วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

๑๒. พระเขมาเถรี

๑๒. พระเขมาเถรี
พระเขมาเถรี เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าสาคลราช ผู้ครองสาคลนคร ในแคว้น
มัททรัฐ ทรงพระสิริโฉมงดงาม มีผิวพรรณดังสีทองเลื่อมเรื่อเป็นเงาดังแววนกยูง พระประยูรญาติ
ได้ให้พระนามว่า เขมา เมื่อเข้าสู่วัยสาว ได้อภิเษกสมรสเป็นพระมเหสีของพระเจ้าพิมพิสาร
แห่งนครราชคฤห์ แคว้นมคธ เพราะพระนางทรงมีพระสิริโฉมงดงามมาก จึงเป็นที่โปรดปราน
ของพระเจ้าพิมพิสารเป็นอย่างยิ่งในระยะแรกท่านมิได้สนพระทัยในพระพุทธศาสนานัก ทั้งที่พระเจ้าพิมพิสารทรงอุปถัมถ์พระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี คือ ได้ทรงถวายพระราชอุทยานเวฬุวันให้เป็นวัด
แห่งแรกในพระพุทธศาสนา และได้ทรงถวายปัจจัยอุปถัมถ์ภิกษุสงฆ์ ณ วัดเวฬุวันอยู่เป็น
ประจา ในเวลาที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ วัดเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ ท่านได้ทรงทราบว่า
พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเรื่องโทษเกี่ยวกับร่างกาย จึงทรงเกรงว่าถ้าท่านเสด็จไปเฝ้า
พระพุทธองค์อาจจะทรงชี้โทษเกี่ยวกับพระรูปโฉมของท่านก็ได้ จึงไม่ยอมเสด็จไปเฝ้า
พระพุทธองค์เลย แม้แต่วัดเวฬุวันที่พระเจ้าพิมพิสารทรงสร้าง ท่านก็มิได้เสด็จไปดู
พระเจ้าพิมพิสารจึงทรงพระดาริว่า เราเป็นอัครอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้า แต่อัครมเหสีของ
อริยสาวกเช่นเรานี้จะไม่ไปเฝ้าพระพุทธองค์ ข้อนี้เราไม่ชอบใจเลย พระองค์จึงทรงหาอุบายที่
จะให้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และฟังธรรมเทศนาของพระพุทธองค์ให้ได้ ในที่สุดทรงมีพระบัญชา
ให้กวีแต่งเพลงพรรณนาความงามวัดเวฬุวันราชอุทยานด้วยถ้อยคาอันไพเราะ ชวนคิด
ชวนฝันของวัดเวฬุวันราชอุทยาน แล้วรับสั่งให้นาไปขับร้องใกล้ ๆ ที่พระนางประทับ ก็มี
พระประสงค์จะเสด็จไปชม จึงเข้าไปกราบทูลพระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งพระองค์ก็ทรงยินดีให้เสด็จ
ไปตามพระประสงค์ เมื่อพระนางเขมาได้เสด็จชมพระราชอุทยานจนสิ้นวันแล้ว ใคร่เสด็จกลับ
พวกราชบุรุษทั้งหลายได้นาท่านไปยังสานักของพระพุทธเจ้า ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่พอพระทัยเลย
พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นพระนางเขมากาลังเสด็จมาเฝ้า เพื่อที่จะให้ท่านคลายความ
ยึดถือในความงาม ทรงเนรมิตนางเทพอัปสรนางหนึ่งยืนถือพัดก้านใบตาลถวายงานพัดให้
พระองค์อยู่เบื้องหลัง ซึ่งมีความงดงามยิ่งกว่า พระนางเขมาจึงตะลึงในความงามของนางเทพ
อัปสรแล้ว ถึงกับตกพระทัย โดยมิได้สนพระทัยในพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า และทรง
ดาริว่า แย่แล้วสิเรา สตรีที่งามปานเทพอัปสรเห็นปานนี้ยืนอยู่ใกล้ ๆ พระพุทธเจ้า แม้เราจะ
เป็นปริจาริกา หญิงรับใช้ของนาง ก็ยังไม่คู่ควรเลย เพราะเหตุไร เราจึงเป็นผู้ตกอยู่ในอานาจ
จิตคิดชั่วหลงมัวเมาอยู่ในรูปเช่นนี้หนอ เมื่อได้สดับพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าว่า เธอจง
ดูร่างกายอันอาดูร ไม่สะอาด เน่าเปื่อย ไหลเข้า ไหลออก ที่คนโง่ปรารถนากันนัก พระพุทธเจ้า
จึงทรงบันดาลให้พระนางเขมาทอดพระเนตรเห็นรูปสตรีนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามลาดับ ให้มี
วัยสูงอายุขึ้น ๆ จนแก่ชรา มีหนังเหี่ยวย่น ผมหงอก ฝันหัก แก่หง่อมแล้วล้มกลิ้งถึงแก่กรรม
พร้อมกับพัดใบตาลนั้น เหลือแต่กระดูกในที่สุด พระนางเขมาทอดพระเนตรเห็นความเป็น
เช่นนั้น ทรงเห็นความไม่มีแก่นสารของรูปสตรีนั้น จึงทรงได้คิด คลายความยึดติดในความงาม
จึงดาริว่า สรีระที่สวยงามเห็นปานนี้ยังถึงกลับความวิบัติได้ แม้พระสรีระของเราก็จะมีคติเป็นไปอย่างนี้เหมือนกัน ขณะที่พระนางเขมากาลังมีพระดาริอย่างนี้อยู่นั้น พระพุทธองค์
ได้ตรัสพระคาถาภาษิตว่า
ชนเหล่าใดถูกราคะย้อมแล้ว ตกไปในกระแสราคะ เหมือนแมลงมุมตกไปในข่ายใย
ที่ตนทาเอง เมื่อชนเหล่านั้นตัดกระแสเหล่านั้นได้ โดยไม่มีเยื่อใยแล้วละกามสุขเสียได้
ย่อมออกบวช
เมื่อจบพระพุทธดารัสคาถาภาษิตแล้ว พระนางเขมาส่งญาณไปตามกระแส
พระธรรมเทศนา ก็ตรัสขาดความรักได้เด็ดขาด บรรลุอรหัตผลเป็นพระอรหันต์ พร้อมด้วย
ปฏิสัมภิทาทั้งหลายในอริยาบทที่ประทับยืนนั้นเอง
พระเจ้าพิมพิสาร ได้เสด็จพระราชดาเนินไปตามพระนางเขมา แต่เมื่อไปถึง
พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสบอกกับพระเจ้าพิมพิสารว่า บัดนี้พระนางเขมาไม่อาจจะครองเพศ
ฆารวาสได้อีกแล้ว เพราะได้สาเร็จอรหัตผลแล้ว เมื่อพระเจ้าพิมพิสารทรงทราบดังนั้นจึง
อนุโมทนาสาธุการ
พระพุทธองค์ตรัสว่า เอหิ ภิกขุ (เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด) เมื่อนั้นพระนางเขมา
ได้สวมจีวรทิพย์ซึ่งลอยมาในอากาศ พร้อมบริขารทั้งหลายในทันที
พระเขมาเถรี เป็นผู้ชานาญในฤทธิ์ทิพโสตธาตุและเจโตปริยญาณ รู้ชัดปุพเพนิวาสญาณ
ชาระทิพจักษุให้บริสุทธิ์ มีอาสวะทั้งปวงหมดสิ้นแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีก ญาณอันบริสุทธิ์
ในอรรถ ธรรม นิรุตติ ปฏิภาณ เกิดขึ้นแล้วเป็นผู้ฉลาดในวิสุทธิทั้งหลายคล่องแคล่วในกถาวัตถุ
รู้จักนัยแห่งอภิธรรม ถึงความชานาญในศาสนา ภายหลัง พระเจ้าพิมพิสาร ตรัสถามปัญหา
ละเอียดในโตรณวัตถุ ได้วิสัชนาโดยควรแก่กถา
ครั้งนั้น พระเจ้าพิมพิสารเสด็จเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้ว ทูลสอบถามปัญหาเหล่านั้น
พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์เป็นอย่างเดียวกันกับพระเถรีวิสัชนาแล้ว พระพุทธเจ้าประทับนั่ง
ท่ามกลางหมู่พระอริยะ ณ วัดพระเชตวัน เมื่อทรงสถาปนาภิกษุณีทั้งหลายไว้ในตาแหน่ง
ตามลาดับ ก็ทรงสถาปนาพระเขมาเถรีไว้ในตาแหน่งเอตทัคคะ เพราะเป็นผู้มีปัญญามากและ
เป็นอัครสาวิกาฝ่ายขวา ดังความในพระสูตรว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เขมาเป็นเลิศภิกษุณีสาวิกาของเราผู้มีปัญญามาก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้ออกบวช ก็ขอจงเป็นเช่นเขมาภิกษุณีและอุบลวรรณา
ภิกษุณีเถิดดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุณีผู้เป็นสาวิกาของเรา เขมาภิกษุณีและอุบลวรรณา
ภิกษุณี เป็นดุจประมาณเช่นนี้
วันหนึ่งพระเถรีนั่งพักกลางวันอยู่ ณ โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง มารผู้มีบาปแปลงกายเป็น
ชายหนุ่มเข้าไปหา เพื่อประเล้าประโลมด้วยกามทั้งหลาย ก็กล่าวคาถาว่า
แม่นางเขมาเอย เจ้าก็สาวสคราญ เราก็หนุ่มแน่น มาสิ เรามาร่วมอภิรมย์กัน
ด้วยดนตรีเครื่อง ๕ นะแม่นาง
พระเขมาเถรี ฟังคานั้นแล้ว เพื่อประกาศความที่ตนหมดความกาหนัดในกามทั้งปวง
๑ ความที่ผู้นั้นเป็นมาร ๑ ความไม่เลื่อมใสที่มีกาลังของตนในเหล่าสัตว์ผู้ยึดมั่นในอัตตา ๑
และความที่ตนทากิจเสร็จแล้ว ๑ จึงกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
เรา อึดอัดเอือมระอาด้วยกายอันเปื่อยเน่า กระสับกระส่าย มีอันจะแตกพังไปนี้อยู่
เราถอนกามตัณหาได้แล้ว กามทั้งหลาย มีอุปมาด้วยหอกและหลาว มีขันธ์ทั้งหลายเป็น
เขียงรองสับ บัดนี้ ความยินดีในกามที่ท่านพูดถึงไม่มีแก่เราแล้ว เรากาจัดความเพลิดเพลิน
ในกามทั้งปวงแล้ว ทาลายกองแห่งความมืด (อวิชชา) เสียแล้ว ดูก่อนมารใจบาป ท่านจงรู้
อย่างนี้ ตัวท่านถูกเรากาจัดแล้ว พวกคนเขลา ไม่รู้ตามความเป็นจริง พากันนอบน้อมดวงดาว
ทั้งหลาย บาเรอไฟอยู่ในป่าคือลัทธิ สาคัญว่าเป็นความบริสุทธิ์ ส่วนเรานอบน้อมเฉพาะ
พระพุทธเจ้าผู้เป็นอุดมบุรุษ จึงพ้นแล้วจากทุกข์ทั้งปวง ชื่อว่าทาตามคาสอนของพระศาสดา
พระเขมาเถรี เมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน กรุงเวสาลี ท่านเอง
ก็พานักอยู่ ณ สานักภิกษุณี กรุงเวสาลี ครั้งนั้น พระเขมาเถรี ผู้เป็นบริวารของพระมหาปชาบดี
โคตมีเถรี ได้มีความปริวิตกว่า พระมหาปชาบดีจะนิพพาน จึงได้เข้าหาพระมหาเถรี แล้วทูลว่า
ข้าแต่พระแม่เจ้า ถ้าพระแม่เจ้าชอบใจกาลนิพพานอันเกษมอันยิ่งไซร้ ถึงข้าพเจ้าทั้งหลายก็
จะนิพพานกันหมด ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงอนุญาต พวกข้าพเจ้าได้ออกจากเรือนจากภพ
พร้อมด้วยพระแม่เจ้า ก็จะไปสู่นิพพานบุรี อันยอดเยี่ยมพร้อม ๆ กันกับพระแม่เจ้า ข้าพเจ้า
ทั้งหลายก็จะไปพร้อมกับพระแม่เจ้าเหมือนกัน พระมหาปชาบดีโคตมีได้ตรัสว่า เมื่อท่านทั้ง
จะไปนิพพาน เราจะว่าอะไรเล่า
หลังจากนั้น พระเขมาเถรีและภิกษุณีรวมได้ ๕๐๐ รูป ได้ตามพระมหาปชาบดีโคตมี
ไปพระวิหาร ขอให้พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตแล้วอาลาพระเถระทั้งหลาย และเพื่อนพรหมจารี
ทุกรูปซึ่งเป็นที่เจริญใจของตน แล้วมานิพพาน ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน กรุงเวสาลี

๑๑. พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี

๑๑. พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี
มหาปชาบดีโคตรมีเถรี เป็นพระธิดาของพระเจ้าอัญชนะกับพระนางยโสธรา
ในกรุงเทวทหะ เดิมพระนามว่าโคตมี เป็นพระกนิษฐภคินี (น้องสาว) ของพระนางสิริมหามายา
เมื่อพระนางสิริมหามายาทิวงคตแล้ว ได้รับการสถาปนาไว้ในตาแหน่งพระอัครมเหสี
มีพระโอรสชื่อ พระนันทะ พระธิดาชื่อ รูปนันทา ทรงมอบให้นางสนมเลี้ยงดู ส่วนพระนาง
คอยเลี้ยงดูเจ้าชายสิทธัตถราชกุมาร
ครั้นเมื่อพระบรมโพธิสัตว์เสด็จออกทรงผนวช ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว
เสด็จไปโปรดพระประยูรญาติ ณ กรุงกบิลพัสดุ์ เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในพระนคร และทรง
แสดงธรรมกถาโปรดพระเจ้าสุทโธทนพุทธบิดา ในระหว่างถนน ให้ดารงอริยภูมิชั้นโสดาบัน
ครั้นวันที่ ๒ เสด็จเข้าไปรับอาหารบิณฑบาตในพระราชนิเวศน์ ทรงแสดงธรรมโปรดพระพุทธบิดา
และพระน้านาง ยังพระบิดาให้ดารงอยู่ในพระสกทาคามี ยังพระน้านางให้บรรลุพระโสดาบัน
และในวันรุ่งขึ้น ทรงแสดงมหาปาลชาดกโปรดพระเจ้าสุทโธทนะ พอจบลงพระพุทธบิดาทรง
บรรลุเป็นพระอริยบุคคลชั้นพระอนาคามี
ในวันที่ ๔ แห่งการเสด็จโปรดพระประยูรญาติ พระพุทธองค์เสด็จไปในพิธี
อาวาหมงคลอภิเษกสมรสนันทกุมารพระอนุชาต่างพระมารดากับพระนางชนปทกัลยาณี
เมื่อเสร็จพิธีอาวาหมงคล พระพุทธองค์ได้นานันทกุมาร ไปบวชในวันนั้น ครั้นถึงวันที่ ๗ แห่ง
การเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ ได้ทรงพาราหุลกุมารออกบวชเป็นสามเณรอีก จึงยังความเศร้าโศก
ให้บังเกิดแก่พระเจ้าสุทโธทนะยิ่งนัก เพราะเกรงว่าจะขาดรัชทายาทสืบสันตติวงศ์ ครั้นกาล
ต่อมาพระเจ้าสุทโธทนะได้บรรลุพระอรหัตผลแล้วเข้าสู่นิพพาน
ครั้นนั้น พระนางมหาปชาบดีเกิดว้าเหว่พระหฤทัย ปรารถนาจะทรงผน วช
ก็ประจวบเกิดเหตุที่ชาวพระนครทั้ง ๒ คือ เมืองกบิลพัสดุ์กับเมืองโกลิยะทะเลาะกัน ในเรื่อง
การแย่งน้าในแม่น้าโรหิณีที่ไหลผ่านระหว่างพระนครทั้งสองจนถึงขั้นจะรบกัน พระพุทธเจ้า
จึงได้เสด็จไปเทศนาอัตตทัณฑสูตรโปรดพระญาติในระหว่างเมืองทั้งสองให้เข้าใจกัน
พระญาติทั้งหลายทรงเลื่อมใสแล้ว จึงได้มอบถวายพระกุมารฝ่ายละ ๒๕๐ องค์ให้บวชตามเสด็จพระพุทธเจ้า ครั้นเมื่อบวชแล้ว พระชายาของท่านเหล่านั้น ก็ได้ส่งข่าวไปยังพระภิกษุ
หนุ่มเหล่านั้น ทาให้ท่านเหล่านั้นเกิดความไม่ยินดีในเพศสมณะ พระพุทธเจ้าทรงทราบว่า
ภิกษุเหล่านั้นเกิดความเบื่อหน่ายในสมณะวิสัย จึงทรงนาภิกษุหนุ่ม ๕๐๐ รูป เหล่านั้นไปสู่สระ
ชื่อว่ากุณาละ ประทับนั่งบนแผ่นหินที่เคยประทับนั่งในครั้งที่พระองค์เสวยพระชาติเป็น
นกดุเหว่า ทรงเทศนาด้วยเรื่องกุณาลชาดก เพื่อบรรเทาความไม่ยินดีของภิกษุเหล่านั้น
พอจบเทศนา พระภิกษุหนุ่มเหล่านั้นทั้งหมด ดารงอยู่ในโสดาปัตติผล แล้วทรงนากลับมาสู่
ป่ามหาวันอีกครั้งหนึ่งทรงกระทาพระภิกษุเหล่านั้นให้ดารงอยู่ในอรหัตผล
ฝ่ายพระชายาของพระภิกษุเหล่านั้น เมื่อได้ส่งข่าวไปเพื่อจะดูใจพระภิกษุเหล่านั้น
ว่ายังปรารถนาในเพศคฤหัสถ์หรือไม่ ก็ได้รับคาตอบว่า พวกเราไม่ปรารถนาที่จะครองเรือน
พระนางเหล่านั้นทรงดาริว่า เมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ไม่มีประโยชน์อันใดที่พวกเราจะกลับไป
ยังเรือน เราจะไปเข้าเฝ้าพระนางมหาปชาบดีเพื่อขออนุญาต แล้วจะออกบวช พระชายาทั้ง
๕๐๐ นาง จึงเข้าไปเฝ้าพระนางมหาปชาบดีทูลว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ขอพระแม่เจ้าโปรด
อนุญาตให้หม่อมฉันทั้งหลายบวชเถิด
พระนางมหาปชาบดีเอง ก็ทรงปรารถนาที่จะออกบวชอยู่แล้วจึงได้พาสตรีเหล่านั้น
ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
โดยสมัยนั้น พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ นิโครธาราม เขตกรุงกบิลพัสดุ์ ในสักกะชนบท
ครั้งนั้น พระนางมหาปชาบดีโคตมีเข้าไปเฝ้า ถวายบังคมแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้ว ได้กราบทูลขอประทานวโรกาส พระพุทธเจ้าข้า ขอสตรีพึงได้ออกบวชเป็นบรรพชิต
ในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว
พระพุทธเจ้าตรัสห้ามว่า อย่าเลย โคตมี เธออย่าชอบใจ การที่สตรีออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วเลย
แม้ครั้งที่สองและครั้งที่สามที่พระนางทูลอ้อนวอนต่อพระพุทธเจ้า เพื่อทรงอนุญาต
ให้สตรีบวชได้ แต่พระพุทธองค์ก็ทรงห้ามเสียทั้งสามครั้ง
ครั้งนั้น พระนางมหาปชาบดีโคตมี ทรงน้อยพระทัยว่า พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต
ให้สตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยที่พระองค์ประกาศแล้ว มีทุกข์เสีย
พระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้าพระเนตร ทรงกันแสงพลางถวายบังคมลา ทาประทักษิณ
แล้วเสด็จกลับไปครั้งนั้น พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในกรุงกบิลพัสดุ์ตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จหลีก
จาริกไปโดยลาดับ ถึงพระนครเวสาลี ข่าวว่า พระองค์ประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน
เขตพระนครเวสาลีนั้น
ครั้งนั้น พระนางมหาปชาบดีโคตมี ให้ปลงพระเกสา ทรงพระภูษาย้อมฝาด พร้อมด้วย
นางสากิยานีมากด้วยกัน เสด็จตามพระพุทธองค์ไปทางพระนครเวสาลี เสด็จถึงเมืองเวสาลี
กูฏาคารสาลา ป่ามหาวัน โดยลาดับ เวลานั้น พระนางมีพระบาททั้งสองพอง มีพระวรกาย
เกลือกกลั้วด้วยธุลี มีทุกข์ เสียพระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้าพระเนตร ได้ประทับยืน
กรรแสงอยู่ที่ซุ้มพระทวารภายนอก
ได้ยินว่า พระนางมหาปชาบดีได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เรานี้ ทั้ง ๆ ที่พระพุทธเจ้า
ไม่ทรงอนุญาตแล้ว ก็ถือเพศบรรพชิตด้วยตนเองทีเดียว ก็ความที่เราถือเพศบรรพชิตอย่างนี้
เกิดปรากฏเป็นที่ทราบไปทั่วชมพูทวีปแล้ว ถ้าพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้บวช ข้อนั้นจะเป็น
การดี แต่ถ้าพระองค์ไม่ทรงอนุญาต จะมีความครหาอย่างใหญ่หลวง พระนางทรงปริวิตก
อย่างนี้ จึงไม่อาจจะเข้าไปยังวิหาร ได้ยืนทรงกรรแสงอยู่
ท่านพระอานนท์ได้เห็นพระนางมหาปชาบดีโคตมี มีพระบาททั้งสองพอง มีพระวรกาย
เกลือกกลั้วด้วยธุลี มีทุกข์ เสียพระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้าพระเนตร ประทับยืนกรรแสง
อยู่ที่ซุ้มพระทวารภายนอก จึงถามถึงสาเหตุกับพระนาง
พระนางตอบว่า พระอานนท์เจ้าข้า เพราะพระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้สตรีออก
จากเรือนบวชเป็นบรรพชิต
พระอานนท์กล่าวว่า ดูกรโคตมี ถ้าเช่นนั้น พระนางจงรออยู่ที่นี่แหละสักครู่หนึ่ง
จนกว่าอาตมาจะทูลพระพุทธองค์ให้ทรงอนุญาตให้สตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตได้
ครั้งนั้น พระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ถวายบังคม นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
แล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า พระนางมหาปชาบดีโคตมี มีพระบาททั้ง ๒ พอง มีพระวรกาย
เกลือกกลั้วด้วยธุลี มีทุกข์ เสียพระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้าพระเนตร ประทับยืนกรรแสง
อยู่ที่ซุ้มพระทวารภายนอก ด้วยน้อยพระทัยว่า พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้สตรีออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยที่พระองค์ประกาศแล้ว ขอประทานวโรกาส ขอสตรี
สามารถออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตได้เถิด พระพุทธเจ้าข้า
พระพุทธเจ้าตรัสห้ามว่า อย่าเลย อานนท์ เธออย่าชอบใจการที่สตรีออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วเลยแม้ครั้งที่สองและครั้งที่สามที่ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลอ้อนวอนต่อพระพุทธเจ้า
แต่พระองค์ก็ยังทรงห้ามเสียทั้งสามครั้ง
ลาดับนั้น ท่านพระอานนท์ได้มีความคิดดังนี้ว่า พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้
มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่พระองค์ทรงประกาศแล้ว ฉะนั้น เราพึงทูลขอ
พระองค์ให้มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่พระองค์ทรงประกาศแล้วโดย
ปริยายอื่น
พระอานนท์จึงได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มาตุคามออกบวช
เป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่พระองค์ทรงประกาศแล้ว สามารถจะทาให้แจ้งซึ่งพระโสดาปัตติผล
สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตผลได้หรือไม่ พระเจ้าข้า
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดูกรอานนท์ มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัย
ที่ตถาคตประกาศแล้ว สามารถทาให้แจ้งแม้พระโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล
หรืออรหัตผลได้
พระอานนท์เถระทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ถ้าสตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต
ในพระธรรมวินัยที่พระองค์ประกาศแล้ว สามารถเพื่อทาให้แจ้งแม้ซึ่งพระโสดาปัตติผล
สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตผลได้ พระพุทธเจ้าข้า พระนางมหาปชาบดีโคตมี
พระมาตุจฉาของพระองค์ ทรงมีอุปการะมาก ทรงประคับประคอง เลี้ยงดู ทรงถวายขีรธารา
เมื่อพระชนนีสวรรคตได้ให้พระองค์เสวยขีรธารา ขอประทานวโรกาสขอสตรีพึงได้การออก
จากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในพระธรรมวินัยที่พระองค์ประกาศแล้ว พระพุทธเจ้าข้า
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดูกรอานนท์ ถ้ามหาปชาบดีโคตมี รับประพฤติครุธรรม
๘ ประการได้ ครุธรรม ๘ ประการนี้แหละ เป็นอุปสมบทของพระนาง คือ
๑. ภิกษุณีแม้อุปสมบทแล้วได้ ๑๐๐ พรรษา ก็พึงเคารพกราบไหว้พระภิกษุ
แม้อุปสมบทได้วันเดียว
๒. ภิกษุณี จะอยู่จาพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุนั้นไม่ได้ ต้องอยู่ในอาวาสที่มีพระภิกษุ
๓. ภิกษุณี จะต้องทาอุโบสถกรรมและรับฟังโอวาทจากสานักภิกษุสงฆ์ทุกกึ่งเดือน
๔. ภิกษุณี อยู่จาพรรษาแล้ว วันออกพรรษาต้องทาปวารณาในสานักสงฆ์ทั้งสองฝ่าย
(ภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์)
๕. ภิกษุณี ถ้าต้องอาบัติสังฆาทิเสส อยู่ปริวาสกรรม ต้องประพฤติมานัตในสงฆ์
สองฝ่าย๖. ภิกษุณี ต้องอุปสมบทในสานักสงฆ์สองฝ่าย หลังจากเป็นนางสิกขมานา รักษา
สิกขาบท ๖ ประการ คือ ๑. เว้นจากการฆ่าสัตว์ ๒. เว้นจากการลักขโมย ๓. เว้นจากการ
ประพฤติผิดพรหมจรรย์ ๔. เว้นจากการพูดเท็จ ๕. เว้นจากการดื่มสุราเมรัยและของมึนเมา
๖. เว้นจากการรับประทานอาหารในเวลาวิกาล ทั้ง ๖ ประการนี้มิให้ขาดตกบกพร่องเป็น
เวลา ๒ ปี ถ้าบกพร่องในระหว่าง ๒ ปี ต้องเริ่มปฏิบัติใหม่
๗. ภิกษุณี จะกล่าวอักโกสกถาคือ ด่าบริภาษภิกษุ ด้วยอาการอย่างใดอย่างหนึ่งมิได้
๘. ภิกษุณี ตั้งแต่วันอุปสมบทเป็นต้นไป พึงฟังโอวาทจากภิกษุเพียงฝ่ายเดียว จะให้
โอวาทภิกษุมิได้
พระเถระจดจานาเอาครุธรรมทั้ง ๘ ประการนี้มาแจ้งแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี
พระน้านางได้สดับแล้ว มีพระทัยผ่องใสโสมนัส ยอมรับปฏิบัติได้ทุกประการ พระพุทธองค์จึง
ทรงประทานการอุปสมบทให้แก่พระน้านางสมเจตนาพร้อมศากยขัตติยนารีที่ติดตามมาด้วย
ทั้งหมด เมื่อพระนางมหาปชาบดีโคตมี ได้อุปสมบทเสร็จแล้ว เรียนพระกัมมัฏฐานในสานัก
พระพุทธเจ้า อุตส่าห์บาเพ็ญเพียรด้วยความไม่ประมาทไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัตผล
พร้อมด้วยภิกษุณีบริวารทั้ง ๕๐๐ รูป และได้บาเพ็ญกิจพระศาสนาเต็มกาลังความสามารถ
ลาดับต่อมา เมื่อพระพุทธเจ้าประทับ ณ วัดพระเชตวัน ทรงสถาปนาภิกษุณีใน
ตาแหน่งเอตทัคคะหลายตาแหน่ง พระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า พระนางมหาปชาบดี
โคตมีเป็นผู้มีวัยวุฒิสูง คือรู้กาลนาน มีประสบการณ์มาก รู้เหตุการณ์ต่าง ๆ มาตั้งแต่ต้น
จึงทรงสถาปนาพระนางในตาแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลาย ในฝ่าย ผู้รัตตัญญู
คือรู้ราตรีนาน
พระนางทรงพระชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาล ก็ดับขันธนิพพาน

๒. พระอุรุเวลกัสสปะ

๒. พระอุรุเวลกัสสปะ 
พระอุรุเวลกัสสปะ เกิดในตระกูลพราหมณ์กัสสปโคตร มีน้องชาย ๒ คน ชื่อนทีกัสสปะ
และคยากัสสปะ เมื่อเจริญวัยท่านได้เรียนจบไตรเพท ตามลัทธิและประเพณีของพราหมณ์
ท่านอุรุเวลกัสสปะ มีบริวาร ๕๐๐ คน พาน้องชาย ๒ คน และบริวาร รวมทั้งหมด
๑,๐๐๐ คน ออกบวชเป็นชฎิล ตั้งอาศรมอยู่ที่ตาบลอุรุเวลา แคว้นมคธ จึงได้ชื่อว่าอุรุเวลกัสสปะ
บาเพ็ญพรตด้วยการบูชาไฟ
พระพุทธเจ้าทรงดาริว่า ควรจะนาอุรุเวลกัสสปะผู้มีอายุมาก เป็นที่นับถือของมหาชน
มาเป็นกาลังในการประกาศพระศาสนาที่แคว้นมคธ เพราะท่านเป็นที่นับถือของชนในแคว้นนั้น
มาช้านาน จึงเสด็จพระองค์เดียวไปยังอุรุเวลานิคม ตรัสขอพานักอาศัยในอาศรมของ
อุรุเวลกัสสปชฎิล แรก ๆ ไม่ยอมให้ทรงพานัก แต่ถูกพระพุทธเจ้าทรงทรมานด้วยอภินิหาร
ต่าง ๆ เห็นว่าลัทธิของตนไม่มีสาระก็เกิดความสลดใจละลัทธินั้นเสีย พากันลอยบริขารแห่ง
ชฎิลในแม่น้าแล้วทูลขอบวชพร้อมทั้งบริวาร ๕๐๐ คน
เมื่ออุรุเวลกัสสปะพร้อมทั้งบริวาร ลอยบริขารและเครื่องบูชาไฟไปในแม่น้า น้องชาย
ทั้งสองเห็นเช่นนั้น กลัวว่าจะมีภัยเกิดกับพี่ชายจึงพากันมาดู พอทราบเรื่องราวความเป็นไป
ต่าง ๆ จึงขอบวชในสานักของพระพุทธเจ้า พร้อมกับบริวารทั้งหมด พระพุทธเจ้าทรงประทาน
เอหิภิกขุอุปสัมปทาให้ แล้วทรงพาภิกษุ ๑,๐๐๓ รูปนั้น เสด็จไปยังตาบลคยาสีสะ ประทับนั่ง
บนแผ่นหิน ทรงให้ภิกษุทั้งหมดนั้นดารงอยู่ในอรหัตผลด้วย อาทิตตปริยายเทศนา ใจความ
ย่อแห่งอาทิตตปริยายเทศนาว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเป็นของร้อน ร้อนเพราะอะไรร้อนเพราะไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ ร้อนเพราะความเกิด เพราะความแก่ เพราะ
ความตาย เพราะความเศร้าโศก เพราะความคร่าครวญ เพราะความทุกข์ เพราะความ
โทมนัส เพราะความคับแค้นใจ
พระอุรุเวลกัสสปะเป็นกาลังสาคัญยิ่งในการประดิษฐานพระพุทธศาสนาในแคว้นมคธ
ตามตานานเล่าว่า พระพุทธเจ้าทรงพาภิกษุ ๑,๐๐๓ องค์นั้น เสด็จไปถึงเมืองราชคฤห์
ประทับที่สวนตาลหนุ่ม ชื่อลัฏฐิวัน พระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าแผ่นดินแคว้นมคธทรงทราบ
ข่าว จึงพร้อมด้วยข้าราชบริพารเสด็จพระราชดาเนินไปเฝ้า พระพุทธองค์ทอดพระเนตรเห็น
ข้าราชบริพารของพระเจ้าพิมพิสาร มีกิริยาอาการไม่อ่อนน้อม จึงตรัสสั่งให้พระอุรุเวลกัสสปะ
ประกาศให้คนเหล่านั้นทราบว่า ลัทธิของท่านไม่มีแก่นสาร คนเหล่านั้นสิ้นความสงสัย ตั้งใจ
ฟังพระเทศนาอนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔ พอจบเทศนา พระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยบริวาร
๑๑ ส่วน ได้ดวงตาเห็นธรรม คือบรรลุโสดาปัตติผล อีก ๑ ส่วน ดารงอยู่ในสรณคมน์
พระอุรุเวลกัสสปะ เป็นผู้รู้จักเอาใจใส่บริษัท จึงทาให้มีคนเลื่อมใสศรัทธาในตัว
ท่านมาก มีบริวารมากถึง ๕๐๐ คน ฉะนั้น จึงได้รับการยกย่องว่า เป็นเอตทัคคะผู้ยอดเยี่ยม
กว่าภิกษุทั้งหลายด้านผู้มีบริวารมาก ท่านดารงชีพอยู่พอสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธนิพพาน