วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

พุทธคุณกถา ธรรมศึกษา วิชา ธรรม ระดับอุดมศึกษา (ธศ 332) ชั้นเอก

พุทธคุณกถา
พุทธคุณ ๙
๑. อรหํ ผู้เป็นพระอรหันต์
๒. สมฺมาสมฺพุทฺโธ ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ
๓. วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชำและจรณะ
๔. สุคโต ผู้เสด็จไปดีแล้ว
๕. โลกวิทู ผู้รู้แจ้งโลก
๖. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ ผู้เป็นสำรถีฝึกคนที่ฝึกได้ ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่ำ
๗. สตฺถา เทวมนุสฺสาน ผู้เป็นพระศำสดำของเทวดำและมนุษย์
ทั้งหลำย
๘. พุทฺโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบำนแล้ว
๙. ภควา ผู้ทรงจำแนกพระธรรม ผู้มีโชค

พุทธคุณ คือ พระคุณของพระพุทธเจ้ำ ทั้งที่เป็นพระคุณสมบัติส่วนพระองค์
และพระคุณที่ทรงบำเพ็ญเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น มี ๙ ประกำร ดังนี้
๑. อรหํ ผู้เป็นพระอรหันต์ หมำยถึง ผู้บริสุทธิ์ปรำศจำกกิเลสโดยสิ้นเชิง ในอรรถกถำ
และคัมภีร์วิสุทธิมรรค ได้นิยำมควำมหมำยของคำว่ำ อรหํ ไว้ ๕ ประกำร
๑) เป็นผู้ไกลกิเลส คือทรงดำรงอยู่ไกลแสนไกลจำกกิเลสทั้งหลำย เพรำะทรง
กำจัดกิเลสทั้งหลำยพร้อมทั้งวำสนำด้วยอริยมรรคจนหมดสิ้น
๒) เป็นผู้กำจัดอริทั้งหลาย คือทรงกำจัดข้ำศึกคือกิเลสทั้งหลำยด้วยอริยมรรค
๓) เป็นผู้หักกำแห่งสังสารจักร คือทรงหักกงล้อแห่งกำรเวียนว่ำยตำยเกิดใน
ภพภูมิต่ำงๆ๔) เป็นผู้ควรแก่ปัจจัย ๔ เป็นต้น คือทรงเป็นผู้ควรแก่กำรบูชำพิเศษ เพรำะ
พระองค์ทรงเป็นทักขิไณยบุคคลชั้นยอด เทวดำและมนุษย์ทั้งหลำยต่ำงบูชำพระองค์ด้วยกำร
บูชำอย่ำงยิ่ง
๕) เป็นผู้ไม่มีที่ลับในการทำบาป คือไม่ทรงทำบำปทุจริตทั้งในที่ลับและ
ในที่แจ้ง
๒. สมฺมาสมฺพุทฺโธ ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ หมำยถึงเป็นผู้ตรัสรู้สรรพสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง ที่ควร
กำหนดรู้ ที่ควรละ ที่ควรทำให้แจ้ง และที่ควรเจริญให้เกิดมีได้อย่ำงถูกต้องโดยชอบด้วย
พระองค์เอง โดยไม่มีผู้ใดแนะนำสั่งสอน โดยสรุป คือ พระองค์ตรัสรู้อริยสัจ ๔ ด้วย
พระองค์เอง
๓. วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ หมำยถึงทรงเพียบพร้อม
ด้วยวิชชำ ๓ วิชชำ ๘ และจรณะ ๑๕
วิชชา ๓ คือ
๑) ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ญำณหยั่งรู้ระลึกชำติหนหลังได้
๒) จุตูปปาตญาณ ญำณหยั่งรู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลำย
๓) อาสวักขยญาณ ญำณหยั่งรู้ควำมสิ้นไปแห่งอำสวกิเลส
วิชชา ๘ คือ
๑) วิปัสสนาญาณ ปัญญำที่พิจำรณำเห็น รูป นำม คือ ขันธ์ ๕ เป็นส่วนๆ
ต่ำงอำศัยกัน
๒) มโนมยิทธิ ฤทธิ์ทำงใจ เช่น เนรมิตกำยได้หลำกหลำยอย่ำง เป็นต้น
๓) อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ เช่น เหำะเหินเดินอำกำศได้ เดินบนน้ำดำลงไปใน
แผ่นดินได้ เป็นต้น
๔) ทิพพโสต หูทิพย์ คือฟังเสียงที่อยู่ไกลแสนไกลได้ยิน
๕) เจโตปริยญาณ กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้ เช่น รู้ควำมคิดคนอื่นว่ำคิดอย่ำงไร
๖) ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ญำณระลึกชำติหนหลังของตนได้
๗) ทิพพจักขุ ตำทิพย์ เห็นกำรเกิดกำรตำยของเหล่ำสัตว์
๘) อาสวักขยญาณ รู้จักทำอำสวะให้สิ้นไปไม่มีเหลือจรณะ ๑๕ คือ
๑) สีลสังวร ควำมสำรวมในศีล
๒) อินทรียสังวร ควำมสำรวมอินทรีย์
๓) โภชเน มัตตัญญุตา ควำมเป็นผู้รู้จักประมำณในกำรบริโภค
๔) ชาคริยานุโยค ควำมหมั่นประกอบควำมเพียร
๕) สัทธา ควำมเชื่อกรรมและผลของกรรม
๖) หิริ ควำมละอำยต่อบำปทุจริต
๗) โอตตัปปะ ควำมสะดุ้งกลัวต่อบำปทุจริต
๘) พาหุสัจจะ ควำมเป็นผู้ได้สดับมำก
๙) วิริยารัมภะ กำรปรำรภควำมเพียร
๑๐) สติ ควำมระลึกได้
๑๑) ปัญญา ควำมรอบรู้ตำมเป็นจริง
๑๒) ปฐมฌาน ฌำนที่ ๑
๑๓) ทุติยฌาน ฌำนที่ ๒
๑๔) ตติยฌาน ฌำนที่ ๓
๑๕) จตุตถฌาน ฌำนที่ ๔
๔. สุคโต ผู้เสด็จไปดีแล้ว หรือผู้กล่ำวดีแล้ว ในอรรถกถำนิยำมควำมหมำยไว้ ๔ ประกำร
๑) ทรงพระนำมว่ำ สุคโต เพรำะมีกำรเสด็จดำเนินไปอย่ำงบริสุทธิ์ หำโทษมิได้
ด้วยอริยมรรค
๒) ทรงพระนำมว่ำ สุคโต เพรำะเสด็จไปสู่อมตสถำนคือพระนิพพำน
๓) ทรงพระนำมว่ำ สุคโต เพรำะเสด็จไปโดยชอบ ไม่ทรงหวนกลับมำสู่กิเลส
ที่ละได้แล้ว
๔) ทรงพระนำมว่ำ สุคโต เพรำะตรัสวำจำชอบ ตรัสคำจริง ประกอบด้วย
ประโยชน์
๕. โลกวิทู ผู้ทรงรู้แจ้งโลก มีควำมหมำย ๒ ประกำร ดังนี้
๑) ทรงพระนำมว่ำ โลกวิทู เพรำะทรงรู้แจ้งโลกภำยในคือร่ำงกำย ซึ่งมีสัญญำ
มีใจครองนี้ โดยทรงรู้ถึงสภำวะ เหตุเกิดขึ้น ควำมดับ และวิธีปฏิบัติให้ลุถึงควำมดับอย่ำง
ถ่องแท้๒) ทรงพระนำมว่ำ โลกวิทู เพรำะทรงรู้แจ้งโลกภำยนอก ๓ คือ (๑) สังขารโลก
โลกคือสังขำรที่มีกำรปรุงแต่งตำมเหตุปัจจัย เช่น สรรพสัตว์ดำรงอยู่ได้เพรำะอำหำร
(๒) สัตวโลก โลกคือหมู่สัตว์ซึ่งแยกเป็นมนุษย์ เทวดำ พรหม (๓) โอกาสโลก โลกคือแผ่นดิน
หรือโลกต่ำงๆ ที่มีในจักรวำล
๖. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ ผู้เป็นสารถีฝึกคนที่ฝึกได้ ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า คือทรงทำ
หน้ำที่ดุจสำรถี ฝึกเทวดำ มนุษย์ อมนุษย์ และสัตว์ดิรัจฉำนที่สมควรฝึกได้ ด้วยอุบำยวิธี
ต่ำงๆ ตำมสมควรแก่อัธยำศัยของแต่ละบุคคลได้อย่ำงไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่ำ
๗. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ ผู้เป็นพระศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย คือทรงเป็น
บรมครูสั่งสอนบุคคลทุกระดับชั้น ด้วยพระมหำกรุณำ โดยมุ่งประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์
ในโลกหน้ำ และประโยชน์สูงสุดคือพระนิพพำน
๘. พุทฺโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว คือทรงเป็นพระพุทธเจ้ำอย่ำงสมบูรณ์ เพรำะตรัสรู้
สรรพสิ่งที่ควรรู้ และทรงสอนผู้อื่นให้รู้ตำม พระองค์ทรงตื่นเองจำกควำมเชื่อถือและ
ข้อปฏิบัติทั้งหลำยที่นับถือกันมำผิดๆ และทรงปลุกผู้อื่นให้ตื่นจำกควำมหลงงมงำย ทรงมี
พระหฤทัยเบิกบำนบำเพ็ญพุทธกิจ ได้บริสุทธิ์บริบูรณ์
๙. ภควา ผู้ทรงจาแนกพระธรรม ผู้มีโชค ในอรรถกถำและคัมภีร์วิสุทธิมรรค
ให้นิยำมควำมหมำยไว้ ๖ ประกำร ดังนี้
๑) ทรงเป็นผู้มีโชค คือทรงหวังพระโพธิญำณก็ได้สมหวัง ซึ่งเป็นผลจำก
พระบำรมีที่ทรงบำเพ็ญมำนำนถึง ๔ อสงไขย ๑ แสนกัป
๒) ทรงเป็นผู้ทำลายกิเลสและหมู่มารทั้งมวลได้อย่างราบคาบ คือทรงชนะ
กิเลสทั้งปวงและหมู่มำรได้หมดสิ้น
๓) ทรงมีภคธรรม ๖ ประการ คือ (๑) ควำมมีอำนำจเหนือจิต (๒) โลกุตตรธรรม
(๓) พระเกียรติยศที่ปรำกฏทั่วในโลก ๓ (๔) พระสิริรูปสง่ำงำมครบทุกส่วน (๕) ควำมสำเร็จ
ประโยชน์ตำมที่ทรงมุ่งหวัง (๖) ควำมเพียรชอบเป็นเหตุให้ได้รับควำมเคำรพจำกชำวโลก
๔) ทรงจำแนกแจกธรรม คือ ทรงเป็นวิภัชชวาทีในกำรแสดงธรรม โดยทรง
แยกแยะจำแนกแจกแจงประเภทแห่งธรรมออกไปอย่ำงละเอียดวิจิตรพิสดำร
๕) ทรงเสพอริยธรรม คือทรงยินดีในอริยวิหำรธรรม (ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของ
พระอริยเจ้ำ) วิเวก (ควำมสงัดกำยและจิต) วิโมกข์ (ควำมหลุดพ้นจำกกิเลส) และอุตตริ-
มนุสสธรรม (ธรรมของมนุษย์อันยวดยิ่ง มีฌำนสมำบัติเป็นต้น)
๖) ทรงสลัดตัณหาในภพ ๓ ได้แล้ว คือทรงปรำศจำกกิเลสตัณหำอันทำให้เวียน
ว่ำยตำยเกิดในภพ ๓ คือ กำมภพ รูปภพ และอรูปภพ
สรุปพระพุทธคุณ
พระพุทธคุณ ๙ ตั้งแต่ อรหํ ถึง ภควา เป็นเนมิตกนาม เกิดโดยนิมิตคืออรหัตตคุณ
และอนุตตรสัมมำสัมโพธิญำณ ไม่มีผู้ใดในมนุษยโลกและเทวโลกแต่งตั้งถวำย
พระมติของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงจัดพระพุทธคุณ ๙ ไว้โดยย่อ
๒ ประกำร คือ พระปัญญาคุณ กับ พระกรุณาคุณ พระฎีกำจำรย์ทั้งหลำยจัดไว้
๓ ประกำร คือ พระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระกรุณาคุณ ในพระคุณทั้ง ๓ นี้ ข้อที่
เป็นหลักและกล่ำวถึงทั่วไปในคัมภีร์ต่ำงๆ มี ๓ คือ ปัญญำและกรุณำ ส่วนวิสุทธิ เป็นพระคุณ
เนื่องอยู่ในพระปัญญำอยู่แล้ว เพรำะเป็นผลเกิดเองจำกกำรตรัสรู้ จึงไม่แยกไว้เป็นข้อหนึ่ง
ต่ำงหำก
พระพุทธคุณ บทว่ำ อรห , สมฺมำสมฺพุทฺโธ, วิชฺชำจรณสมฺปนฺโน, สุคโต, โลกวิทู จัดเข้ำ
ในพระปัญญาคุณ, บทว่ำ อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสำรถิ และ สตฺถำ เทวมนุสฺสำน จัดเข้ำใน
พระกรุณาคุณ, บทว่ำ พุทฺโธ และ ภควำ จัดเข้ำได้ทั้งในพระปัญญาคุณและพระกรุณาคุณ
อีกอย่ำงหนึ่ง บทว่ำ อรห , สมฺมำสมฺพุทฺโธ, วิชฺชำจรณสมฺปนฺโน, สุคโต, โลกวิทู แสดง
คุณสมบัติส่วนพระองค์ เรียกว่ำ อัตตหิตคุณ, บทว่ำ อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสำรถิ และ สตฺถำ
เทวมนุสฺสำน แสดงคุณสมบัติเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น เรียกว่ำ ปรหิตคุณ, บทว่ำ พุทฺโธ และ
ภควำ แสดงคุณสมบัติส่วนพระองค์และเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น เรียกว่ำ อัตตปรหิตคุณ

สมถกัมมัฏฐาน ธรรมศึกษา วิชา ธรรม ระดับอุดมศึกษา (ธศ 332) ชั้นเอก

สมถกัมมัฏฐาน
๑. กุลบุตรมีศรัทธำมำเจริญสมถะ ทำให้เกิดขึ้นด้วยเจตนำอันใด เจตนำอันนั้น
ชื่อว่ำ สมถภาวนา
๒. กุลบุตรผู้มีศรัทธำยังสมถะอันเป็นอุบำยเครื่องสงบระงับของจิตให้เกิดมีขึ้น
ชื่อว่ำ สมถภาวนา
๓. เจตนำอันเป็นไปในสมถกัมมัฏฐำนทั้งหมดทั้งสิ้น ชื่อว่ำ สมถภาวนา

สมถกัมมัฏฐาน หมำยถึงหลักกำรเจริญสมถะ เป็นอุบำยเครื่องปิดกั้นนิวรณ์
กิเลสมิให้ครอบงำจิตสันดำนได้ เปรียบเหมือนบุคคลสร้ำงทำนบกั้นน้ำมิให้ไหลไป ทั้งยังเป็น
อุบำยข่มจิตมิให้ฟุ้งซ่ำน เปรียบเหมือนนำยสำรถีฝึกม้ำให้พร้อมใช้งำนเป็นรำชพำหนะได้
ธรรมที่เป็นอารมณ์ของสมถกัมมัฏฐานตามนัยพระบาลี
ธรรมที่นิยมนำมำกำหนดเพื่อให้จิตสงบเป็นสมำธิ กล่ำวตำมพระบำลี
(พระไตรปิฎก) มี ๒ คือ อภิณหปัจจเวกขณะ ๕ และ สติปัฏฐาน ๔ มีอธิบำยดังนี้
๑. อภิณหปัจจเวกขณะ หมำยถึงหลักธรรมสำหรับกำหนดพิจำรณำ
ในชีวิตประจำวัน หรือหัวข้อธรรมที่ควรพิจำรณำทุกๆ วัน มี ๕ อย่ำง คือ
๑) ชราธัมมตา กำรพิจำรณำถึงควำมแก่เนืองๆ เป็นอุบำยบรรเทำควำม
ประมำทในวัย
๒) พยาธิธัมมตา กำรพิจำรณำถึงควำมเจ็บป่วยเนืองๆ เป็นอุบำยบรรเทำควำม
ประมำทในควำมไม่มีโรค
๓) มรณธัมมตา กำรพิจำรณำถึงควำมตำยเนืองๆ เป็นอุบำยบรรเทำควำม
ประมำทในชีวิต
๔) ปิยวินาภาวตา กำรพิจำรณำถึงควำมพลัดพรำกจำกสิ่งที่รักเนืองๆ เป็นอุบำย
บรรเทำควำมเศร้ำโศกเสียใจ ควำมคับแค้นใจ
๕) กัมมัสสกตา กำรพิจำรณำว่ำตนมีกรรมเป็นของตนเนืองๆ เป็นอุบำยเตือนใจ
ให้รู้ว่ำทุกคนมีกรรมเป็นของตน ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
๒. สติปัฏฐาน หมำยถึงกำรตั้งสติกำหนดพิจำรณำสิ่งทั้งหลำยให้รู้เห็นตำมควำม
เป็นจริง โดยกำหนดพิจำรณำสิ่งสำคัญในชีวิต มี ๔ อย่ำง คือ
๑) กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมำยถึงกำรตั้งสติกำหนดพิจำรณำกำยให้รู้เห็น
ตำมควำมจริง ซึ่งแบ่งเป็น ๖ บรรพ (หมวด) คือ
(๑) อานาปานบรรพ หมวดกำหนดรู้ลมหำยใจเข้ำ-ออกยำว สั้น หยำบ
ละเอียดเป็นต้น
(๒) อิริยาปถบรรพ หมวดกำหนดรู้อิริยำบถใหญ่ของคนเรำ ๔ อิริยำบถ คือ
เดิน ยืน นั่ง นอน ว่ำสำเร็จเป็นไปได้เพรำะลมและจิตที่คิด
(๓) สัมปชัญญบรรพ หมวดกำหนดรู้รอบคอบในกำรเคลื่อนไหวของกำย
มีก้ำวไปข้ำงหน้ำและถอยกลับมำข้ำงหลังเป็นต้น มิให้หลงลืมพลั้งเผลอสติทุกขณะของ
กำรเคลื่อนไหวไปมำใดๆ
(๔) ปฏิกูลบรรพ หมวดกำหนดพิจำรณำอวัยวะหรือส่วนต่ำงๆ ภำยในกำยตน
มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้นและเปรียบเทียบกับกำยผู้อื่นให้เห็นเป็นของปฏิกูลคือไม่งำม
ไม่สะอำด เต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูลโสโครกน่ำเกลียด
(๕) ธาตุบรรพ หมวดกำหนดพิจำรณำกำยตนและกำยผู้อื่นโดยเป็นสักแต่ว่ำ
ธำตุ ๔ มำประชุมรวมกัน คือ สิ่งที่แข็งที่กระด้ำง กำหนดว่ำเป็นธำตุดิน สิ่งที่อ่อนที่เหลว
ซึมซำบไปในดิน ทำดินให้เหนียวเป็นก้อนอยู่ได้ กำหนดว่ำเป็นธำตุน้ำ สิ่งที่ทำดินและน้ำให้
อุ่นให้ร้อนให้แห้งเกรียมไป กำหนดว่ำเป็นธำตุไฟ สิ่งที่อุปถัมภ์อุดหนุนพยุงดินและน้ำไว้และ
ทำให้ไหวติงไปมำและรักษำไฟไว้มิให้ดับไปได้ กำหนดว่ำเป็นธำตุลม
(๖) นวสีวถิกาบรรพ หมวดกำหนดพิจำรณำกำยที่เป็นซำกศพซึ่งเขำทิ้งไว้
ในป่ำช้ำเป็นต้นอันกลำยเป็นอสุภะเปลี่ยนสภำพไปตำมระยะกำลที่ถูกทิ้งไว้ ๙ ระยะกำล
เริ่มตั้งแต่ซำกศพที่เขำทิ้งไว้หนึ่งวัน สองหรือสำมวัน จนกลำยเป็นอสุภะขึ้นอืดพองมีสีเขียว
มีหนองไหลเยิ้มออก เป็นต้นไปจนถึงซำกศพที่เขำทิ้งไว้นำนจนกลำยเป็นกระดูกผุยย่อย
ป่นละเอียดเป็นจุณไป
เมื่อตั้งสติกำหนดพิจำรณำกำย ๖ หมวด หมวดใดหมวดหนึ่งดังกล่ำวมำนี้

จนภำวะจิตสงบแน่วแน่เป็นสมำธิสำมำรถละนิวรณ์กิเลสได้ เรียกว่ำ สมถกัมมัฏฐาน
๒) เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมำยถึงกำรตั้งสติกำหนดพิจำรณำเวทนำคือ
ควำมรู้สึกเป็นสุข เป็นทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ (เป็นกลำงๆ) เมื่อเสวยสุขเวทนำ ก็มีสติกำหนด
รู้ว่ำเสวยสุขเวทนำเป็นต้น จนกระทั่งจิตสงบเป็นสมำธิสำมำรถละนิวรณ์กิเลสได้
๓) จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมำยถึงกำรตั้งสติกำหนดพิจำรณำจิตของตน
ตำมเป็นจริง คือ จิตมีรำคะ ก็รู้ว่ำจิตมีรำคะ จิตปรำศจำกรำคะ ก็รู้ว่ำจิตปรำศจำกรำคะ
เป็นต้น จนกระทั่งจิตสงบเป็นสมำธิสำมำรถละนิวรณ์กิเลสได้
๔) ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมำยถึงกำรตั้งสติกำหนดพิจำรณำสภำวธรรม
ต่ำงๆ ทั้งที่เป็นกุศล อกุศล อัพยำกฤต ที่มีอยู่ในจิตสันดำน เช่น กำมฉันทะมีอยู่ภำยในจิต
ก็รู้ว่ำมีอยู่ หรือกำมฉันทะไม่มีอยู่ภำยในจิต ก็รู้ว่ำไม่มีอยู่ เป็นต้น จนกระทั่งจิตสงบเป็นสมำธิ
สำมำรถละนิวรณ์กิเลสได้
แม้ธรรมที่เป็นอำรมณ์ของสมถกัมมัฏฐำนจะมีหลำยประกำร ถึงกระนั้น ก็ควร
กำหนดว่ำ ธรรมที่เป็นอำรมณ์ ซึ่งสำมำรถทำให้จิตสงบระงับนิวรณ์กิเลสได้ จัดเป็นอำรมณ์

ของสมถกัมมัฏฐำนได้ทั้งสิ้น
*ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่หนังสือธรรมศึกษาชั้นเอก

หัวใจสมถกัมมัฎฐาน ธรรมศึกษา วิชา ธรรม ระดับอุดมศึกษา (ธศ 332) ชั้นเอก

หัวใจสมถกัมมัฏฐาน

สมาธึ ภิกฺขเว ภาเวถ, สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ.
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงยังสมาธิให้เกิด ชนผู้มีจิตเป็นสมาธิแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง.
สังยุตตนิกำย สฬำยตนวรรค
อำกำรของกำยและวำจำจะเป็นอย่ำงไร ย่อมสำเร็จมำจำกใจเป็นผู้บัญชำ ถ้ำใจ
ได้รับกำรอบรมดี ก็บังคับบัญชำกำยและวำจำให้ดีไปด้วย ถ้ำใจชั่ว ก็บังคับบัญชำให้กำยและ
วำจำชั่วไปด้วย ดังนั้น พระพุทธองค์จึงทรงสอนภิกษุทำใจให้เป็นสมำธิ เมื่อใจเป็นสมำธิ
แม้จะนำไปใช้นึกคิดอะไรก็ละเอียดสุขุม ย่อมรู้จักควำมเป็นจริงได้ดีกว่ำผู้มีใจไม่เป็นสมำธิ
ใจที่ไม่เป็นสมำธิ บำงครำวอำจทำให้เป็นคนเสียสติ เพรำะไม่มีอะไรเป็นเครื่องควบคุม
กัมมัฏฐาน
คำว่ำ กัมมัฏฐาน แปลว่ำ ที่ตั้งแห่งการงาน หมำยถึงอำรมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งกำร
งำน หรือเรียกว่ำ ภาวนา แปลว่ำ ทาให้มีให้เป็นขึ้น แบ่งเป็น ๒ อย่ำง คือ
๑. สมถกัมมัฏฐาน กัมมัฏฐานเป็นอุบายสงบใจ หมำยถึงกัมมัฏฐำนที่เนื่องด้วย
บริกรรมอย่ำงเดียว เป็นกำรบำเพ็ญเพียรทำงจิตโดยใช้สติเป็นหลัก เป็นอุบำยทำให้นิวรณ
ธรรมระงับไป ไม่เกี่ยวกับกำรใช้ปัญญำ
๒. วิปัสสนากัมมัฏฐาน กัมมัฏฐานเป็นอุบายเรืองปัญญา หมำยถึงกัมมัฏฐำน
ที่ใช้ปัญญำพิจำรณำอย่ำงเดียว โดยกำรพิจำรณำปรำรภสภำวธรรม คือ ขันธ์ ๕ อำยตนะ ๑๒
ธำตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ แยกออกพิจำรณำให้รู้ตำมสภำพควำมเป็นจริง โดยยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์
หรือสำมัญญลักษณะว่ำ เป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตำ
หัวใจสมถกัมมัฏฐาน
หัวใจสมถกัมมัฏฐานนี้ หมำยถึง กัมมัฏฐำนหลักสำคัญ ที่เป็นอุบำยเครื่องอบรม
จิตให้เป็นสมำธิ มี ๕ อย่ำง คือ

๑. กำยคตำสติ
๒. เมตตำ
๓. พุทธำนุสสติ
๔. กสิณ

๕. จตุธำตุววัตถำน
๑. กายคตาสติ สติอันไปในกาย
กายคตาสติ หมำยถึงกำรใช้สติกำหนดพิจำรณำกำยว่ำ เป็นของไม่สวยงำม คือ
กำหนดพิจำรณำแต่ปลำยผมลงมำถึงปลำยเท้ำ อันประกอบด้วยผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
เป็นต้น กำหนดพิจำรณำสี สัณฐำน กลิ่น ที่เกิด ที่อยู่ของส่วนต่ำงๆ เหล่ำนั้น ซึ่งเรียกว่ำ
อาการ ๓๒ จนเห็นว่ำ แต่ละอย่ำงล้วนเป็นสิ่งปฏิกูลน่ำเกลียด เหมือนหม้อใส่อุจจำระและ
สิ่งปฏิกูลต่ำงๆ ภำยนอกอำจดูสวยงำม แต่ภำยในเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกโสโครกนำนัปกำร
๒. เมตตา
เมตตา หมำยถึง ควำมปรำรถนำจะให้ผู้อื่นเป็นสุข คือควำมมีจิตอันแผ่ไมตรี
และคิดทำประโยชน์แก่มนุษย์และสัตว์ทั่วหน้ำ ผู้เจริญเมตตำกัมมัฏฐำนนี้ เบื้องต้นควรนึกถึง
คนอื่นเทียบกับตนว่ำ “เรารักสุข เกลียดทุกข์ฉันใด คนอื่นก็รักสุข เกลียดทุกข์ฉันนั้น สิ่งที่
ชอบใจของเรา ย่อมเป็นของที่ชอบใจของคนอื่น สิ่งที่ไม่เป็นที่ชอบใจของเรา ย่อมไม่เป็นที่
ชอบใจของคนอื่นด้วยเหมือนกัน”
ผู้เจริญเมตตำ พึงแผ่โดยเจาะจงก่อน เริ่มต้นแต่คนที่ใกล้ชิดสนิทกัน เช่น
มำรดำบิดำ สำมีภรรยำ บุตรธิดำ ครูอำจำรย์เป็นต้น หลังจำกนั้น พึงแผ่โดยไม่เจาะจง คือ
สร้ำงควำมปรำรถนำดีในคนทั่วไป หรือเพื่อนมนุษย์ทั่วโลก ตลอดถึงสรรพสัตว์ การแผ่
เมตตาโดยเจาะจง ทำให้จิตมีพลังแรง แต่ขอบเขตแห่งควำมไม่มีภัยไม่มีเวรและควำมสำเร็จ
ประโยชน์แก่ผู้อื่นเป็นไปในวงแคบ ส่วนการแผ่เมตตาโดยไม่เจาะจง แม้ว่ำจิตจะมีพลังอ่อน
แต่เป็นไปในวงกว้ำง สำมำรถทำให้คนในสังคมมีควำมรักใคร่ปรองดองช่วยเหลือกัน และได้สุข
โดยทั่วถึงกัน ในกำรเจริญเมตตำกัมมัฏฐำนนิยมบริกรรมตำมบทบำลีว่ำ “สพฺเพ สตฺตา อเวรา
อพฺยาปชฺฌา อนีฆา สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ” แปลว่ำ “ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง เป็นผู้ไม่มีเวร

ไม่มีความลาบาก ไม่มีทุกข์ จงมีสุข รักษาตนเถิด”บุคคลที่เจริญเมตตำย่อมได้รับอำนิสงส์ ๑๑ อย่ำง คือ (๑) หลับเป็นสุข (๒) ตื่น
เป็นสุข (๓) ไม่ฝันร้าย (๔) เป็นที่รักของมนุษย์ (๕) เป็นที่รักของอมนุษย์ (๖) เทวดารักษา
(๗) ไฟ ยาพิษ ศัสตราวุธ ไม่กล้ากราย (๘) จิตสงบเป็นสมาธิได้เร็ว (๙) สีหน้าผ่องใส (๑๐)
ตายอย่างมีสติ (๑๑) เมื่อยังไม่บรรลุธรรมชั้นสูง ย่อมเข้าถึงพรหมโลก
๓. พุทธานุสสติ
พุทธานุสสติ แปลว่ำ ความระลึกถึงพระพุทธเจ้า หมำยถึงกำรระลึกถึงพระพุทธองค์
โดยปรำรภถึงพระคุณควำมดีของพระองค์ ไม่ใช่ระลึกถึงเพรำะต้องกำรจะกล่ำวโทษ
โดยประกำรต่ำงๆ
ผู้เจริญพุทธำนุสสติ พึงบริกรรมระลึกถึงพระพุทธคุณ ๙ บท คือ อรหํ,
สมฺมาสมฺพุทฺโธ, วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน, สุคโต, โลกวิทู, อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ, สตฺถา
เทวมนุสฺสานํ, พุทฺโธ, ภควา โดยลำดับ หรือจะกำหนดเฉพำะพระคุณบทใดบทหนึ่งก็ได้
เช่น บทที่นิยมกันมำกคือบทว่ำ “อรหํ” หรือ “พุทฺโธ”
๔. กสิณ
กสิณ แปลว่ำ วัตถุอันจูงใจ หมำยถึงวัตถุอันจูงใจให้เข้ำไปผูกอยู่สำหรับเพ่ง
เพื่อให้จิตเป็นสมำธิ โดยกำหนดเอำวัตถุจูงใจ ๑๐ อย่ำงมำเพ่งเป็นอำรมณ์ คือ (๑) ปฐวี ดิน
(๒) อาโป น้ำ (๓) เตโช ไฟ (๔) วาโย ลม (๕) นีลํ สีเขียว (๖) ปีตํ สีเหลือง (๗) โลหิตํ สีแดง
(๘) โอทาตํ สีขำว (๙) อาโลโก แสงสว่ำง (๑๐) อากาโส ที่ว่ำง
ข้อ ๑ – ๔ เรียกรวมกันว่ำ ภูตกสิณ กสิณมหาภูตรูป ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ และลม
ส่วนข้อ ๕ – ๘ เรียกรวมกันว่ำ วัณณกสิณ กสิณสี ๔ คือ สีเขียว เหลือง แดง และขำว
๕. จตุธาตุววัตถาน
จตุธาตุววัตถาน แปลว่ำ การกาหนดธาตุ ๔ หมำยถึงกัมมัฏฐำนที่กำหนด
พิจำรณำให้เห็นว่ำ ร่ำงกำยของคนเรำ เป็นแต่เพียงธำตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม มำประชุม
รวมกันเท่ำนั้น ทั้งนี้เพื่อถ่ำยถอนควำมรู้สึกว่ำ เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรำเขำออกไปจำก
จิตใจเสียได้ เรียกอีกอย่ำงว่ำ ธาตุมนสิการ หรือ ธาตุกัมมัฏฐาน