วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2561

สันติ ความสงบ ธรรมศึกษา วิชา ธรรม ระดับอุดมศึกษา (ธศ 332) ชั้นเอก

สันติ ความสงบ หมำยถึงควำมสงบกำย วำจำ และใจ ในที่นี้ จำแนกเป็น ๒ คือ
ความสงบภายนอก ได้แก่ สงบกาย วาจา และ ความสงบภายใน ได้แก่ สงบใจ
ในอุทเทสที่ ๑ พระพุทธองค์ทรงสอนให้พอกพูนทางแห่งสันติ อันเป็นไปทำง
ไตรทวาร คือ กายทวาร วจีทวาร มโนทวาร ที่เป็นไปโดยสุจริต คือเว้นจำกพฤติกรรม
ที่เบียดเบียนตนและผู้อื่นให้เดือดร้อน โดยกำรไม่ประทุษร้ำย กำรไม่กล่ำวร้ำย และกำรไม่
คิดร้ำย เป็นต้น ดังที่ตรัสไว้ในสหัสสวรรค ขุททกนิกำย ธรรมบท ว่ำ “ผู้หลุดพ้นแล้วเพราะ
รู้ชอบ ผู้สงบระงับแล้ว ผู้คงที่นั้น มีใจสงบแล้ว วาจาและการกระทาก็สงบแล้ว”
จิตที่ประกอบด้วยมโนสุจริต ๓ คือ ไม่คิดโลภอยำกได้ ไม่คิดพยำบำทปองร้ำย
มีควำมเห็นชอบตำมคลองธรรม จัดเป็นความสงบภายใน กำรประกอบด้วยกำยสุจริต ๓
วจีสุจริต ๔ จัดเป็นความสงบภายนอก
คำว่ำ พูน ในอุทเทสที่ ๑ หมำยถึงทาให้มากขึ้น ทาให้เจริญขึ้น ในที่นี้มุ่งถึงพูนทำง
ที่ทำให้ถึงควำมดับทุกข์ อันเป็นทำงแห่งสันติที่แท้จริง ได้แก่ อริยมรรคมีองค์ ๘
คำว่ำ ความสงบ ในอุทเทสที่ ๒ ได้แก่ พระนิพพาน มีอธิบำยว่ำ ควำมสุขอย่ำงอื่น
แม้จะเป็นควำมสุขเหมือนกัน แต่ก็ไม่ใช่ควำมสุขที่แท้จริง ส่วนควำมสุขที่เกิดจำกกำรละกิเลส
ได้เด็ดขำด จัดเป็นควำมสุขที่แท้จริง
คำว่ำ อามิส ในอุทเทสที่ ๓ หมำยถึงเครื่องล่อใจให้ติดอยู่ในโลก ดุจเหยื่อที่เบ็ดเกี่ยว
ไว้สำหรับล่อปลำ ได้แก่ กามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่ำปรำรถนำ น่ำรักใคร่
น่ำพอใจกำรทำจิตมิให้ติดอยู่ในกำมคุณ ๕ จัดเป็นปฏิปทำของผู้รู้ ผู้สงบดีแล้ว ดังที่ตรัสไว้
ในชรำสูตร ขุททกนิกำย สุตตนิบำต ว่ำ “หยาดแห่งน้าย่อมไม่ติดในใบบัว แม้ฉันใด วารี
ย่อมไม่กาซาบในดอกปทุม ฉันใด มุนีย่อมไม่เข้าไปติดในอารมณ์อันเห็นแล้วก็ดี อันฟัง
แล้วก็ดี อันทราบแล้วก็ดี ฉันนั้น” ดังนั้น ผู้มุ่งสันติอันเป็นสุขอย่ำงแท้จริง พึงละโลกำมิสเสีย

วิสุทธิ ความหมดจด ธรรมศึกษา วิชา ธรรม ระดับอุดมศึกษา (ธศ 332) ชั้นเอก

วิสุทธิ ความหมดจด หมำยถึงควำมบริสุทธิ์ คือกำรชำระจิตของตนให้หมดจด
บริสุทธิ์ผ่องแผ้วจำกกิเลสำสวะทั้งปวง ควำมหมดจดนี้ย่อมเกิดได้ด้วยปัญญำ
หลักความหมดจดในลัทธิศาสนาอื่น : ลัทธิศำสนำพรำหมณ์ถือว่ำ ควำมหมดจด
จะมีได้ด้วยกำรชำระบำป โดยทำพิธีลอยบำปทิ้งเสียในแม่น้ำคงคำ (หรือเรียกว่ำอำบน้ำชำระ
บำปได้) ลัทธิศำสนำอื่นๆ เช่นคริสต์ศำสนำ ถือว่ำ ควำมหมดจดจะมีได้ด้วยกำรสวดมนต์
อ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้ำเพื่อทรงยกโทษให้
หลักความหมดจดในพระพุทธศาสนา : พระพุทธศำสนำถือว่ำ ควำมหมดจดจะมี
ได้ด้วยปัญญำเท่ำนั้น จะมีด้วยเหตุอื่นหำได้ไม่ นั่นหมำยควำมว่ำ บุญบำปจะมีได้เพรำะ
ตนเองเป็นผู้ทำ ไม่มีใครมำช่วยทำให้บริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ได้ ดังพระบำลีในขุททกนิกำย
ธรรมบท ว่ำ
“ทาบาปเอง ย่อมเศร้าหมองเอง ไม่ทาบาปเอง ย่อมหมดจดเอง ความหมดจด
และความเศร้าหมอง เป็นของเฉพาะตน คนอื่นยังคนอื่นให้หมดจดหาได้ไม่”
ความบริสุทธิ์ภายในย่อมมีด้วยปัญญา กล่ำวคือ ควำมหมดจดจำกกิเลสำสวะอัน
นอนเนื่องอยู่ภำยในขันธสันดำน จะต้องอำศัยปัญญาพิจารณาตามความเป็นจริง เรียกว่ำ
วิปัสสนาญาณ ๙ ซึ่งจัดเป็นขั้นๆ สูงขึ้นไปตำมลำดับ ๙ ขั้น ดังนี้
๑) อุทยัพพยญาณ หรือ อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ญาณหยั่งเห็นความเกิดและ
ความดับ คือปัญญำพิจำรณำควำมเกิดขึ้นและควำมดับไปแห่งสังขำรหรือเบญจขันธ์ จนเห็น
ประจักษ์ชัดว่ำสังขำรทั้งหลำยทั้งปวงเกิดขึ้นแล้วก็ต้องดับไป
๒) ภังคญาณ หรือ ภังคานุปัสสนาญาณ ญาณหยั่งเห็นความเสื่อมสลาย คือปัญญำ
พิจำรณำเห็นว่ำ สังขำรทั้งหลำยทั้งปวงมีกำรแตกสลำยย่อยยับไป
๓) อาทีนวญาณ หรือ อาทีนวานุปัสสนาญาณ ญาณหยั่งเห็นโทษ คือปัญญำ
พิจำรณำเห็นสังขำรทั้งหลำยทั้งปวงว่ำเป็นโทษ มีควำมบกพร่อง เจือปนด้วยทุกข์
๔) ภยตูปัฏฐานญาณ ญาณหยั่งเห็นสังขารปรากฏโดยเป็นของน่ากลัว คือปัญญำ
พิจำรณำเห็นสังขำรทั้งหลำยทั้งปวง ทั้งที่เป็นไปในอดีต ปัจจุบัน และอนำคต ล้วนปรำกฏ
เป็นของน่ำสะพรึงกลัว
๕) นิพพิทาญาณ หรือ นิพพิทานุปัสสนาญาณ ญาณหยั่งเห็นความหน่าย คือ
ปัญญำพิจำรณำเห็นสังขำรว่ำเป็นโทษน่ำกลัวเช่นนั้นแล้ว จึงเกิดควำมหน่ำยในสังขำร
๖) มุญจิตุกัมยตาญาณ ญาณหยั่งเห็นด้วยใคร่จะพ้นไปเสีย คือปัญญำพิจำรณำจน
เกิดควำมหน่ำยสังขำรทั้งหลำยแล้วเกิดควำมปรำรถนำที่จะพ้นไปเสียจำกสังขำรเหล่ำนั้น
๗) ปฏิสังขาญาณ ญาณพิจารณาหาทาง คือปัญญำพิจำรณำสังขำรทั้งหลำย โดย
ยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์ เพื่อหำอุบำยที่จะปลดเปลื้องจิตออกไปจำกควำมหน่ำยนั้น
๘) สังขารุเปกขาญาณ ญาณวางเฉยในสังขาร คือปัญญำพิจำรณำรู้เห็นสังขำรตำม
ควำมเป็นจริงว่ำ มีควำมเป็นอยู่ เป็นไปอย่ำงนั้นเป็นธรรมดำ จึงวำงจิตเป็นกลำงในสังขำร
ทั้งหลำย จำกนั้นจึงละควำมเกี่ยวเกำะในสังขำรเสียได้
๙) สัจจานุโลมิกญาณ หรือ อนุโลมญาณ ญาณอันเป็นไปโดยอนุโลมแก่การหยั่งรู้
อริยสัจ คือเมื่อเกิดสังขำรุเปกขำญำณ จิตก็เป็นกลำงต่อสังขำรทั้งหลำย และญำณนั้นมุ่งตรง
ต่อนิพพำน จึงเกิดปัญญำที่สูงขึ้นอีกขั้นหนึ่ง เป็นขั้นสุดท้ำยของวิปัสสนำญำณ คือญำณอัน

คล้อยต่อกำรตรัสรู้อริยสัจ ย่อมเกิดขึ้นเป็นลำดับถัดมำ จำกนั้นก็จะเกิด โคตรภูญาณ ญาณ
วิสุทธิ ๗ คือทำงแห่งควำมหมดจดด้วยปัญญำที่อุดหนุนส่งเสริมกันให้สูงขึ้น
ไปเป็นขั้นๆ ไปตำมลำดับ ๗ ขั้น ดังนี้
๑) สีลวิสุทธิ ความหมดจดแห่งศีล หมำยถึงกำรรักษำศีลตำมภูมิชั้นของตนให้
บริสุทธิ์ และให้เป็นไปเพื่อสมำธิ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สงเคราะห์
เข้าในข้อนี้
๒) จิตตวิสุทธิ ความหมดจดแห่งจิต หมำยถึงควำมหมดจดแห่งจิตที่เกิดจำกกำร
บำเพ็ญสมำธิจิตจนได้บรรลุฌำนสมำบัติ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สงเคราะห์
เข้าในข้อนี้
๓) ทิฏฐิวิสุทธิ ความหมดจดแห่งทิฏฐิ หมำยถึงควำมหมดจดแห่งควำมคิดเห็นที่เกิด

จำกควำมรู้ควำมเข้ำใจ สำมำรถมองเห็นนำมรูปหรือเบญจขันธ์ตำมที่เป็นจริง
๔) กังขาวิตรณวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณเป็นเหตุข้ามพ้นความสงสัย หมำยถึง
ควำมหมดจดแห่งปัญญำที่พิจำรณำเห็นควำมเป็นไปแห่งสังขำรอันเนื่องมำจำกเหตุปัจจัย
ปรุงแต่ง ดังพระพุทธพจน์ในพระไตรปิฎก ว่ำ “พืชอย่างใดอย่างหนึ่งที่บุคคลหว่านในนาย่อม
งอกขึ้นได้ เพราะอาศัยเหตุ ๒ อย่าง คือ รสในแผ่นดินและยางในพืช ฉันใด ขันธ์ ธาตุ และ
อายตนะ ๖ เหล่านี้ ก็เกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุปัจจัย ดับไปเพราะเหตุปัจจัยดับ ฉันนั้น” แล้ว
กำจัดควำมสงสัยทั้งปวงในนำมรูปเสียได้
๕) มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณที่รู้เห็นว่าเป็นทางหรือ
มิใช่ทาง หมำยถึงควำมหมดจดด้วยกำรเริ่มเจริญวิปัสสนำพิจำรณำสิ่งที่รวมกันอยู่เป็น
กลุ่มก้อน จนเห็นควำมเกิดขึ้นและควำมเสื่อมไปแห่งสังขำรทั้งหลำย แล้วเกิดวิปัสสนูปกิเลส
(สิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวำงมิให้กำรเจริญวิปัสสนำรุดหน้ำไป) ๑๐ อย่ำง คือ โอภาส
แสงสว่ำง, ญาณ ควำมรู้, ปีติ ควำมอิ่มใจ, ปัสสัทธิ ควำมสงบ, สุข ควำมสบำย, อธิโมกข์
ควำมน้อมใจเชื่อ, ปัคคาหะ ควำมเพียรประคองจิต, อุปัฏฐาน ควำมปรำกฏชัดแห่งสติ,
อุเบกขำ ควำมวำงจิตเป็นกลำง และนิกันติ ควำมพอใจในวิปัสสนำ เมื่อวิปัสสนูปกิเลส
๑๐ อย่ำงนี้เกิดขึ้น ก็ใช้โยนิโสมนสิกำรกำหนดได้ว่ำมิใช่ทำง ส่วนวิปัสสนำที่เริ่มดำเนินเข้ำสู่
วิถีนั่นแหละเป็นทำงถูกต้อง แล้วเตรียมที่จะประคองจิตไว้ในวิปัสสนำญำณนั้นต่อไป
๖) ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณอันรู้เห็นทางดาเนิน หมำยถึง
ควำมหมดจดแห่งควำมรู้เห็นชัดในข้อปฏิบัติด้วยกำรประกอบควำมเพียรในวิปัสสนำญำณ ๙
ดังกล่ำว โดยเริ่มตั้งแต่ อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ที่พ้นจำกอุปกิเลสดำเนินเข้ำสู่วิถีทำงนั้น
เป็นต้นไปจนถึง สัจจานุโลมิกญาณ อันเป็นที่สุดแห่งวิปัสสนำ ต่อจำกนั้นก็จะเกิด โคตรภูญาณ
คั่นระหว่ำงวิสุทธิข้อนี้กับข้อสุดท้ำย เป็นรอยต่อแห่งควำมเป็นปุถุชนกับควำมเป็นอริยบุคคล
๗) ญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณทัสสนะ หมำยถึงควำมหมดจดที่เกิด
จำกควำมรู้เห็นด้วยปัญญำในอริยมรรค ๔ มีโสดำปัตติมรรคเป็นต้น อันเกิดถัดจำกโคตรภูญำณ
เป็นต้นไป เมื่อมรรคจิตเกิดขึ้นแล้ว ผลจิตย่อมเกิดขึ้น เป็นอันบรรลุจุดหมำยสูงสุด
ในพระพุทธศำสนำ
สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สงเคราะห์เข้าในวิสุทธิทั้ง ๕ ข้อดังกล่าวมานี้ คือข้อ
๓ ถึง ข้อ ๗ โดยสัมมาสังกัปปะทำกิจพิจารณา สัมมาทิฏฐิทำกิจสันนิษฐาน คือความ

ตกลงใจ

วิมุตติ ความหลุดพ้น ธรรมศึกษา วิชา ธรรม ระดับอุดมศึกษา (ธศ 332) ชั้นเอก

วิมุตติ ๒ ตามนัยพระบาลี
๑) เจโตวิมุตติ ความหลุดพ้นด้วยอานาจแห่งใจ หมำยถึง ควำมหลุดพ้นจำก
กิเลสำสวะเครื่องร้อยรัดผูกพันทั้งปวงด้วยกำรฝึกจิต เป็นปฏิปทำข้อปฏิบัติของผู้บำเพ็ญเพียร
ที่เจริญสมถะและวิปัสสนำมำโดยลำดับจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์
๒) ปัญญาวิมุตติ ความหลุดพ้นด้วยอานาจแห่งปัญญา หมำยถึง ควำมหลุดพ้น
ด้วยอำนำจปัญญำที่รู้เห็นตำมเป็นจริง หรือภำวะที่จิตใช้ปัญญำพิจำรณำอันเป็นเหตุให้
หลุดพ้นจำกเครื่องร้อยรัดผูกพันคือกิเลสและอวิชชำได้อย่ำงเบ็ดเสร็จเด็ดขำด เป็นปฏิปทำ
ข้อปฏิบัติของผู้บำเพ็ญเพียรที่มุ่งมั่นเจริญวิปัสสนำอย่ำงเดียวจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์
วิมุตติทั้ง ๒ อย่ำงนี้เป็นเครื่องแสดงปฏิปทำที่ให้สำเร็จควำมหลุดพ้นของ
พระอรหันต์ ในพระบำลีจะมีคำว่ำ “อนาสวํ : อันหาอาสวะมิได้” กำกับเป็นคุณบทให้รู้ว่ำ
เป็นโลกุตตรธรรม เช่นพระบำลีว่ำ“อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ ปญฺ าวิมุตฺตึ ... :
กระทาให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอันหาอาสวะมิได้เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ”
ไว้เสมอ จึงเป็นเหตุให้วินิจฉัยว่ำ วิมุตติที่เป็นสำสวะคือมีอำสวะหรือเป็นโลกิยะก็มี
เมื่อกำหนดควำมในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรที่ว่ำ “อกุปฺปา เม วิมุตฺติ : วิมุตติของเราไม่กาเริบ”
ก็เป็นเหตุให้วินิจฉัยว่ำ วิมุตติมีทั้งที่เป็น อกุปปธรรม ธรรมที่กาเริบไม่ได้ คือเป็นโลกุตตระ
และเป็น กุปปธรรม ธรรมที่กาเริบได้ คือเป็นโลกิยะ ด้วยเหตุนี้ ในคัมภีร์อรรถกถำ ท่ำนจึง
แบ่งวิมุตติเป็น ๕ อย่ำง
วิมุตติ ๕ ตามนัยอรรถกถา
๑) ตทังควิมุตติ ความหลุดพ้นด้วยองค์นั้นๆ หมำยถึงภำวะที่จิตพ้นจำกกิเลสด้วย
อำศัยธรรมตรงกันข้ำมที่เป็นคู่ปรับกัน เช่น เกิดเมตตำ หำยโกรธ เกิดสังเวช หำยกำหนัด
เป็นต้น เป็นกำรหลุดพ้นชั่วครำวโดยระงับอกุศลเจตสิกได้เป็นครำวๆ จัดเป็นโลกิยวิมุตติ
๒) วิกขัมภนวิมุตติ ความหลุดพ้นด้วยข่มไว้ หมำยถึงควำมหลุดพ้นจำกกิเลสกำม
และอกุศลธรรมทั้งหลำยได้ด้วยกำลังฌาน อำจสะกดไว้ได้นำนกว่ำตทังควิมุตติ แต่เมื่อฌำน
เสื่อมแล้ว กิเลสอำจเกิดขึ้นอีก จัดเป็นโลกิยวิมุตติ
๓) สมุจเฉทวิมุตติ ความหลุดพ้นด้วยตัดขาด หมำยถึงควำมหลุดพ้นจำกกิเลสด้วย
อริยมรรค โดยที่กิเลสไม่สำมำรถเกิดขึ้นในจิตสันดำนได้อีก จัดเป็นโลกุตตรวิมุตติ
๔) ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ ความหลุดพ้นด้วยสงบราบ หมำยถึงควำมหลุดพ้นจำกกิเลส
ด้วยอริยผล จัดเป็นโลกุตตรวิมุตติ
๕) นิสสรณวิมุตติ ความหลุดพ้นด้วยสลัดออกได้ หมำยถึงภำวะที่จิตหลุดพ้นจำก
กิเลสเสร็จสิ้นแล้วดำรงอยู่ในภำวะที่หลุดพ้นจำกกิเลสนั้นตลอดไป ได้แก่ นิพพาน จัดเป็น
โลกุตตรวิมุตติ
กำรบัญญัติตทังควิมุตติ เป็นเกณฑ์กำหนดว่ำ วิมุตติที่เป็นของปุถุชนก็มี กำรบัญญัติ
วิกขัมภนวิมุตติ เป็นเกณฑ์กำหนดว่ำ เจโตวิมุตติที่เป็นสำสวะ คือมีอำสวะก็มี กำรบัญญัติ
สมุจเฉทวิมุตติและปฏิปัสสัทธิวิมุตติ เป็นเกณฑ์กำหนดว่ำ วิมุตติเป็นไ ด้ทั้งอริยมรรค
อริยผล กำรบัญญัตินิสสรณวิมุตติ เป็นเกณฑ์กำหนดว่ำ วิมุตติที่เป็นปรมัตถสัจจะนั้นได้แก่
พระนิพพำน หรือเป็นเกณฑ์กำหนดให้ครบโลกุตตรธรรม ๙ (มรรค ๔ ผล ๔ นิพพำน ๑)
สรุปความ
วิมุตติ หมำยถึงควำมที่จิตหลุดพ้นจำกอำสวะทั้งหลำย ในพระบำลีจำแนกเป็น ๒
คือ เจโตวิมุตติ และ ปัญญาวิมุตติ ส่วนในอรรถกถำจำแนกเป็น ๕ คือ ตทังควิมุตติ
วิกขัมภนวิมุตติ สมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ และนิสสรณวิมุตติ โดย ๒ ข้อแรก
จัดเป็นโลกิยะ ส่วน ๓ ข้อหลัง จัดเป็นโลกุตตระ
วิมุตติของพระอรหันต์ มีไตรสิกขำ คือ ศีล สมำธิ ปัญญำสมบูรณ์ ส่วนผู้แรกปฏิบัติ
ธรรม กำรหัดทำจิตให้ปลอดจำกกิเลสกำมและอกุศลวิตกอย่ำงอื่นได้ ก็นับว่ำได้รับประโยชน์
จำกกำรศึกษำเรื่องวิมุตติในเบื้องต้นนี้แล้ว