่าพระเถระ
จะติเตียนได้ สามเณรจึงบอกให้ทราบว่าพระพุทธเจ้าและพระอุปัชฌาย์ให้ตนมาก็เพื่อมา
แก้ปัญหานี้เอง จึงยกมือไหว้พวกภิกษุ เดินตามพวกโจรไป
พวกภิกษุซึ่งยังเป็นปุถุชนต่างก็ร้องไห้สงสารสามเณรพร้อมกับกาชับหัวหน้าโจรว่า
ในช่วงที่พวกท่านตระเตรียมสิ่งของ ขอให้นาสามเณรไปไว้ที่อื่นก่อน สามเณรจะกลัว
หัวหน้าโจรได้นาสามเณรไปที่ดงนั้นแล้วทาตามพวกภิกษุสั่งไว้ เมื่อตระเตรียมทุก
อย่างเสร็จแล้ว หัวหน้าโจรได้ถือดาบเดินเข้าไปหาสามเณรหวังจะตัดคอ สามเณรได้นั่ง
เข้าฌานนิ่งอยู่ พอไปถึงหัวหน้าโจรก็ฟันลงเต็มแรงปรากฏว่าดาบงอ เขาเข้าใจว่าฟันไม่ดี
จึงยกดาบขึ้นฟันใหม่ ปรากฏว่าดาบพับม้วนจนถึงด้าม
หน้าโจรเห็นปาฏิหาริย์เช่นนี้เกิดอัศจรรย์ใจยิ่งนักคิดว่า ดาบเราฟันหินยังขาด
แต่บัดนี้ ได้งอพับดังใบตาล ดาบนี้ไม่มีจิตใจยังรู้คุณของสามเณร เรามีจิตใจยังไม่สานึกเสียอีก
ได้ทิ้งดาบลงดินแล้วคุกเข่าลงกราบสามเณรพร้อมถามว่า เณรน้อย คนเป็นพันเห็น
พวกผมแล้วต้องตัวสั่นวิ่งหนีไป แต่สาหรับท่านแล้วแม้เพียงความสะดุ้งแห่งจิตก็มิได้มีเลย
หน้าตาก็ผุดผ่องแจ่มใส ทาไมท่านจึงไม่ร้องขอชีวิตเล่า
สามเณรออกจากฌานแล้วแสดงธรรมแก่หัวหน้าโจรว่า โยม ธรรมดาอัตภาพของ
พระอรหันต์ เป็นเหมือนของหนักวางอยู่บนศีรษะ พระอรหันต์เมื่ออัตภาพนี้แตกไปย่อมยินดี
พระอรหันต์จึงไม่กลัวตาย ทุกข์ทางใจย่อมไม่มีแก่พระอรหันต์ ผู้ไม่มีความห่วงใย ผู้ก้าวล่วง
ทุกอย่างได้แล้ว หัวหน้าโจรพอได้ฟังคาสามเณรแล้ว พร้อมลูกน้องทั้งหมดได้ไหว้สามเณร
แล้วขอบวช
สามเณรได้ตัดผมและชายผ้าด้วยดาบของโจรเหล่านั้นแล้วให้บวชเป็นสามเณร
ถือศีล ๑๐ เสร็จแล้วได้พาสามเณรเหล่านั้นกลับไปยังที่พักสงฆ์ ให้พวกภิกษุทราบความ
ปลอดภัยของตน แล้วได้อาลาพวกภิกษุพาสามเณรเหล่านั้นไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมเทศนาว่า ผู้มีศีลแม้มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียว ยังประเสริฐ
กว่าการทาโจรกรรม ไม่มีศีล มีชีวิตอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี ในเวลาจบพระธรรมเทศนา สามเณร
เหล่านั้นได้บรรลุพระอรหันต์ทั้งหมด

๑๖. บัณฑิตสามเณร

๑๖. บัณฑิตสามเณร
ในอดีตกาล บัณฑิตสามเณร เกิดเป็นชายเข็ญใจ ชื่อมหาทุคคตะ ด้วยอานิสงส์
แห่งทาน มีการถวายภัตตาหารประกอบด้วยรสปลาตะเพียนเป็นต้นแด่พระกัสสปพุทธเจ้า
พระเจ้าแผ่นดินได้พระราชทานทรัพย์สมบัติมากมาย และสถาปนาเขาไว้ในตาแหน่งเศรษฐี
อย่างเป็นทางการ แม้เบื้องหน้าแต่นั้น เขาดารงอยู่ บาเพ็ญบุญจนตลอดอายุ ในที่สุดอายุได้
บังเกิดในเทวโลกเสวยทิพยสมบัติสิ้นพุทธันดรหนึ่ง ในพุทธุปบาทกาลนี้ จุติจากนั้นแล้วถือ
ปฏิสนธิในท้องธิดาคนโตในตระกูลอุปัฏฐากของพระสารีบุตรเถระ ในกรุงสาวัตถี
ครั้งนั้น มารดาบิดาของนางรู้ว่านางตั้งครรภ์ จึงได้ให้เครื่องบริหารครรภ์ โดยสมัยอื่น
นางเกิดแพ้ท้องเห็นปานนี้ว่า โอ้ เราพึงถวายทานแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป ตั้งต้นแต่พระธรรม
เสนาบดี ด้วยรสปลาตะเพียนแล้วนุ่งผ้าย้อมน้าฝาดนั่งในที่สุดอาสนะ บริโภคภัตที่เป็นเดน
ของภิกษุเหล่านั้น
นางบอกแก่มารดาบิดาแล้วก็ได้กระทาตามประสงค์ ความแพ้ท้องระงับไปแล้ว
ต่อมา ในงานมงคล ๗ ครั้งแม้อื่นจากนี้ มารดาบิดาของนางเลี้ยงภิกษุ ๕๐๐ รูป
มีพระธรรมเสนาบดีเถระเป็นประมุข ด้วยรสปลาตะเพียนเหมือนกัน
ก็ในวันตั้งชื่อ เมื่อมารดาของเด็กนั้นกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงให้สิกขาบท
ทั้งหลายแก่ทาสของท่านเถิด
พระเถระถามว่า เด็กนี้ชื่ออะไร
มารดาของเด็กตอบว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ คนเงอะงะในเรือนนี้ แม้พวกพูดไม่ได้เรื่อง
ก็กลับเป็นผู้ฉลาดตั้งแต่กาลที่เด็กนี้ถือปฏิสนธิในท้อง เพราะฉะนั้น บุตรของดิฉันควรมีชื่อว่า
หนูบัณฑิต เถิด
พระเถระได้ให้สิกขาบททั้งหลายแล้ว ก็ตั้งแต่วันที่หนูบัณฑิตเกิดมา ความคิดเกิดขึ้น
แก่มารดาของเขาว่า เราจะไม่ทาลายอัธยาศัยของบุตรเรา ในเวลาที่เขามีอายุได้ ๗ ขวบ
เขากล่าวกับมารดาว่า ผมขอบวชในสานักพระเถระ นางกล่าวว่า ได้ พ่อคุณ แม่ได้นึกไว้เสมอ
อย่างนี้ว่า จะไม่ทาลายอัธยาศัยของเจ้า ดังนี้แล้วจึงนิมนต์พระเถระให้ฉันแล้วกล่าวว่า ข้าแต่
ท่านผู้เจริญ ทาสของท่านอยากจะบวช ดิฉันจะนาเด็กนี้ไปวิหารในเวลาเย็น ส่งพระเถระไป
แล้ว ให้หมู่ญาติประชุมกัน กล่าวว่า พวกข้าพเจ้าจะทาสักการะที่ควรทาแก่บุตรของข้าพเจ้า
ในเวลาเป็นคฤหัสถ์ ในวันนี้ทีเดียว ดังนี้แล้ว ก็ให้ทาสักการะมากมาย พาหนูบัณฑิตนั้นไปสู่
วิหาร ได้มอบถวายแก่พระเถระว่า ขอท่านจงให้เด็กนี้บวชเถิด เจ้าข้าพระเถระบอกความที่การบวชเป็นกิจทาได้ยากแล้ว เมื่อเด็กรับรองว่า ผมจะทาตาม
โอวาทของท่านขอรับ จึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น จงมาเถิด ชุบผมให้เปียกแล้วบอกตจปัญจก-
กัมมัฏฐานให้บวชแล้ว
แม้มารดาบิดาของบัณฑิตสามเณรนั้นอยู่ในวิหารสิ้น ๗ วัน ถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์
มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยรสปลาตะเพียนอย่างเดียว ในวันที่ ๗ เวลาเย็นจึงได้ไปเรือน
ในวันที่ ๘ พระเถระเมื่อจะไปภายในบ้าน พาสามเณรนั้นไป ไม่ได้ไปกับหมู่ภิกษุ
เพราะเหตุไร
เพราะว่า การห่มจีวรและถือบาตรหรืออิริยาบถของเธอยังไม่น่าเลื่อมใสก่อน
อีกอย่างหนึ่ง วัตรที่พึงทาในวิหารของพระเถระยังมีอยู่
อนึ่ง พระเถระ เมื่อภิกษุสงฆ์เข้าไปภายในบ้านแล้ว เที่ยวไปทั่ววิหาร กวาดสถานที่
ที่ยังไม่ได้กวาด ตั้งน้าฉันน้าใช้ไว้ภายในภาชนะที่ว่างเปล่า เก็บเตียงตั่งเป็นต้นที่ยังเก็บไว้
ไม่เรียบร้อยแล้ว จึงเข้าไปบ้านภายหลัง อีกอย่างหนึ่ง ท่านคิดว่า พวกเดียรถีย์เข้าไปยังวิหาร
ว่างแล้ว อย่าได้พูดว่า ดูเถิด ที่นั่งของพวกสาวกพระสมณโคดม ดังนี้แล้ว จึงได้จัดแจงวิหาร
ทั้งสิ้น เข้าไปบ้านภายหลัง เพราะฉะนั้น แม้ในวันนั้น พระเถระให้สามเณรถือบาตรและจีวร
เข้าไปบ้านสายหน่อย
บัณฑิตสามเณรได้ไปบิณฑบาตกับพระสารีบุตรเถระ ระหว่างทางเห็นคนชักน้า
จากเหมือง เกิดสงสัยจึงถามว่า น้ามีจิตใจหรือไม่ พระเถระตอบว่า น้าไม่มีจิตใจ สามเณร
จึงคิดว่า เมื่อคนสามารถชักน้าซึ่งไม่มีจิตใจไปสู่ที่ที่ตนเองต้องการได้ แต่เหตุใดจึงไม่สามารถ
บังคับจิตให้อยู่ในอานาจได้
เดินต่อไป ได้เห็นคนกาลังถากไม้ทาเกวียนอยู่ ถึงถามว่า ไม้นั้นมีจิตใจหรือไม่
เมื่อพระเถระตอบว่า ไม้ไม่มีจิตใจ สามเณรจึงคิดว่า คนสามารถนาท่อนไม้ที่ไม่มีจิตใจมาทา
เป็นล้อได้ แต่ทาไมไม่สามารถบังคับจิตใจได้
เดินต่อไป ได้เห็นคนกาลังใช้ไฟลนลูกศรเพื่อจะดัดให้ตรงจึงถามว่า ลูกศรนั้นมีจิตใจ
หรือไม่ เมื่อพระเถระตอบว่า ลูกศรไม่มีจิตใจ สามเณรจึงคิดว่า คนสามารถดัดลูกศรให้ตรงได้
แต่ทาไมไม่สามารถบังคับจิตให้อยู่ในอานาจได้
ทันใดนั้น สามเณรได้เกิดความคิดที่จะปฏิบัติธรรมขึ้น จึงได้ขอพระเถระนาอาหาร
มาฝากตนด้วย พระเถระได้รับปากและมอบลูกดาล (กุญแจ) ให้พร้อมกับสั่งให้ไปปฏิบัติธรรม
ในห้องของท่าน สามเณรได้ทาตามทุกอย่างและก็เริ่มบาเพ็ญสมณธรรมครั้งนั้น ที่ประทับนั่งของท้าวสักกะ แสดงอาการร้อนด้วยเดชแห่งคุณของสามเณร
ท้าวเธอใคร่ครวญว่า มีเหตุอะไรกันหนอ ทรงดาริได้ว่า บัณฑิตสามเณรถวายบาตรและจีวร
แก่พระอุปัชฌาย์แล้วกลับด้วยตั้งใจว่า จะทาสมณธรรม แม้เราก็ควรไปในที่นั้น ดังนี้แล้วตรัส
เรียกท้าวมหาราชทั้ง ๔ มา ตรัสว่า พวกท่านจงไปไล่นกที่บินจอแจอยู่ในป่าใกล้วิหารให้หนีไป
แล้วยึดอารักขาไว้โดยรอบ ตรัสกับจันทเทพบุตรว่า ท่านจงรั้งมณฑลพระจันทร์ไว้ ตรัสกับ
สุริยเทพบุตรว่า ท่านจงฉุดรั้งมณฑลพระอาทิตย์ไว้ ดังนี้แล้ว พระองค์เองได้เสด็จไปประทับ
ยืนยึดอารักขาอยู่ที่สายยูในพระวิหาร แม้เสียงแห่งใบไม้แก่ก็มิได้มี จิตของสามเณรได้อารมณ์
เป็นหนึ่ง เธอพิจารณาอัตภาพแล้วบรรลุผล ๓ อย่างในระหว่างภัตนั้นเอง
ฝ่ายพระเถระคิดว่า สามเณรนั่งในวิหาร เราอาจจะได้โภชนะที่สมประสงค์แก่เธอ
ในสกุลชื่อโน้น ดังนี้แล้ว จึงได้ไปสู่ตระกูลอุปัฏฐากซึ่งประกอบด้วยความรักและเคารพ
ตระกูลหนึ่ง
ก็ในวันนั้น มนุษย์ทั้งหลายในตระกูลนั้น ได้ปลาตะเพียนหลายตัว นั่งดูการมาแห่ง
พระเถระอยู่ พวกเขาเห็นพระเถระกาลังมาจึงกล่าวว่า ท่านขอรับ ท่านมาที่นี้ ทากรรมเจริญ
แล้วนิมนต์ให้เข้าไปข้างใน ถวายข้าวยาคูและของควรเคี้ยวเป็นต้นแล้ว ได้ถวายบิณฑบาต
ด้วยรสปลาตะเพียน พระเถระแสดงอาการจะนาไป พวกมนุษย์เรียนว่า นิมนต์ฉันเถิดขอรับ
ใต้เท้าจะได้แม้ภัตสาหรับจะนาไป ในเวลาเสร็จภัตกิจของพระเถระ ได้เอาภาชนะประกอบด้วย
รสปลาตะเพียนใส่เต็มบาตรถวาย พระเถระคิดว่า สามเณรของเราหิวแล้วจึงได้รีบไป
แม้พระพุทธเจ้า ในวันนั้นเสวยแต่เช้า เสด็จไปวิหารใคร่ครวญว่า บัณฑิตสามเณรให้
บาตรและจีวรแก่พระอุปัชฌาย์แล้วกลับไปด้วยตั้งใจว่าจะทาสมณธรรมกิจแห่งบรรพชิต
ของเธอ จะสาเร็จหรือไม่ ทรงทราบว่า สามเณรบรรลุผล ๓ อย่างแล้ว จึงทรงพิจารณาว่า
อุปนิสัยแห่งอรหัตผลจะมีหรือไม่มี ทรงเห็นว่า มี แล้วทรงใคร่ครวญว่า เธอจะบรรลุอรหัตผล
ก่อนภัตหรือไม่ ได้ทรงทราบว่า บรรลุ
ลาดับนั้น พระองค์ได้มีความปริวิตกอย่างนี้ว่า สารีบุตรถือภัตเพื่อสามเณรรีบมา
เธอจะพึงทาอันตรายแก่สามเณรนั้นได้ เราจะนั่งถือเอาอารักขาที่ซุ้มประตู ทีนั้นจะถามปัญหา
๔ ข้อ เมื่อเธอแก้อยู่ สามเณรจะบรรลุอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ดังนี้แล้ว จึงเสด็จไป
จากวิหาร ประทับยืนอยู่ที่ซุ้มประตู ตรัสถามปัญหา ๔ ข้อกับพระเถระผู้มาถึงแล้ว
เมื่อพระเถระแก้ปัญหาทั้ง ๔ ข้อเหล่านี้อย่างนั้นแล้ว สามเณรก็ได้บรรลุอรหัตผล
พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ฝ่ายพระพุทธเจ้าตรัสกับพระเถระว่า ไปเถิด สารีบุตร จงให้ภัตแก่สามเณรของเธอ พระเถระไปเคาะประตูแล้ว สามเณรออกมารับบาตรจากมือพระเถระวางไว้
ณ ส่วนข้างหนึ่ง จึงเอาพัดก้านตาลพัดพระเถระ
ลาดับนั้น พระเถระกล่าวว่า สามเณร จงทาภัตกิจเสียเถิด
สามเณรเรียนถามว่า ก็ใต้เท้าเล่า ขอรับ
พระเถระกล่าวว่า เราทาภัตกิจเสร็จแล้ว เธอจงทาเถิด
เด็กอายุ ๗ ขวบบวชแล้ว ในวันที่ ๘ บรรลุอรหัตผล เป็นเหมือนดอกปทุมที่แย้มแล้ว
ในขณะนั้น ได้นั่งพิจารณาที่เป็นที่ใส่ภัต ทาภัตกิจแล้ว
ในขณะที่เธอล้างบาตรเก็บไว้ จันทเทพบุตรปล่อยมณฑลพระจันทร์ สุริยเทพบุตร
ปล่อยมณฑลพระอาทิตย์ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ เลิกอารักขาทั้ง ๔ ทิศ ท้าวสักกเทวราช
เลิกอารักขาที่สายยู พระอาทิตย์ เคลื่อนคล้อยไปแล้วจากที่ท่ามกลาง
ภิกษุทั้งหลายโพนทะนาว่า เงา บ่ายเกินประมาณแล้ว พระอาทิตย์เคลื่อนคล้อยไป
จากที่ท่ามกลาง ก็สามเณรฉันเสร็จเดี๋ยวนี้เอง นี่เรื่องอะไรกันหนอ
พระพุทธเจ้าทรงทราบความเป็นไปนั้นแล้วเสด็จมา ตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลายพวกเธอ
พูดอะไรกัน
พวกภิกษุกราบทูลว่า เรื่องชื่อนี้ พระเจ้าข้า
พระพุทธเจ้าตรัสว่า อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย ในเวลาผู้มีบุญทาสมณธรรม จันทเทพบุตร
ฉุดมณฑลพระจันทร์รั้งไว้ สุริยเทพบุตรฉุดมณฑลพระอาทิตย์รั้งไว้ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ถือ
อารักขาทั้ง ๔ ทิศ ในป่าใกล้วิหาร ท้าวสักกเทวราชเสด็จมายึดอารักขาที่สายยู ถึงเราผู้มี
ความขวนขวายน้อยด้วยนึกเสียว่า เป็นพระพุทธเจ้า ก็ไม่อาจจะนั่งอยู่ได้ ยังได้ไปยึดอารักขา
เพื่อบุตรของเรา ที่ซุ้มประตู แล้วตรัสต่อไปว่า วันนี้บัณฑิตสามเณรเห็นคนไขน้าไปจากเหมือง
ช่างศรกาลังดัดลูกศรให้ตรง และช่างถากกาลังถากไม้แล้ว ถือเอาเหตุเท่านั้นให้เป็นอารมณ์
ทรมานตนบรรลุอรหัตผลแล้ว ดังนี้