การอธิษฐานด้วยกาย คือ การใช้มือจับหรือลูบบริขารที่จะอธิษฐานแล้วท˚าความผูกใจตามค˚าอธิษฐานนั้น ๆ ส่วนการอธิษฐานด้วยวาจา คือ การเปล่งค˚าอธิษฐานนั้น ๆ ไม่ถูกของด้วยกายก็ได้ ฯ
(ปี 49) ค˚าว่า อธิษฐานในวินัยกรรม คืออะไร? ผ้าสังฆาฏิผืนเดมเก่าขาดใช้ไม่ได้จะเปลี่ยนใหม่ พึงปฏิบัติอย่างไร?
ตอบ คือ การตั้งบริขารที่ทรงอนุญาตส˚าหรับภิกษุเอาไว้ใช้ส˚าหรับตัว (เช่นการตั้งใจใช้จีวรผืนนั้น ไม่ใช้ผืนอื่น) ฯ
พึงท˚าพินทุผ้าสังฆาฏผืนใหม่ว่า อม˚ พินฺทุกปฺปํ กโรมิ เราท˚าหมายด้วยจุดนี้ แล้วปัจจุทธรณ์คือยกเลิกผาสังฆาฏเดิมว่า อิม˚ สงฆาฏึฺ ปจฺจุทฺธรามิ เรา
ยกเลิกผ้าสังฆาฏิผืนนี้ ต่อจากนั้นอธิษฐานผ้าสังฆาฏิผืนใหม่ว่า อิม˚ สงฺฆาฏึ อธิฏฺฐามิ เราตั้งเอาไว้ซึ่งผ้าสังฆาฏผืนนี้ ฯ
วิธีใช้วิธีรักษาบาตร
(ปี 50) วิธีใช้วิธีรักษาบาตรที่ถูกต้อง คืออย่างไร?
ตอบ คือ ห้ามไม่ให้ใช้บาตรต่างกระโถน คือทิ้งก้างปลา กระดูก เนื้อ หรืออื่น ๆ อันเป็นเดนลงในบาตร ห้ามไม่ให้ล้างมือหรือบ้วนปากลงในบาตร
จะเอามือเปื้อนจับบาตรก็ไม่ควร ฉันแล้วให้ล้างบาตร ห้ามไม่ให้เก็บไว้ทั้งยังเปียก ให้ผึ่งแดดก่อน
ห้ามไม่ให้ผึ่งทั้งยังเปียก ให้เช็ดจนหมดน˚้าก่อนจึงผึ่ง ห้ามไม่ให้ผึ่งไว้นาน ให้ผึ่งสักครู่หนึ่ง ฯ
(ปี 47) ในพระวินัย ทรงอนุญาตบาตรไว้กี่ชนิด? อะไรบ้าง? และมีธรรมเนียมระวังรักษาบาตรอย่างกวดขันไว้อย่างไร?
ตอบ ทรงอนุญาตไว้ ๒ ชนิด คือ บาตรดินเผา (สุมด˚าสนิท) ๑ บาตรเหล็ก ๑ ฯ
มีธรรมเนียมระวังรักษาบาตรอย่างกวดขัน คือ ห้ามไม่ให้วางบาตร เก็บบาตรไว้ในที่ๆบาตรจะตกแตก และในที่จะประทุษร้ายบาตร, ห้ามคว˚่าบาตรไว้ที่พื้นคมแข็งอันจะประทุษร้ายบาตร, ห้ามไม่ให้แขวนบาตร, ห้ามไม่ให้ใช้บาตรต่างกระโถน, ห้ามไม่ให้เก็บไว้ทั้งยังเปียก มีบาตรอยู่ในมือห้ามไม่ให้ผลักบานประตู เป็นต้น ฯ
นิสัย ความหมายของค า
(ปี 63, 56) ค˚าว่า ถือนิสัย หมายความว่าอย่างไร? ภิกษุผู้เป็นนวกะจะต้องถือนิสัยเสมอไปหรือไม่ประการไร?
ตอบ หมายความว่า ยอมตนอยู่ในความปกครองของพระเถระผมีคุณสมบัติควรปกครองตนได้ ยอมตนให้ท่านปกครอง พึ่งพิงพ˚านักอาศัยท่าน ฯ ต้องถือนิสัยเสมอไป แต่มีข้อยกเว้น ภิกษุผู้ยังไม่ตั้งลงเป็นหลักแหล่ง คือภิกษุเดินทาง ภิกษุผู้เป็นไข้ ภิกษุผู้พยาบาลผู้ได้รับขอของคนไข้เพื่อให้อยู่ ภิกษุผู้เข้าป่าเพื่อเจริญสมณธรรมชั่วคราว และกรณีที่ในที่ใด หาท่านผู้ให้นิสัยมิได้ และมีเหตุขัดข้องที่จะไปอยู่ในที่อื่นไม่ได้ จะอยู่ในที่นั้นด้วยผูกใจ ว่าเมื่อใดมีท่านผู้ให้นิสัยได้มาอยู่ จักถือนิสัยในท่าน ก็ใช้ได้ ฯ
(ปี 57) จงให้ความหมายของค˚าต่อไปนี้
ก. อุปสัมปทาจารย์ ข. อุทเทสาจารย์ ค. สัทธิวิหาริก
ง. อนเตวาสิก จ. นิสสัยมุตตกะ
ตอบ ก. อาจารย์ผู้ให้อุปสมบท
ข. อาจารย์ผสอนธรรม ค. ภิกษุผู้พึ่งพิงอุปัชฌาย์ ง. ภิกษุผู้อิงอาศัยอาจารย์
จ. ภิกษุผู้พ้นนิสสัยแล้ว ฯ
(ปี 55) จงให้ความหมายของค˚าต่อไปนี้ อุปัชฌายะ สัทธิวิหาริก นิสสัย
ตอบ อุปัชฌายะ เป็นชื่อเรียกภิกษุผู้รับให้พึ่งพิง แปลว่าผฝ นิสสัย เป็นชื่อเรียกกิริยาที่พึ่งพิง ฯ
ึกสอนหรือผู้ดูแล, สัทธิวิหาริก เป็นชื่อเรียกภิกษุผู้พึ่งพิง แปลว่าผู้อยู่ด้วย,
(ปี 49) พระอุปัชฌาย์และสัทธิวิหาริก พึงปฏิบัติต่อกันอย่างไร จึงจะเกิดความเจรญงอกงามในพระธรรมวินัย?
ตอบ พึงปฏิบัติตามที่สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสสั่งไว้ว่า ให้พระอุปัชฌาย์และสัทธิวิหาริกตั้งจิตสนิทสนมในกันและกัน
ให้พระอุปัชฌายส˚าคัญสัทธิวิหาริกฉันบุตร ให้สัทธิวิหาริกนับถือพระอุปัชฌาย์ฉันบิดา เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่างจะมีความเคารพเชื่อฟังถูกกันอยู่ ย่อมจะ
ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในพระธรรมวินัย ฯ
(ปี 47) จงให้ความหมายของค˚าดังต่อไปนี้ ก. นิสสัย ข. วัตร ค. อุปัชฌายะ ง. อาจารย์ จ. สัทธิวิหาริกวัตร
ตอบ ก. นิสสัย คือ กิริยาที่พึ่งพิง
ข. วัตร หมายถึง ขนบคือแบบอย่าง อันภิกษุควรประพฤติในกาลนั้นๆ ในที่นั้นๆ ในกิจนั้น แก่บุคคลนั้นๆ ค. อุปัชฌายะ คือ ภิกษุผู้รับให้สัทธิวิหาริกพึ่งพิง
ง. อาจารย์ คือ ภิกษุผู้รับให้อันเตวาสิกพึ่งพิง
จ. สัทธิวิหาริกวัตร คือ หน้าที่อันอุปัชฌายะจะพึงท˚าแก่สัทธิวิหาริก ฯ
อาจารย์มี ๔ ประเภท
๑. ปัพพัชชาจารย์ อาจารย์ในบรรพชา ๓. นิสสยาจารย์ อาจารย์ผู้ให้นิสสัย
๒. อุปสัมปทาจารย์ อาจารย์ในอุปสมบท ๔. อุทเทสาจารย์ อาจารย์ผู้บอกธรรม
(ปี 57) จงให้ความหมายของค˚าต่อไปนี้ ก. อุปสัมปทาจารย์ ข. อุทเทสาจารย์ ค. สัทธิวิหาริก ง. อันเตวาสิก จ. นิสสยมุตตกะ
ตอบ ก. อาจารย์ผู้ให้อุปสมบท
ข. อาจารย์ผสอนธรรม ค. ภิกษุผู้พึ่งพิงอุปัชฌาย์
ง. ภิกษุผู้อิงอาศัยอาจารย์
จ. ภิกษุผู้พ้นนิสสัยแล้ว ฯ
(ปี 53) ตามนัยแห่งอรรถกถาอาจารย์มีกี่ประเภท? อะไรบ้าง? ค˚าขอนิสสัยอาจารย์ว่าอย่างไร?
ตอบ มี ๔ ประเภท ฯ คือ ๑. ปัพพัชชาจารย์ อาจารย์ในบรรพชา ๒. อุปสัมปทาจารย์ อาจารย์ในอุปสมบท ๓. นิสสยาจารย์ อาจารย์ผู้ให้ นิสสัย ๔. อุทเทสาจารย์ อาจารย์ผู้บอกธรรม ฯ ว่า อาจริโย เม ภนฺเต โหหิ อายสมโต นิสฺสาย วจฺฉามิ ฯ
(ปี 44) อาจารย์ทางพระวินัยตามนัยอรรถกถามีเท่าไร? อะไรบ้าง? อาจารย์เหล่านั้นท˚าหน้าทต่างกันอย่างไร? ตอบ มี ๔ คือ ปัพพชาจารย์ ๑ อุปสัมปทาจารย์ ๑ นิสสยาจารย์ ๑ อุทเทสาจารย์ ๑ ท˚าหน้าที่ต่างกัน คือ ปัพพชาจารย์ ท˚าหน้าที่ให้สรณคมน์เมื่อบรรพชา
อุปสัมปทาจารย์ ท˚าหน้าที่สวดกรรมวาจาเมื่ออุปสมบท นิสสยาจารย์ ท˚าหน้าที่ให้นิสัย
อุทเทสาจารย์ ท˚าหน้าที่สอนธรรม
(ปี 44) ค˚าว่า ถือนิสัย หมายความว่าอะไร? จงเขียนค˚าขอนิสัยอาจารย์พร้อมทั้งค˚าแปล
ตอบ หมายความว่ายอมตนอยู่ในความปกครองของพระเถระผมีคุณสมบัติควรปกครองตนได้ ยอมตนให้ท่านปกครองพึ่งพิงพ˚านักอาศัยท่านฯ
ค˚าขอนิสัยอาจารย์ว่าดังนี้ " อาจริโย เม ภนฺเต โหหิ , อายสฺมโต นิสฺสาย วจฺฉามิ " ซึ่งแปลว่า " ขอท่านจงเป็นอาจารย์ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจักอยู่ อาศัยท่าน "
การประณาม
(ปี 52) การประณาม ในพระวินัยหมายความว่าอย่างไร? มีพระพุทธานุญาตให้อุปัชฌาย์ท˚าการประณามสัทธิวิหาริกผู้ประพฤติอย่างไร?
ตอบ หมายความว่า การไล่สัทธิวิหาริก หรืออันเตวาสิกผู้ประพฤติมชอบ ผู้ประพฤติดังนี้
๑. หาความรักใคร่ในอุปัชฌาย์มิได้ ๒. หาความเลื่อมใสมิได้ ๓. หาความละอายมิได้ ๔. หาความเคารพมิได้
๕. หาความหวังดีต่อมิได้ ฯ
(ปี 45) อุปัชฌาย์ประณามสัทธิวิหาริกผู้ประพฤติมิชอบด้วยเหตุอะไรบ้าง? อาการที่อุปัชฌาย์ประณามสัทธิวิหาริกพึงท˚าอย่างไร?
ตอบ ด้วยเหตุดังนี้ คือ หาความรกใคร่ในอุปัชฌาย์มิได้ ๑ หาความเลื่อมใสมิได้ ๑ หาความละอายมิได้ ๑ หาความเคารพมิได้ ๑
หาความหวังดีต่อมิได้ ๑ ฯ พึงพูดให้รู้ว่าตนไล่เธอเสีย ในบาลีแสดงไว้ว่า เราประณามเธอ เธออย่าเข้ามา ณ ที่นี้ จงขนบาตรจีวรของเธอออกไปเสีย
หรือเธอไม่ต้องอุปัฏฐากเราดังนี้ หรือแสดงอาการทางกายให้รู้อย่างนั้นก็ได้ ฯ
นิสัยระงับ / นิสัยมุตตกะ
(ปี 64, 59, 51) นิสัยระงับ กับ นิสัยมุตตกะ มีอธิบายอย่างไร?
ตอบ นิสัยระงับ หมายถึงการที่ภิกษุผู้ถือนิสัยขาดจากปกครอง เช่น อุปัชฌาย์มรณภาพ เป็นต้น
นิสัยมุตตกะ หมายถึงภิกษุผู้ได้พรรษา ๕ แล้ว และมีคุณสมบัติพอรักษาตนไดเ้ มื่ออยู่ตามล˚าพัง ทรงพระอนุญาตให้พ้นจากนิสัย ฯ
(ปี 62, 60) ภิกษุเช่นไรควรได้นิสยมุตตกะ ?
ตอบ ภิกษุผู้ควรได้นิสยมุตตกะ คือ ๑. เป็นผู้มีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ สติ
๒. เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล อาจาระ ความเห็นชอบ เคยได้ยิน ได้ฟังมามาก มีปัญญา
๓. รู้จักอาบัติ มิใช่อาบัติ อาบัติเบา อาบัติหนัก จ˚าพระปาฏิโมกข์ได้ แม่นย˚า ทั้งมีพรรษาพ้น ๕ ฯ
(ปี 58) ในบาลีแสดงเหตุนิสสยระงับจากอุปัชฌายะไว้ ๕ ประการ มีอะไรบ้าง ?
ตอบ มีอุปัชฌายะหลีกไปเสีย ๑ สึกเสีย ๑ ตายเสีย ๑ ไปเข้ารีตเดียรถีย์เสีย ๑ สั่งบังคับ ๑ ฯ
(ปี 54) ในบาลีแสดงเหตุนิสัยจะระงับจากอุปัชฌาย์ไว้เท่าไร? อะไรบ้าง?
ตอบ แสดงไว้ ๕ ประการ ฯ คือ อุปัชฌาย์หลีกไปเสย ๑ สึกเสีย ๑ ตายเสีย ๑ ไปเข้ารีตเดียรถีย์ ๑ สั่งบังคับ ๑ ฯ
(ปี 45) ในบาลีแสดงเหตุนิสัยจะระงับจากอุปัชฌาย์ไว้เท่าไร? อะไรบ้าง? ภิกษุผู้ควรจะได้นิสัยมุตตกะต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง?
ตอบ แสดงไว้ ๕ ประการคือ อุปัชฌาย์หลีกไปเสีย ๑ สึกเสีย ๑ ตายเสีย ๑ ไปเข้ารีตเดียรถีย์ ๑ สั่งบังคับ ๑ ฯ มีคุณสมบัติ คือ ๑. เป็นผมีศรัทธา มีหิริ มีโอตตัปปะ มีวิริยะ มีสติ
๒. เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล อาจาระ ความเห็นชอบ เคยได้ยินได้ฟังมาก มีปัญญา
๓. รู้จักอาบัติ มิใช่อาบัติ อาบัติเบา อาบัติหนัก จ˚าปาฏิโมกข์ได้แม่นย˚า ทั้งมีพรรษาได้ ๕ หรือยิ่งกว่า ฯ
ชั้นภมิของภิกษุ
(ปี 60, 44) ภิกษุเช่นไร ชื่อว่า นวกะ มัชฌิมะ เถระ ?
ตอบ ภิกษุมีพรรษาไม่ถึง ๕ ชื่อว่า นวกะ
ภิกษุมีพรรษาตั้งแต่ ๕ ขึ้นไป แต่ยังไม่ถึง ๑๐ ต้องประกอบด้วยคุณธรรมตามพระวินัยชื่อว่า มัชฌิมะ ภิกษุมีพรรษาตั้งแต่ ๑๐ ขึ้นไป ต้องประกอบด้วยคุณธรรมตามพระวินัย ชื่อว่า เถระ ฯ
วัตร
แบบอย่างอันภิกษุควรประพฤติในกาลนั้น ๆ ในที่นั้น ๆ ในกิจนั้น ๆ แก่บุคคลนั้น ๆ แบ่งออกเป็น ๓ ประเภท คือ
๑. กิจวัตร ว่าด้วยกิจอันควรท˚า ๒. จริยาวัตร ว่าด้วยมารยาทอนควรประพฤติ ๓. วิธิวัตร ว่าด้วยแบบอย่าง
(ปี 63, 61, 44) วัตรอันภิกษุควรประพฤติในค˚าว่า วตฺตสมฺปนฺโน นั้น คืออะไรบ้าง ?
ตอบ คือ ๑. กิจวัตร ว่าด้วยกิจอันควรท˚า ๒. จริยาวัตร ว่าด้วยมารยาทอันควรประพฤติ ๓. วิธิวัตร ว่าด้วยแบบอย่าง ฯ
(ปี 54) ภิกษุผู้ได้ชื่อว่า วตฺตสมฺปนฺโน ผู้ถึงพร้อมด้วยวัตร วัตรคืออะไร? มีอะไรบ้าง?
ตอบ วัตรคือแบบอย่างอันภิกษุควรประพฤติในกาลนั้น ๆ ในที่นั้น ๆ ในกิจนั้น ๆ แก่บุคคลนั้น ๆ ฯ
มี ๑. กิจวัตร ว่าด้วยกิจอันควรท˚า ๒. จริยาวัตร ว่าด้วยมารยาทอนควรประพฤติ ๓. วิธิวัตร ว่าด้วยแบบอย่าง ฯ
(ปี 51) ในค˚าว่า ภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยวัตร วัตรได้แก่อะไร? มีอะไรบ้าง?
ตอบ ได้แก่ ขนบ คือแบบอย่างอันภิกษุควรประพฤติในกาลนั้นๆ ในที่นั้นๆ ในกิจนั้นๆ แก่บุคคลนั้นๆ ฯ
มี ๑. กิจวัตร ว่าด้วยกิจอันควรท˚า ๒. จริยาวัตร ว่าด้วยมารยาทอนควรประพฤติ ๓. วิธิวัตร ว่าด้วยแบบอย่าง ฯ
(ปี 49) วิธิวัตร คืออะไร? มีความส˚าคัญอย่างไร?
ตอบ คือ วินัยที่ว่าด้วยแบบอย่าง เช่นแบบอย่างการห่มผ้าเป็นต้น ฯ แบบอย่างนั้นเป็นเหตุให้ภิกษุมีความประพฤติสม˚่าเสมอกัน เช่นนุ่งห่มเป็น แบบเดียวกันอันโบราณท่านจัดไว้ถ้าเป็นแบบที่ล่วงเวลาและจะไม่ใช้ก็ต้องมีวิธีใหม่แทน ไม่เช่นนั้นจะค่อยหลุดไปทีละอย่าง จนไม่มีอะไรเหลือเมื่อ ถึงเวลานั้นพระสงฆ์ก็จะไม่มีอะไรที่ต่างจากชาวบ้าน ฯ
(ปี 48) วัตร ๓ คืออะไรบ้าง? ภิกษุเหยียบผาขาวอันเขาลาดไว้ในทนิมนต์ผดวัตรข้อไหน? มีโทษให้เกิดความเสียหายอย่างไร?
ตอบ คือ กิจวัตร ๑ จริยาวัตร ๑ วิธิวัตร ๑ ฯ ผิดวัตรข้อจริยาวัตร ฯ มีโทษให้เกิดความเสียหาย
คือเป็นการเสียมารยาทของพระ ไม่ระวังกิริยา ท˚าให้ผ้าขาวมีรอยเปื้อนสกปรกน่ารังเกียจ แม้ภิกษุพวกเดียวกันจะนั่งก็รังเกียจขยะแขยง เป็นที่ต˚าหนิของบัณฑิตทั้งหลาย ฯ
กิจวัตร ๑๒ กิจอันควรท˚า (ในสรุปนี้ น ามาเฉพาะที่เคยออกข้อสอบเท่านั้น)
·
อุปัชฌายวัตร ธรรมเนียมที่สัทธิวิหาริกควรปฏิบัตต่อพระอุปัชฌาย์
·
สัทธิวิหาริกวัตร ธรรมเนียมที่พระอุปัชฌาย์ควรปฏิบัติต่อสัทธิวิหาริก
·
อาคันตุกวัตร ธรรมเนียมที่พระอาคันตุกะควรปฏิบัตต่อพระเจ้าถิ่น
·
อาวาสิกวัตร ธรรมเนียมที่พระเจ้าถิ่นควรปฏิบัตต่อพระอาคันตุกะ
·
ปิณฑจาริกวัตร ธรรมเนียมที่ภิกษุผู้เข้าไปบิณฑบาตในละแวกบ้าน
·
เสนาสนคาหกวัตร ธรรมเนียมที่ภิกษุผู้อาศัยอยู่ในเสนาสนะ
·
คิลานุปัฏฐากวัตร ธรรมเนียมที่ภิกษุที่ท˚าหน้าที่ดูแลภิกษผ
ู้เจ็บป่วย
(ปี 64, 58) ภิกษุผู้อาพาธควรปฏิบัติตนอย่างไร จึงไม่เป็นภาระแก่ผู้พยาบาล ?
ตอบ ควรปฏิบัติตนให้เป็นผู้พยาบาลง่าย คือท˚าความสบายให้แก่ตน (ไม่ฉันของแสลง) รู้จักประมาณในการบริโภค ฉันยาง่าย บอกอาการไข้ตาม เป็นจริงแก่ผู้พยาบาล เป็นผู้อดทนต่อทุกขเวทนา ฯ
(ปี 64, 62 ,60, 45) ภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะ ไปสู่อาวาสอื่น พึงประพฤติอย่างไรจึงจะถูกธรรมเนียมตามพระวินัย ?
ตอบ พึงประพฤติดังนี้ ๑. ท˚าความเคารพในเจ้าของถิ่น ๒. แสดงความเกรงใจเจ้าของถิ่น ๓. แสดงอาการสุภาพต่อเจ้าของถิ่น
๔. แสดงอาการสนิทสนมกับเจ้าของถิ่น ๕. ถ้าจะอยู่ที่นั่น ควรประพฤติให้ถูกธรรมเนียมของเจ้าของถิ่น
๖. ถือเสนาสนะแล้วอย่าดดาย เอาใจใส่ปัดกวาดให้สะอาดหมดจด ตั้งเครื่องเสนาสนะให้เป็นระเบียบ ฯ
(ปี 59) วัตรคืออะไร ? อุปัชฌายวัตรและสัทธิวิหาริกวัตร ใครพึงท˚าแก่ใคร ?
ตอบ คือ แบบอย่างอันดีงามที่ภิกษุควรประพฤติในกาลนั้น ๆ ฯ
อุปัชฌายวัตร สัทธิวิหาริกพึงท˚าแก่อุปัชฌาย์ สัทธิวิหาริกวัตร อุปัชฌาย์พึงท˚าแก่สัทธิวิหาริก ฯ
(ปี 55) ภิกษุผู้ได้รับเสนาสนะของสงฆ์ให้เป็นที่อยู่อาศัย ควรเอาใจใส่รักษาเสนาสนะนั้นอย่างไร?
ตอบ ควรเอาใจใส่รักษาดังนี้ ๑. อย่าท˚าเปรอะเปื้อน ๒. ช˚าระให้สะอาด ๓. ระวังไม่ให้ช˚ารุด ๔. รักษาเครื่องเสนาสนะ
๕. ตั้งน˚้าฉันน˚้าใช้ไว้ให้มีพร้อม
๖. ของใช้ส˚าหรับเสนาสนะหนึ่ง อย่าเอาไปใช้ในที่อื่นให้กระจัดกระจาย ฯ
(ปี 50) สัทธิวิหาริก คือใคร? อุปชฌาย์ควรมีใจเอื้อเฟื้อสัทธิวิหาริกของตนอย่างไรบ้าง?
ตอบ คือ ภิกษุผู้พึ่งพิง ในการอุปสมบท ภิกษุถือภิกษุรูปใดเป็นอุปัชฌาย์ ก็เป็นสัทธิวิหาริกของภิกษุรูปนั้น ฯ อุปัชฌาย์ควรมีใจเอื้อเฟื้อสัทธิวิหาริกของตนอย่างนี้ คือ ๑. เอาใจใส่ในการศึกษาของสัทธิวิหาริก
๒. สงเคราะห์ด้วยบาตร จีวร และบริขารอื่น ๆ ถ้าของตนไม่มีก็ขวนขวายให้
๓. ขวนขวายป้องกันหรือระงับความเสื่อมเสยอันจักเกิดมีหรือได้มีแล้วแก่สัทธิวิหาริก
๔. เมื่อสัทธิวิหาริกอาพาธ ท˚าการพยาบาล ฯ
(ปี 49) เมื่อภิกษุเพื่อนสหธรรมิกอาพาธ ทรงให้ใครเป็นผู้พยาบาล? และทรงสั่งสอนปรารภภิกษุอาพาธไว้ว่าอย่างไร?
ตอบ ทรงให้ภิกษุเพื่อนสหธรรมิกเอาใจใส่รักษาพยาบาลกัน อย่าทอดธุระเสีย ฯ
ทรงสั่งสอนปรารภภิกษุอาพาธไว้วา ภิกษุทั้งหลาย มารดาและบิดาของเธอทั้งหลายไม่มี ถ้าพวกเธอจะไม่พยาบาลกันเอง ใครเล่าจะพยาบาลพวก
เธอ ภิกษุใดปรารถนาจะอุปัฏฐากเรา ขอให้ภิกษุนั้นพยาบาลภิกษุไข้เถิด ฯ
(ปี 48) ในพระวินัยส่วนอภิสมาจาร มีพระพุทธบัญญัตส บ้าง?
˚าหรับพระภิกษุผู้รับถือเสนาสนะของสงฆ์ ควรเอาใจใส่รักษาเสนาสนะด้วยอาการอย่างไร
ตอบ ควรเอาใจใส่รักษาอย่างนี้ คือ
๑. อย่าท˚าเปรอะเปื้อน ๒. ชาระให้สะอาด ๓. ระวังไม่ให้ช˚ารด
๔. รักษาเครื่องเสนาสนะ
๕. ตั้งน˚้าฉันน˚้าใช้ไว้ให้มีพร้อม
๖. ของใช้ส˚าหรับเสนาสนะหนึ่ง อย่าเอาไปใช้ในที่อื่นให้กระจัดกระจาย ฯ
(ปี 47) กิจวัตรที่สัทธิวิหาริกควรกระท˚าแก่พระอุปัชฌายะในข้อว่า เคารพในท่าน นั้น ในบาลีท่านแสดงไว้อย่างไร?
ตอบ ในบาลีแสดงการเดินตามท่าน ไม่ให้ชิดนัก ไม่ให้ห่างนัก และไม่พูดสอดในขณะที่ท่านก˚าลังพูด เมื่อท่านพูดผิด ไม่ทักหรือค้านอย่างจังๆ พูด อ้อมพอท่านได้สติรู้สึกตัว จึงจะเป็นการดี ฯ
(ปี 45) ภิกษุผู้เข้าไปรับบิณฑบาตในละแวกบ้าน พึงประพฤติให้ถูกธรรมเนียมอย่างไร?
ตอบ พึงประพฤติอย่างนี้ ๑. นุ่งห่มให้เรียบร้อย ๒. ถือบาตรในภายในจีวร ๓. ส˚ารวมกิริยาให้เรียบร้อย ๔. ก˚าหนดทางเข้าทางออกแห่งบ้าน
๕. รับบิณฑบาตด้วยอาการส˚ารวม ฯ
จริยาวัตร มารยาทอันควรประพฤติ (ในสรุปนี้ น ามาเฉพาะที่เคยออกขอสอบเท่านั้น)
·
ห้ามจับต้องวัตถุอนามาส
(ปี 63, 55) ค˚าว่า วัตถุเป็นอนามาส คืออะไร ภิกษุจับต้องวัตถุเป็นอนามาสเป็นอาบัติอะไร?
ตอบ คือ สิ่งที่ภิกษุไม่ควรจับต้อง ฯ ภิกษุจับต้องมาตุคาม เป็นอาบัติสังฆาทิเสส ถุลลัจจัย และทุกกฏตามประโยค จับต้องบัณเฑาะก์ด้วยความ ก˚าหนัดเป็นอาบัติถุลลจจัย นอกนั้นเป็นวัตถุแห่งอาบัติทุกกฏทั้งหมด ฯ
คารวะ กิริยาที่แสดงอาการอ่อนน้อมโดยสมควรแก่ กาล สถานที่ กิจ และบุคคล
(ปี 63, 58) การลุกยืนขึ้นรับ เป็นกิจที่ผู้น้อยพึงท˚าแก่ผู้ใหญ่ จะปฏิบัติอย่างไรจึงไม่ขัดต่อพระวินัย ?
ตอบ นั่งอยู่ในส˚านักผู้ใหญ่ ไมลุกรับผู้น้อยกว่าท่าน นั่งเข้าแถวในบ้าน เข้าประชุมสงฆ์ ในอาราม ไม่ลุกรับท่านผู้ใดผู้หนึ่ง ฯ
(ปี 62 ,60, 51) ภิกษุอยู่ในกุฎีเดียวกันกับภิกษุผู้มีพรรษามากกว่า ควรปฏิบัตตนอย่างไรจึงชื่อว่าแสดงความเคารพท่านตามพระวินัย ?
ตอบ ควรปฏิบัติตนอย่างนี้ คือ จะท˚าสิ่งใด ๆ ควรขออนุญาตท่านก่อน เช่น จะสอนธรรม จะอธิบายความ จะสาธยาย จะแสดงธรรม จะจุดจะดบ ไฟ จะเปิดจะปิดหน้าต่างห้ามมิให้ ท˚าตามอ˚าเภอใจ ฯ
(ปี 56) ก่อนหน้าปรินิพพาน ตรสสั่งภิกษุทั้งหลายให้แสดงความเคารพด้วยการเรียกกันว่าอย่างไร?
ตอบ ตรัสให้ภิกษุผู้อ่อนพรรษากว่าเรียกผู้แก่พรรษากว่าว่า ภันเต และให้ภิกษุผู้แก่พรรษากว่าเรียกผอ่อนพรรษากว่าว่า อาวุโส ฯ
(ปี 54) คารวะ คืออะไร? การลุกขึ้นยืนรับเป็นกิจที่ผู้น้อยพึงท˚าแก่ผใหญ่ แต่ควรเว้นในเวลาเช่นใดบ้าง?
ตอบ คือ กิริยาที่แสดงอาการอ่อนน้อมโดยสมควรแก่กาล สถานที่ กิจ และบุคคล ฯ
ควรเว้นในเวลานั่งอยู่ในส˚านักของผู้ใหญ่ ไม่ลุกรับผู้น้อยกว่าท่าน ในเวลานั่งเป็นแถวในบ้าน ในเวลาเข้าประชุมสงฆ์ในอาราม ฯ
(ปี 53) กิริยาที่แสดงความอ่อนน้อมต่อกันและกันเป็นความดีของหมู่ แต่ต้องท˚าให้ถูกต้องตามกาลเทศะ ในข้อนี้ควรงดเว้นในกรณีใดบ้าง? จงบอก มาสัก ๕ ข้อ
ตอบ ได้แก่ในเวลาดังต่อไปนี้ (ตอบเพียง ๕ ข้อ)
๑. ในเวลาประพฤติวุฏฐานวิธี คืออยู่กรรม เพื่อออกจากอาบัติสังฆาทิเสส
๒. ในเวลาถูกสงฆ์ท˚าอุกเขปนียกรรม ที่ถูกห้ามสมโภคและสังวาส (คือถูกลงโทษ👉้ามไม่ใ👉้สมาคมกับภิกษุอื่น)
๓. ในเวลาเปลือยกาย
๔. ในเวลาเข้าบ้านหรือเดินอยู่ตามทาง
๕. ในเวลาอยู่ในที่มืดที่แลไม่เห็นกัน
๖. ในเวลาที่ท่านไม่รู้ คือนอนหลับหรือขลุกขลยอยู่ด้วยธุระอย่างหนึ่ง หรือ ส่งใจไปอื่น แม้ไหว้ ท่านก็คงไม่ใส่ใจ
๗. ในเวลาขบฉันอาหาร
๘. ในเวลาถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ ฯ
(ปี 48) ภิกษุพบพระเถระในเวลาเข้าบ้านหรือเดินอยู่ตามทาง ควรปฏิบัติอย่างไร?ตอบ ไม่ควรไหว้ ควรหลีกทาง ลุกรับ และให้อาสนะแก่ท่านฯ
(ปี 46) การแสดงความเคารพได้แก่กิริยาเช่นไร? ภิกษุควรงดท˚าความเคารพกันในเวลาใดบ้าง? จงตอบมา ๕ ข้อ
ตอบ ได้แก่ การกราบไหว้ การลุกรับ การท˚าอัญชลี การท˚าสามีจิกรรม ฯ ในเวลาดังต่อไปนี้ (ตอบมา ๕ ข้อ)
๑. ในเวลาประพฤติวุฏฐานวิธี คือ อยู่กรรมเพื่อออกจากอาบัติสังฆาทิเสส ๕. ในเวลาอยู่ในที่มืดแลไม่เห็นกัน
๒. ในเวลาถูกสงฆ์ลงอุกเขปนียกรรม ๖. ในเวลาที่ท่านไม่รู้
๓. ในเวลาเปลือยกาย ๗. ในเวลาขบฉันอาหาร
๔. ในเวลาเข้าบ้านหรือเดินอยู่ตามทาง ๘. ในเวลาถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ฯ
(ปี 45) ภิกษุผู้เข้าไปในเจติยสถาน ควรปฏิบัติอย่างไร?
ตอบ ควรปฏิบัติอย่างนี้ คือไม่กั้นร่ม ไม่สวมรองเท้า ไม่ห่มคลุมเข้าไป ไม่แสดงอาการดูหมิ่นต่างๆ เช่นพูดเสียงดัง และนั่งเหยยดเท้าเป็นต้น ไม่ถ่าย อุจจาระปัสสาวะ และไม่ถ่มเขฬะในลานพระเจดีย์ ฯ
จ าพรรษา
·
วิธีจ าพรรษา
(ปี 62, 45) ดิถีที่ก˚าหนดให้เข้าจ˚าพรรษาในบาลีกล่าวไว้เท่าไร ? อะไรบ้าง ?
ตอบ กล่าวไว้ ๒ ฯ คือ ๑. ปุริมิกาวัสสป
๒. ปัจฉิมิกาวสั
นายิกา วันเข้าพรรษาต้น คือวันแรม ๑ ค˚่า เดือน ๘ สูปนายิกา วันเข้าพรรษาหลัง คือวันแรม ๑ ค˚่า เดือน ๙ ฯ
(ปี 49) การจ˚าพรรษาของภิกษุมีวิธีอย่างไร? จงอธิบายพอเข้าใจ
ตอบ การจ˚าพรรษานั้น ในบาลีกล่าวเพียงให้ท˚าอาลัย คือ ผูกใจว่าจะอยู่ในที่นี้ ๓ เดือน แต่ในบัดนี้มีธรรมเนียมที่ประชุมกันกล่าวค˚าอธิษฐานพร้อม กันว่า อิมสฺมึ อาวาเส อิม˚ เตมาส˚ วสฺส˚ อุเปม แปลความว่า เราเข้าถึงฤดูฝนในอาวาสนี้ตลอด ๓ เดือน ฯ
(ปี 48) การอธิษฐานเข้าพรรษา กับการปวารณาออกพรรษา ทั้ง ๒ นี้ อย่างไหนก˚าหนดด้วยสงฆ์เท่าไร? และก˚าหนดเขตอย่างไร?
ตอบ การอธิษฐานเข้าพรรษาไม่เป็นสังฆกรรมจึงไม่ก˚าหนดด้วยสงฆ์ แต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติอธิษฐานเข้าพรรษาพร้อมๆ กัน จะอธิษฐานที่ไหนก็ได้ แต่ท่านห้ามไม่ให้จ˚าพรรษาในที่ไม่สมควรเท่านั้น เช่น ในโพรงไม้ บนค่าคบไม้ ในตุ่ม หรือในกระท่อมผี เป็นต้น ฯ และให้ก˚าหนดบริเวณอาวาสเป็น เขต ฯ ส่วนการปวารณาออกพรรษาเป็นสังฆกรรม ก˚าหนดด้วยสงฆ์ตั้งแต่ ๕ รูปขึ้นไป ฯ
และก˚าหนดให้ท˚าภายในเขตสมา ถ้าต˚่ากว่า ๕ รูป ท่านให้ปวารณาเป็นการคณะ ถ้ารูปเดียวให้อธิษฐานเป็นการบุคคล ฯ
·
สัตตาหกรณียะ การหลีกไปในระหว่างอยู่จ˚าพรรษาด้วยกรณียธุระและกลับมาภายใน ๗ วัน โดยผูกใจว่าจะกลับมาภายใน ๗ วัน
(ปี 64, 60, 58) ธุระเป็นเหตุให้ไปค้างแรมที่อื่นด้วยสัตตาหกรณียะ ที่กล่าวไว้ในบาลี มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?
ตอบ มี ๔ อย่าง ฯ คือ ๑. สหธรรมิกหรือมารดาบิดาเจ็บไข้ รู้เข้าแล้วไปเพื่อพยาบาล
๒. สหธรรมิกกระสันจะสึก รู้เข้าแล้วไปเพื่อระงับ
๓. มีกิจสงฆ์เกิดขึ้น เช่น วิหารช˚ารุด ไปเพื่อหาเครื่องทัพพสัมภาระมาซ่อมแซม
๔. ทายกต้องการจะท˚าบุญ ส่งคนมานิมนต์ ไปเพื่อบ˚ารุงศรัทธา แม้กิจอื่นที่อนุโลมตามนี้ ท่านก็อนุญาต ฯ
(ปี 63, 57) สัตตาหกรณยะ คืออะไร? มีวิธีปฏิบัติอย่างไร?
ตอบ คือการหลีกไปในระหว่างอยู่จ˚าพรรษาด้วยกรณียธุระและกลับมาภายใน ๗ วัน ฯ ให้ผูกใจว่าจะกลับมาภายใน ๗ วัน ฯ
(ปี 61) สัตตาหกรณียะและสัตตาหกาลิก มีอธิบายอย่างไร ?
ตอบ สัตตาหกรณยะ คือ กิจจาเป็นบางอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษผ สัตตาหกาลิก คือ เภสัช ๕ ที่รับประเคนแล้วเก็บไว้บริโภคได้ ๗ วัน ฯ
ู้อยู่จ˚าพรรษาไปพักแรมคืนที่อื่น แต่ต้องกลับมาภายใน ๗ วัน
(ปี 59) ภิกษุอยู่จ˚าพรรษาแล้ว มีเหตุไปที่อื่น ผูกใจจะกลับมาให้ทันในวันนั้น แต่กลับมาไม่ทัน เช่นนี้พรรษาขาดหรือไม่ เพราะเหตุใด? ตอบ ถ้าไป ด้วยธุระที่ทรงอนุญาตให้ไปด้วยสตตาหกรณียะ พรรษาไม่ขาด เพราะยังอยู่ในพระพุทธานุญาตนั้นเอง
ทั้งจิตคิดจะกลับก็มีอยู่ ถ้าไปด้วยมิใช่ธุระที่ เป็นสัตตาหกรณียะ พรรษาขาด ฯ
(ปี 56) วันเข้าพรรษาในบาลีกล่าวไว้ ๒ วัน คือวันเข้าพรรษาต้น และวันเข้าพรรษาหลัง ในแต่ละอย่างก˚าหนดวันไว้อย่างไร? ตอบ วันเข้าพรรษาต้น ก˚าหนดเมอพระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์อาสาฬหะล่วงไปแล้ววันหนึ่ง คือวันแรม ๑ ค˚่า เดือน ๘ วันเข้าพรรษาหลัง ก˚าหนดเมื่อพระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์อาสาฬหะนั้นล่วงแล้วเดือน ๑ คือ วันแรม ๑ ค˚่า เดือน ๙ ฯ
(ปี 50) ภิกษุอยู่จ˚าพรรษาแล้ว มีเหตุให้ไปที่อื่น คิดว่าจะกลับมาทันภายในวันนั้น มิได้ผูกใจสัตตาหะไว้ แต่มีเหตุขัดข้องให้กลับถึงเมื่ออรุณขึ้นเสีย แล้ว เช่นนี้พรรษาขาดหรือไม่? เพราะเหตุใด?
ตอบ ถ้าไปด้วยธุระที่ทรงอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะ พรรษาไม่ขาด ฯ
เพราะยังอยู่ในพระพุทธานุญาตนั้นเอง ทั้งจิตคิดจะกลับก็มีอยู่ ถ้าไปด้วยมิใช่ธุระที่เป็นสัตตาหกรณียะ พรรษาขาด ฯ
(ปี 46) ท่านห้ามไม่ให้จ˚าพรรษาตลอด ๔ เดือนฤดูฝนนั้น เพราะเหตไุ ร?
อีก ๗ วันจะถึงวันปวารณา ภิกษุท˚าสัตตาหกรณียะไปปวารณาที่วัดอื่น เธอจะได้รับอานิสงส์การจ˚าพรรษาหรือไม่? เพราะเหตไุ ร?
ตอบ เพราะต้องการเดือนท้ายฤดูฝนไว้เป็นจีวรกาล คราวแสวงหาจีวร คราวท˚าจีวร เพื่อผลด ผ้าไตรจีวรเดิม ฯ
ได้รับอานิสงส์การจ˚าพรรษาเหมือนกัน เพราะวันสุดท้ายแห่งวันจ˚าพรรษาตกอยู่ในวันที่ ๗ ในที่อื่นบ่งให้กลับใน ๗ วันนั้นเพราะยังไม่สิ้นก˚าหนดวัน จ˚าพรรษา ฯ
(ปี 45) สัตตาหกรณียะ และ สัตตาหกาลิก มีอธิบายอย่างไร?
ตอบ สัตตาหกรณยะ คือภิกษุผู้อยู่จ˚าพรรษาไปแรมคืนที่อื่นด้วยกิจจ˚าเป็นบางอย่าง แต่กลับมาภายใน ๗ วัน เรียกว่าไปด้วยสัตตาหกรณยะ หรือสัต ตาหะ ฯ สัตตาหกาลิก คือของที่รับประเคนแล้วเก็บไว้บริโภคได้ ๗ วัน ฯ
อานิสงส์ของการจ าพรรษา
(ปี 55) ภิกษุอยู่จ˚าพรรษาครบ ๓ เดือนจนได้ปวารณา ย่อมได้อานิสงส์แห่งการจ˚าพรรษาอะไรบ้าง?
ตอบ ได้รับอานิสงส์ ๕ อย่าง คือ
๑. เที่ยวไปไม่ต้องบอกลาตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรคในปาจิตตยกัณฑ์
๒.
เที่ยวจาริกไปไม่ต้องถือเอาไตรจีวรไปครบส˚ารับ
๓. ฉันคณโภชน์ และปรัมปรโภชน์ได้
๔. เก็บอติเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา
๕.
จีวรอันเกิดขึ้นในที่นั้น เป็นของได้แก่พวกเธอ
ทั้งได้โอกาสเพื่อกรานกฐิน และรับอานิสงส์ ๕ นั้นเพิ่มออกไปอีก ๔ เดือนตลอดเหมันตฤดู ฯ
(ปี 48) ภิกษุไม่ต้องน˚าผ้าไตรจีวรไปครบส˚ารับ มีพระพุทธานุญาตไว้ในกรณีใดบ้าง?
ตอบ ใน ๒ กรณี คือ
ในกรณีเข้าบ้านมีพระพุทธานุญาตไว้อย่างนี้ คือ ๑. คราวเจ็บไข้ ๒. สังเกตเห็นว่าฝนจะตก ๓. ไปสู่ฝั่งแม่น˚้า ๔. วิหารคือกุฎีคุ้มได้ด้วยดาล
๕. ไดรับอานิสงส์พรรษา ๖. ได้กรานกฐิน ฯ
ในกรณีต้องไปค้างแรมที่อื่นมีพระพุทธานุญาตไว้อย่างนี้ คือ ๑. ได้รบอานิสงส์พรรษา ๒. ได้กรานกฐน ฯ
(ปี 44) ภิกษุผู้อยู่จ˚าพรรษาไม่ขาดย่อมได้อานิสงส์เท่าไร? อะไรบ้าง? ภิกษุพึงประชุมกันสวดพระปาฏิโมกข์ในวันเช่นไรบ้าง?
ตอบ ได้อานิสงส์ ๕ คือ ๑. เที่ยวไปโดยไม่ต้องบอกลาตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรค ๒. เที่ยวจาริกไปไม่ต้องน˚าไตรจีวรไปครบส˚ารับ
๓. ฉันคณโภชน์ และปรัมปรโภชน์ได้ ๔. เก็บอติเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา ๕. จีวรที่เกิดขึ้นในที่นั้น จักเป็นของได้แก่พวกเธอ ในวันพระจันทร์เพ็ญ (ดิถีขึ้น ๑๕ ค˚่า) วันพระจันทร์ดับ (ดิถีแรม ๑๕ ค˚่า หรือ ๑๔ ค˚่า) และวันสามัคคี
อุโบสถ (สวดปาติโมกข)์
(ปี 63, 60) ก˚าลังสวดพระปาฏิโมกข์อยู่ มีภิกษุอื่นเข้ามา จะพึงปฏิบัติอย่างไร ?
ตอบ ปฏิบัติอย่างนี้ คือ ถ้าภิกษุผู้เข้ามาใหม่มีจ˚านวนมากกว่า ต้องเรมสวดใหม่ตั้งแต่ต้น ถ้ามีจ˚านวนเท่ากันหรือน้อยกว่า ส่วนที่สวดไปแล้วก็ให้เป็น อันสวดแล้ว ให้เธอผู้มาใหม่ฟังส่วนที่ยังเหลือต่อไป ฯ
(ปี 59) สงฆ์สวดปาฏิโมกข์อยู่ ภิกษุอื่นมาถึง หรือมาถึงเมื่อสวดจบแล้ว พึงปฏิบัติอย่างไร?
ตอบ พึงปฏิบัติอย่างนี้ คือ ถาภิกษุมาใหม่มากกว่า ภิกษุที่ประชุมกันอยู่ ต้องสวดตั้งต้นใหม่ ถ้าเท่ากันหรือน้อยกว่า ส่วนที่สวดไปแล้วก็แล้วไป ให้
ภิกษุที่มาใหม่ฟังส่วนที่ยังเหลืออยู่ ถ้าสวดจบแล้ว จะมามากกว่าหรือน้อยกว่า ก็ไม่ต้องสวดซ˚้าอีก ให้ภิกษุที่มาใหม่บอกปารส ปาฏิโมกข์แล้ว ฯ
(ปี 57) ทรงอนุญาตให้สวดปาติโมกข์ย่อเพราะเหตุฉุกเฉิน ๑๐ อย่าง จงบอกมาสัก ๕ อย่าง
ตอบ ๑. พระราชาเสด็จมา (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อจะรับเสด็จได้)
๒. โจรมาปล้น (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อหนีภัยได้)
๓. ไฟไหม้ (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อดับไฟหรือเพื่อป้องกันไฟได้)
๔. น˚้าหลากมา (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อหนีน˚้าได้) สวดกลางแจ้งฝนตก (ก็เหมือนกัน)
๕. คมมามาก (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อจะรู้เหตุ หรือเพื่อจะได้ท˚าปฏิสนถาร ได้อยู่)
๖. ผีเข้าภิกษุ (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อขับผี ได้อยู่)
ุทธิในส˚านักภิกษุผู้ฟัง
๗. สัตว์ร้ายมีเสือเป็นต้น เข้ามาในอาราม (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อไลส
๘. งูร้ายเลื้อยเข้ามาในที่ประชุม (ก็เหมือนกัน)
ัตว์ ได้อยู่)
๙. ภิกษุอาพาธเกิดโรคร้ายขึ้นในที่ชุมนุม อันเป็นอันตรายแก่ชีวิต (เลิกสวดปาติโมกข์เพื่อช่วยแก้ไขกไ็ ด้) มีอันเป็นตายในที่นั้นก็เหมือนกัน
๑๐. มีอันตรายแก่พรหมจรรย์ เช่นมีใครมาเพื่อจับภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง (เลิกสวดปาติโมกข์ เพราะความอลหม่านก็ได้) ฯ
(เลือกตอบเพียง ๕ ข้อ)
(ปี 56) ในวัดหนึ่ง มีภิกษุอยู่กัน ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป ๑ รูป เมื่อถึงวันอุโบสถพึงปฏิบัติอย่างไร?
ตอบ มีภิกษุ ๔ รูป พึงประชุมกันในโรงอุโบสถ สวดปาติโมกข์
มีภิกษุ ๓ รูป พึงประชุมกันท˚าปารสุทธิอุโบสถ รูปหนึ่งสวดประกาศญัตติจบแล้วแต่ละรูปพึงบอกความบริสุทธิ์ของตน
มีภิกษุ ๒ รูป ไม่ต้องตั้งญัตติ พึงบอกความบริสุทธิ์แก่กันและกัน มีภิกษุ ๑ รูป พึงอธิษฐาน
หรือมีภิกษุต˚่ากว่า ๔ รูป จะไปท˚าสังฆอุโบสถกับสงฆ์ในอาวาสอื่น กควร ฯ
(ปี 54) ในวัดที่ไม่มภิกษุผู้ทรงจ˚าปาติโมกข์ได้จนจบ ถึงวันอุโบสถ สวดเท่าที่จ˚าได้ แล้วชักสุตบท (สวดย่อ) โดยอ้างว่าเกิดเหตุฉุกเฉิน ถูกต้อง หรือไม่? เพราะเหตุใด? ตอบ สวดปาติโมกข์ย่อนั้น ถูกต้องแล้ว แต่จะอ้างว่าสวดย่อเพราะเกิดเหตุฉุกเฉินนั้น ไม่ถูกต้อง ฯ เพราะการสวดย่อเนื่องจากจ˚าได้ไม่หมด ทรงอนุญาตไว้แผนกหนึ่งต่างหาก ไม่จัดเข้าในเหตุฉุกเฉิน ๑๐ ประการ ฯ
(ปี 53) ในวัดหนึ่ง ถ้ามีภิกษุจ˚าพรรษา ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป หรือ ๑ รูป เมื่อถึงวันอุโบสถพึงปฏิบัติอย่างไร?
ตอบ ๔ รูปพึงประชุมกันในโรงอุโบสถสวดปาติโมกข์
๓ รูปพึงประชุมกันท˚าปาริสุทธิอุโบสถดังนี้ ประชุมกันในโรงอุโบสถแล้วรูปหนึ่งสวดประกาศญตติ จบแล้วแต่ละรูปพึงบอกความบริสุทธของตน
๒ รูปไม่ต้องตั้งญัตติ พึงบอกความบริสุทธิ์แก่กันและกัน
๑ รูปพึงอธิษฐาน ฯ
(ปี 51) การท˚าอุโบสถสวดปาติโมกข์ นอกจากวันพระจันทร์เพ็ญและพระจันทร์ดับแล้ว ยังทรงอนุญาตให้ท˚าได้ในวันใดอีก? อุโบสถเช่นนั้น เรียกว่า อะไร? ตอบ ในวันที่ภิกษุผู้แตกกันปรองดองกันได้ ฯ เรียกว่า สามัคคีอุโบสถ ฯ
(ปี 49) ในการท˚าอุโบสถของภิกษุ การสวดปาฏิโมกข์ การบอกความบริสุทธิ์และการอธิษฐาน ทรงให้ท˚าได้ในกรณีใด?
ตอบ ในกรณีที่ภิกษุประชุมกันตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ตรัสให้สวดปาฏิโมกข์
ถ้ามีเพียง ๓ รูป ๒ รูป เรียกว่าคณะ ตรสให้บอกความบริสุทธิ์ของตนแก่กันและกัน
ถ้ามีรูปเดียวเรยกว่าบุคคล ให้อธิษฐานใจ คือคิดว่าวันนี้เป็นวันอุโบสถของเรา ฯ
(ปี 47) ในอาวาสแห่งหนึ่งมีภิกษุจ˚าพรรษาแรก ๔ รูป พรรษาหลัง ๒ รูป เมื่อถึงวันปวารณาแรก (เพ็ญเดือน ๑๑) และวันปวารณาหลัง (เพ็ญเดือน
๑๒) เธอทั้ง ๖ รูปนั้น จะปฏิบัติอย่างไร?
ตอบ เมื่อถึงวันปวารณาแรก พึงประชุมกันทั้ง ๖ รูปแล้ว ตั้งสังฆญต ริสุทธิอุโบสถในส˚านักภิกษุ ๔ รูปนั้น
ติ ภิกษุผู้จ˚าพรรษาแรก ๔ รูปพึงปวารณา เมื่อเสร็จแล้วภิกษุอีก ๒ รูปพึงท˚าปา
เมื่อถึงวันปวารณาหลัง พึงประชุมกัน ๖ รูปเช่นเดยวกันแล้ว ภิกษุผู้จ˚าพรรษาแรก ๔ รูป พึงตั้งญัตติสวดปาฏิโมกข์ เมื่อจบแล้วภิกษุ ๒ รูป พึง ปวารณาในส˚านักภิกษุ ๔ รูปนั้น ฯ
(ปี 46) ภิกษุพึงประชุมกันสวดพระปาฏิโมกข์ในวันเช่นไรบ้าง? ก˚าลังสวดพระปาฏิโมกข์ค้างอยู่ หากมีภิกษุอื่นมาถึงเข้าจะปฏิบัติอย่างไร?
ตอบ ในวันพระจันทร์เพ็ญ (ดิถีขึ้น ๑๕ ค˚่า) วันพระจันทร์ดับ (ดิถีแรม ๑๕ ค˚่า หรือ ๑๔ ค˚่า) และวันสามัคคี ฯ ปฏิบัติอย่างนี้ คือ ถ้าภิกษุผู้เข้ามาใหม่มากกว่าภิกษุผู้ชุมนุม ต้องสวดตั้งต้นใหม่
ถ้าเท่ากัน หรือน้อยกว่า ส่วนที่สวดไปแล้วก็ให้เป็นอันสวดแล้ว ให้เธอผู้มาใหม่ฟัง ส่วนที่ยังเหลือต่อไป ฯ
(ปี 46) สังฆปวารณา คืออะไร? ค˚าบอกปาริสุทธิว่าอย่างไร?
ตอบ คือ ปวารณาเป็นการสงฆ์ มีภิกษุประชุมตั้งแต่ ๕ รูปขึ้นไป ฯ
ว่าดังนี้ ส˚าหรับผู้แก่พรรษากว่าว่า “ปริสุทฺโธ อห˚ อาวุโส ปริสุทฺโธติ ม˚ ธาเรหิ” ว่า ๓ หน ส˚าหรับผู้อ่อนพรรษากว่าว่า “ปริสทฺโธ อห˚ ภนฺเต ปริสุทฺโธติ ม˚ ธาเรถ” ว่า ๓ หน ฯ
(ปี 45) ผู้ท˚าและอาการที่ท˚า ในการท˚าอุโบสถ มีอะไรบ้าง? การท˚าอุโบสถต้องพร้อมด้วยองค์อย่างไรบ้าง?
ตอบ ผู้ท˚ามี ๓ คือสงฆ์ คณะ และบุคคล ฯ อาการที่ท˚ามี ๓ คือสวดปาฏิโมกข์ บอกความบริสุทธิ์ และอธิษฐาน ฯ
พร้อมด้วยองค์ ๔ คือ ๑. วันนั้นเป็นวันอุโบสถที่ ๑๔ หรือ ๑๕ หรือวันสามัคคี วันใดวันหนึ่ง
๒. ภิกษุผู้เข้าประชุมครบองค์ประชุม คือตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป
๓. พวกเธอไม่ต้องสภาคาบัติ
๔. บุคคลที่จ˚าต้องเว้น ไม่มีในที่ประชุมนั้น ฯ
(ปี 44) ภิกษุผู้อยู่จ˚าพรรษาไม่ขาดย่อมได้อานิสงส์เท่าไร? อะไรบ้าง? ภิกษุพึงประชุมกันสวดพระปาฏิโมกข์ในวันเช่นไรบ้าง?
ตอบ ได้อานิสงส์ ๕ คือ ๑. เที่ยวไปโดยไม่ต้องบอกลาตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรค ๒. เที่ยวจาริกไปไม่ต้องน˚าไตรจีวรไปครบสารับ
๓. ฉันคณโภชน์ และปรัมปรโภชน์ได้ ๔. เก็บอติเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา ๕. จีวรที่เกิดขึ้นในที่นั้น จักเป็นของได้แก่พวกเธอ ฯ ในวันพระจันทร์เพ็ญ (ดิถีขึ้น ๑๕ ค˚่า) วันพระจันทร์ดับ (ดิถีแรม ๑๕ ค˚่า หรือ ๑๔ ค˚่า) และวันสามัคคี ฯ
·
บุพพกรณ์และบุพพกิจ
(ปี 58, 52) บุพพกรณ์และบุพพกิจ ในการท˚าอุโบสถสวดปาตโมกข์ ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ ต่างกันอย่างนี้ บุพพกรณ์เป็นกิจที่ภิกษุพึงท˚าก่อนแต่ประชุมสงฆ์ มีกวาดบริเวณ ที่ประชุมเป็นต้น ส่วนบุพพกิจเป็นกิจที่ภิกษุพึงท˚าก่อนแต่ สวดปาติโมกข์ มีน˚าปาริสุทธิของภิกษุผู้อาพาธมาเป็นต้น ฯ
(ปี 52) ในวัดที่มีภิกษุ ๓ รูป เมื่อถึงวันอุโบสถ จะต้องท˚าบุพพกรณและบุพพกิจหรือไม่ เพราะเหตุไร?
ตอบ บุพพกรณ์นั้นเป็นกรณียะ จะต้องท˚าเพราะต้องไปประชุมกันตามกิจ ส่วนบุพพกิจนั้นไม่ต้องท˚าเพราะภิกษุ ๓ รูปไม่ต้องสวดปาติโมกข์ ฯ
(ปี 50) ในการท˚าอุโบสถสวดปาติโมกข์นั้น มีบุพพกิจอะไรบ้าง? และภิกษุอาจต้องอาบัติถุลลัจจัยด้วยเรื่องอะไรได้บ้าง?
ตอบ บุพพกิจ มีดังนี้ ๑. น˚าปาริสทธิของภิกษุผู้อาพาธมา
๒. น˚าฉันทะของเธอมาด้วย
๓. บอกฤดู ๔. นับภิกษุ ๕. สั่งสอนนางภิกษุณีฯ ในเรื่องที่ว่า รู้อยู่ว่าจะมีภิกษุอื่นมาร่วมท˚าอุโบสถด้วยอีก แต่นึกเสียว่า ช่างเป็นไร แล้วสวด ปรับอาบติถุลลจจัย ฯ
·
องค์ประกอบของการสวดปาฏิโมกข์
(ปี 47) การตั้งญัตติกรรม ในเวลาท˚าอุโบสถ มีค˚าว่า ปตฺตกลล
˚ แปลว่า ความพรั่งพร้อม นั้นหมายความว่าอย่างไร?
ตอบ หมายความว่า การท˚าอโบสถกรรมนั้น ต้องประกอบด้วยองค์ ๔ คือ ๑.วันนั้น เป็นวันอุโบสถที่ ๑๔ หรือ ๑๕ หรือวันสามัคคี วันใดวันหนึ่ง๒. ภิกษุประชุมครบองค์ประชุม ๓. พวกเธอไม่ต้องสภาคาบัติ ๔. บุคคลที่ควรเว้นไม่มีในที่ประชุม ฯ
ปวารณา
๑. สังฆปวารณา ภิกษุที่จ˚าพรรษาในวัดเดียวกันตั้งแต่ ๕ รูปขึ้นไป ท˚าปวารณาการสงฆ์
๒. คณปวารณา ภิกษุที่จ˚าพรรษาในวัดเดียวกัน ๒-๔ รูปท˚าปวารณาเป็นการคณะ
๓. บุคคลปวารณา ภิกษุแม้จะจ˚าพรรษาอยู่เพียงรูปเดียว ในวันปวารณา ก็ต้องท˚าการอธิษฐานปวารณา ถ้าไม่ท˚าปรับอาบัติทุกกฏ
(ปี 64, 62, 50) ปวารณา คืออะไร? มีพระพุทธานุญาตให้ภิกษุเช่นไรท˚าปวารณาได้? และท˚าในวันไหน?
ตอบ คือ การบอกให้โอกาสแก่ภิกษุทั้งหลายเพื่อปรารถนาตักเตือนว่ากล่าวตนได้ ฯ มีพระพุทธานุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จ˚าพรรษาถ้วนไตรมาสท˚าปวารณาแทนอุโบสถ ฯ ในวันขึ้น ๑๕ ค˚่า เดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันเต็ม ๓ เดือนแต่วันจ˚าพรรษา ฯ
(ปี 55) ปวารณามีกี่อย่าง? อะไรบ้าง? ในอาวาสหนึ่งมีภิกษุจ˚าพรรษา ๓ รูป เมื่อถึงวันปวารณา พึงปฏิบัติอย่างไร?
ตอบ มี ๓ อย่าง คือ สังฆปวารณา คณปวารณา และบุคคลปวารณา ฯ พึงท˚าคณปวารณา ฯ
(ปี 52) ภิกษุจ˚าพรรษาอยู่ด้วยกัน ๕ รูป ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูปหรืออยู่รูปเดียว ถึงวันปวารณาพึงปฏิบัติอย่างไร?