วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

๑๖. บัณฑิตสามเณร

๑๖. บัณฑิตสามเณร
ในอดีตกาล บัณฑิตสามเณร เกิดเป็นชายเข็ญใจ ชื่อมหาทุคคตะ ด้วยอานิสงส์
แห่งทาน มีการถวายภัตตาหารประกอบด้วยรสปลาตะเพียนเป็นต้นแด่พระกัสสปพุทธเจ้า
พระเจ้าแผ่นดินได้พระราชทานทรัพย์สมบัติมากมาย และสถาปนาเขาไว้ในตาแหน่งเศรษฐี
อย่างเป็นทางการ แม้เบื้องหน้าแต่นั้น เขาดารงอยู่ บาเพ็ญบุญจนตลอดอายุ ในที่สุดอายุได้
บังเกิดในเทวโลกเสวยทิพยสมบัติสิ้นพุทธันดรหนึ่ง ในพุทธุปบาทกาลนี้ จุติจากนั้นแล้วถือ
ปฏิสนธิในท้องธิดาคนโตในตระกูลอุปัฏฐากของพระสารีบุตรเถระ ในกรุงสาวัตถี
ครั้งนั้น มารดาบิดาของนางรู้ว่านางตั้งครรภ์ จึงได้ให้เครื่องบริหารครรภ์ โดยสมัยอื่น
นางเกิดแพ้ท้องเห็นปานนี้ว่า โอ้ เราพึงถวายทานแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป ตั้งต้นแต่พระธรรม
เสนาบดี ด้วยรสปลาตะเพียนแล้วนุ่งผ้าย้อมน้าฝาดนั่งในที่สุดอาสนะ บริโภคภัตที่เป็นเดน
ของภิกษุเหล่านั้น
นางบอกแก่มารดาบิดาแล้วก็ได้กระทาตามประสงค์ ความแพ้ท้องระงับไปแล้ว
ต่อมา ในงานมงคล ๗ ครั้งแม้อื่นจากนี้ มารดาบิดาของนางเลี้ยงภิกษุ ๕๐๐ รูป
มีพระธรรมเสนาบดีเถระเป็นประมุข ด้วยรสปลาตะเพียนเหมือนกัน
ก็ในวันตั้งชื่อ เมื่อมารดาของเด็กนั้นกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงให้สิกขาบท
ทั้งหลายแก่ทาสของท่านเถิด
พระเถระถามว่า เด็กนี้ชื่ออะไร
มารดาของเด็กตอบว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ คนเงอะงะในเรือนนี้ แม้พวกพูดไม่ได้เรื่อง
ก็กลับเป็นผู้ฉลาดตั้งแต่กาลที่เด็กนี้ถือปฏิสนธิในท้อง เพราะฉะนั้น บุตรของดิฉันควรมีชื่อว่า
หนูบัณฑิต เถิด
พระเถระได้ให้สิกขาบททั้งหลายแล้ว ก็ตั้งแต่วันที่หนูบัณฑิตเกิดมา ความคิดเกิดขึ้น
แก่มารดาของเขาว่า เราจะไม่ทาลายอัธยาศัยของบุตรเรา ในเวลาที่เขามีอายุได้ ๗ ขวบ
เขากล่าวกับมารดาว่า ผมขอบวชในสานักพระเถระ นางกล่าวว่า ได้ พ่อคุณ แม่ได้นึกไว้เสมอ
อย่างนี้ว่า จะไม่ทาลายอัธยาศัยของเจ้า ดังนี้แล้วจึงนิมนต์พระเถระให้ฉันแล้วกล่าวว่า ข้าแต่
ท่านผู้เจริญ ทาสของท่านอยากจะบวช ดิฉันจะนาเด็กนี้ไปวิหารในเวลาเย็น ส่งพระเถระไป
แล้ว ให้หมู่ญาติประชุมกัน กล่าวว่า พวกข้าพเจ้าจะทาสักการะที่ควรทาแก่บุตรของข้าพเจ้า
ในเวลาเป็นคฤหัสถ์ ในวันนี้ทีเดียว ดังนี้แล้ว ก็ให้ทาสักการะมากมาย พาหนูบัณฑิตนั้นไปสู่
วิหาร ได้มอบถวายแก่พระเถระว่า ขอท่านจงให้เด็กนี้บวชเถิด เจ้าข้าพระเถระบอกความที่การบวชเป็นกิจทาได้ยากแล้ว เมื่อเด็กรับรองว่า ผมจะทาตาม
โอวาทของท่านขอรับ จึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น จงมาเถิด ชุบผมให้เปียกแล้วบอกตจปัญจก-
กัมมัฏฐานให้บวชแล้ว
แม้มารดาบิดาของบัณฑิตสามเณรนั้นอยู่ในวิหารสิ้น ๗ วัน ถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์
มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยรสปลาตะเพียนอย่างเดียว ในวันที่ ๗ เวลาเย็นจึงได้ไปเรือน
ในวันที่ ๘ พระเถระเมื่อจะไปภายในบ้าน พาสามเณรนั้นไป ไม่ได้ไปกับหมู่ภิกษุ
เพราะเหตุไร
เพราะว่า การห่มจีวรและถือบาตรหรืออิริยาบถของเธอยังไม่น่าเลื่อมใสก่อน
อีกอย่างหนึ่ง วัตรที่พึงทาในวิหารของพระเถระยังมีอยู่
อนึ่ง พระเถระ เมื่อภิกษุสงฆ์เข้าไปภายในบ้านแล้ว เที่ยวไปทั่ววิหาร กวาดสถานที่
ที่ยังไม่ได้กวาด ตั้งน้าฉันน้าใช้ไว้ภายในภาชนะที่ว่างเปล่า เก็บเตียงตั่งเป็นต้นที่ยังเก็บไว้
ไม่เรียบร้อยแล้ว จึงเข้าไปบ้านภายหลัง อีกอย่างหนึ่ง ท่านคิดว่า พวกเดียรถีย์เข้าไปยังวิหาร
ว่างแล้ว อย่าได้พูดว่า ดูเถิด ที่นั่งของพวกสาวกพระสมณโคดม ดังนี้แล้ว จึงได้จัดแจงวิหาร
ทั้งสิ้น เข้าไปบ้านภายหลัง เพราะฉะนั้น แม้ในวันนั้น พระเถระให้สามเณรถือบาตรและจีวร
เข้าไปบ้านสายหน่อย
บัณฑิตสามเณรได้ไปบิณฑบาตกับพระสารีบุตรเถระ ระหว่างทางเห็นคนชักน้า
จากเหมือง เกิดสงสัยจึงถามว่า น้ามีจิตใจหรือไม่ พระเถระตอบว่า น้าไม่มีจิตใจ สามเณร
จึงคิดว่า เมื่อคนสามารถชักน้าซึ่งไม่มีจิตใจไปสู่ที่ที่ตนเองต้องการได้ แต่เหตุใดจึงไม่สามารถ
บังคับจิตให้อยู่ในอานาจได้
เดินต่อไป ได้เห็นคนกาลังถากไม้ทาเกวียนอยู่ ถึงถามว่า ไม้นั้นมีจิตใจหรือไม่
เมื่อพระเถระตอบว่า ไม้ไม่มีจิตใจ สามเณรจึงคิดว่า คนสามารถนาท่อนไม้ที่ไม่มีจิตใจมาทา
เป็นล้อได้ แต่ทาไมไม่สามารถบังคับจิตใจได้
เดินต่อไป ได้เห็นคนกาลังใช้ไฟลนลูกศรเพื่อจะดัดให้ตรงจึงถามว่า ลูกศรนั้นมีจิตใจ
หรือไม่ เมื่อพระเถระตอบว่า ลูกศรไม่มีจิตใจ สามเณรจึงคิดว่า คนสามารถดัดลูกศรให้ตรงได้
แต่ทาไมไม่สามารถบังคับจิตให้อยู่ในอานาจได้
ทันใดนั้น สามเณรได้เกิดความคิดที่จะปฏิบัติธรรมขึ้น จึงได้ขอพระเถระนาอาหาร
มาฝากตนด้วย พระเถระได้รับปากและมอบลูกดาล (กุญแจ) ให้พร้อมกับสั่งให้ไปปฏิบัติธรรม
ในห้องของท่าน สามเณรได้ทาตามทุกอย่างและก็เริ่มบาเพ็ญสมณธรรมครั้งนั้น ที่ประทับนั่งของท้าวสักกะ แสดงอาการร้อนด้วยเดชแห่งคุณของสามเณร
ท้าวเธอใคร่ครวญว่า มีเหตุอะไรกันหนอ ทรงดาริได้ว่า บัณฑิตสามเณรถวายบาตรและจีวร
แก่พระอุปัชฌาย์แล้วกลับด้วยตั้งใจว่า จะทาสมณธรรม แม้เราก็ควรไปในที่นั้น ดังนี้แล้วตรัส
เรียกท้าวมหาราชทั้ง ๔ มา ตรัสว่า พวกท่านจงไปไล่นกที่บินจอแจอยู่ในป่าใกล้วิหารให้หนีไป
แล้วยึดอารักขาไว้โดยรอบ ตรัสกับจันทเทพบุตรว่า ท่านจงรั้งมณฑลพระจันทร์ไว้ ตรัสกับ
สุริยเทพบุตรว่า ท่านจงฉุดรั้งมณฑลพระอาทิตย์ไว้ ดังนี้แล้ว พระองค์เองได้เสด็จไปประทับ
ยืนยึดอารักขาอยู่ที่สายยูในพระวิหาร แม้เสียงแห่งใบไม้แก่ก็มิได้มี จิตของสามเณรได้อารมณ์
เป็นหนึ่ง เธอพิจารณาอัตภาพแล้วบรรลุผล ๓ อย่างในระหว่างภัตนั้นเอง
ฝ่ายพระเถระคิดว่า สามเณรนั่งในวิหาร เราอาจจะได้โภชนะที่สมประสงค์แก่เธอ
ในสกุลชื่อโน้น ดังนี้แล้ว จึงได้ไปสู่ตระกูลอุปัฏฐากซึ่งประกอบด้วยความรักและเคารพ
ตระกูลหนึ่ง
ก็ในวันนั้น มนุษย์ทั้งหลายในตระกูลนั้น ได้ปลาตะเพียนหลายตัว นั่งดูการมาแห่ง
พระเถระอยู่ พวกเขาเห็นพระเถระกาลังมาจึงกล่าวว่า ท่านขอรับ ท่านมาที่นี้ ทากรรมเจริญ
แล้วนิมนต์ให้เข้าไปข้างใน ถวายข้าวยาคูและของควรเคี้ยวเป็นต้นแล้ว ได้ถวายบิณฑบาต
ด้วยรสปลาตะเพียน พระเถระแสดงอาการจะนาไป พวกมนุษย์เรียนว่า นิมนต์ฉันเถิดขอรับ
ใต้เท้าจะได้แม้ภัตสาหรับจะนาไป ในเวลาเสร็จภัตกิจของพระเถระ ได้เอาภาชนะประกอบด้วย
รสปลาตะเพียนใส่เต็มบาตรถวาย พระเถระคิดว่า สามเณรของเราหิวแล้วจึงได้รีบไป
แม้พระพุทธเจ้า ในวันนั้นเสวยแต่เช้า เสด็จไปวิหารใคร่ครวญว่า บัณฑิตสามเณรให้
บาตรและจีวรแก่พระอุปัชฌาย์แล้วกลับไปด้วยตั้งใจว่าจะทาสมณธรรมกิจแห่งบรรพชิต
ของเธอ จะสาเร็จหรือไม่ ทรงทราบว่า สามเณรบรรลุผล ๓ อย่างแล้ว จึงทรงพิจารณาว่า
อุปนิสัยแห่งอรหัตผลจะมีหรือไม่มี ทรงเห็นว่า มี แล้วทรงใคร่ครวญว่า เธอจะบรรลุอรหัตผล
ก่อนภัตหรือไม่ ได้ทรงทราบว่า บรรลุ
ลาดับนั้น พระองค์ได้มีความปริวิตกอย่างนี้ว่า สารีบุตรถือภัตเพื่อสามเณรรีบมา
เธอจะพึงทาอันตรายแก่สามเณรนั้นได้ เราจะนั่งถือเอาอารักขาที่ซุ้มประตู ทีนั้นจะถามปัญหา
๔ ข้อ เมื่อเธอแก้อยู่ สามเณรจะบรรลุอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ดังนี้แล้ว จึงเสด็จไป
จากวิหาร ประทับยืนอยู่ที่ซุ้มประตู ตรัสถามปัญหา ๔ ข้อกับพระเถระผู้มาถึงแล้ว
เมื่อพระเถระแก้ปัญหาทั้ง ๔ ข้อเหล่านี้อย่างนั้นแล้ว สามเณรก็ได้บรรลุอรหัตผล
พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ฝ่ายพระพุทธเจ้าตรัสกับพระเถระว่า ไปเถิด สารีบุตร จงให้ภัตแก่สามเณรของเธอ พระเถระไปเคาะประตูแล้ว สามเณรออกมารับบาตรจากมือพระเถระวางไว้
ณ ส่วนข้างหนึ่ง จึงเอาพัดก้านตาลพัดพระเถระ
ลาดับนั้น พระเถระกล่าวว่า สามเณร จงทาภัตกิจเสียเถิด
สามเณรเรียนถามว่า ก็ใต้เท้าเล่า ขอรับ
พระเถระกล่าวว่า เราทาภัตกิจเสร็จแล้ว เธอจงทาเถิด
เด็กอายุ ๗ ขวบบวชแล้ว ในวันที่ ๘ บรรลุอรหัตผล เป็นเหมือนดอกปทุมที่แย้มแล้ว
ในขณะนั้น ได้นั่งพิจารณาที่เป็นที่ใส่ภัต ทาภัตกิจแล้ว
ในขณะที่เธอล้างบาตรเก็บไว้ จันทเทพบุตรปล่อยมณฑลพระจันทร์ สุริยเทพบุตร
ปล่อยมณฑลพระอาทิตย์ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ เลิกอารักขาทั้ง ๔ ทิศ ท้าวสักกเทวราช
เลิกอารักขาที่สายยู พระอาทิตย์ เคลื่อนคล้อยไปแล้วจากที่ท่ามกลาง
ภิกษุทั้งหลายโพนทะนาว่า เงา บ่ายเกินประมาณแล้ว พระอาทิตย์เคลื่อนคล้อยไป
จากที่ท่ามกลาง ก็สามเณรฉันเสร็จเดี๋ยวนี้เอง นี่เรื่องอะไรกันหนอ
พระพุทธเจ้าทรงทราบความเป็นไปนั้นแล้วเสด็จมา ตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลายพวกเธอ
พูดอะไรกัน
พวกภิกษุกราบทูลว่า เรื่องชื่อนี้ พระเจ้าข้า
พระพุทธเจ้าตรัสว่า อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย ในเวลาผู้มีบุญทาสมณธรรม จันทเทพบุตร
ฉุดมณฑลพระจันทร์รั้งไว้ สุริยเทพบุตรฉุดมณฑลพระอาทิตย์รั้งไว้ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ถือ
อารักขาทั้ง ๔ ทิศ ในป่าใกล้วิหาร ท้าวสักกเทวราชเสด็จมายึดอารักขาที่สายยู ถึงเราผู้มี
ความขวนขวายน้อยด้วยนึกเสียว่า เป็นพระพุทธเจ้า ก็ไม่อาจจะนั่งอยู่ได้ ยังได้ไปยึดอารักขา
เพื่อบุตรของเรา ที่ซุ้มประตู แล้วตรัสต่อไปว่า วันนี้บัณฑิตสามเณรเห็นคนไขน้าไปจากเหมือง
ช่างศรกาลังดัดลูกศรให้ตรง และช่างถากกาลังถากไม้แล้ว ถือเอาเหตุเท่านั้นให้เป็นอารมณ์
ทรมานตนบรรลุอรหัตผลแล้ว ดังนี้

๑๕. พระกีสาโคตมีเถรี

๑๕. พระกีสาโคตมีเถรี
พระกีสาโคตมีเถรี ถือกาเนิดในสกุลคนเข็ญใจ ในกรุงสาวัตถี บิดามารดาตั้งชื่อให้
นางว่าโคตมี แต่เพราะนางเป็นผู้มีรูปร่างผอมบาง คนทั่วไปจึงพากันเรียกนางว่ากีสาโคตมี
ในกรุงสาวัตถีนั้น มีเศรษฐีคนหนึ่งมีทรัพย์สินเงินทองมากมายถึง ๔๐ โกฏิ แต่ต่อมา
ทรัพย์เหล่านั้นกลายสภาพเป็นถ่านไปทั้งหมด เศรษฐีจึงเกิดความเสียดาย เศร้าโศกเสียใจ
กินไม่ได้นอนไม่หลับ ร่างกายซูบผอมไปจากเดิม มีสหายคนหนึ่งมาเยี่ยมเยียน ได้ทราบสาเหตุ
ความทุกข์ของเศรษฐีแล้ว จึงแนะนาที่จะให้ถ่านเหล่านั้นกลับมาเป็นเงินเป็นทองดังเดิมว่า
แนะสหาย ท่านจงนาถ่านทั้งหมดนี้ออกไปวางที่ริมถนนในตลาด ทาทีประหนึ่งว่านาสินค้า
ออกมาขาย ถ้ามีคนผ่านไปผ่านมาพูดว่า คนอื่น ๆ เขาขายผ้า ขายน้ามัน น้าผึ่ง น้าอ้อย เป็นต้น
แต่ท่านกลับ เอาเงินเอาทองมานั่งขาย ถ้าคนที่พูดนั้นเป็นหญิงสาว ท่านก็จงสู่ขอนางมาเป็น
สะใภ้ แล้วมอบทรัพย์ทั้งหมดนั้นให้แก่เธอ ท่านก็จงอาศัยเลี้ยงชีพอยู่กับเธอนั้น แต่ถ้าคนที่
พูดเป็นชายหนุ่ม ท่านก็จงยกธิดาให้แก่เขา แล้วมอบทรัพย์ทั้งหมดให้แก่เขาโดยทานองเดียวกันเศรษฐีได้ฟังสหายแนะนาแล้วเห็นชอบ จึงทาตามสหายแนะนาทุกอย่าง ประชาชน
ที่ผ่านไปผ่านมาต่างก็พูดกันว่า คนอื่น ๆ เขาขายผ้า ขายน้ามัน น้าผึ้ง น้าอ้อย เป็นต้น แต่ท่าน
กลับมานั่งขายถ่าน เศรษฐีตอบว่า ก็เรามีถ่านอย่างเดียว สิ่งอื่น ๆ เราไม่มี
วันนั้น นางกีสาโคตมี เดินเข้าไปทาธุระในตลาด เห็นเศรษฐีแล้วนึกประหลาดใจ
จึงถามว่า คุณพ่อ คนอื่น ๆ เขาขายผ้า ขายน้ามัน น้าผึ้ง น้าอ้อย เป็นต้น แต่ทาไมคุณพ่อ
กลับนาเงินทองมาขายเล่า เศรษฐีกล่าวว่า เงินทองที่ไหนกันแม่หนู
คุณพ่อ ก็ที่กองอยู่นี่ไง พูดแล้วนางก็กอบให้เศรษฐีดู ทันใดนั้น เศรษฐีก็เห็นถ่าน
ในกามือของนางกลายเป็นเงินเป็นทองจริง ๆ
จากนั้น เศรษฐีได้สอบถามถึงสถานที่อยู่และตระกูลของนางแล้ว ได้สู่ขอนางมาทา
พิธีอาวาหมงคลกับบุตรชายของตน แล้วมอบทรัพย์ ๔๐ โกฏินั้นให้แก่นาง ทรัพย์เหล่านั้น
ก็กลับเป็นเงินเป็นทองดังเดิม
สมัยต่อมานางตั้งครรภ์ โดยกาลล่วงไป ๑๐ เดือน นางได้คลอดบุตรคนหนึ่ง ในครั้งนั้น
ชนทั้งหลายได้ทาความยกย่องนาง ครั้นเมื่อบุตรของนางตั้งอยู่ในวัยพอจะวิ่งไปวิ่งมาเล่นได้
ก็มาตายเสีย ความเศร้าโศกได้เกิดขึ้นแก่นาง
นางห้ามพวกชนที่จะนาบุตรนั้นไปเผา เพราะไม่เคยเห็นความตาย จึงอุ้มใส่สะเอว
เที่ยวเดินไปตามบ้านเรือนในพระนครแล้วพูดว่า ขอพวกท่านจงให้ยาแก่บุตรเราด้วยเถิด
เมื่อนางเที่ยวถามว่า ท่านทั้งหลายรู้จักยาเพื่อรักษาบุตรของฉันบ้างไหมหนอ
คนทั้งหลายพูดกับนางว่า แม่ เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ เจ้าเที่ยวถามถึงยาเพื่อรักษาบุตร
ที่ตายแล้ว
พวกคนทั้งหลายต่างก็พากันกระทาการเย้ยหยันว่า ยาสาหรับคนตายแล้ว ท่านเคย
เห็นที่ไหนบ้าง แต่นางมิได้เข้าใจความหมายแห่งคาพูดของพวกเขาเลย
ทีนั้น บุรุษผู้เป็นบัณฑิตคนหนึ่ง เห็นนางแล้วคิดว่า หญิงนี้จะคลอดบุตรคนแรก
ยังไม่เคยเห็นความตาย เราควรเป็นที่พึ่งของหญิงนี้ จึงกล่าวว่า แม่ ฉันไม่รู้จักยา แต่ฉันรู้จัก
คนผู้รู้ยา
นางกีสาโคตมี ถามว่า ใครรู้ พ่อ บัณฑิตตอบว่า แม่ พระพุทธเจ้าทรงทราบ จงไป
ทูลถามพระพุทธองค์เถิด นางกล่าวว่า พ่อ ฉันจะไป จะทูลถาม แล้วเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
ถวายบังคมแล้วยืนอยู่ ณ ที่สุดข้างหนึ่ง ทูลถามว่า
ทราบว่า พระองค์ทรงทราบยาเพื่อบุตรของหม่อมฉันหรือ พระเจ้าข้าพระศาสดาตรัสว่า ใช่ เรารู้
นางกีสาโคตมีทูลถามว่า ได้อะไร จึงควร
พระศาสดา ตรัสว่า ได้เมล็ดพันธุ์ผักกาดสักหยิบมือหนึ่ง ควร
นางกีสาโคตมีทูลถามต่อไปว่า ได้ พระเจ้าข้า แต่ได้ในเรือนใคร จึงควร
พระศาสดาตรัสว่า บุตรหรือธิดาไร ๆ ในเรือนของผู้ใด ไม่เคยตาย ได้ในเรือนของผู้นั้น
จึงควร
นางทูลรับว่า ดีละ พระเจ้าข้า แล้วถวายบังคมพระพุทธเจ้า อุ้มบุตรเข้าสะเอวแล้ว
เข้าไปภายในบ้าน ยืนที่ประตูเรือนหลังแรกกล่าวว่า เมล็ดพันธุ์ผักกาดในเรือนนี้ มีบ้างไหม
ทราบว่านั่นเป็นยาเพื่อบุตรของฉัน
เมื่อเขาตอบว่า มี จึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นจงให้เถิด เมื่อคนเหล่านั้นนาเมล็ดพันธุ์
ผักกาดมาให้ จึงถามว่า ในเรือนนี้ เคยมีบุตรหรือธิดาตายบ้างหรือไม่เล่า แม่
เมื่อเขาตอบว่า พูดอะไรอย่างนั้น แม่ คนเป็นมีไม่มาก คนตายนั้นแหละมาก
นางจึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น จึงรับเมล็ดพันธุ์ผักกาดของท่านคืนไปเถิด นั่นไม่เป็นยา
เพื่อบุตรของฉัน แล้วได้ให้เมล็ดพันธุ์ผักกาดคืนไปก็เที่ยวถามโดยทานองนี้ ตั้งแต่เรือนหลังต้น
ไปเรื่อย
จนถึงเย็น นางหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากเรือนที่ไม่เคยมีบุตรธิดาที่ตายลงไม่ได้แม้แต่
หลังหนึ่ง จึงได้ความว่า โอ กรรมหนัก เราได้ทาความสาคัญว่า บุตรของเราเท่านั้นที่ตาย ก็ใน
บ้านทั้งสิ้น คนที่ตายเท่านั้นมากกว่าคนเป็น
ดังนี้ จึงได้ทาความสังเวชใจ แล้วจึงออกไปภายนอกพระนครนั้น ไปยังป่าช้าผีดิบ
เอามือจับบุตรแล้วพูดว่า แน่ะลูกน้อย แม่คิดว่า ความตายนี้เกิดขึ้นแก่เจ้าเท่านั้น แต่ว่าความ
ตายนี้ไม่มีแก่เจ้าคนเดียว นี่เป็นธรรมดามีแก่มหาชนทั่วไป ดังนี้แล้ว จึงทิ้งบุตรในป่าช้าผีดิบ
แล้วกล่าวคาถานี้ว่า
ธรรมนี้นี่แหละคือความไม่เที่ยง มิใช่ธรรมของชาวบ้าน มิใช่ธรรมของนิคม
ทั้งมิใช่ธรรมสกุลเดียวด้วย แต่เป็นธรรมของโลกทั้งหมด พร้อมทั้งเทวโลก
เมื่อนางคิดอยู่อย่างนี้ หัวใจที่อ่อนด้วยความรักบุตร ได้ถึงความแข็งแล้ว นางทิ้งบุตร
ไว้ในป่า ไปยังสานักพระพุทธเจ้า ถวายบังคมแล้ว ได้ยืน ณ ที่สุดข้างหนึ่ง
ลาดับนั้น พระพุทธเจ้าตรัสถามนางว่า เธอได้เมล็ดพันธุ์ผักกาดประมาณหยิบมือหนึ่ง
แล้วหรือนางกีสาโคตมีทูลว่า ไม่ได้ พระเจ้าข้า เพราะในบ้านทั้งสิ้น คนตายนั้นแหละมากกว่า
คนเป็น
ลาดับนั้น พระศาสดาตรัสว่า เธอเข้าใจว่า บุตรของเราเท่านั้นตาย ความตายนั่น
เป็นธรรมยั่งยืนสาหรับสัตว์ทั้งหลาย ด้วยว่า มัจจุราช ฉุดคร่าสัตว์ทั้งหมด ผู้มีอัธยาศัยยังไม่
เต็มเปี่ยมนั่นแหละลงในสมุทร คืออบาย ดุจห้วงน้าใหญ่ฉะนั้น
เมื่อจะทรงแสดงธรรมจรึงตรัสพระคาถานี้ว่า
มฤตยู ย่อมนาพาชนผู้มัวเมาในบุตรและสัตว์ของเลี้ยง ผู้มีใจซ่านไปในอารมณ์
ต่าง ๆ ไป ดุจห้วงน้าใหญ่พัดชาวบ้านผู้หลับใหลไป ฉะนั้น
ในกาลจบคาถา นางกีสาโคตมีดารงอยู่ในโสดาปัตติผล แม้ชนเหล่าอื่นเป็นอันมาก
บรรลุผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้
ฝ่ายนางกีสาโคตมีนั้น ทูลขอบวชในพระพุทธศาสนาแล้ว กระทาประทักษิณพระพุทธเจ้า
๓ ครั้ง ถวายบังคมแล้วไปยังสานักภิกษุณี นางได้บวชแล้วปรากฏชื่อว่า กีสาโคตมีเถรี
วันหนึ่งนางถึงวาระในโรงอุโบสถ นั่งตามประทีปเห็นเปลวประทีปลุกโพลงขึ้นและ
หรี่ลง ได้ถือเป็นอารมณ์ว่า
สัตว์เหล่านี้ก็อย่างนั้นเหมือนกัน เกิดขึ้นและดับไป ดังเปลวประทีป ผู้ถึงพระนิพพาน
ไม่ปรากฏอย่างนั้น
พระพุทธเจ้าประทับนั่งในพระคันธกุฎี ทรงแผ่พระรัศมีไป ดุจประทับนั่งตรัส
ตรงหน้านางตรัสว่า
อย่างนั้นแหละ โคตมี สัตว์เหล่านั้น ย่อมเกิดและดับเหมือนเปลวประทีป
ถึงพระนิพพานแล้วย่อมไม่ปรากฏอย่างนั้น ความเป็นอยู่แม้เพียงขณะเดียวของผู้เห็น
พระนิพพานประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี ของผู้ไม่เห็นพระนิพพานอย่างนั้น ดังนี้แล
เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
ก็ผู้ใดไม่เห็นอมตบท พึงมีชีวิตอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี ชีวิตของผู้เห็นอมตบทเพียงวันเดียว
ยังประเสริฐกว่า ดังนี้
จบพระคาถา นางก็บรรลุอรหัตผล เป็นผู้เคร่งครัดยิ่งในการใช้สอยบริขาร ห่มจีวร
ประกอบด้วยความปอน ๓ อย่างเที่ยวไป
ต่อมา พระพุทธเจ้าประทับนั่งในวัดพระเชตวัน เมื่อทรงสถาปนาเหล่าภิกษุณีไว้ใน
ตาแหน่งต่าง ๆ ตามลาดับ จึงทรงสถาปนาพระเถรีนี้ไว้ในตาแหน่งเอตทัคคะ เป็นเลิศกว่า
พวกภิกษุณีสาวิกา ผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง

๑๔. พระปฏาจาราเถรี

๑๔. พระปฏาจาราเถรี
พระปฏาจาราเถรี เป็นธิดาของมหาเศรษฐีในเมืองสัตถี เมื่ออายุย่างได้ ๑๖ ปีเป็น
หญิงมีความงดงามมาก บิดามารดาทะนุถนอมห่วงใยให้อยู่บนปราสาท ชั้น ๗ เพื่อป้องกัน
การคบหากับชายหนุ่ม
แม้กระนั้น เพราะนางเป็นหญิงโลเลในบุรุษ จึงได้คบหาเป็นภรรยาคนรับใช้ในบ้าน
ของตน ต่อมาบิดามารดาของนางได้ตกลงยกนางให้แก่ชายคนหนึ่ง ที่มีชาติสกุลและทรัพย์
เสมอกัน เมื่อใกล้กาหนดวันวิวาห์ นางได้พูดกับคนรับใช้ผู้เป็นสามีว่า
ได้ทราบว่า บิดามารดาได้ยกฉันให้กับลูกชายสกุลโน้น ต่อไปท่านก็จะไม่ได้พบกับ
ฉันอีก ถ้าท่านรักฉันจริง ก็จงพาฉันหนีไปจากที่นี่แล้วไปอยู่ร่วมกันที่อื่นเถิด เมื่อตกลงนัด
หมายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชายคนรับใช้ผู้เปลี่ยนฐานะมาเป็นสามีนั้น ได้ไปรออยู่ข้างนอก
แล้วนางก็หนีบิดามารดาออกจากบ้าน ไปร่วมครองรักครองเรือนกันในบ้านตาบลหนึ่งซึ่งไม่มี
คนรู้จัก ช่วยกันทาไร่ ไถนา เข้าป่าเก็บผักหักฟืนหาเลี้ยงกันไปตามอัตภาพ นางต้องตักน้าตาข้าว
หุ้งต้มด้วยมือของตนเอง ได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัส เพราะตนไม่เคยทามาก่อน
กาลเวลาผ่านไป นางได้ตั้งครรภ์บุตรคนแรก เมื่อครรภ์แก่ขึ้น จึงอ้อนวอนสามี
ให้พานางกลับไปยังบ้านของบิดามารดาเพื่อคลอดบุตร เพราะการคลอดบุตรในที่ไกลจาก
บิดามารดาและญาตินั้นเป็นอันตราย แต่สามีของนางก็ไม่กล้าพากลับไปเพราะเกรงว่าจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง จึงพยายามพูดจาหน่วงเหนี่ยวไว้ จนนางเห็นว่าสามีไม่พาไปแน่ วันหนึ่ง
เมื่อสามีออกไปทางานนอกบ้านจึงสั่งเพื่อนบ้านใกล้เคียงกันให้บอกกับสามีด้วยว่า นางไปบ้าน
ของบิดามารดาแล้วก็ออกเดินทางไปตามลาพัง
เมื่อสามีกลับมา ทราบความจากเพื่อนบ้านแล้ว ด้วยความห่วงใยภรรยาจึงรีบออก
ติดตามไปทันพบนางในระหว่างทาง แม้จะอ้อนวอนอย่างไรนางก็ไม่ยอมกลับ ทันใดนั้น
ลมกัมมัชวาตคือ อาการเจ็บท้องใกล้คลอดก็เกิดขึ้นแก่นาง จึงพากันเข้าไปใต้ร่มริมทาง
นางนอนกลิ้งเกลือกทุรนทุรายเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างหนัก ในที่สุดก็คลอดบุตรออกมา
ด้วยความยากลาบากเมื่อคลอดบุตรโดยปลอดภัยแล้ว ก็ปรึกษากันว่า กิจที่ต้องการไปคลอด
ที่เรือนของบิดามารดานั้นก็สาเร็จแล้ว จะเดินทางต่อไปก็ไม่มีประโยชน์จึงพากันกลับบ้านเรือน
ของตนอยู่รวมกันต่อไป
ต่อมาไม่นานนัก นางก็ตั้งครรภ์อีก เมื่อครรภ์แก่ขึ้นตามลาดับ นางจึงอ้อนวอนสามี
เหมือนครั้งก่อน แต่สามีก็ยังคงไม่ยินยอมเช่นเดิม นางจึงอุ้มลูกคนแรกหนีออกจากบ้านไปแม้
สามีจะตามมาทันชักชวนให้กลับก็ไม่ยอมกลับ จึงเดินทางร่วมกันไป เมื่อเดินทางมาได้อีกไม่
ไกลนัก เกิดลมพายุพัดอย่างแรงและฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก พร้อมกันนั้นนางก็เจ็บท้องใกล้
จะคลอดขึ้นมาอีก จึงพากันแวะลงข้างทาง ฝ่ายสามีได้ไปหาตัดกิ่งไม้เพื่อมาทาเป็นที่กาบังลม
และฝนแต่เคราะห์ร้าย ถูกงูพิษกัดตายในป่านั้น นางทั้งเจ็บท้องทั้งหนาวเย็น ลมฝนก็ยังคง
ตกลงมาอย่างหนัก สามีก็หายไปไม่กลับมา ในที่สุดนางก็คลอดบุตรคนที่สองอย่างน่าสังเวช
บุตรของนางทั้งสองคนทนกาลังลมและฝนไม่ไหว ต่างก็ร้องไห้กันเสียงดังลั่นแข่งกับ
ลมฝน นางต้องเอาบุตรทั้งสองมาอยู่ใต้ท้อง โดยใช้มือและเข่ายืนบนพื้นดินในท่าคลานได้รับ
ทุกขเวทนาอย่างมหันต์สุดจะราพันได้ เมื่อรุ่งอรุณแล้วสามีก็ยังไม่กลับมา จึงอุ้มบุตรคนเล็ก
ซึ่งเนื้อหนังยังแดง ๆ อยู่ จูงบุตรคนโตออกตามหาสามี เห็นสามีนอนตายอยู่ข้างจอมปลวก
จึงร้องไห้ราพันว่าสามีตายก็เพราะนางเป็นเหตุ เมื่อสามีตายแล้ว ครั้นจะกลับไปที่บ้านทุ่งนา
ก็ไม่มีประโยชน์ จึงตัดสินใจไปหาบิดามารดาของตนที่เมืองสาวัตถี โดยอุ้มบุตรคนเล็ก และ
จูงบุตรคนโตเดินไปด้วยความทุลักทุเล เพราะความเหนื่อยอ่อนอย่างหนักดูน่าสังเวชยิ่งนัก
นางเดินทางมาถึงริมฝั่งแม่น้าอจิรวดี มีน้าเกือบเต็มฝั่งเนื่องจากฝนตกหนักเมื่อคืนที่
ผ่านมา นางไม่สามารถจะนาบุตรน้อยทั้งสองข้ามแม่น้าไปพร้อมกันได้ เพราะนางเองก็ว่ายน้า
ไม่เป็น แต่อาศัยที่น้าไม่ลึกนักพอที่เดินลุยข้ามไปได้ จึงสั่งให้บุตรคนโตรออยู่ก่อนแล้วอุ้มบุตร
คนเล็กข้ามแม่น้าไปยังอีกฝั่งหนึ่ง เมื่อถึงฝั่งแล้วได้นาใบไม้มาปูรองพื้นให้บุตรคนเล็กนอนที่ชายหาดแล้วกลับไปรับบุตรคนโต ด้วยความห่วงใยบุตรคนเล็ก นางจึงเดินพลางหันกลับมาดู
บุตรคนเล็กพลาง ขณะที่มีถึงกลางแม่น้านั้น มีนกเหยี่ยวตัวหนึ่งบินวนไปมาอยู่บนอากาศ
มันเห็นเด็กน้อยนอนอยู่มีลักษณะเหมือนก้อนเนื้อ จึงบินโฉบลงมาแล้วเฉี่ยวเอาเด็กน้อยไป
นางตกใจสุดขีดไม่รู้จะทาอย่างไรได้ จึงได้แต่โบกมือร้องไล่เหยี่ยวไป แต่ก็ไม่เป็นผล เหยี่ยวพา
บุตรน้อยของนางไปเป็นอาหาร ส่วนบุตรคนโตยืนรอแม่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง เห็นแม่โบกมือทั้งสอง
ตะโกนร้องอยู่กลางแม่น้า ก็เข้าใจว่าแม่เรียกให้ตามลงไป จึงวิ่งลงไปในน้าด้วยความไร้เดียงสา
ถูกกระแสน้าพัดพาจมหายไป
เมื่อสามีและบุตรน้อยทั้งสองตายจากนางไปหมดแล้ว เหลือแต่นางคนเดียวจึงเดินทาง
มุ่งหน้าสู่บ้านเรือนของบิดามารดา ทั้งหิวทั้งเหนื่อยล้า ได้รับความบอบช้าทั้งร่างกายและจิตใจ
รู้สึกเศร้าโศกเสียใจสุดประมาณพลางเดินบ่นราพึงราพันไปว่า
บุตรคนหนึ่งของเราถูกเหยี่ยวเฉี่ยวเอาไป บุตรอีกคนหนึ่งถูกน้าพัดไป สามีก็ตาย
ในป่าเปลี่ยว
นางเดินไปก็บ่นไป แต่ก็ยังพอมีสติอยู่บ้างได้ พบชายคนหนึ่งเดินสวนทางมา สอบถาม
ทราบว่ามาจากเมืองสาวัตถี จึงถามถึงบิดามารดาของตนที่อยู่ในเมืองนั้น ชายคนนั้นตอบว่า
น้องหญิง เมื่อคืนนี้เกิดลมพายุและฝนตกอย่างหนัก เศรษฐีสองสามีภรรยาและ
ลูกชายอีกคนหนึ่ง ถูกปราสาทของตนพังล้มทับตายพร้อมกันทั้งครอบครัวเธอ จงมองดูควันไฟ
ที่เห็นอยู่โน่น ประชาชนร่วมกันทาการเผาทั้ง ๓ พ่อ แม่ และลูกบนเชิงตะกอนเดียวกัน
นางปฏาจารา พอชายคนนั้นกล่าวจบลงแล้ว ก็ขาดสติสัมปชัญญะไม่รู้สึกตัวว่าผ้านุ่ง
ผ้าห่มที่นางสวมใส่อยู่หลุดลุ่ยลงไป เดินเปลือยกาย เป็นคนวิกลจริต ร้องไห้บ่นเพ้อราพันคร่า
ครวญว่า บุตรสองคนของเราตายแล้ว สามีของเราก็ตายที่ทางเปลี่ยว มารดาบิดาและพี่ชาย
ของเราก็ถูกเผาบนเชิงตะกอนเดียวกัน
นางเดินไปบ่นไปอย่างนี้ คนทั่วไปเห็นแล้วคิดว่า นางเป็นบ้า พากันขว้างปาด้วยก้อน
ดินบ้าง โรยฝุ่นลงบนศีรษะนางบ้าง และนางยังคงเดินต่อเรื่อยไปอย่างไร้จุดหมายปลายทาง
พระพุทธเจ้าประทับนั่งแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางบริษัท ๔ ในวัดพระเชตวันได้ทอด
พระเนตรเห็นนางบาเพ็ญบารมีมานานแสนกัลป์ สมบูรณ์ด้วยอภินิหารเดินมาอยู่
ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตระ นางปฏาจารานั้นเห็น
พระเถรีผู้ทรงวินัยรูปหนึ่งอันพระปทุมุตตรพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ในตาแหน่งเอตทัคคะ จึงทาคุณ
ความดีแล้วตั้งความปรารถนาไว้ว่า แม้หม่อมฉันพึงได้ตาแหน่งเอตทัคคะ ผู้เลิศกว่าพระเถรีผู้ทรงวินัยรูปหนึ่งในสานักของพระพุทธเจ้าเช่นกับพระองค์ พระปทุมุตตรพุทธเจ้าทรงเล็ง
อนาคตญาณไป ก็ทรงทราบความปรารถนาจะสาเร็จจึงทรงพยากรณ์ว่า
ในอนาคตกาล หญิงผู้นี้จะเป็นผู้เลิศกว่าพระเถรีผู้ทรงวินัยทั้งหลาย มีพระนามว่า
ปฏาจารา ในพระศาสนาของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าทรงเห็นพระนางผู้มีความปรารถนาตั้งไว้แล้วอย่างนั้น ผู้สมบูรณ์ด้วย
อภินิหารกาลังเดินมาแต่ไกล ทรงดาริว่า
วันนี้ ผู้อื่นชื่อว่าสามารถจะเป็นที่พึ่งของหญิงผู้นี้ได้ ไม่มี จึงทรงบันดาลให้นาง
เดินบ่ายหน้ามาสู่วัดพระเชตวัน
พวกพุทธบริษัทเห็นนางแล้วจึงกล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่าให้หญิงบ้านี้มาที่นี้เลย
พระพุทธเจ้าตรัสว่า พวกท่านจงหลีกไป อย่าห้ามเธอ นางกลับได้สติด้วยพุทธานุ
ภาพ ในขณะนั้นเอง นางก็รู้ตัวว่าไม่มีผ้านุ่งห่ม เกิดละอาย จึงนั่งกระโหย่งลง อุบาสกคนหนึ่ง
ก็โยนผ้าให้นางนุ่งห่ม นางเข้าไปกราบถวายบังคมพระพุทธเจ้าที่พระบาทแล้วกราบทูล
เคราะห์กรรมของตนให้ทรงทราบโดยลาดับ พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า
แม่น้าในมหาสมุทรทั้ง ๔ ก็ยังน้อยกว่าน้าตาของคนที่ถูกความทุกข์ความเศร้าโศก
ครอบงา ปฏาจารา เพราะเหตุไร เธอจึงยังประมาทอยู่
ปฏาจารา ฟังพระดารัสนี้แล้วก็คลายความเศร้าโศกลง พระพุทธเจ้า ทรงทราบว่า
นางหายจากความเศร้าโศกลงแล้วจึงตรัสต่อไปว่า
ปฏาจารา ขึ้นชื่อว่าบุตรสุดที่รัก ไม่อาจเป็นที่พึ่ง เป็นที่ต้านทาน หรือเป็นที่ป้องกัน
แก่ผู้ไปสู่ปรโลกได้ บุตรเหล่านั้น ถึงจะมีอยู่ก็เหมือนไม่มี ส่วนผู้รู้ทั้งหลาย รักษาศีล
ให้บริสุทธิ์แล้วควรชาระทางไปสู่พระนิพพานของตนเท่านั้น
ในกาลจบเทศนา นางปฏาจาราเผากิเลสมีประมาณเท่าฝุ่นในแผ่นดินใหญ่แล้ว ตั้งอยู่
ในพระโสดาปัตติผล ชนแม้เหล่าอื่นเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผล
เป็นต้น
ฝ่ายนางปฏาจาราเป็นพระโสดาบันแล้ว ทูลขอบวช พระพุทธเจ้าส่งนางไปยังสานัก
ของพวกภิกษุณีให้บวชแล้ว นางได้บวชแล้วปรากฏชื่อว่า ปฏาจารา
วันหนึ่ง นางกาลังเอาภาชนะตักน้าล้างเท้า เทน้าลง น้านั้นไหลไปหน่อยหนึ่งแล้ว
ก็ขาด ครั้งที่ ๒ น้าที่นางเทลง ได้ไหลไปไกลกว่านั้น ครั้งที่ ๓ น้าที่เทลง ได้ไหลไปไกลกว่า
แม้นั้น ด้วยประการฉะนี้ นางถือเอาน้านั้นเป็นอารมณ์ กาหนดวัยทั้ง ๓ แล้วคิดว่าสัตว์เหล่านี้ตายเสียในปฐมวัยก็มี เหมือนน้าที่เราเทลงครั้งแรก ตายเสียใน
มัชฌิมวัยก็มี เหมือนน้าที่เราเทลงในครั้งที่ ๒ ไหลไปไกลกว่านั้น ตายเสียในปัจฉิมวัยก็มี
เหมือนน้าที่เราเทลงครั้งที่ ๓ ไหลไปไกลแม้กว่านั้น
พระพุทธเจ้าประทับในพระคันธกุฎี ทรงแผ่พระรัศมีไป เป็นดังประทับยืนตรัสอยู่
เฉพาะหน้าของนาง ตรัสว่า
ปฏาจารา ข้อนั้นอย่างนั้น ด้วยความเป็นอยู่วันเดียวก็ดี ขณะเดียวก็ดี ของผู้เห็น
ความเกิดขึ้นและความเสื่อมแห่งปัญจขันธ์เหล่านั้น ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี
ของผู้ไม่เห็นความเกิดขึ้นหรือเสื่อมแห่งปัญจขันธ์ ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดง
ธรรมจึงตรัสคาถานี้ว่า
ก็ผู้ใด ไม่เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมอยู่ พึงเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี ความเป็นอยู่
วันเดียวของผู้เห็นความเกิดและความเสื่อม ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ของผู้นั้น
นางครั้นบวชแล้วไม่นานก็บรรลุอรหัตผล เรียนพุทธวจนะ เป็นผู้ช่าชองชานาญ
ในพระวินัยปิฏก
ภายหลัง พระพุทธเจ้าประทับนั่ง ณ วัดพระเชตวัน เมื่อทรงสถาปนาเหล่าภิกษุณี
ไว้ในตาแหน่งต่าง ๆ ตามลาดับ จึงทรงสถาปนาพระปฏาจาราเถรีไว้ในตาแหน่งเอตทัคคะ
เป็นเลิศกว่าพวกภิกษุณีสาวิกาผู้ทรงวินัย