วิธีการแต่งกระทู้ธรรม
มีการแต่งกระทู้ธรรมอยู่ ๒ แบบ คือ
๑. แบบตั้งวง คืออธิบายความหมายของธรรมข้อนั้น ๆ เสียก่อนแล้วจึงขยายความออกไป
๒.แบบตีวง คือบรรยายเนื้อความไปก่อนแล้ว จึงวกเข้าหาความหมายของกระทู้ธรรมนั้น ส่วนมากผู้แต่งกระทู้ธรรม มักจะนิยมแต่งแบบที่๑ คือ แบบตั้งวง อธิบายความหมายภาษิตนั้นก่อนแล้วจึงขยายความให้ชัดเจนต่อไป.
ภาษาในการใช้
๑. ใช้ภาษาเขียนที่ถูกต้อง มีประธาน มีกริยา มีกรรม
๒. ไม่ใช้ภาษาตลาด ภาษาแสลง
๓. ไม่ใช้ภาษาพื้นเมือง หรือภาษาท้องถิ่น
๓. ไม่ใช้ภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษ เป็นต้น
สำนวนในการพรรณนา
ใช้สำนวนแบบเทศนาโวหาร มีหลักการเขียน ดังนี้
๑. ข้อความที่เขียนนั้นจะต้องมีเหตุผลใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงได้
๒. มีอุทาหรณ์และหลักคติธรรม
๓. ผู้เขียนจะต้องแสดงให้เห็นว่า ตนมีลักษณะและคุณสมบัติพอเป็นที่เชื่อถือได้
หมายเหตุ : โวหารมี ๔ คือ
๑. พรรณนาโวหาร ได้แก่ การพรรณนาความ คือ เล่าเรื่องที่ได้เห็นมาแล้วด้วยความมุ่งหวังให้ไพเราะ เพลิดเพลินบันเทิง
๒. บรรยายโวหาร ได้แก่ การอธิบายข้อความที่ย่อซึ่งยังเคลือบแคลงอยู่ให้แจ่มแจ้งหรือพิสดาร
๓. เทศนาโวหาร ได้แก่ การแต่งทำนองการสอน คือ ชี้แจงหลักธรรมนั้น
๔. สาธกโวหาร ได้แก่ การบรรยายข้อเปรียบเทียบ คือ นำข้ออุปมาอุปไมยมาเทียบเคียง
หลักย่อ ๆ ที่ควรจำ เป็นเกณฑ์อธิบายในการแต่งกระทู้
๑. วิเคราะห์ศัพท์ คือ การแสดงความหมายของกระทู้ตั้งแล้ววางเค้าโครงที่จะแต่งต่อไป
๒. ขยายความ คือ การอธิบายให้กว้างออกไปตามแนวกระทู้ตามเหตุและผล
๓. เปรียบเทียบ คือ ยกข้อความที่ตรงข้ามกันมาเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นได้ชัดในสิ่งที่พูดไป
๔. ยกสุภาษิตรับ คือ การนำกระทู้สุภาษิตมารับมาอ้าง
๕. ยกตัวอย่าง คือ ยกตัวอย่างธรรมะ หรือบุคคล สถานที่มาเป็นตัวอย่าง
๖. สรุปความ คือ ย่อความที่กล่าวมาแล้วนั้นให้เข้าใจง่าย ก่อนที่จะจบกระทู้
หนังสือนักธรรมชั้นตรี,นักธรรมตรีpdf,นักธรรมตรี,สรุปนักธรรมตรี,ข้อสอบนักธรรมตรี,เก็งข้อสอบนักธรรมตรี
- หน้าแรก
- พุทธประวัติ
- ธรรมวิภาค
- เบญจศีล-เบญจธรรม
- แบบกระทู้ธรรมชั้นตรี
- แบบกระทู้ธรรมชั้นโท
- แบบกระทู้ธรรมชั้นเอก
- หมวด พุทธศาสนสุภาษิต
- อนุพุทธประวัติชั้นโท
- ดาวโหลดหนังสือธรรมศึกษาชั้นตรี โท เอก
- Download ข้อสอบนักธรรมและธรรมศึกษา ปี 2559-2563
- ประวัตินักธรรม-ธรรมศึกษา โดยสังเขป
- ขอบข่ายการเรียนการสอนธรรมศึกษา 2561
- ขอบข่ายธรรมศึกษา ระดับอุดมศึกษาและประชาชนทั่วไป
- ข้อสอบนักธรรมตรี-โท-เอก[ย้อนหลัง]
วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2560
หลักเกณฑ์ในการแต่งกระทู้ธรรม
หลักเกณฑ์ในการแต่งกระทู้ธรรม
มีหลักสำคัญในการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรม อยู่ ๓ ประการด้วยกัน คือ
๑. ตีความหมาย
๒. ขยายความให้ชัดเจน
๓. ตั้งเกณฑ์อธิบาย
ตีความหมาย ได้แก่การให้คำจำกัดความของธรรมนั้น ว่ามีความหมายอย่างไรเช่นพุทธภาษิตที่ว่า “กลฺ- ยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ” ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้ผลชั่วดังนี้ ก็ให้คำจำกัดความคำว่า “กรรมดี คืออะไร” “กรรมชั่วคืออะไร” ในที่นี้กรรมดีหมายเอากุศลกรรมบถ กรรมชั่วหมายถึง อกุศลกรรมบถ ฯลฯ
ขยายความให้ชัดเจน ได้แก่การขยายเนื้อความของคำซึ่งได้ให้ความหมายไว้แล้ว คือกุศลกรรมบถ และ อกุศลกรรมบถ ว่ามีอย่างเท่าไร (อย่างละ ๑๐ ประการ) เป็นต้น
ตั้งเกณฑ์อธิบาย ได้แก่การวางโครงร่างที่จะอธิบายเนื้อความของเนื้อหาว่ามีอะไรบ้าง มีผลดีผลเสียอย่างไร มีข้อเปรียบเทียบหรือมีตัวอย่างมาประกอบให้เห็นเด่นชัดได้หรือไม่ และควรจะนับถึงผลกรรมนั้น ๆ อย่างไร จึงจะทำให้ผู้อ่านผู้ฟังคล้อยตาม โดยเรียงเป็นลำดับขั้นตอนก่อนหลัง ไม่สับสนวกไปวนมา
หลักเกณฑ์สำคัญในการอธิบาย ๓ ประการ คือ
๑. คำนำ
๒. เนื้อเรื่อง
๓. คำลงท้าย (สรุป)
คำนำ เป็นการอารัมภบทพจนคาถาที่เป็นบทตั้ง (กระทู้ หรือที่เรียกว่า อุเทศ) เพื่อเป็นบทนำในการเรียงความ (คำนำของการเรียงความแก้กระทู้ธรรม ควรเขียนประมาณ 2-3 บรรทัด)
เนื้อเรื่อง เป็นการขยายเนื้อความของกระทู้ที่ตั้งไว้ เรียกว่าแก้ หรือเรียกว่า นิเทศ การนิเทศ หรือขยายความเนื้อเรื่องนั้นจะต้องให้รสชาติเนื้อหาสาระแก่ผู้ อ่าน ให้ผู้อ่านเข้าใจในสิ่งที่เราจะอธิบาย ไม่ทำให้ผู้อ่านสับสนไขว้เขว (ควรเขียนอธิบายให้ได้ประมาณ 10 - 15 บรรทัด) แล้วจึงนำเอาภาษิตมาเชื่อม หรืออ้างภาษิตมาเพื่อสนับสนุน เรียกว่า กระทู้รับ โดยนักธรรมศึกษาชั้นตรี มีข้อกำหนดให้นำ ภาษิตมาเสื่อมรับได้อย่างน้อย ๑ ภาษิต ภาษิตที่นำมาอ้างสนับสนุนห้ามไม่ให้ซ้ำกัน แต่จะซ้ำที่มาได้ แล้วอธิบายภาษิตที่ยกมาสนับสนุนให้เนื้อความกลมกลืนกัน (เขียนอธิบายประมาณ 5 - 7 บรรทัด กำลังพอดี)
คำลงท้าย หรือ บทสรุป หรือ เรียกว่าปฏินิเทศ หมายถึงการรวบรวมใจความที่สำคัญของเนื้อหาที่ได้อธิบายมาแล้ว สรุปลงอย่างย่อ ๆ ให้ได้ใจความ ให้ผู้อ่านเกิดความซาบซึ้งและรู้สึกว่าเรียงความที่อ่านมีคุณค่าน่าเชื่อถือ น่าปฏิบัติตาม เกิดศรัทธาในความคิดของผู้เขียน (สรุปความ ควรเขียนประมาณ 5 -7 บรรทัด)
มีหลักสำคัญในการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรม อยู่ ๓ ประการด้วยกัน คือ
๑. ตีความหมาย
๒. ขยายความให้ชัดเจน
๓. ตั้งเกณฑ์อธิบาย
ตีความหมาย ได้แก่การให้คำจำกัดความของธรรมนั้น ว่ามีความหมายอย่างไรเช่นพุทธภาษิตที่ว่า “กลฺ- ยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ” ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้ผลชั่วดังนี้ ก็ให้คำจำกัดความคำว่า “กรรมดี คืออะไร” “กรรมชั่วคืออะไร” ในที่นี้กรรมดีหมายเอากุศลกรรมบถ กรรมชั่วหมายถึง อกุศลกรรมบถ ฯลฯ
ขยายความให้ชัดเจน ได้แก่การขยายเนื้อความของคำซึ่งได้ให้ความหมายไว้แล้ว คือกุศลกรรมบถ และ อกุศลกรรมบถ ว่ามีอย่างเท่าไร (อย่างละ ๑๐ ประการ) เป็นต้น
ตั้งเกณฑ์อธิบาย ได้แก่การวางโครงร่างที่จะอธิบายเนื้อความของเนื้อหาว่ามีอะไรบ้าง มีผลดีผลเสียอย่างไร มีข้อเปรียบเทียบหรือมีตัวอย่างมาประกอบให้เห็นเด่นชัดได้หรือไม่ และควรจะนับถึงผลกรรมนั้น ๆ อย่างไร จึงจะทำให้ผู้อ่านผู้ฟังคล้อยตาม โดยเรียงเป็นลำดับขั้นตอนก่อนหลัง ไม่สับสนวกไปวนมา
หลักเกณฑ์สำคัญในการอธิบาย ๓ ประการ คือ
๑. คำนำ
๒. เนื้อเรื่อง
๓. คำลงท้าย (สรุป)
คำนำ เป็นการอารัมภบทพจนคาถาที่เป็นบทตั้ง (กระทู้ หรือที่เรียกว่า อุเทศ) เพื่อเป็นบทนำในการเรียงความ (คำนำของการเรียงความแก้กระทู้ธรรม ควรเขียนประมาณ 2-3 บรรทัด)
เนื้อเรื่อง เป็นการขยายเนื้อความของกระทู้ที่ตั้งไว้ เรียกว่าแก้ หรือเรียกว่า นิเทศ การนิเทศ หรือขยายความเนื้อเรื่องนั้นจะต้องให้รสชาติเนื้อหาสาระแก่ผู้ อ่าน ให้ผู้อ่านเข้าใจในสิ่งที่เราจะอธิบาย ไม่ทำให้ผู้อ่านสับสนไขว้เขว (ควรเขียนอธิบายให้ได้ประมาณ 10 - 15 บรรทัด) แล้วจึงนำเอาภาษิตมาเชื่อม หรืออ้างภาษิตมาเพื่อสนับสนุน เรียกว่า กระทู้รับ โดยนักธรรมศึกษาชั้นตรี มีข้อกำหนดให้นำ ภาษิตมาเสื่อมรับได้อย่างน้อย ๑ ภาษิต ภาษิตที่นำมาอ้างสนับสนุนห้ามไม่ให้ซ้ำกัน แต่จะซ้ำที่มาได้ แล้วอธิบายภาษิตที่ยกมาสนับสนุนให้เนื้อความกลมกลืนกัน (เขียนอธิบายประมาณ 5 - 7 บรรทัด กำลังพอดี)
คำลงท้าย หรือ บทสรุป หรือ เรียกว่าปฏินิเทศ หมายถึงการรวบรวมใจความที่สำคัญของเนื้อหาที่ได้อธิบายมาแล้ว สรุปลงอย่างย่อ ๆ ให้ได้ใจความ ให้ผู้อ่านเกิดความซาบซึ้งและรู้สึกว่าเรียงความที่อ่านมีคุณค่าน่าเชื่อถือ น่าปฏิบัติตาม เกิดศรัทธาในความคิดของผู้เขียน (สรุปความ ควรเขียนประมาณ 5 -7 บรรทัด)
ความสำคัญของวิชาเรียงความ
ความสำคัญของวิชาเรียงความ
๑. ส่งเสริมความเจริญทางด้านจินตนาการ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของผู้เรียน
๒. ทำให้ผู้เรียนรู้จักลำดับความคิด สามารถถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของตนออกมาให้ผู้อื่นเข้าใจตามต้องการได้
๓. รู้จักเลือกถ้อยคำสำนวนโวหารสำนวนได้ถูกต้องตามหลักภาษา
๔. ส่งเสริมให้ผู้เรียนเขียนได้ถูกต้องตามแบบที่นิยม
ประโยชน์ของการเรียนกระทู้ธรรม
๑. ทำให้ผู้เรียนเกิดความซาบซึ้งในคุณค่าของธรรม
๒. ทำให้ผู้ เรียนได้เข้าใจถึงผลเสีย กล่าวคือคุณและโทษของการปฏิบัติตามและไม่ปฏิบัติตามธรรมะ
๓. ให้เข้าใจในชีวิตและรู้จักแสวงหาความสุขโดยมีธรรมะเป็นเครื่องชี้แนวทาง
๔. ช่วยพัฒนาด้านจิตใจของมนุษย์ให้รู้จักผิดชอบชั่วดี ละความชั่วประกอบความดี โดยพยายามงดเว้นความชั่วโดยเด็ดขาด
๑. ส่งเสริมความเจริญทางด้านจินตนาการ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของผู้เรียน
๒. ทำให้ผู้เรียนรู้จักลำดับความคิด สามารถถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของตนออกมาให้ผู้อื่นเข้าใจตามต้องการได้
๓. รู้จักเลือกถ้อยคำสำนวนโวหารสำนวนได้ถูกต้องตามหลักภาษา
๔. ส่งเสริมให้ผู้เรียนเขียนได้ถูกต้องตามแบบที่นิยม
ประโยชน์ของการเรียนกระทู้ธรรม
๑. ทำให้ผู้เรียนเกิดความซาบซึ้งในคุณค่าของธรรม
๒. ทำให้ผู้ เรียนได้เข้าใจถึงผลเสีย กล่าวคือคุณและโทษของการปฏิบัติตามและไม่ปฏิบัติตามธรรมะ
๓. ให้เข้าใจในชีวิตและรู้จักแสวงหาความสุขโดยมีธรรมะเป็นเครื่องชี้แนวทาง
๔. ช่วยพัฒนาด้านจิตใจของมนุษย์ให้รู้จักผิดชอบชั่วดี ละความชั่วประกอบความดี โดยพยายามงดเว้นความชั่วโดยเด็ดขาด
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)