วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

๑๙. วนวาสีติสสสามเณร

๑๙. วนวาสีติสสสามเณร
ในอดีตกาล วนวาสีติสสสามเณร เกิดเป็น สหายของวังคันตพราหมณ์ ผู้บิดาของ
พระสารีบุตรเถระ ชื่อ มหาเสนพราหมณ์ อยู่ในเมืองราชคฤห์ วันหนึ่ง พระสารีบุตรเถระ
เที่ยวบิณฑบาต ได้ไปยังประตูเรือนของพราหมณ์นั้น เพื่ออนุเคราะห์เขา
แต่พราหมณ์นั้นมีสมบัติหมดเสียแล้ว กลับเป็นคนยากจน เขาคิดว่า บุตรของเรามา
เพื่อเที่ยวบิณฑบาตที่ประตูเรือนของเรา แต่เราเป็นคนยากจน บุตรของเราเห็นจะไม่ทราบ
ความที่เราเป็นคนยากจน ไทยธรรมอะไร ๆ ของเราก็ไม่มี เมื่อไม่อาจจะเผชิญหน้าพระเถระ
นั้นได้จึงหลบเสีย ถึงในวันอื่น แม้พระเถระได้ไปอีก พราหมณ์ก็ได้หลบเสียอย่างนั้นเหมือนกัน
เขาคิดอยู่ว่า เราได้อะไร ๆ แล้วนั่นแหละจะถวาย แต่ก็ไม่ได้อะไร ๆ
ภายหลังวันหนึ่ง เขาได้ถาดเต็มด้วยข้าวปายาสพร้อมกับผ้าสาฎกเนื้อหยาบ ในที่
บอกลัทธิของพราหมณ์แห่งหนึ่ง ถือไปถึงเรือน นึกถึงพระเถระขึ้นได้ว่า การที่เราถวาย
บิณฑบาตนี้แก่พระเถระ ควร
ในขณะนั้นนั่นเอง แม้พระเถระเข้าฌาน ออกจากสมาบัติแล้ว เห็นพราหมณ์นั้น
คิดว่า พราหมณ์ได้ไทยธรรมแล้ว หวังอยู่ซึ่งการมาของเรา การที่เราไปในที่นั้น ควร ดังนี้แล้ว
จึงห่มผ้าสังฆาฏิ ถือบาตร แสดงตนยืนอยู่ที่ประตูเรือนของพราหมณ์นั้น พอเห็นพระเถระ
เท่านั้น จิตของพราหมณ์เลื่อมใสแล้ว
ลาดับนั้น เขาเข้าไปหาพระเถระ ไหว้แล้ว ทาปฏิสันถาร นิมนต์ให้นั่งภายในเรือน
ถือถาดอันเต็มด้วยข้าวปายาส เกลี่ยลงในบาตรของพระเถระ พระเถระรับกึ่งหนึ่งแล้วจึงเอา
มือปิดบาตร
ทีนั้น พราหมณ์กล่าวกับพระเถระว่า ท่านผู้เจริญ ข้าวปายาสนี้สักว่าเป็นส่วนของ
คนเดียวเท่านั้น ขอท่านจงทาความสงเคราะห์ในปรโลกแก่กระผมเถิด อย่าทาความสงเคราะห์
ในโลกนี้เลย กระผมปรารถนาถวายไม่ให้เหลือทีเดียว ดังนี้แล้ว จึงเกลี่ยลงทั้งหมด พระเถระ
ฉันในที่นั้นนั่นเอง ครั้นในเวลาเสร็จภัตกิจ เขาถวายผ้าสาฎกแม้นั้นแก่พระเถระ ไหว้แล้ว
กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ขอให้กระผมพึงบรรลุธรรมที่ท่านเห็นแล้วเหมือนกันพระเถระทาอนุโมทนาแก่พราหมณ์นั้นว่า จงสาเร็จอย่างนั้น พราหมณ์ ลุกขึ้นจาก
อาสนะหลีกไป เที่ยวจาริกโดยลาดับ ได้ถึงวัดพระเชตวันแล้ว
ก็ทานที่บุคคลถวายแล้วในคราวที่ตนตกยาก ย่อมทาผู้ถวายให้ร่าเริงอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้น แม้พราหมณ์ถวายทานนั้นแล้ว มีจิตเลื่อมใส เกิดโสมนัสแล้ว ได้ทาความสิเนหา
มีประมาณยิ่งในพระเถระ ด้วยความสิเนหาในพระเถระ พราหมณ์นั้นทากาละแล้ว ถือปฏิสนธิ
ในสกุลอุปัฏฐากของพระเถระในเมืองสาวัตถี
ก็ในขณะนั้น มารดาของเขาบอกแก่สามีว่า สัตว์เกิดในครรภ์ตั้งขึ้นในท้องของฉัน
สามีได้ให้เครื่องบริหารครรภ์แก่มารดาของทารกนั้นแล้ว เมื่อนางเว้นการบริโภคอาหารวัตถุ
มีของร้อนจัด เย็นนัก และเปรี้ยวนัก เป็นต้น รักษาครรภ์อยู่โดยสบาย ความแพ้ท้องเห็น
ปานนี้เกิดขึ้นว่า ไฉนหนอ เราพึงนิมนต์ภิกษุ ๕๐๐ รูป มีพระสารีบุตรเถระเป็นประธานให้นั่ง
ในเรือน ถวายข้าวปายาสเจือด้วยน้านมล้วน แม้ตนเองนุ่งห่มผ้ากาสาวะ ถือขันทอง นั่งใน
ที่สุดแห่งอาสนะ แล้วบริโภคข้าวปายาสอันเป็นเดนของภิกษุประมาณเท่านี้
ได้ยินว่า ความแพ้ท้องในเพราะการนุ่งห่มผ้ากาสาวะนั้นของนาง ได้เป็นบุรพนิมิต
แห่งการบรรพชาในพระพุทธศาสนาของบุตรในท้อง
ลาดับนั้น พวกญาติของนางคิดว่า ความแพ้ท้องของธิดาพวกเราประกอบด้วยธรรม
ดังนี้แล้ว จึงถวายข้าวปายาสเจือด้วยน้านมล้วน แก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป มีพระสารีบุตรเถระเป็น
ประธาน แม้นางก็นุ่งผ้ากาสาวะผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง ถือขันทองนั่งในที่สุดแห่งอาสนะ บริโภค
ข้าวปายาสอันเป็นเดนของภิกษุความแพ้ท้องสงบแล้ว
ในมงคลที่เขากระทาแล้วในระหว่าง ๆ แก่นางนั้น ตลอดเวลาสัตว์เกิดในครรภ์
คลอดก็ดี ในมงคลที่เขากระทาแก่นางผู้คลอดบุตร โดยล่วงไป ๑๐ เดือนก็ดี พวกญาติก็ได้
ถวายข้าวมธุปายาสมีน้าน้อยแก่ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป มีพระสารีบุตรเถระเป็นประธาน
เหมือนกัน
ได้ยินว่า นี่เป็นผลแห่งข้าวปายาสที่ทารกถวายแล้วในเวลาที่ตนเป็นพราหมณ์
ในกาลก่อน
ก็ในวันมงคลที่พวกญาติกระทาในวันที่ทารกเกิด พวกญาติให้ทารกนั้นอาบน้าแต่
เช้าตรู่ ประดับแล้วให้นอนเบื้องบนผ้ากัมพลมีค่าแสนหนึ่ง บนที่นอนอันมีสิริทารกนั้นนอนอยู่บนผ้ากัมพล แลดูพระเถระแล้ว คิดว่า พระเถระนี้เป็นบุรพาจารย์
ของเรา เราได้สมบัตินี้เพราะอาศัยพระเถระนี้ การที่เราทาการบริจาคอย่างหนึ่งแก่ท่านผู้นี้
ควร อันญาตินาไปเพื่อประโยชน์แก่การรับสิกขาบท ได้เอานิ้วก้อยเกี่ยวผ้ากัมพลนั้นยึดไว้
ครั้งนั้น ญาติทั้งหลายของทารกนั้นคิดว่า ผ้ากัมพลคล้องที่นิ้วมือแล้ว จึงปรารภจะ
นาออก ทารกนั้นร้องไห้ พวกญาติกล่าวว่า ขอพวกท่านจงหลีกไปเถิด ท่านทั้งหลายอย่ายัง
ทารกให้ร้องไห้เลย ดังนี้แล้ว จึงนาไปพร้อมกับผ้ากัมพล ในเวลาไหว้พระเถระ ทารกนั้น
ชักนิ้วมือออกจากผ้ากัมพล ให้ผ้ากัมพลตกลง ณ ที่ใกล้เท้าของพระเถระ
ลาดับนั้น พวกญาติไม่กล่าวว่า เด็กเล็กไม่รู้กระทาแล้ว กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ผ้าอัน
บุตรของพวกข้าพเจ้าถวายแล้ว จงเป็นอันบริจาคแล้วเถิด ดังนี้แล้ว กล่าวต่อไปว่า ท่านเจ้าข้า
ขอพระผู้เป็นเจ้าจงให้สิกขาบทแก่ทาสของท่าน ผู้ทาการบูชาด้วยผ้ากัมพลนั่นแหละ อันมี
ราคาแสนหนึ่ง
พระเถระถามว่า เด็กนี้ชื่ออะไร พวกญาติตอบว่า ชื่อเหมือนกับพระคุณเจ้า ขอรับ
พระเถระอุทานว่า นี่ชื่อ ติสสะ ได้ยินว่า พระเถระ ในเวลาเป็นคฤหัสถ์ ได้มีชื่อว่า
อุปติสสมาณพ แม้มารดาของเด็กนั้น ก็คิดว่า เราไม่ควรทาลายอัธยาศัยของบุตร พวกญาติ
ครั้นกระทามงคลต่าง ๆ มีการตั้งชื่อ การบริโภคอาหาร การเจาะหู การนุ่งผ้าการโกนจุกของ
เด็กนั้นก็ได้ถวายข้าวมธุปายาสมีน้าน้อยแก่ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป มีพระสารีบุตรเถระเป็น
ประธาน
เด็กน้อยเจริญวัยแล้ว ในเวลามีอายุ ๗ ขวบ กล่าวกับมารดาว่า แม่ ฉันขอบวชใน
สานักของพระเถระ มารดารับว่า ดีละ ลูก เมื่อก่อนแม่ก็ได้หมายใจไว้ว่า เราไม่ควรทาลาย
อัธยาศัยของลูก เจ้าจงบวชเถิดลูก ดังนี้แล้ว ให้คนนิมนต์พระเถระมา ถวายภิกษาแก่
พระเถระแล้วกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ทาสของท่านกล่าวว่า ขอบวช พวกดิฉันจะพาทาสของ
ท่านนี้ไปสู่วิหารในเวลาเย็นแล้วส่งพระเถระกลับไป ในเวลาเย็นพาบุตรไปสู่วิหารด้วย
สักการะและสัมมานะเป็นอันมากแล้วก็มอบถวายพระเถระ
พระเถระกล่าวกับเด็กนั้นว่า ติสสะ ชื่อว่าการบวชเป็นของที่ทาได้ยาก เมื่อความ
ต้องการด้วยของร้อนมีอยู่ ย่อมได้ของเย็น เมื่อความต้องการด้วยของเย็นมีอยู่ ย่อมได้ของร้อน
ชื่อว่า นักบวชทั้งหลายย่อมเป็นอยู่โดยลาบาก ก็เธอเสวยความสุขมาแล้ว
ติสสะเรียนว่า ท่านขอรับ ผมสามารถทาได้ทุกอย่าง ตามที่ท่านบอกแล้ว พระเถระ
กล่าวว่า ดีละ แล้วบอกตจปัญจกกัมมัฏฐาน ด้วยสามารถแห่งการกระทาไว้ในใจโดยความเป็นของปฏิกูลแก่เด็กนั้น ให้บวชแล้ว มารดาบิดาทาสักการะแก่บุตรผู้บวชแล้ว ได้ถวายข้าว
มธุปายาสมีน้าน้อยแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ในวิหารนั่นเองสิ้น ๗ วัน ฝ่าย
ภิกษุทั้งหลายโพนทะนาว่า เราทั้งหลายไม่สามารถจะฉันข้าวมธุปายาสมีน้าน้อยเป็นนิตย์ได้
มารดาบิดาแม้ของสามเณรนั้น ได้ไปสู่เรือนในเวลาเย็นในวันที่ ๗ ในวันที่ ๘ สามเณรเข้าไป
บิณฑบาตกับภิกษุทั้งหลาย
เมื่อสามเณรนั้นอยู่ในวัดพระเชตวัน พวกเด็กที่เป็นญาติมาสู่สานักพูดจาปราศรัย
เนือง ๆ สามเณรคิดว่า เราเมื่ออยู่ในที่นี้ เด็กที่เป็นญาติมาพูดอยู่ ไม่อาจที่จะไม่พูดได้ ด้วยการ
เนิ่นช้า คือ การสนทนากับเด็กเหล่านี้ เราไม่อาจทาที่พึ่งแก่ตนได้ ไฉนหนอ เราเรียนกัมมัฏฐาน
ในสานักของพระพุทธเจ้าแล้ว พึงเข้าไปสู่ป่า
ติสสสามเณรเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ถวายบังคมแล้ว ทูลขอให้พระองค์ตรัสบอก
กัมมัฏฐานจนถึงอรหัตผล ไหว้พระอุปัชฌายะแล้ว ถือบาตรและจีวรออกไปจากวิหาร คิดว่า
ถ้าเราอยู่ในที่ใกล้ไซร้ พวกญาติจะร้องเรียกเราไป จึงได้ไปสิ้นทางประมาณ ๑๒๐ โยชน์ ครั้งนั้น
สามเณรเดินไปทางประตูบ้านแห่งหนึ่ง เห็นชายแก่คนหนึ่ง จึงถามว่า อุบาสก วิหารในป่า
ของภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ในประเทศนี้มีไหม
อุบาสกตอบว่า มี ขอรับ สามเณรกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ขอท่านช่วยบอกทางแก่ฉัน
ก็ความรักเพียงดังบุตรเกิดขึ้นแล้วแก่อุบาสก เพราะเห็นสามเณรนั้น ลาดับนั้น อุบาสก
ยืนอยู่ในที่นั้นนั่นเอง ไม่บอกแก่สามเณร กล่าวว่า มาเถิดขอรับ ผมจะบอกแก่ท่าน ได้พา
สามเณรไปแล้ว สามเณร เมื่อไปกับอุบาสกแก่นั้น เห็นประเทศ ๖ แห่ง ๕ แห่ง อันประดับ
ด้วยดอกไม้และผลไม้ต่าง ๆ ในระหว่างทาง จึงถามว่า ประเทศนี้ชื่ออะไร อุบาสก
ฝ่ายอุบาสกนั้นบอกชื่อประเทศเหล่านั้นแก่สามเณร ถึงวิหารอันตั้งอยู่ในป่าแล้ว
กล่าวว่า ท่านขอรับ ที่นี่เป็นที่สบาย ขอท่านจงอยู่ในที่นี้เถิด แล้วถามชื่อว่า ท่านชื่ออะไร
ขอรับ เมื่อสามเณรบอกว่า ฉันชื่อวนวาสีติสสะ อุบาสก จึงกล่าวว่า พรุ่งนี้ ท่านควรไปเที่ยว
บิณฑบาตในบ้านของพวกกระผม แล้วกลับไปสู่บ้านของตน บอกแก่พวกมนุษย์ว่า สามเณร
ชื่อวนวาสีติสสะมาสู่วิหารแล้ว ขอท่านจงจัดแจงอาหารวัตถุมียาคูและภัตเป็นต้น เพื่อ
สามเณรนั้น
ครั้งแรกทีเดียว สามเณรเป็นผู้ชื่อว่า ติสสะ แต่นั้นได้ชื่อ ๓ ชื่อเหล่านี้คือ ปิณฑปาต
ทายกติสสะ กัมพลทายกติสสะ วนวาสีติสสะ ได้ชื่อ ๔ ชื่อภายในอายุ ๗ ปี รุ่งขึ้น สามเณร
เข้าไปบิณฑบาตยังบ้านนั้นแต่เช้าตรู่ พวกมนุษย์ถวายภิกษา ไหว้แล้ว สามเณรกล่าวว่าขอท่านทั้งหลายจงถึงซึ่งความสุข จงพ้นจากทุกข์เถิด แม้มนุษย์คนหนึ่งถวายภิกษาแก่
สามเณรแล้ว ก็ไม่สามารถจะกลับไปยังเรือนได้อีก ทุกคนได้ยืนแลดูอยู่ แม้สามเณรนั้นก็รับ
อาหารพอยังอัตภาพให้เป็นไปเพื่อตน ชาวบ้านทั้งสิ้นหมอบลง แทบเท้าของสามเณรแล้ว
กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า เมื่อท่านอยู่ในที่นี้ตลอดไตรมาสนี้ พวกกระผมขอรับสรณะ ๓ ตั้งอยู่
ในศีล ๕ จะทาอุโบสถกรรม ๘ ครั้งต่อเดือน ขอท่านจงให้ปฏิญญาแก่กระผมทั้งหลาย
เพื่อประโยชน์แห่งการอยู่ในที่นี้
สามเณรกาหนดอุปการะ จึงให้ปฏิญญาแก่มนุษย์เหล่านั้น เที่ยวบิณฑบาตในบ้านนั้น
เป็นประจา ก็ในขณะที่เขาไหว้แล้ว ๆ กล่าวเฉพาะ ๒ บทว่า ขอท่านทั้งหลายจงถึงซึ่งความสุข
จงพ้นจากทุกข์ ดังนี้แล้ว หลีกไป สามเณรให้เดือนที่ ๑ และเดือนที่ ๒ ล่วงไปแล้ว ณ ที่นั้น
เมื่อเดือนที่ ๓ ล่วงไป ก็บรรลุอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา
ครั้นเวลาปวารณาออกพรรษาแล้ว พระอุปัชฌายะของสามเณรเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
ถวายบังคมแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จะไปยังสานักติสสสามเณร
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไปเถิด สารีบุตร
พระสารีบุตรเถระ เมื่อพาภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป ซึ่งเป็นบริวารของตนหลีกไป
กล่าวว่า โมคคัลลานะผู้มีอายุ กระผมจะไปยังสานักติสสสามเณร พระโมคคัลลานเถระกล่าวว่า
ท่านผู้มีอายุ แม้กระผมก็จะไปด้วย ดังนี้แล้ว ก็ออกไปพร้อมกับภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป
พระมหาสาวกทั้งปวง คือพระมหากัสสปเถระ พระอนุรุทธเถระ พระอุบาลีเถระ
พระปุณณเถระเป็นต้น ออกไปพร้อมกับภิกษุประมาณรูปละ ๕๐๐ รูป โดยอุบายนั้นแล
บริวารของพระมหาสาวกแม้ทั้งหมด ได้เป็นภิกษุประมาณ ๔ หมื่นรูป
พระพุทธเจ้าเสด็จไปเหมือนกัน เมื่อถึงป่าที่สามเณรพานักอยู่ จึงเสด็จขึ้นบนยอด
ภูเขาแล้วตรัสถามสามเณรว่า เห็นอะไรบ้าง ได้รับคาตอบว่า เห็นมหาสมุทร ตรัสถามต่อว่า
คิดอย่างไร ได้รับคาตอบว่า น้าตาของคนเราที่ร้องไห้ในเมื่อถึงทุกข์ยังมากกว่าน้าในมหาสมุทร
ทั้ง ๔ จึงตรัสว่า ถูกต้องแล้ว ติสสะ พระพุทธองค์ตรัสถามถึงที่พักอาศัยของสามเณร
เมื่อทราบว่า อยู่ที่เงื้อมเขา จึงตรัสถามสามเณรว่า เมื่ออยู่ที่เงื้อมเขาคิดอย่างไร สามเณร
กราบทูลว่า สถานที่ที่สัตว์ไม่เคยตายไม่มีในโลก พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ถูกต้องแล้ว ติสสะ
ชื่อว่าสถานที่แห่งสัตว์เหล่านี้ผู้ที่ไม่นอนตายบนแผ่นดินไม่มี
ครั้นแล้ว พระพุทธเจ้าเสด็จหลีกไปพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ส่วนวนวาสีติสสสามเณร
ได้พานักอยู่ในป่านั้นต่อไป

๑๘. สุขสามเณร

๑๘. สุขสามเณร
ในอดีตกาล สุขสามเณร เกิดเป็นคนบ้านนอก มีฐานะยากจน ครั้งหนึ่งได้เห็น
เศรษฐีคนหนึ่ง ชื่อ คันธะ กาลังบริโภคอาหารอันมีรสเลิศ แวดล้อมด้วยหญิงนักฟ้อนรา
ก็อยากจะบริโภคและแวดล้อมด้วยหญิงนักฟ้อนราอย่างนั้นบ้าง เมื่อได้โอกาสจึงเล่าความคิด
ของตนให้เศรษฐีฟัง เศรษฐีได้ฟังดังนั้นก็ยินดีและจัดการให้ แต่มีข้อแม้ว่าเขาจะต้องรับจ้าง
ทางานในเรือนเศรษฐีเป็นเวลา ๓ ปี จึงจะได้อาหารอันมีรสเลิศอย่างนั้นหนึ่งถาด พร้อมทั้ง
แวดล้อมด้วยหญิงนักฟ้อนรา เขาตกลงตามเงื่อนไขที่เศรษฐียื่นเสนอ จึงไปสู่เรือนของเศรษฐี
ด้วยหมายใจว่า จะทาการรับจ้างตลอด ๓ ปี เพื่อประโยชน์แก่ถาดอาหารถาดหนึ่ง เขาเมื่อ
ทาการรับจ้างได้ทากิจทุกอย่างโดยเรียบร้อย การงานที่ควรทาในบ้าน ในป่า กลางวัน กลางคืน
ได้ปรากฏว่า เขาทาเสร็จเรียบร้อย
เมื่อมหาชนเรียกเขาว่า นายภัตตภติกะ คานั้นได้ปรากฏไปทั่วพระนคร กาลต่อมา
เมื่อวันรับจ้างของนายภัตตภติกะครบบริบูรณ์แล้ว พ่อครัวเรียนให้เศรษฐีทราบว่า นาย วัน
รับจ้างของนายภัตตภติกะครบบริบูรณ์แล้ว เขาทาการรับจ้างอยู่ตลอด ๓ ปี ทากรรมยาก
ที่คนอื่นจะทาได้แล้ว การงานแม้สักอย่างหนึ่งก็ไม่เคยเสียหาย
ครั้งนั้น ท่านเศรษฐีได้สั่งจ่ายทรัพย์ ๓ พัน แก่พ่อครัวนั้น คือ สองพันเพื่อประโยชน์
แก่อาหารเย็นและอาหารเช้าของตน พันหนึ่งเพื่อประโยชน์แก่อาหารเช้าของนายภัตตภติกะ
นั้น แล้วสั่งคนใช้ว่า วันนี้ พวกเจ้าจงทาการบริหารที่พึงทาแก่เรา แก่นายภัตตภติกะนั้นเถิด
เมื่อได้เวลาอาหารเช้า พวกนักฟ้อนได้ยืนล้อมนายภัตตภติกะนั้น พวกคนใช้ยกถาดอาหาร
ถาดหนึ่งตั้งไว้ข้างหน้าของนายภัตตภติกะนั้นแล้ว
ครั้งนั้น ในขณะที่นายภัตตภติกะล้างมือ พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งที่ภูเขาคันธมาทน์
ออกจากสมาบัติในวันที่ ๗ แล้ว ใคร่ครวญอยู่ว่า วันนี้ เราจะไปเพื่อประโยชน์แก่ภิกขาจารใน
ที่ไหนหนอ ก็ได้เห็นนายภัตตภติกะแล้ว ครั้งนั้น ท่านพิจารณาต่อไปอีกว่า นายภัตตภติกะนี้
ทาการรับจ้างถึง ๓ ปี จึงได้ถาดอาหาร ศรัทธาของเขามีหรือไม่หนอ ใคร่ครวญไปก็ทราบได้
ว่า ศรัทธาของเขามีอยู่ คิดไปอีกว่า คนบางพวกถึงมีศรัทธาก็ไม่อาจเพื่อทาการสงเคราะห์ได้
นายภัตตภติกะนี้อาจหรือไม่หนอเพื่อจะทาการสงเคราะห์เรา ก็รู้ว่า นายภัตตภติกะอาจ
ทีเดียว ทั้งจะได้มหาสมบัติเพราะอาศัยเหตุคือการสงเคราะห์แก่เราด้วย ดังนี้แล้ว จึงห่มจีวร
ถือบาตร เหาะขึ้นสู่เวหาสไปโดยระหว่างบริษัท แสดงตนยืนอยู่ข้างหน้าแห่งนายภัตตภติกะนั้นนายภัตตภติกะเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า คิดว่า เราได้ทาการรับจ้างในเรือนคนอื่นถึง
๓ ปี ก็เพื่อประโยชน์แก่ถาดอาหารถาดเดียว เพราะความที่เราไม่ได้ให้ทานในกาลก่อน บัดนี้
อาหารนี้ของเราพึงรักษาเราก็เพียงวันหนึ่งคืนหนึ่ง ถ้าเราถวายอาหารนั้นแก่พระคุณเจ้า
อาหารจะรักษาเราไว้มิใช่พันโกฏิกัลป์เดียว เราจะถวายอาหารนั้นแก่พระคุณเจ้า
นายภัตตภติกะนั้นทาการรับจ้างตลอด ๓ ปี ได้ถาดอาหารแล้ว ไม่ทันวางอาหาร
แม้ก้อนเดียวในปากเพื่อบรรเทาความอยากได้ ยกถาดอาหารขึ้นเดินไปสู่สานักของ
พระปัจเจกพุทธเจ้า ให้ถาดในมือของคนอื่นแล้ว ไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ เอามือซ้ายจับ
ถาดอาหาร เอามือขวาเกลี่ยอาหารลงในบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า
พระปัจเจกพุทธเจ้าได้เอามือปิดบาตรเสียในเวลาที่อาหารยังเหลืออยู่กึ่งหนึ่ง
ครั้งนั้น นายภัตตภติกะนั้นเรียนท่านว่า ท่านขอรับ อาหารส่วนเดียวเท่านั้นผมไม่
อาจเพื่อจะแบ่งเป็น ๒ ส่วนได้ ท่านอย่าสงเคราะห์ผมในโลกนี้เลย ขอจงทาการสงเคราะห์
ในปรโลกเถิด ผมจะถวายทั้งหมดทีเดียว ไม่ให้เหลือ
จริงอยู่ ทานที่บุคคลถวายไม่เหลือไว้เพื่อตนแม้แต่น้อยหนึ่ง ชื่อว่าทานไม่มีส่วนเหลือ
ทานนั้นย่อมมีผลมาก นายภัตตภติกะนั้น เมื่อทาอย่างนั้นจึงได้ถวายหมด ไหว้อีกแล้ว เรียนว่า
ท่านขอรับ ผมอาศัยถาดอาหารถาดเดียว ต้องทาการรับจ้างในเรือนของคนอื่นถึง ๓ ปี
ได้เสวยทุกข์แล้ว บัดนี้ ขอความสุขจงมีแก่กระผมในที่ที่บังเกิดแล้วเถิด ขอกระผมพึงมีส่วน
แห่งธรรมที่ท่านเห็นแล้วเถิด
พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า ขอจงสมคิดเหมือนแก้วสารพัดนึก ความดาริอันให้
ความใคร่ทุกอย่างจงบริบูรณ์แก่ท่าน เหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญฉะนั้น
เมื่อจะทาอนุโมทนา จึงกล่าวว่า
สิ่งที่ท่านมุ่งหมายแล้ว จงสาเร็จพลันทีเดียว ความดาริทั้งปวง จงเต็มเหมือน
พระจันทร์เพ็ญ สิ่งที่ท่านมุ่งหมายแล้ว จงสาเร็จพลันทีเดียว ความดาริทั้งปวง จงเต็ม
เหมือนแก้วมณีโชติรส ฉะนั้น
ในกาลต่อมา แม้พระราชาทรงสดับกรรมที่นายภัตตภติกะนี้ทาแล้ว จึงได้รับสั่งให้เรียก
เข้ามาเฝ้า แล้วพระราชทานทรัพย์ให้พันหนึ่ง ทรงรับส่วนบุญ ทรงพอพระทัย พระราชทาน
โภคะเป็นอันมาก แล้วก็ได้พระราชทานตาแหน่งเศรษฐีให้ เขาได้มีชื่อว่า ภัตตภติกเศรษฐี
ภัตตภติกเศรษฐีนั้นเป็นสหายกับคันธเศรษฐี กินดื่มร่วมกัน ดารงอยู่ตลอดอายุแล้ว จุติจาก
อัตภาพนั้นแล้ว ได้บังเกิดในเทวโลก เสวยสมบัติอันเป็นทิพย์ ๑ พุทธันดรในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้ถือปฏิสนธิในตระกูลอุปัฏฐากของพระสารีบุตรเถระ ในเมือง
สาวัตถี ครั้งนั้น มารดาของทารกนั้นได้ครรภบริหารแล้ว โดยล่วงไป ๒-๓ วัน ก็เกิดแพ้ท้องว่า
โอหนอ เราถวายโภชนะมีรส ๑๐๐ ชนิดแก่พระสารีบุตรเถระพร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป นุ่งผ้า
ย้อมฝาดแล้ว ถือขันทองนั่งอยู่ ณ ท้ายอาสนะ พึงบริโภคอาหารที่เหลือเดนของภิกษุทั้งหลาย
นั้น ดังนี้แล้ว ทาตามความคิดนั้น บรรเทาความแพ้ท้องแล้ว
นางแม้ในกาลมงคลอื่น ๆ ถวายทานอย่างนั้นเหมือนกัน คลอดบุตรแล้ว ในวันตั้งชื่อ
จึงเรียนพระเถระว่า จงให้สิกขาบทแก่ลูกชายของฉันเถิด ท่านผู้เจริญ
พระเถระถามว่า เด็กนั้นชื่อไร
เมื่อมารดาของเด็กเรียนว่า ท่านผู้เจริญ จาเดิมแต่ลูกชายของฉันถือปฏิสนธิ ขึ้นชื่อ
ว่าทุกข์ ไม่เคยมีแก่ใครในเรือนนี้ เพราะฉะนั้น คาว่า สุขกุมาร นั่นแล ควรเป็นชื่อของเด็กนั้น
จึงถือเอาคานั้น เป็นชื่อของเด็กนั้น ได้ให้สิกขาบทแล้ว
ในกาลนั้น ความคิดได้เกิดแก่มารดาของเด็กนั้นอย่างนี้ว่า เราจะไม่ทาลายอัธยาศัย
ของลูกชายเรา แม้ในกาลมงคลทั้งหลาย มีมงคลเจาะหูเป็นต้น นางก็ได้ถวายทานอย่างนั้น
เหมือนกัน
ฝ่ายกุมาร ในเวลามีอายุ ๗ ขวบ ก็พูดว่า คุณแม่ ผมอยากออกบวชในสานักของ
พระเถระ นางตอบว่า ดีละ พ่อแม่จะไม่ทาลายอัธยาศัยของเจ้า ดังนี้แล้ว จึงนิมนต์พระเถระ
ให้ท่านฉันแล้ว ก็เรียนว่า ท่านผู้เจริญ ลูกชายของฉันอยากบวช ในเวลาเย็น จะนาเด็กนี้ไปสู่
วิหาร ส่งพระเถระไปแล้ว ให้ประชุมพวกญาติ กล่าวว่า ในเวลาที่ลูกชายของฉันเป็นคฤหัสถ์
พวกเราทากิจที่ควรทาในวันนี้แหละ ดังนี้แล้ว จึงแต่งตัวลูกชายนาไปวิหาร ด้วยสิริโสภาค
อันใหญ่ แล้วมอบถวายแก่พระเถระ
ฝ่ายพระเถระกล่าวกับสุขกุมารนั้นว่า พ่อ ธรรมดาการบวช ทาได้โดยยาก เจ้าอาจ
เพื่ออภิรมย์หรือ เมื่อสุขกุมารตอบว่า ผมทาตามโอวาทของท่าน ขอรับ จึงให้กัมมัฏฐาน
ให้บวชแล้ว
แม้มารดาบิดาของสุขกุมารนั้น เมื่อทาสักการะในการบวช ก็ถวายโภชนะมีรส
๑๐๐ ชนิดแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานในภายในวิหารนั่นเองตลอด ๗ วัน
ในเวลาเย็นจึงได้ไปสู่เรือนของตน
ในวันที่ ๘ พระสารีบุตรเถระ เมื่อภิกษุสงฆ์เข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต ทากิจที่ควร
ทาในวิหารแล้ว จึงให้สามเณรถือบาตรและจีวร เข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาตขณะเดินไปนั้น ทั้งสองพระเถระและสามเณรก็ได้ไปพบชาวนากาลังไขน้าเข้านา
ไปพบช่างสรกาลังดัดลูกศร และไปพบช่างถากกาลังถากไม้เพื่อทาล้อเกวียนเป็นต้น เมื่อเห็น
บุคคลทาสิ่งเหล่านี้ สุขสามเณรได้เรียนถามพระสารีบุตรว่า สิ่งของที่ไม่มีชีวิตทั้งหลาย
คนสามารถทาให้เป็นไปตามปรารถนาได้ใช่หรือไม่ เมื่อพระเถระตอบว่าใช่ สุขสามเณรก็เกิด
ความคิดว่า หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่คนเราถึงจะไม่สามารถฝึกจิตจนได้สมาธิ
และปัญญา สุขสามเณรจึงลาพระสารีบุตรเดินทางกลับวัดก่อน
ครั้งนั้น พระเถระให้ลูกกุญแจแก่สามเณรแล้ว ก็เข้าบ้านเพื่อบิณฑบาต สามเณรนั้น
ไปวิหารแล้ว เปิดห้องของพระเถระเข้าไป ปิดประตู นั่งหยั่งญาณลงในกายของตน
ด้วยเดชแห่งคุณของสามเณรนั้น อาสนะของท้าวสักกะแสดงอาการร้อน ท้าวสักกะ
พิจารณาดูว่า นี้เหตุอะไรหนอ เห็นสามเณรแล้ว ทรงดาริว่า สุขสามเณรถวายจีวรแก่
อุปัชฌาย์แล้ว กลับวิหารด้วยคิดว่า จะทาสมณธรรม ควรที่เราจะไปในที่นั้น จึงรับสั่งให้เรียก
ท้าวมหาราชทั้ง ๔ แล้วทรงส่งไปด้วยดารัสสั่งว่า พ่อทั้งหลาย พวกท่านจงไป จงไล่นกที่มี
เสียงเป็นโทษใกล้ป่าแห่งวิหารให้หนีไป
ท้าวมหาราชทั้งหลาย กระทาตามนั้นแล้ว ก็พากันรักษาอยู่โดยรอบ
ท้าวสักกะทรงบังคับพระจันทร์และพระอาทิตย์ว่า พวกท่านจงยึดวิมานของตนๆ
หยุดก่อน แม้พระจันทร์และพระอาทิตย์ก็กระทาตามนั้น
แม้ท้าวสักกะเอง ก็ทรงรักษาอยู่ที่สายยู วิหารสงบเงียบ ปราศจากเสียง
สามเณรเจริญวิปัสสนาด้วยจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง บรรลุมรรคและผล ๓ แล้ว
พระเถระอันสามเณรกล่าวว่า ท่านพึงนาโภชนะมีรส ๑๐๐ ชนิดมา ดังนี้แล้ว ก็คิดว่า
อันเราอาจเพื่อได้ในตระกูลของใครหนอ พิจารณาดูอยู่ ก็เห็นตระกูลอุปัฏฐากผู้สมบูรณ์ด้วย
อัธยาศัยตระกูลหนึ่ง จึงไปในตระกูลนั้น อันชนเหล่านั้นมีใจยินดีว่า ท่านผู้เจริญ ความดีอัน
ท่านผู้มาในที่นี้ในวันนี้กระทาแล้ว รับบาตรนิมนต์ให้นั่ง ถวายยาคูและของขบฉัน อันเขาเชิญ
กล่าวธรรมชั่วเวลาภัต จึงกล่าวสาราณียธรรมกถาแก่ชนเหล่านั้น กาหนดกาล ยังเทศนา
ให้จบแล้ว
คราวนั้น ชนทั้งหลายจึงถวายโภชนะมีรส ๑๐๐ ชนิดแก่พระเถระ เห็นพระเถระรับ
โภชนะแล้วประสงค์จะกลับ จึงเรียนว่า ฉันเถิดขอรับ พวกผมถวายโภชนะแม้อื่นอีก ให้พระเถระ
ฉันแล้ว ก็ถวายจนเต็มบาตรอีกพระเถระรับโภชนะแล้วก็รีบไปวิหาร ด้วยคิดว่า สามเณรของเราคงหิว
วันนั้น พระพุทธเจ้าเสด็จออกประทับนั่งในพระคันธกุฎีแต่เช้าตรู่ ทรงราพึงว่า วันนี้
สุขสามเณรส่งบาตรและจีวรของอุปัชฌาย์แล้ว กลับไปแล้วตั้งใจว่า จะทาสมณธรรม กิจของ
เธอสาเร็จแล้วหรือ พระองค์ทรงเห็นความที่มรรคผลทั้ง ๓ อันสามเณรบรรลุแล้ว จึงทรง
พิจารณาแม้ยิ่งขึ้นไปว่า สุขสามเณรนี้อาจไหมหนอ เพื่อบรรลุพระอรหัตผลในวันนี้ ส่วนพระ
สารีบุตรรับภัตแล้ว ก็รีบออกด้วยคิดว่า สามเณรของเราคงหิว ถ้าเมื่อสามเณรยังไม่บรรลุ
อรหัตผล พระสารีบุตรนาภัตมาก่อน อันตรายก็จะมีแก่สามเณรนี้ ควรเราไปยึดอารักขาอยู่ที่
ซุ้มประตู
ครั้นทรงดาริแล้ว จึงเสด็จออกจากคันธกุฎี ประทับยืนยึดอารักขาอยู่ที่ซุ้มประตู
ฝ่ายพระเถระก็นาภัตมา ครั้งนั้น พระพุทธองค์ตรัสถามปัญหา ๔ ข้อกับพระเถระนั้น
ในที่สุดแห่งการวิสัชนาปัญหา สามเณรก็บรรลุอรหัตผล
พระพุทธเจ้าตรัสเรียกพระเถระมาแล้ว ตรัสว่า สารีบุตรจงไปเถิด จงให้ภัตแก่สามเณร
ของเธอ พระเถระไปถึงแล้วจึงเคาะประตู สามเณรออกมาทาวัตรแก่อุปัชฌาย์แล้ว
เมื่อพระเถระบอกว่า จงทาภัตกิจ ก็รู้ว่าพระเถระไม่มีความต้องการด้วยภัต เป็นเด็ก
มีอายุ ๗ ขวบ บรรลุพระอรหัตผลในขณะนั้นนั่นเอง ตรวจตราดูที่นั่งอันต่า ทาภัตกิจแล้ว
ก็ล้างบาตร
ในกาลนั้น ท้าวมหาราช ๔ องค์ ก็พากันเลิกการรักษา ถึงพระจันทร์พระอาทิตย์
ก็ปล่อยวิมาน แม้ท้าวสักกะก็ทรงเลิกอารักขาที่สายยู พระอาทิตย์ปรากฏคล้อยเลยท่ามกลาง
ฟ้าไปแล้ว
ภิกษุทั้งหลายพากันพูดว่า กาลเย็นปรากฏ สามเณรเพิ่งทาภัตกิจเสร็จเดี๋ยวนี้เอง
ทาไมหนอ วันนี้เวลาเช้าจึงมาก เวลาเย็นจึงน้อย
พระพุทธเจ้าเสด็จมาตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เธอทั้งหลายนั่งประชุมกันด้วย
เรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลว่า พระเจ้าข้า วันนี้ เวลาเช้ามาก เวลาเย็นน้อย สามเณร
เพิ่งฉันภัตเสร็จเดี๋ยวนี้เอง ก็แลเป็นไฉน พระอาทิตย์จึงปรากฏคล้อยเคลื่อนท่ามกลางฟ้าไป
จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ในเวลาทาสมณธรรมของผู้มีบุญทั้งหลาย ย่อมเป็นเช่นนั้น ก็ในวันนี้
ท้าวมหาราช ๔ องค์ยึดอารักขาไว้โดยรอบ พระจันทร์และพระอาทิตย์ได้ยึดวิมานหยุดอยู่
ท้าวสักกะทรงยึดอารักขาที่สายยู ถึงเราก็ยึดอารักขาอยู่ที่ซุ้มประตูวันนี้ สุขสามเณรเห็นคนไขน้าเข้าเหมือง ช่างศรดัดศรให้ตรง ช่างถาก ถากทัพ
สัมภาระทั้งหลาย มีล้อเป็นต้นแล้ว ฝึกตน บรรลุอรหัตผลแล้ว ดังนี้

๑๗. สังกิจจสามเณร

๑๗. สังกิจจสามเณร
สังกิจจสามเณร เป็นบุตรของเศรษฐีชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง ในขณะที่อยู่ในท้อง
มารดานั่นเอง มารดาได้เสียชีวิตลง ญาติพี่น้องจึงนานางไปเผา ในขณะที่ไฟกาลังไหม้ร่างกาย
ของนางอยู่นั้น เป็นอัศจรรย์ที่ไฟไม่ไหม้ส่วนท้อง พวกสัปเหร่อได้ใช้หลาวเหล็กแทงส่วน
ท้องที่ไฟไหม้นั้นเสร็จแล้วก็กลบด้วยถ่านเพลิง ปลายหลาวเหล็กได้ไปกระทบที่หางตาของทารกนั้นพอดี พอกลบถ่านเพลิงเข้ากับส่วนที่ยังไม่ไหม้แล้วก็พากันกลับบ้านด้วยหวังว่าพรุ่งนี้
ค่อยมาดับไฟเก็บอัฐิ ไฟได้ไหม้ร่างกายของมารดาจนหมดสิ้น เว้นไว้เฉพาะทารกน้อยเท่านั้น
ที่รอดชีวิตอยู่ได้อย่างปาฏิหาริย์เหมือนกับนอนอยู่ในกลีบบัว ไฟไม่ได้ทาอันตรายใด ๆ เลย
ที่เป็นเช่นนั้น เพราะผู้ที่เกิดในภพสุดท้าย ถ้ายังไม่บรรลุพระอรหันต์แล้ว อะไรก็ไม่สามารถ
ทาให้เสียชีวิตได้
เช้าวันรุ่งขึ้น พวกสัปเหร่อมาดับไฟเห็นเด็กเพศชายนอนอยู่โดยปราศจากอันตราย
ก็อัศจรรย์ใจ อุ้มกลับบ้านไปให้พวกหมอทานายชีวิตดู หมอทานายไว้ ๒ ด้านคือ ถ้าเด็กอยู่
ครองเรือน พวกเครือญาติ ๗ ชั่วโคตรจะไม่ยากจน ถ้าออกบวชจะมีพระ ๕๐๐ รูป เป็นบริวาร
แวดล้อม พวกญาติจึงตั้งชื่อให้ว่าสังกิจจะ เพราะหางตาเป็นแผลเนื่องจากถูกหลาวเหล็ก
สังกิจจกุมารมีอายุได้ ๗ ขวบ เมื่อทราบประวัติของตนเองจากปากของเด็กเพื่อนบ้าน
ก็ปรารถนาจะบวช พวกญาติจึงพาไปขอบวชในสานักพระสารีบุตร ในวันบวช พระเถระ
ให้ตจปัญจกกัมมัฏฐานแล้วให้บวช สามเณรได้บรรลุอรหัตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ในขณะ
ที่ปลงผมเสร็จนั้นเอง
สมัยนั้น มีกุลบุตรชาวเมืองสาวัตถีประมาณ ๓๐ คน ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้ว
มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาจึงขอบวช เมื่อบวชได้ ๕ พรรษา เรียนวิปัสสนากัมมัฏฐาน
จากพระพุทธเจ้าแล้ว มีความประสงค์จะพากันไปปฏิบัติธรรม ณ ป่าแห่งหนึ่ง จึงพากันมาทูลลา
พระพุทธเจ้า พระพุทธองค์เห็นภัยอย่างหนึ่งจะเกิดแก่ภิกษุเหล่านี้ เกรงว่าจะไม่บรรลุธรรม
มีสังกิจจสามเณรเท่านั้นที่จะช่วยเหลือพระเหล่านี้ได้ พระองค์จึงรับสั่งให้ภิกษุเหล่านั้นไป
อาลาพระสารีบุตรก่อนแล้วค่อยไป
พวกภิกษุได้ไปลาพระสารีบุตร พระเถระทราบความนัยจึงเอ่ยปากมอบสังกิจจ
สามเณรให้ไปด้วย พวกภิกษุปฏิเสธเกรงว่าจะเป็นภาระไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม พระเถระจึงบอกให้
ทราบว่า สามเณรนี้จะไม่เป็นภาระแก่พวกเธอ พวกเธอต่างหากจะเป็นภาระแก่สามเณร
พระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องนี้ดีจึงส่งพวกเธอมาลาเรา เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกภิกษุจึงจาเป็นต้อง
พาสามเณรไปด้วย รวมกันเป็น ๓๑ รูป อาลาพระเถระแล้วก็ออกเดินทางไป
เดินทางถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง พวกชาวบ้านมีความเลื่อมใสศรัทธา จึงนิมนต์ให้อยู่
จาพรรษาพร้อมรับปากจะพากันอุปถัมภ์บารุงตลอดพรรษา พวกภิกษุเหล่านั้นจึงรับนิมนต์
ในวันเข้าพรรษา พวกภิกษุได้ตั้งกติกากันไว้ว่า ยกเว้นเวลาเช้าบิณฑบาตและเวลา
เย็นบารุงพระเถระเท่านั้น เวลาที่เหลือให้ปฏิบัติธรรมห้ามอยู่ด้วยกัน ๒ รูป ต้องบรรลุธรรมให้ได้ภายในพรรษานี้ ถ้ารูปใดไม่สบายพึงตีระฆังบอก พวกเราจะมาปรุงยาถวาย เมื่อทา
กติกาตกลงกันอย่างนี้แล้ว ก็แยกย้ายกันไปปฏิบัติธรรม
ต่อมาวันหนึ่ง มีชายยากไร้คนหนึ่ง หนีภัยแล้งมาจากต่างเมืองหวังจะไปขอพึ่งพา
ลูกสาวอีกเมืองหนึ่ง เดินผ่านมาถึงหมู่บ้านนั้นด้วยอาการอิดโรย ขณะนั้นพวกพระภิกษุได้
กลับมาจากบิณฑบาตกาลังจะฉันเช้า พอดีพบเข้าจึงสอบถาม เมื่อทราบเรื่องแล้วเกิดความ
สงสารเขาที่ไม่ได้กินข้าวมาหลายวันแล้ว จึงบอกให้ไปหาใบไม้มาจะแบ่งอาหารให้
ธรรมเนียมของพระสงฆ์อย่างหนึ่งก็คือ ภิกษุเมื่อจะให้อาหารแก่ผู้มาในเวลาฉัน
ไม่ให้อาหารที่เป็นยอด พึงให้มากบ้างน้อยบ้าง เท่ากับส่วนที่จะฉันเอง
ชายยากไร้หลังกินข้าวอิ่มแล้วก็สอบถามพวกท่านว่า
มีกิจนิมนต์หรือไร พระคุณเจ้าจึงได้อาหารมากมายขนาดนี้
ไม่มีหรอกโยม เป็นเรื่องปกติของที่นี่ พวกภิกษุตอบ
เขาคิดว่า เราทางานแทบตายก็ไม่ได้กินอาหารดีเช่นนี้ จะไปอยู่ทาไมที่อื่น อยู่อาศัย
กับพระพวกนี้ สบายดีกว่า จึงขออาศัยอยู่ทาวัตรปฏิบัติอุปัฏฐากพระสงฆ์ด้วย พวกพระภิกษุ
ก็อนุญาต เขาขยันทางานช่วยเหลือพระภิกษุเหล่านั้นเป็นอย่างดี
เวลาผ่านไป ๒ เดือน ชายยากไร้นั้นอยู่สุขสบายดีตลอดมา ต่อมาคิดถึงลูกสาว
จึงแอบหนีออกจากที่พักสงฆ์ไปโดยไม่บอกกล่าวอาลาแก่ผู้ใด เพราะเกรงว่าพระสงฆ์จะไม่
อนุญาต
หนทางที่ชายยากไร้นั้นไปจะต้องผ่านดงใหญ่แห่งหนึ่ง ในดงนั้นมีโจร ๕๐๐ คน
ได้บนบานเทวดาว่าจะถวายพลีกรรมในวันที่ ๗ พอดี เมื่อชายยากไร้นั้นเดินผ่านเข้าไป
กลางดงก็ถูกพวกโจรจับตัวมัดไว้เตรียมที่จะทาพิธีพลีกรรมแก่เทวดา
เขาตกใจกลัวตาย ได้ร้องขอชีวิตไว้และเสนอว่า เขาเป็นคนยากไร้ เทวดาอาจจะไม่
ชอบใจ พวกภิกษุเป็นผู้มีศีลสกุลสูง เทวดาท่านคงจะชอบใจ ไปจับพวกภิกษุมาทาพลีกรรม
จะดีกว่า พวกโจรเห็นดีด้วยจึงให้เขาพาไปที่พักสงฆ์
เขาได้พาพวกโจรไปที่สานักสงฆ์แล้วตีระฆัง พวกภิกษุเมื่อได้ยินเสียงระฆังเข้าใจว่า
มีภิกษุไม่สบายก็มารวมกันที่ศาลา หัวหน้าโจรจึงประกาศให้ทราบว่าต้องการภิกษุ ๑ รูป
เพื่อไปทาพลีกรรมพระทั้ง ๓๐ รูป ต่างอาสาไปตายทั้งสิ้น ตกลงกันไม่ได้ สังกิจจสามเณรจึงขออาสา
ไปเอง พวกภิกษุไม่ยอม เพราะสามเณรเป็นลูกศิษย์ของพระสารีบุตรฝากมา เกรงว่าพระเถระ
จะติเตียนได้ สามเณรจึงบอกให้ทราบว่าพระพุทธเจ้าและพระอุปัชฌาย์ให้ตนมาก็เพื่อมา
แก้ปัญหานี้เอง จึงยกมือไหว้พวกภิกษุ เดินตามพวกโจรไป
พวกภิกษุซึ่งยังเป็นปุถุชนต่างก็ร้องไห้สงสารสามเณรพร้อมกับกาชับหัวหน้าโจรว่า
ในช่วงที่พวกท่านตระเตรียมสิ่งของ ขอให้นาสามเณรไปไว้ที่อื่นก่อน สามเณรจะกลัว
หัวหน้าโจรได้นาสามเณรไปที่ดงนั้นแล้วทาตามพวกภิกษุสั่งไว้ เมื่อตระเตรียมทุก
อย่างเสร็จแล้ว หัวหน้าโจรได้ถือดาบเดินเข้าไปหาสามเณรหวังจะตัดคอ สามเณรได้นั่ง
เข้าฌานนิ่งอยู่ พอไปถึงหัวหน้าโจรก็ฟันลงเต็มแรงปรากฏว่าดาบงอ เขาเข้าใจว่าฟันไม่ดี
จึงยกดาบขึ้นฟันใหม่ ปรากฏว่าดาบพับม้วนจนถึงด้าม
หน้าโจรเห็นปาฏิหาริย์เช่นนี้เกิดอัศจรรย์ใจยิ่งนักคิดว่า ดาบเราฟันหินยังขาด
แต่บัดนี้ ได้งอพับดังใบตาล ดาบนี้ไม่มีจิตใจยังรู้คุณของสามเณร เรามีจิตใจยังไม่สานึกเสียอีก
ได้ทิ้งดาบลงดินแล้วคุกเข่าลงกราบสามเณรพร้อมถามว่า เณรน้อย คนเป็นพันเห็น
พวกผมแล้วต้องตัวสั่นวิ่งหนีไป แต่สาหรับท่านแล้วแม้เพียงความสะดุ้งแห่งจิตก็มิได้มีเลย
หน้าตาก็ผุดผ่องแจ่มใส ทาไมท่านจึงไม่ร้องขอชีวิตเล่า
สามเณรออกจากฌานแล้วแสดงธรรมแก่หัวหน้าโจรว่า โยม ธรรมดาอัตภาพของ
พระอรหันต์ เป็นเหมือนของหนักวางอยู่บนศีรษะ พระอรหันต์เมื่ออัตภาพนี้แตกไปย่อมยินดี
พระอรหันต์จึงไม่กลัวตาย ทุกข์ทางใจย่อมไม่มีแก่พระอรหันต์ ผู้ไม่มีความห่วงใย ผู้ก้าวล่วง
ทุกอย่างได้แล้ว หัวหน้าโจรพอได้ฟังคาสามเณรแล้ว พร้อมลูกน้องทั้งหมดได้ไหว้สามเณร
แล้วขอบวช
สามเณรได้ตัดผมและชายผ้าด้วยดาบของโจรเหล่านั้นแล้วให้บวชเป็นสามเณร
ถือศีล ๑๐ เสร็จแล้วได้พาสามเณรเหล่านั้นกลับไปยังที่พักสงฆ์ ให้พวกภิกษุทราบความ
ปลอดภัยของตน แล้วได้อาลาพวกภิกษุพาสามเณรเหล่านั้นไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมเทศนาว่า ผู้มีศีลแม้มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียว ยังประเสริฐ
กว่าการทาโจรกรรม ไม่มีศีล มีชีวิตอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี ในเวลาจบพระธรรมเทศนา สามเณร
เหล่านั้นได้บรรลุพระอรหันต์ทั้งหมด