วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

วิปัสสนากัมมัฏฐาน ธรรมศึกษา วิชา ธรรม ระดับอุดมศึกษา (ธศ 332) ชั้นเอก

วิปัสสนากัมมัฏฐาน
สาธุชนมาทำวิปัสสนาปัญญาที่เห็นแจ้งชัดในอารมณ์ให้เกิดมีขึ้นในจิตด้วย
เจตนาอันใด เจตนาอันนั้นชื่อว่า วิปัสสนาภาวนา
พรรณนาความ
วิปัสสนากัมมัฏฐาน (วิปัสสนาภาวนา) หมำยถึงกัมมัฏฐำนเป็นอุบำยทำให้เกิด
ปัญญำรู้เห็นสภำวธรรมตำมเป็นจริง โดยควำมเป็นไตรลักษณ์ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็น
อนัตตำ
ธรรมเป็นอารมณ์เป็นภูมิของวิปัสสนา
ในกำรเจริญวิปัสสนำกัมมัฏฐำน ต้องรู้จักอำรมณ์ของวิปัสสนำ อุปมำเหมือนกำรปลูก
พืชพันธุ์ธัญญำหำรต้องมีพื้นที่ ถ้ำไม่มีพื้นที่สำหรับปลูกแล้ว พืชก็เกิดไม่ได้ ธรรมอันเป็น
อำรมณ์เป็นภูมิของวิปัสสนำ คือสิ่งที่ยึดหน่วงจิตให้เกิดวิปัสสนำปัญญำ มีอยู่ ๖ หมวด
คือ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจ ๔ และปฏิจจสมุปบาท ๑๒
ธรรมทั้ง ๖ หมวดนี้ ย่อเป็น รูปและนาม
๑. ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนำ สัญญำ สังขำร และ วิญญำณ อธิบำยดังนี้
๑) รูป คือร่ำงกำยอันสงเครำะห์ด้วยธำตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม
๒) เวทนา คือ ควำมเสวยอำรมณ์สุข ทุกข์ อุเบกขำ
๓) สัญญา คือ ควำมจำได้หมำยรู้อำรมณ์หรือสิ่งที่มำกระทบกับอำยตนะภำยใน
คือตำ หู จมูก ลิ้น กำย และใจ
๔) สังขาร คืออำรมณ์อันเกิดกับจิต เจตนำควำมคิดอ่ำนที่ปรุงแต่งจิตให้ดีหรือชั่ว
หรือเป็นกลำงๆ
๕) วิญญาณ คือควำมรู้แจ้งอำรมณ์ทำงทวำร ๖ คือ ตำ หู จมูก ลิ้น กำย และใจ
๒. อายตนะ ๑๒ คำว่ำ อำยตนะ แปลว่ำ ที่ต่อ เครื่องต่อ หมำยถึงเครื่องรับรู้อำรมณ์
ของจิต แบ่งเป็นอำยตนะภำยใน ๖ และอำยตนะภำยนอก ๖ คือ อายตนะภายใน ๖ ได้แก่
ตำ หู จมูก ลิ้น กำย ใจ อายตนะภายนอก ๖ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมำรมณ์
๓. ธาตุ ๑๘ คำว่ำ ธาตุ แปลว่ำ สภาพทรงไว้ หมำยถึงสิ่งที่ทรงสภำวะของตนอยู่เอง
ตำมที่เหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น เป็นไปตำมธรรมดำ ไม่มีผู้สร้ำง ไม่มีผู้บันดำล มี ๑๘ อย่ำง คือ
๑) จักขุธาตุ ธาตุคือจักขุประสาท (ตา)
๒) รูปธาตุ ธาตุคือรูป
๓) จักขุวิญญาณธาตุ ธาตุคือสภาวะที่รับรู้รูปทางตา
๔) โสตธาตุ ธาตุคือโสตประสาท (หู)
๕) สัททธาตุ ธาตุคือเสียง
๖) โสตวิญญาณธาตุ ธาตุคือสภาวะที่รับรู้เสียงทางหู
๗) ฆานธาตุ ธาตุคือฆานประสาท (จมูก)
๘) คันธธาตุ ธาตุคือกลิ่น
๙) ฆานวิญญาณธาตุ ธาตุคือสภาวะที่รับรู้กลิ่นทางจมูก
๑๐) ชิวหาธาตุ ธาตุคือชิวหาประสาท (ลิ้น)
๑๑) รสธาตุ ธาตุคือรส
๑๒) ชิวหาวิญญาณธาตุ ธาตุคือสภาวะที่รับรู้รสทางลิ้น
๑๓) กายธาตุ ธาตุคือกายประสาท
๑๔) โผฏฐัพพธาตุ ธาตุคือโผฏฐัพพะ (สิ่งสัมผัส)
๑๕) กายวิญญาณธาตุ ธาตุคือสภาวะที่รับรู้สัมผัสทางกาย
๑๖) มโนธาตุ ธาตุคือมโน (จิต)
๑๗) ธัมมธาตุ ธาตุคือธัมมะ (สิ่งที่ใจนึกคิด,อารมณ์)
๑๘) มโนวิญญาณธาตุ ธาตุคือสภาวะที่รับรู้อารมณ์ทางจิต
๔. อินทรีย์ ๒๒ คำว่ำ อินทรีย์ แปลว่ำ สิ่งที่เป็นใหญ่ หมำยถึงอำยตนะที่เป็นใหญ่
ในกำรทำกิจของตน เช่น ตำเป็นใหญ่ในกำรเห็น เป็นต้น มี ๒๒ อย่ำง คือ
๑) จักขุนทรีย์ อินทรีย์คือจักษุประสาท (ตา)
๒) โสตินทรีย์ อินทรีย์คือโสตประสาท (หู)
๓) ฆานินทรีย์ อินทรีย์คือฆานประสาท (จมูก)
๔) ชิวหินทรีย์ อินทรีย์คือชิวหาประสาท (ลิ้น)

๕) กายินทรีย์ อินทรีย์คือกายประสาท (กาย)๖) มนินทรีย์ อินทรีย์คือมโน (จิต ๘๙ ดวง หรือ ๑๒๑ ดวง)
๗) อิตถินทรีย์ อินทรีย์คืออิตถีภาวะ (ความเป็นหญิง)
๘) ปุริสินทรีย์ อินทรีย์คือปุริสภาวะ (ความเป็นชาย)
๙) ชีวิตินทรีย์ อินทรีย์คือชีวิต
๑๐) สุขินทรีย์ อินทรีย์คือสุขเวทนา (ความรู้สึกเป็นสุข)
๑๑) ทุกขินทรีย์ อินทรีย์คือทุกขเวทนา (ความรู้สึกเป็นทุกข์)
๑๒) โสมนัสสินทรีย์ อินทรีย์คือโสมนัสสเวทนา (ความรู้สึกดีใจ)
๑๓) โทมนัสสินทรีย์ อินทรีย์คือโทมนัสสเวทนา (ความรู้สึกเสียใจ)
๑๔) อุเปกขินทรีย์ อินทรีย์คืออุเบกขาเวทนา (ความรู้สึกเป็นกลาง)
๑๕) สัทธินทรีย์ อินทรีย์คือศรัทธา มีหน้าที่เด่นด้านความเชื่อ
๑๖) วิริยินทรีย์ อินทรีย์คือวิริยะ มีหน้าที่เด่นด้านความเพียร
๑๗) สตินทรีย์ อินทรีย์คือสติ มีหน้าที่เด่นด้านความระลึกชอบ
๑๘) สมาธินทรีย์ อินทรีย์คือสมาธิ มีหน้าที่เด่นด้านความตั้งใจมั่น
๑๙) ปัญญินทรีย์ อินทรีย์คือปัญญา มีหน้าที่เด่นด้านความรู้ชัด
๒๐) อนัญญตัญญัสสามีตินทรีย์ อินทรีย์ของผู้ปฏิบัติด้วยมุ่งโสดาปัตติมัคคญาณ
๒๑) อัญญินทรีย์ อินทรีย์คือปัญญาอันรู้ทั่วถึงโสดาปัตติผลญาณถึงอรหัตต-
มัคคญาณ
๒๒) อัญญาตาวินทรีย์ อินทรีย์แห่งท่านผู้รู้ทั่วถึงอรหัตตผลญาณ
๕. อริยสัจ ๔ คำว่ำ อริยสัจ แปลว่ำ ควำมจริงอันประเสริฐ ควำมจริงที่ทำให้เข้ำถึง
ควำมเป็นพระอริยะ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
๖. ปฏิจจสมุปบาท ๑๒ คำว่ำ ปฏิจจสมุปบาท แปลว่ำ ธรรมที่อาศัยกันและกัน
เกิดขึ้นพร้อมกัน เรียกอีกอย่ำงว่ำ ปัจจยาการ คืออำกำรที่เป็นปัจจัยแก่กันและกัน ได้แก่
อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ
ชาติ ชรามรณะธรรมที่เป็นเหตุเกิดขึ้น ตั้งอยู่แห่งวิปัสสนา
ในวิสุทธิ ๗ ธรรมที่เป็นเหตุเกิดขึ้น ตั้งอยู่ของวิปัสสนำ ได้แก่ วิสุทธิ ๒ ข้อ
ข้ำงต้น คือ
๑) สีลวิสุทธิ ควำมหมดจดแห่งศีล
๒) จิตตวิสุทธิ ควำมหมดจดแห่งจิต
ผู้ที่เจริญวิปัสสนำเบื้องต้น ต้องปฏิบัติตนให้มีศีลบริสุทธิ์และมีจิตบริสุทธิ์ก่อน
จึงจะเจริญวิปัสสนำต่อไปได้ ถ้ำเป็นผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์ ยังมีจิตฟุ้งซ่ำน ไม่เป็นสมำธิ ก็ไม่ควร
ที่จะเจริญวิปัสสนำ
ธรรมที่เป็นตัววิปัสสนา
ในวิสุทธิ ๗ ธรรมที่เป็นตัววิปัสสนำ ได้แก่ วิสุทธิ ๕ ข้อข้างท้าย คือ
๑) ทิฏฐิวิสุทธิ ควำมหมดจดแห่งทิฏฐิ
๒) กังขาวิตรณวิสุทธิ ควำมหมดจดแห่งญำณเป็นเครื่องข้ำมพ้นควำมสงสัย
๓) มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ควำมหมดจดแห่งญำณเป็นเครื่องเห็นว่ำทำง
หรือมิใช่ทำง
๔) ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ควำมหมดจดแห่งญำณเป็นเครื่องเห็นทำงปฏิบัติ
๕) ญาณทัสสนวิสุทธิ ควำมหมดจดแห่งญำณทัสสนะ คืออริยมรรค ๔
อีกนัยหนึ่ง ธรรมที่เป็นตัววิปัสสนา ได้แก่ ไตรลักษณ์ หรือสำมัญญลักษณะ ๓ คือ
๑) อนิจจตา ความเป็นของไม่เที่ยง
๒) ทุกขตา ความเป็นทุกข์
๓) อนัตตตา ความเป็นของมิใช่ตัวตน
ลักษณะ กิจ ผล และเหตุของวิปัสสนา
ลักษณะ คือ เครื่องหมำยของวิปัสสนำ ได้แก่ควำมรู้ควำมเห็นว่ำสังขำรเป็น
ของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตำ อย่ำงแจ้งชัดตำมควำมเป็นจริง
กิจ คือ หน้ำที่ของวิปัสสนำ ได้แก่ควำมขจัดมืดคือโมหะอันปิดบังปัญญำไว้
ไม่ให้เห็นตำมควำมเป็นจริงของสังขำรว่ำ เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตำผล คือ ประโยชน์ที่ได้รับจำกกำรเจริญวิปัสสนำ ได้แก่ควำมรู้แจ้งเห็นจริงใน
สังขำรว่ำ เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตำ ปรำกฏเฉพำะหน้ำ ดุจประทีปส่องสว่ำงอยู่
ฉะนั้น
เหตุ คือ สิ่งที่สนับสนุนให้วิปัสสนำเกิดขึ้นและดำรงอยู่ ได้แก่ควำมที่จิตไม่
ฟุ้งซ่ำน ตั้งมั่นเป็นสมำธิ
วิภาคของวิปัสสนา
วิภาค หมำยถึงกำรแยกส่วนพิจำรณำอำรมณ์วิปัสสนำ ๖ ส่วน คือ
๑) อนิจฺจํ ส่วนที่ไม่เที่ยง คือสังขำรที่ปัจจัยปรุงแต่งสร้ำงขึ้น เป็นของไม่เที่ยง
เพรำะเกิดขึ้นแล้วแปรปรวนเป็นอย่ำงอื่นไป ไม่คงอยู่อย่ำงเดิม
๒) อนิจฺจลกฺขณํ ส่วนที่เป็นลักษณะของความไม่เที่ยง คือเครื่องหมำย
กำหนดให้รู้ว่ำสังขำรเป็นของไม่เที่ยง มีควำมเกิดขึ้นแล้ว แปรปรวนเป็นอย่ำงอื่นไป ไม่คงอยู่
อย่ำงเดิม
๓) ทุกฺขํ ส่วนที่เป็นทุกข์ คือสังขำรที่เป็นตัวทุกข์ เพรำะมีควำมเกิด-ดับ และมี
ควำมเปลี่ยนแปลงเป็นอย่ำงอื่นด้วยทุกข์ที่เกิดจำกชรำ พยำธิ มรณะอยู่เป็นนิตย์
๔) ทุกฺขลกฺขณํ ส่วนที่เป็นลักษณะของความทุกข์ คือเครื่องหมำยกำหนดให้รู้
ว่ำสังขำรเป็นทุกข์ เพรำะถูกชรำ พยำธิ มรณะ บีบคั้นเบียดเบียนเผำผลำญทำลำยให้เป็น
ทุกข์อยู่เป็นนิตย์
๕) อนตฺตา ส่วนที่เป็นอนัตตา คือควำมที่สังขำรและวิสังขำรเป็นอนัตตำ เป็น
สภำพว่ำงจำกตัวตน มิใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรำเขำ
๖) อนตฺตลกฺขณํ ส่วนที่เป็นลักษณะของอนัตตา คือเครื่องหมำยกำหนดให้รู้ว่ำ
สังขำรและวิสังขำรเป็นสภำพที่ไม่มีตัวตน มิใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรำเขำ
ผู้เจริญวิปัสสนามี ๒ ประเภท
๑) สมถยานิก ผู้มีสมถะเป็นยาน หมำยถึงผู้เจริญสมถะจนได้บรรลุฌำนสมำบัติ
แล้วจึงอำศัยสมถะนั้นเป็นพื้นฐำนเจริญวิปัสสนำต่อไป เมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วเป็นผู้มี
คุณวิเศษต่ำงๆ เช่นสำมำรถแสดงฤทธิ์ได้ เป็นต้น๒) วิปัสสนายานิก ผู้มีวิปัสสนาเป็นยาน หมำยถึงผู้เจริญวิปัสสนำอย่ำงเดียวไป
จนบรรลุเป็นพระอรหันต์ โดยมิได้เจริญสมถะ ไม่ได้ฌำนสมำบัติมำก่อน เมื่อเจริญวิปัสสนำก็
กำหนดนำมรูปเป็นอำรมณ์ ยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์ เมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วไม่สำมำรถ
แสดงฤทธิ์ได้ เรียกว่ำสุกขวิปัสสกะ (ผู้เจริญวิปัสสนำล้วน)
วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ อย่าง
ผู้เจริญวิปัสสนำ อำจมีสิ่งที่มำทำให้จิตเศร้ำหมองในระหว่ำงเจริญวิปัสสนำ
เรียกว่ำ วิปัสสนูปกิเลส เครื่องเศร้าหมองแห่งวิปัสสนา คือ ธรรมำรมณ์ที่เกิดแก่ผู้ได้วิปัสสนำ
อ่อนๆ จนทำให้สำคัญว่ำตนบรรลุมรรคผลแล้ว เป็นเหตุขัดขวำงให้ไม่ก้ำวหน้ำต่อไปใน
วิปัสสนำญำณ มี ๑๐ อย่ำง คือ
๑) โอภาส แสงสว่ำงเกิดแต่วิปัสสนำจิต ซ่ำนออกจำกสรีระ
๒) ญาณ ควำมหยั่งรู้ หรือวิปัสสนำญำณที่เห็นนำมรูปแจ้งชัด
๓) ปีติ ควำมอิ่มใจที่แผ่ซ่ำนไปทั่วร่ำงกำย
๔) ปัสสัทธิ ควำมสงบกำยและจิต ระงับควำมกระวนกระวำยได้
๕) สุข ควำมสุขกำยและจิตที่เย็นประณีต
๖) อธิโมกข์ ควำมน้อมใจเชื่อ มีศรัทธำกล้ำเป็นที่ผ่องใสของจิตและเจตสิก
๗) ปัคคาหะ ควำมเพียรสม่ำเสมอประคองจิตไว้ด้วยดีในอำรมณ์
๘) อุปัฏฐาน ควำมที่สติตั้งมั่นปรำกฏชัด ควำมมีสติแก่กล้ำ
๙) อุเบกขา ควำมมีจิตเป็นกลำงในสังขำรทั้งสิ้นอย่ำงแรงกล้ำ
๑๐) นิกันติ ควำมพอใจอำลัยในวิปัสสนำที่สุขุมละเอียด
ผู้เจริญวิปัสสนำ เมื่อวิปัสสนูปกิเลส ๑๐ อย่ำงใดอย่ำงหนึ่งเกิดขึ้น พึงพิจำรณำ
รู้เท่ำทันว่ำ “ธรรมดังกล่าวไม่ใช่วิปัสสนา หากแต่เป็นอุปกิเลสแห่งวิปัสสนา ไม่ใช่ทางมรรคผล”
แล้วไม่ยินดี ไม่หลงในธรรมที่เป็นอุปกิเลสนั้น โดยไม่หยุดควำมเพียรในกำรเจริญวิปัสสนำ
ก็จะสำมำรถยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนำญำณขั้นสูงได้สรุปความ
ผู้เจริญวิปัสสนำจนได้วิปัสสนำญำณ ย่อมเห็นนำมรูปโดยควำมเป็นไตรลักษณ์
คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตำ ตำมควำมเป็นจริง จะได้รับอำนิสงส์มำกกว่ำกำรบำเพ็ญ
ทำน และกำรรักษำศีล โดยมีอานิสงส์ ๔ อย่าง ดังนี้
(๑) มีสติมั่นคง ไม่หลงตำย (ตำยอย่ำงมีสติ)
(๒) เกิดในสุคติภพ คือ โลกมนุษย์และโลกสวรรค์
(๓) เป็นอุปนิสัยแห่งมรรค ผล นิพพำน ต่อไปในเบื้องหน้ำ
(๔) ถ้ำมีอุปนิสัยแห่งมรรค ผล นิพพำน ก็สำมำรถบรรลุได้ในชำตินี้
การ เจริญ วิปัส สน า จัด ว่ำเป็นปฏิบัติบูช ำอัน เลิศ อัน ประเสริฐที่สุด
ในพระพุทธศำสนำ เพรำะสำมำรถทำให้พ้นจำกกิเลสและกองทุกข์ ปิดประตูอบำยภูมิได้
ฉะนั้น พุทธศำสนิกชนไม่พึงประมำท ควรหำโอกำสบำเพ็ญวิปัสสนำโดยถ้วนทั่วกันเถิด

พุทธคุณกถา ธรรมศึกษา วิชา ธรรม ระดับอุดมศึกษา (ธศ 332) ชั้นเอก

พุทธคุณกถา
พุทธคุณ ๙
๑. อรหํ ผู้เป็นพระอรหันต์
๒. สมฺมาสมฺพุทฺโธ ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ
๓. วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชำและจรณะ
๔. สุคโต ผู้เสด็จไปดีแล้ว
๕. โลกวิทู ผู้รู้แจ้งโลก
๖. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ ผู้เป็นสำรถีฝึกคนที่ฝึกได้ ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่ำ
๗. สตฺถา เทวมนุสฺสาน ผู้เป็นพระศำสดำของเทวดำและมนุษย์
ทั้งหลำย
๘. พุทฺโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบำนแล้ว
๙. ภควา ผู้ทรงจำแนกพระธรรม ผู้มีโชค

พุทธคุณ คือ พระคุณของพระพุทธเจ้ำ ทั้งที่เป็นพระคุณสมบัติส่วนพระองค์
และพระคุณที่ทรงบำเพ็ญเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น มี ๙ ประกำร ดังนี้
๑. อรหํ ผู้เป็นพระอรหันต์ หมำยถึง ผู้บริสุทธิ์ปรำศจำกกิเลสโดยสิ้นเชิง ในอรรถกถำ
และคัมภีร์วิสุทธิมรรค ได้นิยำมควำมหมำยของคำว่ำ อรหํ ไว้ ๕ ประกำร
๑) เป็นผู้ไกลกิเลส คือทรงดำรงอยู่ไกลแสนไกลจำกกิเลสทั้งหลำย เพรำะทรง
กำจัดกิเลสทั้งหลำยพร้อมทั้งวำสนำด้วยอริยมรรคจนหมดสิ้น
๒) เป็นผู้กำจัดอริทั้งหลาย คือทรงกำจัดข้ำศึกคือกิเลสทั้งหลำยด้วยอริยมรรค
๓) เป็นผู้หักกำแห่งสังสารจักร คือทรงหักกงล้อแห่งกำรเวียนว่ำยตำยเกิดใน
ภพภูมิต่ำงๆ๔) เป็นผู้ควรแก่ปัจจัย ๔ เป็นต้น คือทรงเป็นผู้ควรแก่กำรบูชำพิเศษ เพรำะ
พระองค์ทรงเป็นทักขิไณยบุคคลชั้นยอด เทวดำและมนุษย์ทั้งหลำยต่ำงบูชำพระองค์ด้วยกำร
บูชำอย่ำงยิ่ง
๕) เป็นผู้ไม่มีที่ลับในการทำบาป คือไม่ทรงทำบำปทุจริตทั้งในที่ลับและ
ในที่แจ้ง
๒. สมฺมาสมฺพุทฺโธ ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ หมำยถึงเป็นผู้ตรัสรู้สรรพสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง ที่ควร
กำหนดรู้ ที่ควรละ ที่ควรทำให้แจ้ง และที่ควรเจริญให้เกิดมีได้อย่ำงถูกต้องโดยชอบด้วย
พระองค์เอง โดยไม่มีผู้ใดแนะนำสั่งสอน โดยสรุป คือ พระองค์ตรัสรู้อริยสัจ ๔ ด้วย
พระองค์เอง
๓. วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ หมำยถึงทรงเพียบพร้อม
ด้วยวิชชำ ๓ วิชชำ ๘ และจรณะ ๑๕
วิชชา ๓ คือ
๑) ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ญำณหยั่งรู้ระลึกชำติหนหลังได้
๒) จุตูปปาตญาณ ญำณหยั่งรู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลำย
๓) อาสวักขยญาณ ญำณหยั่งรู้ควำมสิ้นไปแห่งอำสวกิเลส
วิชชา ๘ คือ
๑) วิปัสสนาญาณ ปัญญำที่พิจำรณำเห็น รูป นำม คือ ขันธ์ ๕ เป็นส่วนๆ
ต่ำงอำศัยกัน
๒) มโนมยิทธิ ฤทธิ์ทำงใจ เช่น เนรมิตกำยได้หลำกหลำยอย่ำง เป็นต้น
๓) อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ เช่น เหำะเหินเดินอำกำศได้ เดินบนน้ำดำลงไปใน
แผ่นดินได้ เป็นต้น
๔) ทิพพโสต หูทิพย์ คือฟังเสียงที่อยู่ไกลแสนไกลได้ยิน
๕) เจโตปริยญาณ กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้ เช่น รู้ควำมคิดคนอื่นว่ำคิดอย่ำงไร
๖) ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ญำณระลึกชำติหนหลังของตนได้
๗) ทิพพจักขุ ตำทิพย์ เห็นกำรเกิดกำรตำยของเหล่ำสัตว์
๘) อาสวักขยญาณ รู้จักทำอำสวะให้สิ้นไปไม่มีเหลือจรณะ ๑๕ คือ
๑) สีลสังวร ควำมสำรวมในศีล
๒) อินทรียสังวร ควำมสำรวมอินทรีย์
๓) โภชเน มัตตัญญุตา ควำมเป็นผู้รู้จักประมำณในกำรบริโภค
๔) ชาคริยานุโยค ควำมหมั่นประกอบควำมเพียร
๕) สัทธา ควำมเชื่อกรรมและผลของกรรม
๖) หิริ ควำมละอำยต่อบำปทุจริต
๗) โอตตัปปะ ควำมสะดุ้งกลัวต่อบำปทุจริต
๘) พาหุสัจจะ ควำมเป็นผู้ได้สดับมำก
๙) วิริยารัมภะ กำรปรำรภควำมเพียร
๑๐) สติ ควำมระลึกได้
๑๑) ปัญญา ควำมรอบรู้ตำมเป็นจริง
๑๒) ปฐมฌาน ฌำนที่ ๑
๑๓) ทุติยฌาน ฌำนที่ ๒
๑๔) ตติยฌาน ฌำนที่ ๓
๑๕) จตุตถฌาน ฌำนที่ ๔
๔. สุคโต ผู้เสด็จไปดีแล้ว หรือผู้กล่ำวดีแล้ว ในอรรถกถำนิยำมควำมหมำยไว้ ๔ ประกำร
๑) ทรงพระนำมว่ำ สุคโต เพรำะมีกำรเสด็จดำเนินไปอย่ำงบริสุทธิ์ หำโทษมิได้
ด้วยอริยมรรค
๒) ทรงพระนำมว่ำ สุคโต เพรำะเสด็จไปสู่อมตสถำนคือพระนิพพำน
๓) ทรงพระนำมว่ำ สุคโต เพรำะเสด็จไปโดยชอบ ไม่ทรงหวนกลับมำสู่กิเลส
ที่ละได้แล้ว
๔) ทรงพระนำมว่ำ สุคโต เพรำะตรัสวำจำชอบ ตรัสคำจริง ประกอบด้วย
ประโยชน์
๕. โลกวิทู ผู้ทรงรู้แจ้งโลก มีควำมหมำย ๒ ประกำร ดังนี้
๑) ทรงพระนำมว่ำ โลกวิทู เพรำะทรงรู้แจ้งโลกภำยในคือร่ำงกำย ซึ่งมีสัญญำ
มีใจครองนี้ โดยทรงรู้ถึงสภำวะ เหตุเกิดขึ้น ควำมดับ และวิธีปฏิบัติให้ลุถึงควำมดับอย่ำง
ถ่องแท้๒) ทรงพระนำมว่ำ โลกวิทู เพรำะทรงรู้แจ้งโลกภำยนอก ๓ คือ (๑) สังขารโลก
โลกคือสังขำรที่มีกำรปรุงแต่งตำมเหตุปัจจัย เช่น สรรพสัตว์ดำรงอยู่ได้เพรำะอำหำร
(๒) สัตวโลก โลกคือหมู่สัตว์ซึ่งแยกเป็นมนุษย์ เทวดำ พรหม (๓) โอกาสโลก โลกคือแผ่นดิน
หรือโลกต่ำงๆ ที่มีในจักรวำล
๖. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ ผู้เป็นสารถีฝึกคนที่ฝึกได้ ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า คือทรงทำ
หน้ำที่ดุจสำรถี ฝึกเทวดำ มนุษย์ อมนุษย์ และสัตว์ดิรัจฉำนที่สมควรฝึกได้ ด้วยอุบำยวิธี
ต่ำงๆ ตำมสมควรแก่อัธยำศัยของแต่ละบุคคลได้อย่ำงไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่ำ
๗. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ ผู้เป็นพระศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย คือทรงเป็น
บรมครูสั่งสอนบุคคลทุกระดับชั้น ด้วยพระมหำกรุณำ โดยมุ่งประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์
ในโลกหน้ำ และประโยชน์สูงสุดคือพระนิพพำน
๘. พุทฺโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว คือทรงเป็นพระพุทธเจ้ำอย่ำงสมบูรณ์ เพรำะตรัสรู้
สรรพสิ่งที่ควรรู้ และทรงสอนผู้อื่นให้รู้ตำม พระองค์ทรงตื่นเองจำกควำมเชื่อถือและ
ข้อปฏิบัติทั้งหลำยที่นับถือกันมำผิดๆ และทรงปลุกผู้อื่นให้ตื่นจำกควำมหลงงมงำย ทรงมี
พระหฤทัยเบิกบำนบำเพ็ญพุทธกิจ ได้บริสุทธิ์บริบูรณ์
๙. ภควา ผู้ทรงจาแนกพระธรรม ผู้มีโชค ในอรรถกถำและคัมภีร์วิสุทธิมรรค
ให้นิยำมควำมหมำยไว้ ๖ ประกำร ดังนี้
๑) ทรงเป็นผู้มีโชค คือทรงหวังพระโพธิญำณก็ได้สมหวัง ซึ่งเป็นผลจำก
พระบำรมีที่ทรงบำเพ็ญมำนำนถึง ๔ อสงไขย ๑ แสนกัป
๒) ทรงเป็นผู้ทำลายกิเลสและหมู่มารทั้งมวลได้อย่างราบคาบ คือทรงชนะ
กิเลสทั้งปวงและหมู่มำรได้หมดสิ้น
๓) ทรงมีภคธรรม ๖ ประการ คือ (๑) ควำมมีอำนำจเหนือจิต (๒) โลกุตตรธรรม
(๓) พระเกียรติยศที่ปรำกฏทั่วในโลก ๓ (๔) พระสิริรูปสง่ำงำมครบทุกส่วน (๕) ควำมสำเร็จ
ประโยชน์ตำมที่ทรงมุ่งหวัง (๖) ควำมเพียรชอบเป็นเหตุให้ได้รับควำมเคำรพจำกชำวโลก
๔) ทรงจำแนกแจกธรรม คือ ทรงเป็นวิภัชชวาทีในกำรแสดงธรรม โดยทรง
แยกแยะจำแนกแจกแจงประเภทแห่งธรรมออกไปอย่ำงละเอียดวิจิตรพิสดำร
๕) ทรงเสพอริยธรรม คือทรงยินดีในอริยวิหำรธรรม (ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของ
พระอริยเจ้ำ) วิเวก (ควำมสงัดกำยและจิต) วิโมกข์ (ควำมหลุดพ้นจำกกิเลส) และอุตตริ-
มนุสสธรรม (ธรรมของมนุษย์อันยวดยิ่ง มีฌำนสมำบัติเป็นต้น)
๖) ทรงสลัดตัณหาในภพ ๓ ได้แล้ว คือทรงปรำศจำกกิเลสตัณหำอันทำให้เวียน
ว่ำยตำยเกิดในภพ ๓ คือ กำมภพ รูปภพ และอรูปภพ
สรุปพระพุทธคุณ
พระพุทธคุณ ๙ ตั้งแต่ อรหํ ถึง ภควา เป็นเนมิตกนาม เกิดโดยนิมิตคืออรหัตตคุณ
และอนุตตรสัมมำสัมโพธิญำณ ไม่มีผู้ใดในมนุษยโลกและเทวโลกแต่งตั้งถวำย
พระมติของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงจัดพระพุทธคุณ ๙ ไว้โดยย่อ
๒ ประกำร คือ พระปัญญาคุณ กับ พระกรุณาคุณ พระฎีกำจำรย์ทั้งหลำยจัดไว้
๓ ประกำร คือ พระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระกรุณาคุณ ในพระคุณทั้ง ๓ นี้ ข้อที่
เป็นหลักและกล่ำวถึงทั่วไปในคัมภีร์ต่ำงๆ มี ๓ คือ ปัญญำและกรุณำ ส่วนวิสุทธิ เป็นพระคุณ
เนื่องอยู่ในพระปัญญำอยู่แล้ว เพรำะเป็นผลเกิดเองจำกกำรตรัสรู้ จึงไม่แยกไว้เป็นข้อหนึ่ง
ต่ำงหำก
พระพุทธคุณ บทว่ำ อรห , สมฺมำสมฺพุทฺโธ, วิชฺชำจรณสมฺปนฺโน, สุคโต, โลกวิทู จัดเข้ำ
ในพระปัญญาคุณ, บทว่ำ อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสำรถิ และ สตฺถำ เทวมนุสฺสำน จัดเข้ำใน
พระกรุณาคุณ, บทว่ำ พุทฺโธ และ ภควำ จัดเข้ำได้ทั้งในพระปัญญาคุณและพระกรุณาคุณ
อีกอย่ำงหนึ่ง บทว่ำ อรห , สมฺมำสมฺพุทฺโธ, วิชฺชำจรณสมฺปนฺโน, สุคโต, โลกวิทู แสดง
คุณสมบัติส่วนพระองค์ เรียกว่ำ อัตตหิตคุณ, บทว่ำ อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสำรถิ และ สตฺถำ
เทวมนุสฺสำน แสดงคุณสมบัติเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น เรียกว่ำ ปรหิตคุณ, บทว่ำ พุทฺโธ และ
ภควำ แสดงคุณสมบัติส่วนพระองค์และเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น เรียกว่ำ อัตตปรหิตคุณ

สมถกัมมัฏฐาน ธรรมศึกษา วิชา ธรรม ระดับอุดมศึกษา (ธศ 332) ชั้นเอก

สมถกัมมัฏฐาน
๑. กุลบุตรมีศรัทธำมำเจริญสมถะ ทำให้เกิดขึ้นด้วยเจตนำอันใด เจตนำอันนั้น
ชื่อว่ำ สมถภาวนา
๒. กุลบุตรผู้มีศรัทธำยังสมถะอันเป็นอุบำยเครื่องสงบระงับของจิตให้เกิดมีขึ้น
ชื่อว่ำ สมถภาวนา
๓. เจตนำอันเป็นไปในสมถกัมมัฏฐำนทั้งหมดทั้งสิ้น ชื่อว่ำ สมถภาวนา

สมถกัมมัฏฐาน หมำยถึงหลักกำรเจริญสมถะ เป็นอุบำยเครื่องปิดกั้นนิวรณ์
กิเลสมิให้ครอบงำจิตสันดำนได้ เปรียบเหมือนบุคคลสร้ำงทำนบกั้นน้ำมิให้ไหลไป ทั้งยังเป็น
อุบำยข่มจิตมิให้ฟุ้งซ่ำน เปรียบเหมือนนำยสำรถีฝึกม้ำให้พร้อมใช้งำนเป็นรำชพำหนะได้
ธรรมที่เป็นอารมณ์ของสมถกัมมัฏฐานตามนัยพระบาลี
ธรรมที่นิยมนำมำกำหนดเพื่อให้จิตสงบเป็นสมำธิ กล่ำวตำมพระบำลี
(พระไตรปิฎก) มี ๒ คือ อภิณหปัจจเวกขณะ ๕ และ สติปัฏฐาน ๔ มีอธิบำยดังนี้
๑. อภิณหปัจจเวกขณะ หมำยถึงหลักธรรมสำหรับกำหนดพิจำรณำ
ในชีวิตประจำวัน หรือหัวข้อธรรมที่ควรพิจำรณำทุกๆ วัน มี ๕ อย่ำง คือ
๑) ชราธัมมตา กำรพิจำรณำถึงควำมแก่เนืองๆ เป็นอุบำยบรรเทำควำม
ประมำทในวัย
๒) พยาธิธัมมตา กำรพิจำรณำถึงควำมเจ็บป่วยเนืองๆ เป็นอุบำยบรรเทำควำม
ประมำทในควำมไม่มีโรค
๓) มรณธัมมตา กำรพิจำรณำถึงควำมตำยเนืองๆ เป็นอุบำยบรรเทำควำม
ประมำทในชีวิต
๔) ปิยวินาภาวตา กำรพิจำรณำถึงควำมพลัดพรำกจำกสิ่งที่รักเนืองๆ เป็นอุบำย
บรรเทำควำมเศร้ำโศกเสียใจ ควำมคับแค้นใจ
๕) กัมมัสสกตา กำรพิจำรณำว่ำตนมีกรรมเป็นของตนเนืองๆ เป็นอุบำยเตือนใจ
ให้รู้ว่ำทุกคนมีกรรมเป็นของตน ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
๒. สติปัฏฐาน หมำยถึงกำรตั้งสติกำหนดพิจำรณำสิ่งทั้งหลำยให้รู้เห็นตำมควำม
เป็นจริง โดยกำหนดพิจำรณำสิ่งสำคัญในชีวิต มี ๔ อย่ำง คือ
๑) กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมำยถึงกำรตั้งสติกำหนดพิจำรณำกำยให้รู้เห็น
ตำมควำมจริง ซึ่งแบ่งเป็น ๖ บรรพ (หมวด) คือ
(๑) อานาปานบรรพ หมวดกำหนดรู้ลมหำยใจเข้ำ-ออกยำว สั้น หยำบ
ละเอียดเป็นต้น
(๒) อิริยาปถบรรพ หมวดกำหนดรู้อิริยำบถใหญ่ของคนเรำ ๔ อิริยำบถ คือ
เดิน ยืน นั่ง นอน ว่ำสำเร็จเป็นไปได้เพรำะลมและจิตที่คิด
(๓) สัมปชัญญบรรพ หมวดกำหนดรู้รอบคอบในกำรเคลื่อนไหวของกำย
มีก้ำวไปข้ำงหน้ำและถอยกลับมำข้ำงหลังเป็นต้น มิให้หลงลืมพลั้งเผลอสติทุกขณะของ
กำรเคลื่อนไหวไปมำใดๆ
(๔) ปฏิกูลบรรพ หมวดกำหนดพิจำรณำอวัยวะหรือส่วนต่ำงๆ ภำยในกำยตน
มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้นและเปรียบเทียบกับกำยผู้อื่นให้เห็นเป็นของปฏิกูลคือไม่งำม
ไม่สะอำด เต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูลโสโครกน่ำเกลียด
(๕) ธาตุบรรพ หมวดกำหนดพิจำรณำกำยตนและกำยผู้อื่นโดยเป็นสักแต่ว่ำ
ธำตุ ๔ มำประชุมรวมกัน คือ สิ่งที่แข็งที่กระด้ำง กำหนดว่ำเป็นธำตุดิน สิ่งที่อ่อนที่เหลว
ซึมซำบไปในดิน ทำดินให้เหนียวเป็นก้อนอยู่ได้ กำหนดว่ำเป็นธำตุน้ำ สิ่งที่ทำดินและน้ำให้
อุ่นให้ร้อนให้แห้งเกรียมไป กำหนดว่ำเป็นธำตุไฟ สิ่งที่อุปถัมภ์อุดหนุนพยุงดินและน้ำไว้และ
ทำให้ไหวติงไปมำและรักษำไฟไว้มิให้ดับไปได้ กำหนดว่ำเป็นธำตุลม
(๖) นวสีวถิกาบรรพ หมวดกำหนดพิจำรณำกำยที่เป็นซำกศพซึ่งเขำทิ้งไว้
ในป่ำช้ำเป็นต้นอันกลำยเป็นอสุภะเปลี่ยนสภำพไปตำมระยะกำลที่ถูกทิ้งไว้ ๙ ระยะกำล
เริ่มตั้งแต่ซำกศพที่เขำทิ้งไว้หนึ่งวัน สองหรือสำมวัน จนกลำยเป็นอสุภะขึ้นอืดพองมีสีเขียว
มีหนองไหลเยิ้มออก เป็นต้นไปจนถึงซำกศพที่เขำทิ้งไว้นำนจนกลำยเป็นกระดูกผุยย่อย
ป่นละเอียดเป็นจุณไป
เมื่อตั้งสติกำหนดพิจำรณำกำย ๖ หมวด หมวดใดหมวดหนึ่งดังกล่ำวมำนี้

จนภำวะจิตสงบแน่วแน่เป็นสมำธิสำมำรถละนิวรณ์กิเลสได้ เรียกว่ำ สมถกัมมัฏฐาน
๒) เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมำยถึงกำรตั้งสติกำหนดพิจำรณำเวทนำคือ
ควำมรู้สึกเป็นสุข เป็นทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ (เป็นกลำงๆ) เมื่อเสวยสุขเวทนำ ก็มีสติกำหนด
รู้ว่ำเสวยสุขเวทนำเป็นต้น จนกระทั่งจิตสงบเป็นสมำธิสำมำรถละนิวรณ์กิเลสได้
๓) จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมำยถึงกำรตั้งสติกำหนดพิจำรณำจิตของตน
ตำมเป็นจริง คือ จิตมีรำคะ ก็รู้ว่ำจิตมีรำคะ จิตปรำศจำกรำคะ ก็รู้ว่ำจิตปรำศจำกรำคะ
เป็นต้น จนกระทั่งจิตสงบเป็นสมำธิสำมำรถละนิวรณ์กิเลสได้
๔) ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมำยถึงกำรตั้งสติกำหนดพิจำรณำสภำวธรรม
ต่ำงๆ ทั้งที่เป็นกุศล อกุศล อัพยำกฤต ที่มีอยู่ในจิตสันดำน เช่น กำมฉันทะมีอยู่ภำยในจิต
ก็รู้ว่ำมีอยู่ หรือกำมฉันทะไม่มีอยู่ภำยในจิต ก็รู้ว่ำไม่มีอยู่ เป็นต้น จนกระทั่งจิตสงบเป็นสมำธิ
สำมำรถละนิวรณ์กิเลสได้
แม้ธรรมที่เป็นอำรมณ์ของสมถกัมมัฏฐำนจะมีหลำยประกำร ถึงกระนั้น ก็ควร
กำหนดว่ำ ธรรมที่เป็นอำรมณ์ ซึ่งสำมำรถทำให้จิตสงบระงับนิวรณ์กิเลสได้ จัดเป็นอำรมณ์

ของสมถกัมมัฏฐำนได้ทั้งสิ้น
*ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่หนังสือธรรมศึกษาชั้นเอก